02 หวนเยือน

 


 

     วันถัดมาองครักษ์ประหลาดก็กลับมาเยือนตำหนักจวิ้นหลันอีกคราตามที่ลั่นวาจาไว้ ซ้ำยังเป็นเวลาพลบค่ำเหมือนเดิม ติงหรงนำทางเขาเข้ามาเช่นเคยโดยมิได้รายงานท่านอ๋องเพื่อขอความเห็นชอบก่อน ทำเอาผู้เป็นนายขมวดคิ้วข้างหนึ่งเลิกคิ้วข้างหนึ่งจ้องเขม็งอย่างกังขา แต่ไม่ได้ว่ากล่าวกระไรเนื่องจากกลัวเสียหน้าขณะมีแขก

     หลงจวินอี้วางหนังสือที่กำลังอ่านเล่นอยู่ลงบนโต๊ะเตี้ยข้างตัว ค่อย ๆ หันกายไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบก่อนแย้มปากเอ่ยเสียงเรียบ

     “เจ้ามาแล้วหรือ”

     “พ่ะย่ะค่ะ”

     “ทีหลังไม่ต้องมายามค่ำมืดดึกดื่นเช่นนี้ รบกวนเวลาพักผ่อนของข้า” เจ้าตำหนักแสร้งถอนใจอย่างเหลือระอา เบือนหน้าเชิดคางคมสันไปทางหนึ่งพลางกล่าวด้วยท่าทางปั้นปึ่ง “แล้วอย่าอุตริใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปวิ่งบนหลังคาอีกเล่า เมื่อคืนนี้เจ้าทำเอาทหารยามของข้าแตกตื่นกันหมด โกลาหลวุ่นวายยิ่งนัก”

     “พ่ะย่ะค่ะ ผู้น้อยรู้ผิดแล้ว ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษ” อีกฝ่ายตอบรับแข็งขัน ตวัดข้อมือสะบัดชายเสื้อคลุมไปข้างหนึ่งและคุกเข่าคารวะทันควัน ดวงหน้าพริ้มเพราก้มลงเล็กน้อย แพขนตายาวงอนหลุบต่ำอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว

     ท่านอ๋องลอบผงะอยู่ในหน้า ถลึงจ้ององครักษ์ท่อนไม้ผู้นั้นจนตาแทบถลน อันใดคือรู้ผิดแล้ว อันใดคือโปรดลงโทษ ก็เพียงแค่ตักเตือนมิใช่หรือ เหตุใดต้องทำราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายด้วย เขายังไม่ทันได้โมโหโทโสด้วยซ้ำเจ้าซื่อบื้อนี่กลับร้องขอโทษทัณฑ์ ถูกบ่มเพาะมาเยี่ยงไรจึงมีวิธีคิดสุดโต่งปานนั้น หากนึกว่าเจ้าตำหนักโกรธเกรี้ยวนักไฉนจึงไม่ร้องขอความเมตตาเหมือนที่คนอื่น ๆ ทำเล่า?

     คนทึ่มทื่อเยี่ยงนี้กลับพาลมีรูปโฉมบรรเจิดไม่เป็นรองใครประดับอยู่บนใบหน้า ซ้ำยังงามสะคราญยิ่งกว่าหลงจวินอี้ผู้นี้เสียอีก ไยมิใช่เสียของเปล่ายิ่งนัก! น่าเสียดาย น่าเสียดายโดยแท้!

     “เหลวไหล! ลงโทษอันใดกัน ข้าเพียงแค่บอกกล่าวให้ระวังไว้เท่านั้น เจ้าเองก็อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไป”

     “อ้อ” เฉินอวี้เจาผงกหัว ผุดลุกขึ้นยืนเรียบร้อยตามเดิม วางสีหน้าเฉยเมยมองประสานสายตาอย่างใสซื่อ นัยน์ตาสีดำขลับทอประกายแจ่มใสเฉลียวฉลาด ไม่คล้ายคนปัญญาทึบเลยแม้แต่น้อย หลงจวินอี้ขบคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ อดมิได้ต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นนวดสันจมูกอย่างจนด้วยเกล้า ถึงกับพาลปลงใจไม่ตกว่าตนควรทำเช่นไรกับบุคคลตรงหน้าดี

     “ว่าอย่างไร?” เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้นในที่สุด ช่างเถิด เขาจะรอบรู้หรือโง่เขลาก็ล้วนแต่ช่างมันเถิด สุดท้ายแล้วก็ต้องไล่ไปอยู่ดี ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องอย่างข้า “มีอันใดก็พูดมา”

     “ขอท่านอ๋องโปรดทรงรับเฉินอวี้เจาผู้นี้เป็นองครักษ์ประจำพระองค์ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

     “หา?!”

     “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ผู้น้อยติดสอยห้อยตามเพื่ออารักขาท่านอ๋อง ทว่าเมื่อวานนี้ท่านอ๋องไม่อนุญาต วันนี้ผู้น้อยจึงมาเยือนเพื่อขอประทานอนุญาตอีกคราพ่ะย่ะค่ะ”

     ผู้สูงศักดิ์เผยอปากค้าง กล้ามเนื้อรอบหางตากระตุกระริก เขาคาดหวังคำตอบจากเรื่องที่อีกฝ่ายรับปากไว้เมื่อวาน มิใช่วาจาประดานี้! เจ้าบ้านี่แม้จะเป็นองครักษ์ที่เสด็จพี่ส่งมา แต่ก็ไม่ควรผยองและทึ่มทื่อถึงขนาดเป็นฝ่ายทวงถามเรียกร้องเอาจากเขาทั้งที่มิได้มีผลงานหรือผลประโยชน์อันใดมาแลกเปลี่ยนมิใช่หรือ? ไม่เคยมีผู้ใดอบรมสั่งสอนให้รู้จักกาลเทศะบ้างหรือไร?

     “ข้าผู้เป็นอ๋องหมายถึงเรื่องที่มอบหมายให้เจ้าไปสอบถามบิดาเจ้าต่างหากเล่า คงมิใช่ว่าองครักษ์เฉินลืมเรื่องงานที่อ๋องผู้นี้สั่งไปเสียสนิทแล้วกระมัง?”

     ท่านอ๋องแห่งเป่ยเหอถึงกับงัดสรรพนามยกตนและมาดวางอำนาจข่มขวัญผู้อื่นขึ้นมาใช้ เขานั่งหลังตรงยืดเอวขึ้น เชิดคางในท่วงท่าอหังการและสง่างามที่สุดเท่าที่จะทำได้และปรายตาลงต่ำ เหลือบแลอีกฝ่ายด้วยหางตา ปลดปล่อยรังสีอำมหิตให้แผ่ออกมาจาง ๆ ขณะใช้น้ำเสียงยะเยียบเย็นชาถามอย่างเฉียบขาด ผู้ใต้บัญชาร้อยทั้งร้อยหากเผชิญกับท่าทีเยี่ยงนี้ของเขา หากมิใช่หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกก็ล้วนคอแข็งหลั่งเหงื่อกาฬท่วมร่างทั้งสิ้น

     “อ้อ” เฉินอวี้เจากลับเพียงขานรับพลางผงกศีรษะหนึ่งครา สบตาตอบพร้อมบอกกล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง มิได้สะทกสะท้านใด ๆ “เรื่องนั้นผู้น้อยไปสืบมาโดยละเอียดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

     “เช่นนั้นก็ดี ได้ความว่าอย่างไรบ้าง?” หลงจวินอี้ซ่อนความตื่นเต้นยินดีไว้ในน้ำเสียง กล่าวถามอย่างเป็นการเป็นงาน

     มิคาดเจ้าทึ่มนั่นกลับเอียงคอตีสีหน้าฉงนฉงาย กะพริบตาปริบ ๆ เสมือนเด็กน้อยไร้เดียงสา มิเพียงไม่ยอมเฉลยสิ่งที่เขาเฝ้าอยากรู้ ยังวกเข้าเรื่องเดิมย้อนถามทื่อ ๆ

     “เช่นนั้นท่านอ๋องทรงอนุญาตให้ผู้น้อยอารักขาอยู่ข้างพระองค์แล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

     “ข้าพูดเมื่อใดกัน!?” ร่างสูงเพรียวตวัดเสียงสูงขณะกระโดดผลุงลุกพรวดขึ้นยืนอย่างลืมตัว ก่อนจะนิ่วหน้ายกมือขึ้นกุมชายโครงด้านซ้าย ลมหายใจสะดุดด้วยรู้สึกเสียวปลาบในตำแหน่งที่กระดูกร้าว ทว่ายังมุมานะกัดฟันกล่าวต่อคล้ายมิได้มีสิ่งใดผิดปรกติ “เรื่องนั้นกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน”

     เฉินอวี้เจากลับสังเกตเห็นอากัปกิริยานั้นและไม่ยินดีปล่อยผ่าน ถลันกายเข้ามาประคองในฉับพลันทันใด

     จู่ ๆ ถูกเข้าประชิดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ลมหายใจของเขาจึงแทบจะสะดุดอีกครา ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอีกฝ่ายอยู่ในระยะใกล้เพียงแค่คืบ ร่างสันทัดสมส่วนนั้นดูเหมือนจะมีส่วนสูงไล่เลี่ยกันกับเขา อาจเตี้ยกว่าเพียงไม่กี่ชุ่น ทว่าคล้ายมีเนื้อมีหนังมากกว่า ลำตัวและหัวไหล่จึงดูหนากว่าเล็กน้อย ผิดกับเขาที่หากมองผิวเผินจากที่ไกลอาจถูกนิยามว่าสะโอดสะอง ด้วยรูปร่างเพรียวลมจนน้ำหนักไม่สมกับส่วนสูง แม้ช่วงบ่าจะมิได้สอบแคบ แขนขามิได้เล็กลีบ ทั้งเรือนกายยังดูเข้มแข็งมีสุขภาพดีจากการฝึกยุทธอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าไม่อาจบรรยายด้วยคำว่ามีกล้ามเนื้อหนั่นแน่นเช่นองครักษ์ผู้นี้

     ร่างนั้นทั้งปราดเปรียวและมั่นคง ยามยื่นแขนออกมาให้หลงจวินอี้เกาะพิงเพื่อพยุงน้ำหนักตัวนั้นช่างสร้างความรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ามือแข็งแกร่งสัมผัสแผ่วอย่างอ่อนโยนเอาใจใส่ ข้างหนึ่งแตะเบา ๆ กลางแผ่นหลัง อีกข้างช้อนรองใต้ข้อศอกข้างขวา ช่วยผ่อนแรงให้เขาค่อย ๆ ทรุดร่างลงนั่งอย่างปลอดภัยและไม่กระทบกระเทือนถึงอาการบาดเจ็บ

     ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์เม้มปากกลั้นอากาศไว้ไม่กล้าผ่อนออกมาในยามจำใจรับไมตรีจากฝ่ายตรงข้าม แม้มีโทสะคับข้องเต็มอกแต่กลับระบายไม่ออกเอาเสียดื้อ ๆ เนื่องจากจิตใจของเขาพลันอ่อนยวบลงเมื่อเห็นนัยน์ตาหงส์แฝงแววลึกล้ำคู่หนึ่งจ้องมองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใยกระไรปานนั้น ทั้งมุ่งมั่นขึงขังและห่วงหาอาทรอยู่ในทีราวกับเห็นเขาเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างหาที่สุดมิได้

 

     ไม่ได้ ๆ ๆ ข้าห้ามหลงกลแผนชายงามโดยเด็ดขาด ต่อให้เจ้าคนแซ่เฉินนี่น่ากินแค่ไหนก็ไม่ได้! หรือนี่เป็นเสด็จพี่จับจุดอ่อนของข้าได้ จงใจส่งองครักษ์ที่มีใบหน้าเยี่ยงนี้มารับมือกับข้าโดยเฉพาะ เพื่อก่อกวนจิตใจให้ข้าพลาดท่าจนเพลี่ยงพล้ำ?!

     เจ้านายแห่งตำหนักจวิ้นหลันร่ำร้องอยู่ในใจพลางลอบขบริมฝีปากของตนโดยแรงเพื่อเรียกสติคราหนึ่ง ผ่อนลมหายใจออกยาวเยือกอย่างโล่งใจหลังจากอีกฝ่ายถอยกลับไปยืนห่างราว ๆ สี่ห้าก้าวดังเดิม

 

     “ขอบใจเจ้า” เขาเป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้นก่อนเพราะเห็นทางนั้นเพียงทอดสายตามองนิ่งโดยไม่คิดจะกล่าวกระไร “แต่ข้ายังไม่ได้รับปากเจ้า อย่าเพิ่งคิดเองเออเองเลยเถิดไปเล่า”

     “พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์เฉินรับคำอย่างว่าง่ายเช่นเคย ก้มลงคำนับตามระเบียบ “เช่นนั้นวันรุ่งขึ้นผู้น้อยจะ…”

     “ช้าก่อน!” ฝ่ายผู้เหย้ารีบขัดจังหวะก่อนที่คู่สนทนาจะกล่าวจบ ใจหนึ่งทั้งฉุนทั้งฉิวที่พฤติกรรมของเจ้าท่อนไม้นี่ยังคงเหมือนกับเมื่อวานโดยไม่ผิดเพี้ยน อีกใจกลับขบขันจนรู้สึกเอ็นดูขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แม้ความคิดเห็นและจุดประสงค์จะสวนทางกันแต่จะอย่างไรสุดท้ายก็รังเกียจไม่ลง “เจ้าจะไปไหน?”

     “กลับเรือนองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ” ผู้แซ่เฉินตอบตามตรง เรือนองครักษ์ที่เขากล่าวถึงก็คือเรือนพักของเหล่าองครักษ์สังกัดวังหลวงที่กำลังเข้าเวรหรือรอเวลาเข้าเวร ตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานชั้นนอกเพื่อให้สะดวกแก่การเดินทางเข้าไปรายงานตัว ผลัดเปลี่ยนกะ หรือเรียกระดมกำลังเสริมในยามฉุกเฉิน

     “แล้วเรื่องที่ข้าให้ไปสืบเล่า?”

     เฉินอวี้เจาเอียงคออีกคำรบหนึ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด สักพักเมื่อเรียบเรียงคำอธิบายได้ค่อยปริปากสาธยายยาวยืด

     “บัดนี้ผู้น้อยยังมิได้รับอนุญาตจากท่านอ๋องให้เป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ ย่อมถือว่ายังมีภาระผูกพันเป็นองครักษ์ของฝ่าบาทอยู่ ตามหน้าที่ต้องอารักขาและรับคำสั่งโดยตรงจากฝ่าบาทเท่านั้น ไม่บังควรทำงานรับใช้นายอื่น จึงมิอาจรายงานสิ่งที่สืบทราบมานี้ให้ท่านอ๋องล่วงรู้ได้ นอกเสียจากว่าท่านอ๋องจะรับปากตกลงให้ผู้น้อยถวายอารักขาอยู่ข้างกายก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

     หลงจวินอวี้ฟังแล้วอึ้งตะลึง พลันรู้สึกเหนื่อยล้าประหนึ่งวิญญาณจะหลุดจากร่าง ด้วยโทสะพลุ่งพล่านตีตลบขึ้นมาระลอกหนึ่งจนแทบจุกอกโดยมิอาจระบายออกมา เพราะหากแจกแจงกันตามเหตุผลแล้ว นับว่าอีกฝ่ายกล่าวได้ถูกต้องเที่ยงตรงทุกถ้อยกระทง จึงมิอาจหาความใดมากล่าวโทษหรือใช้บันดาลโทสะโดยชอบธรรมได้ มีแต่ต้องนั่งนิ่งเงยหน้าเหม่อมององครักษ์ท่อนไม้ที่กล่าววาจาประดานั้นออกมาทั้งสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่คล้ายล้อเล่นและไม่คล้ายจงใจวาดลวดลายก่อกวนอันใด เพียงชี้แจงโดยสัตย์ซื่ออย่างยิ่ง จริงจังอย่างยิ่ง และยึดมั่นอย่างยิ่ง

     ผู้สูงศักดิ์ถอนหายใจหนัก ๆ หนึ่งคราด้วยนึกอนาถตนเองขึ้นมาเหลือสติกำลัง อ๋องแห่งเป่ยเหอผู้มากแผนการแล้วอย่างไร แม่ทัพชายแดนเหนือผู้ไร้พ่ายแล้วอย่างไร เจ้าของสมญาจิ้งจอกร้อยเล่ห์แสนกลอย่างเขาเมื่อเจอมนุษย์ท่อนไม้แข็งทื่อตนหนึ่งกลับไม่มีปัญญาจัดการกระไรได้ ถึงกับรู้สึกอับจนปัญญาและวาจาขึ้นมาชนิดที่ไม่เคยประสบมาก่อนเลยเทียว

     หรือว่านี่คือกงเกวียนกำเกวียน? ชั่วชีวิตนี้เขาใช้เหลี่ยมคูแพรวพราวยอกย้อนก่อกวนผู้อื่นให้วิงเวียนสมองแทบบวม มีโทสะอัดอกจนพานจะกระอักเลือดมามากเกินไปหรืออย่างไร บัดนี้สวรรค์—หรือกล่าวให้ถูกคือโอรสสวรรค์—จึงประทานคู่ปรับเยี่ยงนี้มาสั่งสอนให้เขาได้รับรู้รสชาติเดียวกันนั้นบ้าง

     ยิ่งพิศดูฝ่ายตรงข้ามซึ่งยืนทำหน้าซื่อกะพริบตาปริบ ๆ คล้ายไม่รู้อีโหน่อีเหน่อันใดแล้วก็ยิ่งหนักใจ เขาผู้นี้เดิมทีก็มิได้มีเจตนามุ่งร้ายมิใช่หรือ? เพียงแค่เป็นบริวารอันแสนซื่อสัตย์ภักดีของพระจักรพรรดิ เมื่อรับคำสั่งมาย่อมต้องปฏิบัติตามให้ลุล่วง ไม่แน่ว่าเบื้องหลังอาจมีความลำบากใจใดซุกซ่อนอยู่? พระบัญชาขององค์เหนือหัวย่อมไม่มีผู้ใดขัดได้ แม้แต่พระอนุชาที่เอาแต่ใจเหลือรับอย่างเขาเองก็เถิด หากฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้วมีพระบัญชาออกมาก็มิอาจไม่ยอมตามพระประสงค์

 

     คิดดูเอาเองก็แล้วกัน การศึกครั้งล่าสุดที่ชายแดนเหนือนั้นก็เป็นตัวอย่างที่ชัดแจ้งอยู่ในตัว เมื่อสงครามระลอกหนึ่งปะทุขึ้น กว่าแม่ทัพใหญ่น้อยแห่งแคว้นอี้จะรวบรวมกำลังพลแลเสบียงทัพ ตระเตรียมยุทโธปกรณ์ สอดแนมและหยั่งกำลังข้าศึกเพื่ออ่านแนวบัญชาการรบ ศึกษารูปแบบเดินทัพของอีกฝ่ายให้แน่ชัดและสำรวจชัยภูมิเพื่อวางกลยุทธ์ ทั้งซักซ้อมกลศึกและฝึกทหารให้พร้อมรบ จนกระทั่งเปิดฉากสัประยุทธ์ ค่อย ๆ ชิงชัยไปตามลำดับจนฝ่ายตนมีเปรียบ รุกคืบบุกทะลวงทัพศัตรูเพื่อกำจัดหรือสยบแม่ทัพฝ่ายนั้นและปราบสงครามให้สงบราบคาบลง ตีต้านจนคู่รบถอนทัพกลับไปให้พ้นชายแดน โดยมากมักกินเวลาห้าหกเดือนเป็นอย่างต่ำ

     แต่ในยามที่ฝ่ายศัตรูเพิ่งจะส่งแม่ทัพคนใหม่มาลงสนามแทนคนก่อนที่พ่ายแพ้ไปเมื่อกลางปี ยังไม่ทันได้เปิดศึกหยั่งเชิงกันแม้แต่คราเดียว เสด็จพี่กลับส่งโองการลับมาเร่งรัดให้เขารีบปิดฉากสงครามและกลับเมืองหลวงโดยไว

     เหตุผลเล่า?

     แม้เนื้อความจะเอ่ยอ้างสารพัดสารพันเหตุผล ทั้งด้านการคลัง การเสบียง ทั้งความเหนื่อยล้าของพลทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ชายแดนและคุมเชิงอริราชศัตรูมานานนับเจ็ดปีและเหมันตฤดูที่กำลังใกล้เข้ามา ทั้งกล่าวว่าลมหิมะจะขัดขวางเส้นทางเดินทัพและการขนส่ง ไม่เอื้ออำนวยต่อการส่งเสบียง ยุทโธปกรณ์และกองหนุน ทว่าไม่ว่าจะชักแม่น้ำทั้งห้าอย่างไรสุดท้ายก็มารวมกันอยู่ที่สายเดียว

     นั่นคือต้องการให้พระอนุชาเร่งเดินทางกลับวังเพื่อร่วมงานฉลองราชสมภพเจ็ดชันษาขององค์ชายพระราชโอรส

     ใช่แล้ว ฝ่าบาทพร่ำรำพันเรื่องอุปสรรคและข้อเสียนานาประการของการปล่อยศึกสงคราม—ซึ่งยืดเยื้อมานานเจ็ดปีแล้ว—ให้เนิ่นนานออกไปอีกแม้เพียงสามสี่เดือน แต่สุดท้ายก็วนมาตัดพ้อน้อยอกน้อยใจที่อ๋องแห่งเป่ยเหอไม่เคยกลับเมืองหลวงไปร่วมฉลองวันเกิดกับหลานชายหัวแก้วหัวแหวนเลย

     แม้ส่วนหนึ่งของการตัดสินพระทัยเช่นนี้จะเกิดจากการที่เขาเคยเขียนรายงานทางทหารกลับไปเสียยืดยาวพร้อมปิดท้ายว่าแคว้นเฉียวกำลังจนตรอก ทรัพยากรร่อยหรอในทุกด้านและแผ่วแรงลงมากคล้ายสู้จนสุดล้าแล้ว หากฝ่ายนั้นยังดื้อรั้นไม่ยอมถอยทัพ ดึงดันจะรุกรานข้ามแดนเข้ามายึดหัวเมืองเป่ยเหออีก เมื่อเปิดศึกคราต่อไปย่อมมีเพียงต้องทุ่มแทงหมดหน้าตักทั้งที่เสียเปรียบ ยอมเสี่ยงสู้ตายแลกชีวิตด้วยการดาหน้ากันเข้ามาดุจแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเท่านั้น ทั้งนี้หากทัพพิทักษ์ชายแดนสามารถยืนหยัดต้านทานและโค่นกองกำลังข้าศึกระลอกสุดท้ายลงได้ ชัยชนะเด็ดขาดก็อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม

     และแม้เหตุผลที่เป็นใจความหลักของคำสั่งจะไร้แก่นสารหรือยิบย่อยกระจิริดเพียงใด ปัญหาด้านดินฟ้าอากาศ เสบียงและการเดินทางกลับมีมูลความจริง และเขาก็ขัดพระประสงค์มิได้ สุดท้ายจึงจำต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตาม เร่งรัดการศึกให้ย่นเวลาลง ใช้กลยุทธ์มุทะลุถึงขั้นเสี่ยงภัยอย่างร้ายกาจหวาดเสียว นำยอดฝีมือคู่ใจจำนวนเพียงหยิบมือแทรกซึมปลอมปนเข้าไปในกองทหารฝ่ายศัตรูเพื่อลอบตัดศีรษะของแม่ทัพฝ่ายนั้น เผาค่ายปล้นเสบียง ทำลายกำลังขวัญของข้าศึกและบุกทะลวงจากด้านในออกมาสมทบกับเหล่าทหารหาญในทัพหลักของตน ตีประกบจากทั้งสองด้านสร้างความโกลาหลทีเผลอจนฉวยชัยชนะไว้ได้ในที่สุด นับว่าตรากตรำกรำศึกอย่างหนักเหลือคณาภายในช่วงเวลาสั้น ๆ พี่น้องทั้งกองทัพล้วนเหนื่อยสายตัวแทบขาด แม้แต่แม่ทัพเป่ยเหออย่างเขาเองเมื่อเสร็จศึกแล้วยังแทบจะนอนพักจำศีลสามวันรวด ปล่อยให้แม่ทัพใหญ่ตัวจริง—แค่ก ๆ—ปล่อยให้รองแม่ทัพอาวุโสผู้มากประสบการณ์จัดการธุระแทบทุกอย่างแทน

     ด้วยโองการลับเพียงฉบับเดียวจากองค์เหนือหัวก็ทำให้เขาผู้เป็นถึงท่านอ๋องซ้ำยังรั้งตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรวบรัดศึกที่ควรยาวหกเดือนให้เหลือเพียงสองเดือนจนสำเร็จ แล้วนับประสาอะไรกับราชองครักษ์คนหนึ่งซึ่งมิได้มียศฐาบรรดาศักดิ์พิเศษใด ๆ กันเล่า?

 

     “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้ากลับไปก่อนเถิด” หลังจากครุ่นคิดเงียบเชียบอยู่เนิ่นนานเขาก็กล่าวเสียงแผ่วอย่างท้อแท้ขึ้นในที่สุด เร่งตัดบทไล่แขกเสียดื้อ ๆ ด้วยกลัวใจตนเองว่าจะพ่ายแพ้แก่สิ่งยั่วยุตรงหน้ารวมทั้งแรงกดดันจากปัจจัยแวดล้อมรอบด้านจนยอมพลั้งปากตอบตกลงไปโดยปราศจากสติยั้งคิด ใช่ เขาต้องยึดมั่นในทางเลือกของตนเอง จะตอบตกลงเพียงเพราะเห็นแก่ผู้อื่นไม่ได้ เพราะคนที่จะเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลังก็มีเพียงเขาเท่านั้น ไม่มีผู้ใดแบกรับแทนได้

     “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นท่านอ๋องถนอมตัวด้วย พรุ่งนี้ผู้น้อยจะมาในยามกลางวัน”

     เขากล่าวอำลาพลางคารวะอย่างอ้อยอิ่งคล้ายไม่ยินดีตัดใจลาจาก ทว่าในที่สุดก็หมุนกายก้าวออกไปพ้นเรือน ครานี้ถึงกับเดินย่ำตามพื้นไปอย่างธรรมดา นับว่าที่แท้แล้วก็เป็นผู้สั่งสอนได้ ทั้งรู้จักเชื่อฟังและว่าง่ายคนหนึ่ง แต่หลงจวินอี้กลับยิ่งรู้สึกสับสน ขบคิดไม่แตกว่าไฉนตนจึงรู้สึกสังหรณ์ราวกับที่แท้เบื้องหลังหน้ากากนั้นองครักษ์เฉินมีอุปนิสัยดึงดันดื้อรั้นดุจโคถึกกันเล่า?

     เป็นเพราะทีท่าบากบั่นไม่ย่อท้อแม้ถูกปฏิเสธซ้ำ ๆ นั้นหรือ? เป็นเพราะนิสัยเคร่งครัดไม่ยอมละเมิดหลักการและกฎเกณฑ์นั้นหรือ? ไม่แน่อาจเป็นเพราะแววตากระจ่างใสเฉลียวฉลาดที่ฉายแววมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้คู่นั้นกระมัง?

     แม่ทัพนอกราชการทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้มเหลือแสน เป็นเช่นนี้แล้ววันรุ่งขึ้นจะต้านรับศึกหนักนี้อย่างไรดีหนอ?

 


 

What if... (สมมติถ้า...)

     -ภายหลัง-

ท่านอ๋อง: ลุงหรง ไฉนพาเขาเข้ามาโดยไม่บอกกล่าวแก่ข้าก่อนเล่า? วันนี้ข้ายังไม่ได้บอกว่าจะให้เขาเข้าพบเสียหน่อย

พ่อบ้าน: แต่เมื่อคืนท่านอ๋องกล่าวว่าเขาจะมาอีกมิใช่หรือขอรับ? ข้าก็นึกว่าพวกท่านนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าน่ะซี

ท่านอ๋อง: …….... (หน้าคว่ำ) เออ ๆ ๆ ก็ได้ เป็นความผิดข้าเอง