Chapter 18 เมื่อแฟนสาวหึงหวง

 

โฟร์และหญิงสาวคนรัก คบกันอย่างราบรื่นนับร่วมเกือบปีแทบจะไม่มีการทะเลาะกันมีเพียงแค่แง้งอนกันเท่านั้น รวมถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งไม่มีใครคนใดคนหนึ่งระหว่างเราสองคนจะยอมถอยหนึ่งก้าว

“เมลขา วันหยุดนี้พี่ต้องไปบ้านใหญ่นะคะ นานะนัดมาค่ะคงกลับดึกหน่อย” เธอบอกระหว่างร่วมรับประทานอาหาร

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า พี่นานะถึงเรียกประชุม” เมเปิลขมวดคิ้วถาม

“เดาว่าคงใกล้เปิดตัวคอนโดเดอะทัชของไนน์ และยังมีเหตุการณ์ไฟไหม้ที่หัวหิน มันไปเจอเรื่องบางอย่างล่ะมั่ง” โฟร์ไหวไหล่อย่างไม่ใส่

“เมลขอถามได้ไหมคะ” โฟร์พยักหน้าพร้อมตอบ อื้ม กลับไป “ทั้งหมดคอยปกป้องไนน์ แล้วพอมีเรื่องอย่างเช่นไฟไหม้ รวมถึงกรรมการบริหารไม่ยอมให้ไนน์ขึ้นเป็นประธานบริหารแทนเจ้าสัว แล้วทำไมถึงไม่มีใครยื่นมือเข้ามาขวาง” ร่างบางยู่ปากถาม

โฟร์เลิกคิ้วขึ้น อมยิ้มยื่นหน้าหาคนรักเธอ “เรื่องธุรกิจจะไม่มีใครก้าวก่ายกันและกัน สิทธิ์ขาดขึ้นอยู่กับคนนั้น ยกเว้นมีการร้องขอจากคนอื่น ถึงอยากจะช่วยจนใจจะขาดก็ทำไม่ได้ค่ะ” โฟร์เงียบลงไปก่อนจะยกตัวอย่างให้คนน้องฟัง ”อย่างธุรกิจฝั่งของนานะและแฝดเกา ก็มีเรื่องไหว้วานให้ทางพี่อำนวยความสะดวกขนส่งบางอย่างด้วย”

“พี่โฟร์มาเล่าเรื่องแบบนี้ให้เมลฟังจะดีเหรอคะ” ไม่ใช่เธอรู้สึกไม่ดีที่คนพี่เล่า แต่มันค่อนข้างเป็นความลับมาก ๆ

“ทำไมเหรอคะ หนูกลัว...” โฟร์ใจห่อเหี่ยว เธอเองเพิ่งรับรู้ถึงความกลัวการสูญเสียคนตรงหน้า ด้วยเธอไม่อยากมีเรื่องอะไรต้องปกปิดคนรัก เธออยากให้น้องรับรู้ถึงตัวตนรวมถึงนี่คือครั้งแรกเธอพยายามเผยตัวตน “เมล...”

เมเปิลเห็นแววตาวูบสั่นไหว เธอวางมือทาบมือคนพี่ “ไม่ได้กลัวค่ะ แต่เมลมองว่าความมันคือความลับไม่ควรจะบอกคนนอก”

โฟร์ย้ายมือมากอบกุม “ทำไมถึงมองว่าตัวเองคือคนนอกละคะ เมลคือคนรักของพี่” โฟร์ถอนหายใจ “พี่ให้หนูขอให้มาอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว ข้าง ๆ กายพี่ ไม่ใช่คนนอกแล้วนะคะ” น้ำเสียงไปทางแหบแห้งแทบจะไม่หลงเหลือความมั่นใจในก่อนหน้านี้ เพราะเมเปิลคือคนรักที่เธอต้องการไว้ข้างกายไม่หนีหายไปไหน

เมเปิลเองเฝ้ามองสีหน้าและคำพูด เธอยากจะขอบคุณพี่โฟร์มอบทั้งความรักและความเชื่อใจ เธอลุกขึ้นไปจูบมุมปาก “ไม่ต้องคิดมากนะคะ ที่เมลบอกว่าคนนอกหมายถึงคนนอกสำหรับคนอื่น แต่สำหรับคุณแฟนแล้วเมลไม่ยอมเป็นคนนอกเด็ดขาด เป็นคนข้างกาย และคนในนี้ด้วย” เจ้าแก้มกลมจิ้มไปยังหน้าอกคนรัก

หญิงสาวคนพี่ดันเก้าอี้รวบตัวอีกคนมานั่งบนตัวจูบไปยังต้นคอ กดจมูกสูดกลิ่นหอมจากกายคนรัก “เฮ้ย...ทั้งแสนดีน่ารักแบบนี้ พี่จะเอาไปเก็บไว้ตรงไหนดีคะ จะไม่ได้ไม่มีคนมาเจอกลัวโดนขโมยจังเลย”

“มั่นใจเหรอคะ ว่าจะมีคนขโมยเมลไปจากพี่โฟร์ได้” เมเปิลบีบหน้าจนบู้บี้ด้วยความหมั่นไส้ ทั้งให้คนของตัวเอไปตามประกบ

“งั้นวันนี้ทำอะไรดีคะ ไปดูหนังกันไหม แล้วก็หาอะไรกินหรือว่าจะซื้อของสดมาทำกับข้าวกินด้วยกัน แบบว่าแฟนสาวใส่ผ้ากันเปื้อนชิ้นเดียว กำลังทำอาหารเช้ามาให้กิน” น้ำเสียงและสายตาส่องแววหิวกระหายคนมากกว่าอาหารอย่างที่พูดถึง

ร่างบางแตะปลายคางยกขึ้น “น้ำลายจะหยดแล้วค่ะ แล้วถ้าเมลแต่งตัวแบบนั้นพี่จะกินข้าว!” เมเปิลหรี่ตามอง “ไปดูหนังกันเถอะค่ะ” เมเปิลลุกออกจากตัก เอี้ยวตัวมายิ้ม “แล้วก็ไปซื้อผ้ากันเปื้อนกันด้วยนะคะ”

“...” โฟร์ซี้ดปากมโนภาพคนน้องใส่ผ้าผื่นบาง ยืนเอี้ยวตัวพิงอ่างล้างจานด้วยสภาพมีหยดน้ำเกาะตามร่างกาย “ไปค่า...ไปซื้อผ้ากันเปื้อนกันที่รัก...”

ห้างสรรพสินค้าย่านกลางใจเมือง หญิงสาวนักธุรกิจชื่อดัง สวมหมวดและแว่นกันแดดปิดบังโฉมหน้า จูงมือแฟนสาวในหมวกแกปแบบเดียวกัน ขึ้นไปยังโรงภาพยนตร์ชั้นบนสุด

“หนูไปกดรับตั๋วหนังนะคะ ส่วนพี่จะไปซื้อป๊อปคอร์นกับน้ำ” โฟร์ยื่นโทรศัพท์ส่วนตัวให้คนน้องไปสแกน สวนตัวเองแยกไปต่อแถว

เมเปิลเดินอมยิ้มฮัมเพลงไปยังส่วนจำหน่ายตั๋วออนไลน์ มองภาพหน้าจอ เป็นมือของพวกเธอจับกันและมีใบเมเปิลสีส้มแดงว่าเคียงข้าง ปลดล็อกโทรศัพท์ด้วยลายนิ้วมือตัว

“เมล!!!” เสียงเรียกดังหวานหูและค่อย ๆ เข้ามาใกล้เรื่อย ๆ

เจ้าของชื่อหันขวับ ใบหน้าตื่นตกใจ “จัสมิน!” เหงื่ออาบย้อมไปทั่วแผ่นหลัง ฉีกยิ้มกว้างอันแสนเต็มเปี่ยมด้วยความดีใจ สายตาย้ายมองข้ามไปยังแฟนสาวทันที “จัสมินมาดูหนัง อ่าเอ่อ...สวัสดีค่ะพี่ภามม์” สามีเพื่อนสนองตอบรับด้วยการพยักหน้า

ว่าที่คุณแม่เข้ามาควงแขนเพื่อนสนิท “ใช่แล้วคุณเพื่อน อ่ะนี่มาดูเหมือนกันเหรอ” จัสมินแย่งตั๋วหนังจากมือ “เฮ้ยเรื่องเดียวกัน แต่ที่นั่งห่างกันสามที่ มาดูกับใครง่ะ” น้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น และช่วงนี้เพื่อนสาวคนนี้ก็หายหน้าหายตาเหมือนไอ้เจ้าเพื่อนคนอื่นที่มีแฟนแล้ว

“ห๊ะ หา ดูคนเดียว อีกคนไม่มาแล้ว” เสียงตอบตะกุกตะกักแหลมสูง

ว่าที่คุณแม่แสนสาวจิปากอย่างไม่สบอารมณ์ปนเสียดาย “เหรอ...เมลมานั่งกับเรานะ เดี๋ยวไปแลกที่นั่งกับคนข้างในก็ได้

“...” เมเปิลครุ่นคิดเงยหน้าสบตากับคนพี่กำลังหอบถังป๊อปคอร์นถือแก้วน้ำขนาดใหญ่ ด้วยความหูไวตาไวของโฟร์ดึงหมวกกดต่ำปิดใบหน้า ชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนเยอะพรางตัวกลับหลังหันไปทันที

“นะไปกันเถอะ หนังใกล้ฉายแล้ว”

เมเปิลก้าวเดินไปตามแรงดึงรั้งของเพื่อนสาวจนเขาไปยังจนเข้าในโรงภาพยนตร์เข้าไปยังที่นั่ง เธอหยุดเดินออกแรงด้านเล็กน้อย ย้ายแขนควงเธออยู่ส่งมาให้สามีเจ้าตัว

“มึงไปดูกับผัวมึงนะ ส่วนกูจะไปอยู่ในที่ของกู สงสารหัวใจคนโสดบ้างนะ”

เพื่อนสาวบอกจบหันหลังหนีไปนั่งที่ตัวเอง และนับว่าโชคดีเพราะเจ้าของที่นั่งลำดับถัดจากจัสมินสวนเข้ามาพอดี เมื่อถึงที่นั่งตัวเองหญิงสาวเอี่ยวตัวไปโบกทักทาย ให้รับรู้ว่าเธอไม่ได้หนีกลับแน่นอน

เมเปิลนวดขมับทำไมมันต้องซวยทุกรอบ เดตครั้งแรกโดนป่วนจากเพื่อนวีและแฟนหนุ่ม ครั้งที่สองป่วนจากนังเพื่อนซี้จัสมิน ...คงต้องงดเดตในเมืองไทยถาวร...

แสงสว่างภายในโรงหนังค่อย ๆ ลดลงจนมืดสนิท หน้าจอภาพโฆษณาต่าง ๆ จนภาพยนตร์เริ่มฉาย เธอเองคอยมองแต่ทางเดิน จนหนังเล่นไปได้ยี่สิบนาที รับสัมผัสนุ่มทาบแก้มพร้อมกลิ่นน้ำหอมจากกายคนรัก

หญิงสาวกระซิบถาม “เมลคิดว่าพี่จะไม่เข้ามาแล้ว”

โฟร์กระซิบข้างหู “พูดแล้วค่ะว่าจะดูหนังด้วยกันต้องมาดูสิคะ พี่จะออกไปใกล้หนังจบแล้วกัน เพื่อนเราจะไม่ได้สังเกต” เธอโอบไหล่คนรักมาพิงกาย มืออีกข้างมากอบกุมสอดประสาน

สองคนรักทอดสายตามองไปยังด้านหน้าปล่อยภาพยนตร์ ไม่รับรู้ว่าดำเนินไปอย่างไร แอบอิงรับบรรยากาศแบบคู่รักทั่วไป จนภาพยนตร์อยู่ในช่วงพีคของเรื่อง โฟร์รับรู้ว่าเวลาหมดแล้ว เธอขยับตัวบอกให้คนน้องรู้ว่าต้องออกไปรอด้านนอก จูบหน้าผาก กระซิบข้างหู “พี่ไปรอข้างนอกนะคะ แยกจากจัสมินแล้วโทรหาพี่”

เมเปิลรู้สึกผิดหากเธอไม่เลือกจะปกปิดการคบหาในครั้งนี้ สองคนเราคงสามารถแสดงความรักแก่กันและกันไม่ต้องทำอะไรหลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่เมื่อเลือกจะทำแบบนั้นไปแล้ว การจะกลับไปบอกความจริงอีกครั้งมันก็ไม่ใช่เรื่อง ดังคำที่บอกว่า ถ้าเราเริ่มต้นด้วยคำโกหกมันก็จะตามมาด้วยคำโกหกอีกมากจนความจริงถูกกลืนหายไป

“เมลขอโทษนะคะ” ร่างบางรั้งข้อมือแฟนสาวตัว

โฟร์เดาความหมายในการขอโทษ ย่อตัวคุกเข่า “ไม่ต้องคิดมากนะคะพี่รักหนูมาก เรามีความสุขในที่ของเราได้ ไว้คราวหน้าพี่เหมาโรงดีกว่าค่ะ” เธอทาบแก้มกลม ๆ “รอข้างนอกนะคะ ไปซื้อชุดกัน” คำพูดหยอกเย้าให้อีกคนไม่คิดมาก

หนังจบผู้คนเริ่มทยอยออก เมเปิลไปสมทบกับจัสมินที่ไปยังหน้าห้องน้ำที่มีแฟนหนุ่มของเพื่อนรออยู่

“น้องเมเปิลช่วงนี้ไม่ค่อยไปนอนเล่นบ้านพี่เลยนะ” ภามม์เอ่ยถามเพื่อนสนิทของแฟนสาว ปกติเจ้าตัวไปอย่างน้อยเดือนละครั้ง ถ้ามีช่วงออกไปเมากับกลุ่มเพื่อนจะมาค้างประจำ

“ช่วงนี้งานยุ่ง ๆ ส่วนคนอื่นก็มีคนดูแลกันหมด ไม่มีใครหนีไปเที่ยวด้วยค่ะ ยิ่งไอ้ไนน์ตั้งแต่ไปทำงานกับปู่มันแทบจะไม่โทรหาหนูเลยด้วยซ้ำ โทรหาก็วิ่งเข้าไปไซด์งานมัน ส่วนเพื่อนสาวคนเดียวของหนูกำลังจะมีหลานถ้าจะชวนไปที่แบบนั้น ก็ไม่ดีมั่งพี่ภามม์...” หญิงสาวอธิบายยาวเหยียดอ้างเหตุผลที่หายหัว แต่เอาจริงตัวเองไปหมกห้องแฟนสาวมากกว่า

“งั้นความผิดก็มาจากพี่ด้วยสิ ที่เสกเด็กเข้าท้องเพื่อนเรา” คุณหมอหนุ่มไม่ได้รู้สึกผิดในสิ่งที่กล่าวมาสักนิด

“ใช่แล้วพี่ภามม์คนเดียวที่ผิด ข้อแก้ตัวคือถ้าหลานชายต้องหล่อ หลานสาวต้องสวยและน่ารัก รวมทั้งให้เมลเป็นแม่ทูนหัวด้วย” น้ำเสียงจริงจัง

“ยินดีน้อมรับความผิดครับ นั่นคุณแม่ออกมาแล้ว” ภามม์ยกสายตาไปดูภรรยากำลังประคองก้อนนูนเดินออกมา “ไปกินข้าวด้วยกันไหม” ภามม์มองดูอากัปกิริยาหญิงสาวตรงหน้าหันไปมองทางห้องน้ำทีมองไปข้างนอกทีคล้ายมีเรื่องต้องไปจัดการ ระหว่างรออีกคน

เมื่อว่าที่คุณแม่เดินมาถึง “เมลขอตัวไปก่อนนะ กินข้าวไว้คราวหน้าแล้วกัน จัสกูไปล่ะมีนัดต่อ” ย่อตัวแนบใบหน้ากับท้อง “เจ้าตัวเล็กน้าไปก่อนนะ” ลูบหน้าท้องไปอีกรอบ โบกมือลาทั้งสองคน

ผ่านไปสักพักเธอกำลังจะโทรหาคนพี่ ได้รับข้อความมาแทนไปรอที่รถเลย ‘เจอไอ้เชี่ยทูกับเด็กมันที่ร้าน ไม่ต้องมาค่ะ

ในระหว่างที่รอแฟนสาวตัวเอง จึงอาศัยเวลาช่วงนั้นไปเดินเลือกดูชุดในอีกฝ่ายสวมใส่อวดรูปร่างในคืนนี้ รวมถึงความเร่าร้อนบนเตียง ยังไม่ทันจะหยิบดูชุดรวมถึงจินตนาการ

“โฟร์!” มือกำลังเอื้อมไปจับชุดกระตุกกลับมาในน้ำเสียงคุ้นเคย ในใจสบถด่าเรียบร้อย

“เออ กูเองมีไร” เสียงตอบกลับไปอย่างไร้อารมณ์สนทนาต่อและหัวเสียอย่างมาก ปรายตามองอีกคนเดินควงแขนพี่ชายร่วมตระกูล ตอบรับเพียงพยักหน้าแต่ไม่แนะนำตัว เธอมองว่าคงไม่สำคัญกับต่อคนควงเท่าไหร่ “มึงมีไรรีบพูดมา ไม่งั้นกูไป”

“กูจะทักทายน้องมันแปลกตรงไหน” ทูไหวไหล่กวน

“ใครน้องมึง! กูไม่เคยมีพี่แบบพวกมึง! น้องคนเดียวของกูชื่อไนน์” เธอสวนกลับอย่างเร็ว

“มาซื้อชุดให้เด็กมึงเหรอ ช่วงนี้ไม่เห็นควงใครเลยว่ะ ซุ่มเงียบนะมึง” ทูหรี่ตามองอย่างรู้ไส้รู้พุง

โฟร์ยกยิ้มกว้างมองเหยียดไปยังชายหนุ่มอายุมากกว่าเธอ “คนนี้กูจริงจังมาก ไว้รอน้องพร้อม” น้ำเสียงแสนโอ้อวดตามด้วยเสียงหัวเราะหึหึ เธอหยิบเสื้อผ้าและผ้ากันเปื้อนลายลูกไม้อยู่ตรงหน้าสองสามชิ้น “ไปล่ะมึง เจอกันพรุ่งนี้” หันมาบอกอีกฝ่ายแล้วเดินจากไปเลิกสนใจส่วนเกินอีกคนในชีวิตเธอ

โฟร์เดินกลับมายังรถตัวเองเมเปิลยืนหลบมุมก็โผล่ออกมาก้าวขึ้นไปพร้อมกัน เพียงเสี้ยวนาทีรถยนต์เคลื่อนกลับไปยังคอนโดส่วนตัวของพวกเราทั้งสอง ในช่วงการติดไฟแดง โฟร์เอื้อมหยิบถุงมาส่งให้คนน้อง

“ได้มาแล้วค่ะ คืนนี้อย่าลืมที่พูดไว้นะคะ”

เมเปิลเปิดดูภายในถุงไม่ได้มีเพียงผ้ากันเปื้อนตามที่บอกเอาไว้ ยังมีชุดเมด ชุดนอนแสนจะบางเบามองทะลุไปยังด้านหลัง ใบหน้าของเธอจากการปากเก่งแดงแปร๊ดถ้าให้ใส่แบบนี้ก็ไม่ต่างกับไม่ใช่มากกว่า

โฟร์จับมือคนน้องมาจูบ “พี่เฝ้ารอคืนอันแสนเร่าร้อนของเราอยู่นะ”

หลังจากกลับมาถึงคอนโด โฟร์เอาชุดทั้งหมดไปซักพร้อมอบแห้ง และเป็นไปตามคาดเมื่อชุดออกมาเครื่องอบ คนพี่บังคับให้เธอสวมไว้ตลอดเวลา ตั้งแต่กินข้าวเย็นสายตาของเสือสาวมองมายังเธอ อย่างหิวกระหาย ไม่นานเธอโดนยกขึ้นมานั่งบนโต๊ะกินข้าวแยกขาพาดบ่า มีใบหน้าคนพี่ซุกเลียกลีบดอกไม้ตามด้วยเสียงครวญครางของเธอ ลากพาเธอกินต่อยังห้องนอน เสียงคราง เสียงหอบหายใจ ดังสลับกับเสียงเนื้อกระทบแนบชิดสลับกันไป

เมื่อความสุขสมได้มอบแก่ทั้งสอง เสียงกระซิบบอกรักกันและกันซึ่งจะมีให้กัน แม้แค่เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ ช่วยตอกย้ำในความรู้สึกที่มีให้แก่พวกเธอ

“พี่รักเมลนะคะ”

“เมลก็รักพี่โฟร์”

 

ช่วงสายของวันต่อมาโฟร์ออกเดินไปทางไปยังบ้านใหญ่ มีเป้ขับรถไปให้ ส่วนมิกซ์อยู่เฝ้าเจ้านายอีกคน กว่าจะถึงปาไปเกือบเที่ยง นานะที่เป็นคนนัดประชุมมานอนบ้านใหญ่ตั้งแต่เมื่อคืนกำลังกินข้าวเที่ยงบนโต๊ะอาหาร โดยมีคนมาถึงก่อนหน้า เช่นหนึ่ง พี่ชายฝาแฝดทั้งสอง ทู โฟร์เดินเข้าไปนั่งเก้าอี้ว่าง

“หวัดดีพวกมึง” โฟร์ทักทาย

“อื่อ..” เสียงขานรับคนมาใหม่ของคนนั่งก่อน

“นานะมึงได้บอกเวลาไอ้เชี่ยทรัวกับไอ้เชี่ยอุนจิไหม” หนึ่งถามขึ้นมา

“ใช่มึง กูเบื่อรอสองตัวนี้มาก ทูมึงโทรตามน้องมึงเลย ส่วนมึงโฟร์โทรตามจิด้วย” ทาซอทชี้หน้าคนพี่และออกเสียงสั่งอย่างเบื่อหน่าย

โฟร์กับทูมองหน้ากันแสยะยิ้มในสิ่งทั้งสองต้องเจอและรับผิดชอบในฐานะพี่น้องท้องเดียวกัน ทั้งที่ในใจโคตรไม่อยากรับผิดชอบ พร้อมใจสบถออกมาพร้อมกัน

“แม่ง!!!” เค้นเขี้ยวตามกดโทรศัพท์หาคนที่อื่นกล่าวถึง

โฟร์กดต่อสายไปหาน้องชายทันที ไม่นานก็รับสายอย่างงัวเงียหัวเสีย เธอไม่รอให้มันถามอะไรต่อ “มึงยังตื่นอีกเหรอไอ้เชี่ยจิ” ก่อนตามด้วยเสียงกดต่ำและข่มขู่ “ถ้ามึงช้าหรือไม่มา นานะจะไปอัดมึงถึงที่” เธอได้ยินเสียงลุกจากเตียงดังตึงตังคล้ายน้องชายตกเตียงก่อนจะกดวางสาย

“เชี่ย...โฟร์มึงใช้วิธีเลยเหรอ” ทูยกนิ้ว

“มึงถามกูยัง ว่ากูว่างไปอัดมัน” นานะนิ่งเงียบอยู่นานตวัดสายตามองหน้าหญิงสาวอีกคน

“อ้าวเหรอ” โฟร์ไหวไหล่ไม่รับรู้กวนตีนไปอีกหนึ่งดอก

ทูกดสายไปหาน้องชายตัวเองบ้าง “ทรัวครับ ตื่นหรือยังพี่ชายคนนี้รออยู่บ้านใหญ่แล้วนะครับ” คำพูดสุภาพน้ำเสียงหวานรื่นหู ต่างจากใบหน้าแสนจะขยะแขยงในคำพูดตัวเอง

คนนั่งร่วมในวงทานอาหาร เบิกตากว้างอารมณ์เดียวกันหมดทั้งโต๊ะและน่าจะร่วมคนปลายด้วย ขนลุกชูชันไปทั่วร่างและเบ้หน้าด้วยความรังเกียจ

นานะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมบรรดาพี่ ๆ ทั้งหมด ส่ายหัวกับความปัญญาอ่อน ...กูกับซูก้าต้องมีพี่แบบนี้เหรอวะเหนื่อยใจ...

บ่ายสองโมงทุกคนพร้อมกันในห้องประชุมติดริมฝั่งสระปลาคราฟ โดยวันนี้ไร้ประมุขของบ้านไปรับการตรวจสุขภาพกับลูกสาวบุตรธรรม

“ที่เรียกมารวมตัววันนี้ เพราะว่าไนน์กำลังจะเปิดตัว เดอะทัช เลยอยากให้มาช่วยดูแลเกี่ยวกับความเรียบร้อย รวมถึงช่วยกีดกันปัญหาต่าง ๆ” นานะแถลงในสิ่งต้องการ

“...” ทุกคนพยักหน้ารับ

“พวกมึงคงไม่ยังไม่รู้เรื่องว่าก่อนหน้านี้น้องโดนดักทำร้ายหลังจากเข้าตรวจงาน ส่วนตอนนี้น้องกำลังตามตรวจสอบโครงสร้างโรงแรมที่มีคนในบ้านเราเกี่ยวข้อง” นานะยกมุมปากเหยียดยิ้มเมื่อต้องพูดถึงอีกคน

“น้องโดนเมื่อไหร่ แล้วจัดการยังไง” หนึ่งในฐานะพี่คนโตเอ่ยถามขึ้น

“หลายเดือนแล้ว แต่ซูก้าไม่อยากให้วุ่นวาย เลยเรียกกูไปจัดการให้ ผลคือตายห่าหมดตั้งแต่กูยังไม่ทำอะไรเลย ส่วนไอ้คีนรอดเพราะไนน์อ้าแขนปกป้องมันรวมถึงคนอื่นด้วย แล้วกูเพิ่งได้รับแจ้งจากบายว่าน้องให้ไอ้คีนมาทำหน้าที่เลขาส่วนตัวพร้อมกับเป็นบอดี้การ์ดไปด้วย”

“มึงรู้ใช่ไหมว่าใครเกี่ยวข้องมั่ง” ทาซอทพี่ชายแฝดคนโตของเธอปรายตาถาม

นานะเท้าคางยกนิ้วกระตุกนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากตวัดนิ้วชี้ไปยังข้างบนพร้อมยกสายตามองไปด้วยเช่นกัน บอกใบ้ให้รู้ว่าคนที่อาศัยในบ้านหลังนี้ ซึ่งคนในที่นี้รับรู้โดยนัยเช่นกัน ก่อนจะลดลงบอกรู้ว่าเธอไม่ต้องการจะพูดชื่อออกมา ระหว่างที่เธอไม่กลับมาหลังนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายติดตั้งอะไรไปบ้าง

“ตอนนี้สั่งคีนและบายประกอบติด ไม่ให้ไนน์รอดพ้นสายตาแม้แต่นิดเดียว” นานะอธิบายเพิ่มเติม

“กูว่าในงานมีปู่ รวมถึงพ่อกับแม่กูและของพวกมึงด้วย คงกล้าทำอะไรมาก” ทรัวแย้งขึ้นมา

“กูคิดแบบเดียวกับไอ้ทรัว” ฮาจิ

“แต่กูไม่คิดแบบพวกมึง ถึงทำอะไรไม่ได้มาก แต่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้นคงหาอะไรมาป่วน ลดความน่าเชื่อถือรวมถึงสร้างความประหม่าให้คนสำคัญของพวกเรา”

พี่น้องทั้งแปดแห่งตระกูลศิริกิจวัชรโชติตีกันในทุกเรื่อง เกลียดที่ใครได้หน้ากับน้องน้อยของบ้าน แต่หากพวกเขาผนึกกำลังกันเมื่อไหร่ยากจะพังลงง่าย ยิ่งเรื่องคนสำคัญที่สุดของพวกเขาอย่างน้องไนน์ พวกเขาไม่ยอมแน่นอน และที่เห็นด้วยในความคิดของนานะผู้เป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป

นานะเปรยคำพูดออกมา “ยิ่งแสงส่องไปยังน้องมากเท่าไหร่ คนซ่อนในเงามืดยิ่งมองไม่เห็นว่าจะทำอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นพวกมึงกับกูต้องย้ายไปในเงามืดด้วย”

พี่น้องทั้งแปดคนมองคนจากภายนอกขาดอยู่แล้ว มีนานะคนเดียวสามารถมองคนได้ลึกกว่าคนอื่น อย่างน้าสาวบุตรบุญธรรมของปู่หรือที่รับรู้กันแค่คนเก่าแก่รวมถึงลูกหลานคือลูกเมียอีกคนของปู่ คนที่ซุกซ่อนนิสัยอันหลายบุคลิกจนคนที่บ้านไม่เคยสงสัยมาก่อน จนเธอทนไม่ไหวเดินไปคุยกับบิดาเรื่องนี้ นั่นเป็นสาเหตุที่ทุกคนในบ้านช่วยกันจับตาไนน์เป็นพิเศษ

หลังจากจบการประชุมเรื่องสำคัญ พี่น้องทั้งแปดมารวมตัวเล่นเกมบ้าง กินเหล้ารวมถึงพูดคุยกันในแบบสมัยวัยเด็ก นานมากแล้วพวกเขาแทบจะไม่ได้มาเจอกันแบบนี้

“เฮ้ย!! กูเจอโฟร์มันไปซื้อชุดในเด็กว่ะ มันบอกว่าคนนี้มันจริงจังด้วย” ทูตะโกนบอกคนอื่น

“ไอ้สัดทู ไม่เลือกชีวิตรักคนอื่นครับผม” โฟร์ตะโกนด่าสวนกลับ

“ใช่เชี่ยทู มันด่ากูเสือกประจำในเรื่องนี้ มีครั้งหนึ่งมันจ้างกูยี่สิบล้านให้ดูงานแทนมันด้วยนะพวกมึง” ฮาจิเสริมกับอีกฝ่ายด้วยการนินทาพี่สาว

พลัว!! มือเรียวบางตบหัวน้องชายจนหน้าทิ่ม “ไม่ต้องมาช่วยกันรุมกู” ด่าเสร็จล็อกคอน้องชายกรอกเหล้าล้างปาก แล้วสงครามการล้างแค้นในบรรดาพี่น้องเริ่มต้นด้วยการจับล็อกคอกรอกเหล้า วนเวียนกันไปมาจนค่อย ๆ ทยอยล่วงไปทีละคน

ผ่านไปค่อยคืน โฟร์ตื่นขึ้นมาเห็นน้องชายตัวเองนั่งก้มหน้าอยู่ ใช้เท้าถีบสะกิด “ไอ้จิ”

“เออ จะถีบเชี่ยไรนักหนา มึงมีไร”

“มึงรู้เรื่องร่วมลงทุนกับเจสสิก้าแล้วใช่ไหม มึงไปแทนกูนะ กูไม่อยากมีปัญหากับเด็กกู” เธอบอกแก่น้องชาย

“เด็กคนนี้มึงจริงจังมากเลยเหรอวะ ถึงขั้นทำให้มึงกังวลได้” ชายหนุ่มเงยหน้าไปมองหน้าพี่สาวนิ่งเงียบ “เออกูไปแทนเอง”

“...” เธอตบบ่าแสดงความขอบใจน้องชาย และลุกขึ้นเดินออกไปยังข้างนอก

“เฮ้ย!! มึงจะกลับแล้วเหรอ เชี่ยแม่ง...เอาจริงดิ” ฮาจิร้องทักพี่สาวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ระหว่างรออาหารมาส่ง เมเปิลเล่นโทรศัพท์ไถลไปเรื่อยจนมาหยุดคลิปสัมภาษณ์ของนักธุรกิจสาวสายการบินชื่อดัง มาร่วมงานเปิดตัวสินค้าชนิดหนึ่ง โดยที่ตัวเธอคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเห็นการ์ดเชิญร่วมงานนี้ของคนพี่อยู่

“มีข่าวเล่าข่าวลือว่าทางเจสแอร์เวย์ได้ร่วมลงลงทุนกับวัชรแอร์ไลน์ การลงทุนครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ในแทบเอเชียใช่หรือเปล่าคะ” นักข่าวสาวเอ่ยถามขึ้นมา

“ใช่แล้วค่ะ ทางเรายินดีอย่างมากในการร่วมลงทุนในครั้งนี้ เจสแอบเสียใจที่โฟร์ฝั่งตัวแทนวัชรแอร์ไลน์ไม่ร่วมงานในวันนี้ จะได้ร่วมพูดไปด้วยกัน”

“เอะยังไง หรือการร่วมลงทุนแอบมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเปล่า” นักข่าวถามอย่างรู้กัน

“จะพูดให้ ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ...ผลพลอยได้นะคะ ถ้ามันช่วยกระชับความสัมพันธ์ของเราสองคนให้สนิทกันขึ้นน่าจะดี”

“แต่ฟังดูคล้ายคุณเจสสิก้ากำลังสนใจเจ้าของสายการบินอยู่หรือเปล่าคะ แต่ดูเหมือนว่าทางนั้นจะมีเจ้าของหัวใจแล้วนะคะ”

“เล่นถามมาแบบนี้แล้ว คงต้องยอมรับแล้วล่ะค่ะ แต่ขอพูดในมุมของเจสเองนะคะ ทางนั้นก็ไม่ได้ตอบชัดเจนว่ามีหรือไม่มี ถ้าคุณคนนั้นมีตัวตนที่แท้จริงก็เผยตัวออกมา เจสเองยินดีจะขอโทษและไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางนั้นอีกเลยค่ะ” หลังจากหญิงสาวพูดจบก็เสียงร้องกรี๊ดกร้าด และก่อนจะพูดทิ้งท้าย “เส้นทางการบินใหม่ที่ร่วมลงทุนร่วมกันจะมีงานแถลงข่าวเร็ว ๆ นี้นะคะ ขอเชิญพี่ ๆ นักข่าวเลยแล้วกัน”

“อู้ย...บัตรเชิญงานแถลงข่าวเรื่องการร่วมลงทุน แน่นะคะ” หนึ่งในข่าวเอ่ยปากแซว

“...” หญิงสาวยิ้มรับไม่ตอบอะไรกลับไป ก่อนยืนให้ช่างภาพถ่ายรูปก่อนจะโบกมือลาเข้าไปร่วมงานด้านใน

 

เมเปิลดูคลิปสัมภาษณ์จนจบตวัดสายตาไปมองคนพี่ เอ่ยถามด้วยเสียงแสนจะเยือกเย็น และเปิดใบหน้าหญิงสาวที่ชื่อเจสสิกาให้ดูประกอบการตอบคำถาม “ไปพบและเจรจากันมาเมื่อไหร่ค่ะ”

TBC...

---------------------------------------------------------------------------------------

ทุบเลยลูก ฝ่ามือหนูเอาให้หนัก