01 แรกพบ

 


 

ค่ำวันหนึ่งระหว่างที่หลงจวินอี้กำลังนั่งทอดอารมณ์อย่างเกียจคร้านอยู่ภายในห้องหนังสือ ติงหรงพ่อบ้านเก่าแก่ที่รับใช้เขามานานกว่ายี่สิบปีทั้งยังคอยดูแลกิจธุระต่าง ๆ ภายในตำหนักจวิ้นหลันให้ก็เดินเข้ามากล่าวรายงาน

“องครักษ์หลวงที่ฝ่าบาทส่งมา กำลังยืนรอขอเข้าพบท่านอ๋องอยู่ด้านหน้าตำหนักขอรับ”

คิ้วเรียวโก่งสีสว่างขมวดย่นในทันที ดวงตาเรียวรีหางตาเชิดเหลือบขึ้นตวัดมองชายวัยกลางคนร่างเล็กอย่างไม่สบอารมณ์ คนถูกถลึงจ้องลอบทำคอย่นขณะได้ยินเสียงห้าวตอบสะบัด ๆ

“ข้าไม่มีอารมณ์พบผู้ใดทั้งสิ้น!”

“แต่ว่า…”

“ลุงหรง! อ๋องเยี่ยงข้ายังต้องมีองครักษ์ติดสอยห้อยตามด้วยหรือ? รู้ถึงไหนอายถึงนั่น” ใช่ เขาเป็นถึงนักรบนามกระเดื่องเลื่องลือ หลงซี หลงจวินอี้ แม่ทัพแดนเหนือ ‘เป่ยเหอหวาง’[1] ผู้เกรียงไกรไร้พ่าย ยอดยุทธหนึ่งในใต้หล้าที่สยบข้าศึกตัวฉกาจอย่างแคว้นเฉียวลงได้เชียวนะ มียอดขุนพลหน้าไหนกันบ้างที่ต้องให้องครักษ์วังหลวงเดินตามต้อย ๆ คอยดูแลความปลอดภัย “ต่อให้บาดเจ็บแล้วอย่างไร? ถ้ากลับสู่เมืองหลวงแล้วต้องงอมืองอเท้าพึ่งพาผู้อื่นให้คุ้มเงาหัวเช่นนี้ ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบเหล่าพี่น้องร่วมรบที่ล่วงหน้าไปรออยู่ในปรโลกกันเล่า!”

แต่...ท่านอ๋องขอรับ หากมีองครักษ์คอยคุ้มครอง ท่านก็คงไม่มีทางตายและยิ่งไม่ต้องแบกหน้าไปพบเหล่าพี่น้องพวกนั้นในเร็ววันมิใช่หรือ? พ่อบ้านวัยกลางคนลอบคำนึงอยู่ในใจโดยไม่กล้าแย้งออกไปตรง ๆ

“แต่นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทนะขอรับ” เขาตั้งสติปลุกปลอบใจตนเอง เอ่ยปรามเจ้านายสูงศักดิ์ที่กำลังตีโพยตีพายใหญ่โตให้สงบอารมณ์ลงบ้าง พยายามรอมชอมโน้มน้าวอย่างบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น เพราะจะอย่างไรการขัดพระประสงค์ขององค์เหนือหัวก็คงไม่มีผลดีเท่าใดนัก ต่อให้เป็นท่านอ๋องเจ็ดซึ่งเผอิญเป็นพระอนุชาคนโปรดก็เถอะ อย่าว่าแต่บัดนี้ท่านอ๋องผู้นี้ยังไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะสู้รบปรบมือได้เหมือนเก่า มีองครักษ์ไว้ย่อมดีกว่าไม่มี “เขาเองก็รุดมาตามหน้าที่เท่านั้นเองมิใช่หรือขอรับ? ท่านก็อย่าทำให้เขาลำบากใจเลย อย่างน้อยก็ลองอนุญาตให้เขาเข้าพบดูสักครา…ดีหรือไม่?”

“ลำบากใจแล้วอย่างไร! ได้ข่าวว่าเป็นคนโปรด เสด็จพี่ตรัสชมเชยเสียเลิศลอยมิใช่หรือ ต่อให้ถูกข้าไล่ตะเพิดจนวิ่งโร่กลับไปซบฝ่าบาทก็คงไม่โดนลงอาญาอันใดกระมัง บอกให้เขาไสหัวไป!”

อ๋องแห่งเป่ยเหอตวาดเสียงขุ่น รำลึกถึงบทสนทนาเมื่อค่ำวานแล้วยิ่งมีโทสะ หากพระเชษฐาซึ่งเป็นพระจักรพรรดิทรงชื่นชมผู้อื่นจนออกนอกหน้า สรรเสริญเยินยออีกฝ่าย สาธยายสรรพคุณเหยียดยาวอันเลิศภพจบแดนให้เขาฟังเสียเป็นคุ้งเป็นแควเฉย ๆ ย่อมยังไม่อาจนับเป็นกระไรได้ ทว่าที่เขาไม่อาจทนรับได้คือเสด็จพี่ที่รักทรงมั่นใจเสียเต็มประดาว่าเขาจำเป็นต้องให้ยอดองครักษ์อะไรนั่นคุ้มครองความปลอดภัยต่างหาก ทรงเห็นว่าอนุชาคนโปรดซึ่งควบตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือด้วยนั้นบัดนี้ตกต่ำจนอ่อนแอไร้น้ำยาถึงขั้นต้องพึ่งพาฝีมือผู้อื่นช่วยปกป้องชีวิตแล้วหรือ?

เช่นนั้นมิใช่หมายความว่าเสด็จพี่ทรงจัดลำดับยอดฝีมือในพระทัยใหม่ ให้เขาเป็นอันดับสองรองจากเจ้านั่นหรือไร? ยิ่งหากเขายอมโอนอ่อนผ่อนตาม ให้องครักษ์นั่นมาคอยอารักขาอยู่ข้างกาย ไยมิใช่เท่ากับยอมรับโดยดุษณีว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่นแล้วหรือ?

“อ่า...ขอรับ” พ่อบ้านรับคำอย่างจนใจด้วยเห็นผู้เป็นนายเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน นัยน์ตาวาววามดุจลุกโพลงไปด้วยเพลิงพิโรธ...โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงเพลิงริษยาเท่านั้น “เช่นนั้นข้าจะไปแจ้งแก่องครักษ์เฉินว่ายามนี้ท่านอ๋องยังไม่สะดวกให้เข้าพบนะขอรับ”

“ช้าก่อน!” ร่างสูงเพรียวที่นั่งเอนหลังอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้โยกตวัดเสียง จากนั้นค่อย ๆ หยัดกายยืดหลังตรงอย่างสนอกสนใจ มือเรียวระหงสองข้างคว้าจับพนักแขนข้างเก้าอี้ไว้แน่น ดูคล้ายพานจะยันร่างผุดลุกขึ้นยืนในบัดดล

“เจ้าว่ากระไรนะ? องครักษ์เฉินงั้นหรือ?”

“ขอรับ”

เจ้าตำหนักครุ่นคิดอย่างฉับไว ไหน ๆ คนผู้นี้ก็แซ่เฉิน ลองพบหน้าแล้วสอบถามสักสองสามประโยคก่อนก็ดี ต่อให้ไม่ใช่คนที่เขาตามหาก็ไม่ขาดทุน แค่คิดข้ออ้างขึ้นมามั่ว ๆ แล้วเอ่ยปากปฏิเสธ ขับไล่ไปเสียให้พ้นก็พอ หากเขาไม่ยอมรับองครักษ์ใหม่เข้ามาในตำหนักเสียอย่าง ผู้อื่นจะทำกระไรได้? เสด็จพี่คงไม่ว่างถึงขนาดเสด็จถ่อมาถึงที่ในยามค่ำมืดเช่นนี้เพื่อรับสั่งบังคับให้เขายินยอมอ้าแขนรับองครักษ์เอาไว้กระมัง?

“ให้เขาเข้ามา” คิดสะระตะแล้วผู้เป็นนายก็กลับคำในบัดดล

พ่อบ้านมีแววงุนงงพาดผ่านใบหน้าวูบหนึ่ง แต่ด้วยความที่คุ้นชินกับอารมณ์ผีเข้า—แค่ก ๆ—อารมณ์เอาแน่เอานอนมิได้ของเจ้านายแล้วจึงไม่ถามไถ่ให้มากความ เพียงโค้งกายรับคำสั่งแล้วหันกายเดินออกไป

เพียงไม่กี่อึดใจให้หลังพ่อบ้านแห่งตำหนักจวิ้นหลันก็พาบุรุษหนุ่มคนหนึ่งในชุดราชองครักษ์เต็มยศเข้ามาส่งที่หน้าประตูเรือนก่อนจะก้มคำนับขอตัวจากไปอย่างเงียบ ๆ

“ผู้น้อยเฉินอวี้เจา องครักษ์ขั้นเอก สังกัดหน่วยราชองครักษ์วังหลวง ถวายพระพรท่านอ๋องแห่งเป่ยเหอพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฉาดฉานก้องกังวานเฉกผู้ฝึกยุทธที่มีกำลังภายในยอดเยี่ยมดังขึ้นอย่างไม่แผ่วนักจากร่างองอาจนั้น

ดวงหน้าได้รูปผิวสีน้ำผึ้งจางของเจ้าบ้านเขม้นพินิจบุคคลตรงหน้า องครักษ์นายนี้มีรูปร่างสมส่วน อกผายไหล่ผึ่ง น้ำเสียงเข้มแข็งน่าเกรงขาม ฝีเท้าหนักแน่นมั่นคง ประเมินดูแล้วท่าทางวรยุทธคงจะสูงส่งจริงสมดังคำร่ำลือ หนำซ้ำบุคลิกยังคล้ายเป็นพวกคมในฝัก

 

แต่ต่อให้เก่งกาจคมในฝักเพียงไรถ้าไม่ใช่คนที่ข้าตามหา ก็จะไล่ตะเพิดออกไปให้ดู!

 

“ตามสบายเถิด” หลงจวินอี้เอ่ยขึ้น พยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบตามปรกติ ทว่าเมื่ออีกฝ่ายเงยศีรษะขึ้นและยืนตรงจนเขาสามารถเพ่งพิศใบหน้าโดยละเอียดได้ก็ตกตะลึงจนแทบผงะ

นัยน์ตาหงส์สีดำนิล ขนตาเป็นแพงามงอน คิ้วดกเข้มทรงดาบ รูปคางเรียวรี จมูกโด่งสวย ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป ผิวเจือสีกรำแดดโดยไม่หมองคล้ำหยาบกร้าน ใบหน้าอ่อนโยนสุภาพ บุคลิกสง่าผ่าเผยชวนมอง เรือนผมสีเข้มสนิทราวน้ำหมึกบนศีรษะนั้นเล่าก็ถูกรวบขึ้นเก็บไว้ภายใต้หมวกเครื่องแบบจนเรียบร้อยไร้ที่ติ

สุดยอดองครักษ์ผู้เยี่ยมยุทธอันใดกัน? นี่มันเข้าข่ายสุดยอดชายงามแห่งเมืองหลวงชัด ๆ มิใช่หรือ?!

จะว่าไปก็นับว่าพอมีเค้าคล้ายเจ้าเด็กนั่นอยู่บ้าง อย่างน้อยก็สามสี่ส่วนกระมัง? โดยเฉพาะบริเวณคิ้วและดวงตา ใช่มิใช่?

 

เจ้าตำหนักมัวแต่ชมดูบุคคลตรงหน้าจนตาค้าง นิ่งงันจมอยู่ในภวังค์เนิ่นนานกระทั่งเสียงนุ่มถามขึ้นอย่างกึ่งเป็นห่วงกึ่งงุนงง

“ท่านอ๋องเป็นกระไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“แค่ก…” หลงจวินอี้กระแอมกระไอแก้เก้อ “ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยล้าเกินไป เมื่อครู่เพียงวิงเวียนเล็กน้อยเท่านั้น”

“ผู้น้อยออกไปเรียกคนหรือตามหมอดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่ต้อง ๆ ๆ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” ท่านอ๋องกะพริบตาถี่ ๆ กระแอมอีกคราก่อนจะแสร้งใช้นิ้วโป้งคลึงขมับข้างหนึ่งแล้วค่อยแสดงสีหน้าปึ่งชา ถามเรียบเรื่อยคล้ายมิได้สนใจใคร่รู้เท่าใด “เจ้าแซ่เฉินงั้นรึ? ใช่ที่หมายถึงรุ่งเช้าหรือไม่?”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ”

“อายุ?”

“ยี่สิบสองย่างยี่สิบสามพ่ะย่ะค่ะ”

“ชื่อเล่า?” เมื่อได้ยินว่าอายุพอจะเข้าเค้า ฝ่ายเจ้านายจึงไม่อาจสะกดใจไว้ได้อีก โพล่งถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น นัยน์ตาสีสว่างทอประกายความหวัง

“อวี้เจา เฉินอวี้เจาพ่ะย่ะค่ะ” คู่สนทนาเงยหน้ามองตอบ เอ่ยเสียงขรึม ทว่าหว่างคิ้วมีรอยยับย่นเล็กน้อยแสดงความฉงนสนเท่ห์คล้ายสงสัยว่าท่านอ๋องผู้นี้หัวสมองปรกติดีหรือไม่? เมื่อครู่ก็เพิ่งแนะนำตัวไปมิใช่หรือ?

“ข้าหมายถึงชื่อสมัยเด็กน่ะ” ผู้ถามเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวจึงเอ่ยแถลงอย่างเก้อกระดาก ใบหน้าหล่อเหลาซับสีเลือดเล็กน้อย

“เฉินหลินพ่ะย่ะค่ะ”

 

เฉินหลินงั้นหรือ…ไม่ใช่เจ้าเด็กนั่น หลงจวินอี้มุ่นคิ้วครุ่นคิด

แต่ดวงตาคู่นี้ไฉนจึงคล้ายกระตุ้นกระตุกความทรงจำเก่าเก็บของเขากันเล่า? หรือว่าทั้งคู่จะมีใบหน้าคล้ายคลึงกันโดยมิใช่เรื่องบังเอิญ?

“เจ้ามีญาติแซ่เดียวกันทำงานรับใช้ในราชสำนักหรือว่าอยู่ในวังหรือไม่?”

“มีเพียงบิดาเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“อ้อ…” ผู้เหย้าอุทานเสียงแผ่ว ลอบถอนหายใจบางเบาอย่างผิดหวัง ทว่าธรรมชาตินิสัยอันดื้อรั้นยังคงฉุดรั้งไม่ให้ยอมถอดใจง่าย ๆ “เช่นนั้นเจ้ามีลูกพี่ลูกน้องเพศชายแซ่เดียวกันวัยใกล้เคียงกันอาศัยอยู่ในเมืองหลวงบ้างหรือไม่?”

“อืม...คล้ายว่ามีอยู่คนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”

“ชื่ออะไร?”

“มิได้ไปมาหาสู่กันจึงไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ แต่ผู้น้อยสามารถไปสอบถามบิดาให้ชัดแล้วค่อยกลับมาทูลท่านอ๋องได้พ่ะย่ะค่ะ”

“ดี ดี ดี” เจ้าตำหนักกล่าวซ้ำ ๆ อย่างพออกพอใจพลางพยักหน้าถี่ ๆ ในประกายตาผุดแววถวิลหาและคาดหวัง บัดนี้มีเบาะแสเลือนรางเพิ่มมาสายหนึ่ง นับว่าประเสริฐกว่าไม่มีมากนัก

“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องต้องการสืบรายละเอียดอื่นใดอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ และนี่นับเป็นเรื่องเร่งด่วนเพียงใด?”

“รีบ!” ผู้สูงศักดิ์เผลอตอบรับอย่างกระตือรือร้นออกนอกหน้าก่อนจะตระหนักได้ จึงผ่อนร่างกลับไปนั่งเอนพิงพนักเก้าอี้ตามเดิมก่อนจะปั้นหน้าเรียบเฉยกล่าวเนิบช้า “แต่มิใช่เรื่องด่วนหรือคอขาดบาดตาย ไว้วันพรุ่งก่อนก็ได้ ข้าแค่อยากรู้อายุให้แน่ชัด พร้อมทั้งชื่อเสียงเรียงนาม เมื่อรู้แล้วค่อยดูอีกที ไม่แน่ว่าอาจต้องการพบเขาดูสักครั้ง”

“รับทราบพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เฉินรับคำ ก่อนจะก้าวถอยไปทางริมประตู ผายไหล่ยืนตัวตรงตระหง่านดุจต้นสน สองมือไพล่หลังไว้ตรงบั้นเอวด้วยท่ายืนยาม เชิดหน้าทอดสายตาแน่วนิ่งมองไปทางหนึ่งโดยมิได้เจาะจงจุดใด

เจ้าของเรือนผินหน้าตามไปพินิจคนผู้นั้น นับว่าเป็นอีกคำรบหนึ่งที่ชมดูจนตะลึงลานไปแล้ว คิ้วโก่งสวยขมวดจนยุ่ง เขม้นมองบุรุษหนุ่มรูปงามอยู่หลายอึดใจค่อยกล่าวทำลายความเงียบขึ้น

“เจ้าทำกระไร?”

อีกฝ่ายเหลียวมามองทางต้นเสียง ตีหน้าซื่อกล่าวตอบ

“อารักขาท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”

นัยน์ตาคมกล้าสีน้ำตาลสว่างพลันเบิกกว้าง ถลึงมองอย่างทึ่มทื่อขณะระลึกขึ้นได้ ใช่แล้ว เจ้าแซ่เฉินผู้นี้เข้ามาพบเขาเพื่อรายงานตัวในฐานะคนอารักขาข้างกาย แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดจะขับไสไล่ส่งไปเสีย ทว่าเพียงเพราะเผอิญองครักษ์นายนี้ใช้แซ่เดียวกับคนที่เขาตามหา จึงได้เผลอไผลเฉไฉไปจนหลงลืมจุดประสงค์ดั้งเดิมของตนเสีย

หากเพิ่งจะมาออกปากไล่เอาบัดนี้ก็รู้สึกคล้ายใจแคบเหลือวิสัยอ๋อง ทั้งไม่สง่างามและไม่สมฐานะ แต่ครั้นจะไม่ไล่ก็เท่ากับตนยอมรับองครักษ์ไว้ในตำหนักโดยปริยาย ในใจรู้สึกไม่ยินยอมอย่างยิ่ง

“องครักษ์เฉิน” หลงจวินอี้ตัดสินใจเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเป็นการเป็นงานในที่สุด “ข้าจำต้องบอกเจ้าตามตรงว่าข้าไม่ต้องการผู้อารักขา ถ้าอย่างไรเจ้าก็กลับไปก่อนเถิด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่า”

“อ้อ” เฉินอวี้เจาตอบรับเพียงหนึ่งพยางค์ นิ่งงันอยู่ชั่วอึดใจด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะผงกศีรษะอย่างว่าง่าย โน้มกายลงคารวะโดยเคร่งครัดพลางกล่าว “เช่นนั้นท่านอ๋องโปรดถนอมสุขภาพด้วยพ่ะย่ะค่ะ พบกันใหม่พรุ่งนี้”

จบความก็หมุนกายเดินออกจากเรือน ถีบปลายเท้ากระโจนเพียงคราหนึ่งก็พุ่งทะยานจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้แม่ทัพแดนเหนือนั่งงงเป็นไก่ตาแตกอยู่เพียงผู้เดียว

 

อันใดคือบอกไปเป็นไป? อันใดคือรุดจากไปในทันที? เจ้าท่อนไม้นั่นสติมีปัญหาหรือไร? ไฉนจึงลมเพลมพัดเยี่ยงนี้?

 

ทันใดนั้นมีเสียงตีเกราะเคาะไม้ลั่นระงมขึ้นเป็นทอด ๆ นั่นคือสัญญาณสื่อสารและเตือนภัยของเหล่าทหารทั้งกองเฝ้ายามและกองลาดตระเวนภายในตำหนัก ไม่นานนักพ่อบ้านก็กระหืดกระหอบวิ่งมาพร้อมกับทหารลาดตระเวนหมู่หนึ่ง แหกปากเสียงสนั่นตามรายทางก่อนจะโผล่มาให้เห็นตัวด้วยซ้ำ ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่นอกเรือนยืดตัวตรงเพ่งมองเหล่าผู้มาใหม่อย่างตื่นตัว

“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องขอรับ ท่านอ๋องปลอดภัยดีหรือไม่?”

“ข้าอยู่นี่ แตกตื่นอันใดกัน?”

“ท่าน… เฮ้อ!! ข้า…โอย...แฮ่ก ๆ ” พ่อบ้านหยุดยืนพักเพื่อกอบโกยอากาศเข้าปอดหลายคราก่อนจะรายงานเร็วรี่ “เฮ้อ...เมื่อครู่มีทหารยามเห็นเงาคนกระโดดขึ้นบนหลังคาเรือนเล็กด้านหน้าและข้ามกำแพงออกไป ทว่าเงาร่างนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก จึงไม่มีใครตามได้ทัน ข้าประสานงานให้ส่งคนไปตรวจตรารอบนอกตำหนักแล้ว แต่หัวหน้าหมู่ไม่ไว้วางใจจึงต้องการรุดมาดูทางด้านนี้ด้วย พวกเขา...พวกเขาเกรงว่าท่านอ๋องจะเกิดเรื่อง”

หลงจวินอี้ทราบดีว่าเงาที่พวกทหารเห็นคือผู้ใด ในใจจึงทั้งโกรธทั้งขำ ดูเอาเถิด เจ้าคนแซ่เฉินนั่นไม่รู้จักเดินออกทางประตูเหมือนขาเข้าหรือไร ไฉนต้องอวดปาฏิหาริย์ เหาะเหินเดินอากาศจนสร้างความแตกตื่นขึ้นมาปั่นป่วนตำหนักเยี่ยงนี้!

“ไม่เป็นไร ไม่ได้มีคนร้าย เมื่อครู่ที่พวกเจ้าเห็นคงเป็นองครักษ์ที่ฝ่าบาททรงส่งมา ไม่มีอะไรแล้ว กลับไปประจำที่ได้”

“อ๋า?” พ่อบ้านร้องอุทาน อ้าปากค้างในขณะที่ทหารตบเท้ารับคำสั่งและหมุนตัววิ่งเหยาะ ๆ กลับไป ชายวัยกลางคนผู้ผ่านเรื่องแตกตื่นตกใจมาหมาด ๆ เพิ่งจะนึกได้ว่าเมื่อครู่นายท่านของตนมีแขกและบัดนี้แขกก็ไม่อยู่แล้วจริง ๆ “ท่านอ๋องไล่เขากลับไปแล้วหรือขอรับ?”

“ก็...ทำนองนั้น...กระมัง” ริมฝีปากเชิดรั้นตอบอ้ำอึ้งอย่างไม่ใคร่จะแน่ใจ เมื่อครู่นี้ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอยู่นอกเหนือการคาดคะเนของเขาโดยสิ้นเชิง เช่นนี้นับเป็นไล่คนสำเร็จแล้วหรือไม่? แต่หากฟังไม่ผิด องครักษ์เฉินทิ้งท้ายว่าพบกันใหม่พรุ่งนี้...

ดวงตาเรียวรีหรี่แคบในบัดดล คิ้วสีน้ำตาลย่นเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด หมายความว่าวันรุ่งขึ้นเจ้านั่นจะมาใหม่ ใช่จะมารายงานผลเรื่องที่เขาฝากให้ไปสืบ หรือว่าจะมายื้อขอให้เขารับเป็นองครักษ์ประจำตัวกันแน่?

ช่างเถิด หลงจวินอี้แค่นยิ้มเยาะหยัน ต่อให้มาไม้ไหนก็ไม่เป็นไร ทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินกั้น เมื่อถึงเวลานั้นค่อยคิดว่าจะทำเช่นไรต่อดี

“พรุ่งนี้เขาต้องมาอีกแน่” เจ้าตำหนักกล่าวลอย ๆ ส่วนผู้ฟังเบิกตากว้างมองเหม่อไปในม่านราตรีพลางรำพึงรำพันกับตนเอง

หมายความว่าพรุ่งนี้พวกข้าต้องเตรียมใจไว้เผื่อว่าจะสะดุ้งผวากับเงาร่างของผู้บุกรุกที่มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศอีกแล้วสินะ?

 


 

(ด้านล่างเป็นบทสนทนาสัพเพเหระค่ะ เขียนเอาขำเฉย ๆ เพื่อโม้ข้อมูลไร้สาระเพิ่มเติมซึ่งไม่ได้เขียนในตอนหลัก ขอให้ถือว่าไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องนะคะ ประมาณว่าเป็นความมโนของผู้เขียนเอง ว่าถ้าคนนี้พูดงั้น คนนั้นจะพูดยังไง 555+)

What if... (สมมติถ้า...)

-ในภายหลัง-

ท่านอ๋อง: ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักเดินดี ๆ ให้เหมือนชาวบ้านชาวช่อง? รู้ไหมว่าค่ำวานนี้ทหารยามของข้าแตกตื่นกันหมด วิ่งวุ่นให้ควั่กไปทั่วตำหนักเพราะนึกว่ามีคนร้ายบุกเข้ามา

องครักษ์: อ้อ...ขออภัยอย่างสูงพ่ะย่ะค่ะ พอดีผู้น้อยยังไม่คุ้นเส้นทางในตำหนัก จึงจำต้องกระโดดขึ้นบนหลังคาและข้ามกำแพงเพื่อประหยัดทั้งเวลาและเรี่ยวแรง

ท่านอ๋อง: …… (เจ้าเป็นพวกหลงทิศหรืออย่างไรกันฮึ!?)

ท่านอ๋อง: ห้ามทำเช่นนั้นอีกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะหักขาเจ้า!

องครักษ์: รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!

 


เชิงอรรถ

  1. ^ หวาง (หรือ หวัง) = อ๋อง | เป่ยเหอหวาง = อ๋องเป่ยเหอ หรือ อ๋องแห่งเป่ยเหอ