TW : การกลั่นแกล้ง ทำร้ายร่างกายกับจิตใจ / การใช้คำพูดวิพากษ์วิจารณ์รูปร่างของคนอื่น / การใช้กำลังบังคับผู้อื่น / มีการใช้ความรุนแรง

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

 

"ย้ายที่นั่งเหรอ? ทำไมวะ?"

"ไม่รู้ดิ เห็นพวกไอ้ปริมไม่ตั้งใจเรียนมั้ง 'จารย์เลยใช้ให้เปลี่ยนที่นั่ง แต่ถ้าจะเปลี่ยนแค่กลุ่มพวกมันกลุ่มเดียวเดี๋ยวได้โวยวายน่ารำคาญไง ก็เลยเปลี่ยนทั้งห้องจะได้แฟร์ ๆ "

ฉันนั่งฟังนุ่นอธิบายเรื่องราวทั้งหมดจนเข้าใจ ว่าทำไมที่นั่งเดิมของฉันคือแถวสุดท้ายฝั่งประตูหลังห้อง ถูกโยกย้ายมาอยู่ริมฝั่งหน้าต่างหลังห้องเรียนแทน คาบโฮมรูมในตอนนี้มีแต่ความวุ่นวาย เพราะทุกคนในห้องต่างเปลี่ยนที่นั่งกันจ้าละหวั่น เป็นเพราะคำสั่งของอาจารย์ธีภพ อาจารย์ประจำชั้นของเรา 

ก็เป็นอย่างที่นุ่นเล่า ปริม หัวโจกประจำห้องทำหน้าไม่สบอารมณ์พร้อมทั้งทำปากบ่นอุบอิบ เมื่อเขาโดนอาจารย์สั่งให้เปลี่ยนที่นั่งมายังแถวหน้าสุด ชนิดที่ว่าอยู่ใกล้ชิดกับอาจารย์เอามาก จะแอบกินขนมแอบงีบหรือแอบทำอะไรก็ไม่รอดไปจากสายตาของอาจารย์ ปริมได้นั่งตรงกลาง ขนาบข้างด้วยฝาแฝดที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาทั้งสองคน ก็โดนกันทั้งแก๊งนั่นแหละ ตอนแรกอาจารย์ก็จะให้เด็กเรียนมานั่งข้าง ๆ ด้วยกันแทนนะ เพื่อจะได้เป็นการกดดันปริมกลาย ๆ ให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ แต่ดูทรงแล้วก็ไม่น่ารอด เขาคงได้แกล้งเด็กที่ตั้งใจเรียนจนอยู่ไม่สุขแน่ สุดท้ายก็ลงเอยกันทั้งหมดแบบนั้น

ทำไมฉันถึงเล่าเรื่องของเขาซะยืดยาวแบบนั้นน่ะเหรอ ไม่มีอะไรหรอก ก็ที่นั่งริมฝั่งหน้าต่างท้ายสุดที่ฉันได้นั่งในตอนนี้ เป็นที่นั่งเดิมของปริมและกลุ่มเพื่อนของเขาไง พูดง่าย ๆ ว่ามันเป็นทำเลทองสำหรับพวกหัวโจกกัน ฝั่งหน้าต่างทั้งแถวที่คนในห้องจำพวกเฮ้ว ๆ ยึดที่นั่งกัน ตอนนี้โดนสั่งโยกย้ายให้ไปนั่งหน้าห้องกับแถวกลาง และแถวริมฝั่งประตูทั้งหมด พวกที่ตั้งใจเรียนกับที่ปกติไม่ได้โดดเด่นอะไรอย่างฉันก็ได้นั่งแถวริมหน้าต่างไปจนได้ 

ฉัน, คนที่สูงแค่ 155 เซนติเมตร กลับได้นั่งแถวท้ายสุด เพราะพวกเด็กเรียนขอแถวหน้าสุดไว้แล้วน่ะ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไรขนาดนั้นก็ยกที่ให้พวกเขาไป ข้อดีของคนตัวเล็กที่นั่งท้ายแถวแบบฉันก็คืออาจารย์ไม่ค่อยเห็นเท่าไหร่ ถ้าหากไม่ตั้งใจสังเกต ส่วนข้อเสียคือฉันเตี้ยไง หัวเพื่อนบังกระดานหมด แต่ก็ดีที่เก้ากับนุ่นนั่งด้วยกันอยู่ข้างหน้าฉันนี่เอง ไม่เข้าใจเนื้อหาตรงไหนก็ถามได้ตลอด

ฉันได้นั่งคนเดียว โต๊ะข้าง ๆ ว่างเพราะห้องเราเพิ่งมีคนลาออกไปแล้วน่ะ เพิ่งเปิดเทอมม.1 ไม่นานเท่าไหร่เอง ก็มีคนลาออกไปซะแล้ว 

"กูอยากไปนั่งข้างมึงอะอิมมมมม"

นุ่นหันหลังมางอแงใส่ฉันหลังจากที่หมดวิชาสุดท้ายของคาบเช้า ฉันยิ้มอ่อน ๆ ให้ เพราะเสียงของเก้าที่เอ่ยออกมาทำให้ขัดใจนุ่นอีกแล้ว

"ลืมไปแล้วหรือไง ว่าที่นั่งข้างอิม อาจารย์ไม่ให้ใครนั่ง"

"มึงจะย้ำกูทำเพื่อ?"

ก็อย่างที่เก้าบอก ที่นั่งข้างฉันมันว่าง เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งลาออกไป อาจารย์ธีภพเลยสั่งคำสั่งไว้เด็ดขาดว่าห้ามใครย้ายที่มานั่งข้างฉันจนกว่าจะจบม.1 ไม่ใช่ว่าอาจารย์ตั้งใจจะลงโทษฉันหรือเพราะอะไร แต่เป็นเพราะที่นั่งมันเหมาะแก่การงีบหลับไม่ตั้งใจเรียนเสียเหลือเกินไง อาจารย์เลยไม่อยากให้ใครหน้าไหนได้นั่งทั้งนั้น ส่วนฉันก็แค่เศษเหลือที่ได้นั่งตรงนี้ก็เท่านั้น อาจารย์ธีภพก็คงเห็นว่าฉันไม่ได้เป็นเด็กทำตัวเกเรอะไร ก็เลยละไว้ในฐานะที่เข้าใจ

"แล้วพวกปริมมันมาหาเรื่องบ้างมั้ย?"

"ก็ไม่นะ แต่มีแค่หันมามองบ้าง"

ตลอดช่วงเช้าตั้งแต่ที่ย้ายที่นั่งเสร็จเรียบร้อย ฉันก็สังเกตเห็นและรู้สึกอยู่ตลอดว่าพวกของปริมหันมามองฉันที่นั่งหลังห้องอยู่เนือง ๆ คือฉันก็ไม่รู้ว่าปริมโกรธที่ฉันได้นั่งตรงนี้หรือเปล่า แต่พวกเขาก็ขึ้นม.1 กันแล้วนะ ไม่ใช่อยู่ชั้นประถมที่คอยมาแย่งมาจองกันอยู่ว่าตรงนี้ที่ของฉัน ตรงนั้นที่ของฉัน แม่งนั่งตรงไหนได้ก็นั่งไปเหอะ แล้วที่โดนย้ายที่นั่งเพราะทำตัวเองไม่ใช่เหรอไง บอกตรง ๆ เลยนะ ว่าถ้าพวกนั้นหาเรื่องแกล้งฉันเพียงเพราะฉันนั่งหลังห้อง ฉันจัดการต่อยให้หน้าหงายเลยคอยดู ถึงฉันจะตัวเล็ก แต่พ่อของฉันก็สอนมวยให้กับฉันนะเว้ย!

"เอาข้าวกันมาแล้วใช่มั้ย?" เก้าถามพลางมองเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาข้อมือของเขา ก่อนที่จะก้มหยิบกล่องข้าวออกมาจากใต้โต๊ะเรียนของเขาเอง

"เอามา ๆ " ฉันขานรับและหยิบกล่องข้าวของตัวเองขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ นุ่นมองซ้ายมองขวาทีก่อนที่จะรีบหยิบกล่องข้าวแล้วพาตัวเองมานั่งตรงที่นั่งข้างฉันเรียบร้อย ก็อย่างที่เรจินาจากหนังเรื่อง Mean girl เคยบอก กฎมันไม่ตายตัวหรอกน่า 

นุ่นแค่เสนอมาเมื่อวันก่อนว่าอยากลองพกข้าวกล่องมากินด้วยกันเองบนห้อง เพราะเธอเจอกับแถวที่ยาวเหยียดของตอนพักเที่ยงเข้าให้ จึงทำให้นุ่นไม่อยากไปยืนรอต่อแถวให้เสียเวลา ซึ่งฉันกับเก้าก็ตามใจนุ่นน่ะนะ 

แต่ขนาดพกกล่องข้าวเที่ยงมาเอง นุ่นก็ยังแอบบ่นอุบอิบว่าขี้เกียจตื่นเช้าบ้าง ขี้เกียจล้างกล่องข้าวบ้าง แน่นอนว่าโดนเก้าบ่นไปโดยปริยาย แล้วสองคนนี้ก็ทะเลาะกันอีกรอบ ฉันชินละ เดี๋ยวก็หยุดกันไปเอง 

แต่แบบนี้ฉันก็มีความสุขดีนะ :)

 

 

"จะลงไปข้างล่างมั้ย?"

"ไม่อะ ขี้เกียจแล้ว ฝากซื้อโค้กให้ที"

ฉันปฏิเสธนุ่นกับเก้าพลางยืดแขนฟุบหน้านอนลงบนโต๊ะ ท้องฉันป่องเพราะเพิ่งกินข้าวอิ่มไปหยก ๆ หนังตาก็หย่อนหนักมากเลยด้วย 

"ขอนอนแป๊บนึง ขึ้นมาแล้วช่วยปลุกทีนะ" ฉันกล่าวด้วยเสียงงัวเงียในขณะที่เปลือกตาปิดลงแล้ว นุ่นขานรับตกลงก่อนที่จะชวนเก้าไปด้วยกัน เพียงไม่นานหลังจากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง เสียงเซ็งแซ่จากผู้คนที่อยู่ด้านล่างดังเข้าหูเรื่อย ๆ สติของฉันใกล้ดับลงในทุกขณะ ลมพัดเอื่อย ๆ ที่เข้ามาในห้องค่อย ๆ กล่อมฉันให้หลับลึกอย่างรวดเร็ว 

แต่ทว่า เหมือนใครบางคนไม่อยากให้ฉันได้นอนหลับไปเสียก่อน

...

ตอนนี้ฉันกำลังนอนแบบหน้าหันข้าง และฉันก็รู้สึกถึง... ปลายนิ้วของใครบางคนกำลังเกลี่ยปอยผมกับผมหน้าม้าของฉันอยู่

และฉันก็ลืมตาไม่ได้ 

ไม่รู้ทำไมฉันถึงลืมตาขึ้นมามองไม่ได้ ฉันพยายามลองดูแล้ว หนักเข้าร่างกายของฉันขยับไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน และสัมผัสปลายนิ้วปริศนานั่นก็ยังคงเกลี่ยปอยผมหน้าม้าของฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันทั้งกลัวทั้งอยากรู้ แต่เพราะอาการขยับตัวไม่ได้นี่พานทำให้ใจของฉันเต้นรัว

เป็นคน?... หรือผี?

หรือว่าเป็นเขา?

ตอนนี้สติของฉันกลับมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉันทั้งพยายามลืมตา พยายามขยับตัว พยายามแม้กระทั่งรวบรวมเสียงทั้งหมดมาที่คอเพื่อที่จะได้ร้องออกมาดัง ๆ ถ้ามีโอกาสทำ แต่ทั้งหมดนั่นฉันก็ได้แค่คิด เพราะแค่ขมวดคิ้วก็ยังทำไม่ได้เลย! 

มีการจิ้มปลายจมูกของฉันด้วย อะไรวะเนี่ย เล่นแบบนี้ฉันไม่ตลกด้วยนะ ถ้าหากเป็นผู้ชายคนนั้นเป็นคนทำจริง ๆ ฉันก็ไม่ชอบหรอก ไอ้การมาทำให้ฉันขยับตัวไม่ได้อย่างกับถูกผีอำแบบนี้ เป็นอะไรที่ฉันรู้สึกแย่เอามาก ๆ 

เขาว่ากันว่าไงแล้วนะเวลาถูกผีอำ โอ๊ย ฉันนึกอะไรไม่ออกเลยในตอนนี้ ฉันควรทำยังไงล่ะ สวดมนต์เหรอ? ไม่อยากจะบอกเลย แต่บทสวดมนต์ที่สวดตอนเข้าแถวทุกวันนั้นฉันลืมมันไปหมดแล้ว ถึงแม้ว่าฉันยืนสวดทุกวันจริง แต่ฉันก็แค่ยืนพนมมือเหม่อมองไปเรื่อย ไม่ได้ใส่ใจจะท่องจำอะไรทั้งนั้น ฮือ ทีหลังฉันจะตั้งใจสวดมนต์เลย

เอ่อ จากตอนแรกที่จิ้มปลายจมูก ตอนนี้เปลี่ยนมาบีบปลายจมูกแบบเบา ๆ แล้ว เล่นอะไรเนี่ย พอทีเถอะ! 

ตึง!

ฉันสะดุ้งตกใจจนเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงอย่างรวดเร็ว แต่คงเพราะฉันลืมตาตื่นอย่างไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้ฉันรู้สึกเวียนหัวจนแทบจะฟุบหัวลงนอนอีกครั้ง แต่เพียงไม่นานอาการเหล่านั้นก็หายไป เมื่อฉันมองหาต้นตอของเสียงดังที่ปลุกให้ฉันตื่นจากอาการถูกอำได้ ฉันก็รับรู้ได้ทันทีว่ามันกำลังจะมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับฉันในอีกไม่นานนี้

ปริมยืนเอามือข้างหนึ่งค้ำบนโต๊ะต้องห้ามที่อาจารย์ไม่อนุญาตให้เขานั่ง สายตาของเขาจ้องเขม็งมองมาที่ฉันอย่างไม่เป็นมิตร ขนาบข้างของเขาก็มีลูกสมุนยืนกอดทำหน้าตาชวนหาเรื่อง

ฉันลองส่งสายตามองรอบห้อง แต่ก็ไม่มีใครคนอื่นอยู่ในห้องเรียนด้วยกันกับฉันเลย นอกจากสามคนนี้ แล้วประตูห้องเรียนก็ปิดไว้ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ นี่ไอ้พวกบ้ามันไปเรียนรู้วิธีการอะไรแบบนี้มาจากไหนกันนะ

เมื่อไหร่เก้ากับนุ่นจะกลับมา ฉันไม่อยากอยู่ลำพังกับปริมแล้วก็พวกของเขาเลยจริง ๆ 

"ไง สบายมั้ย? ที่ได้นั่งที่ของคนอื่นอะ"

ปริมพูดพร้อมทั้งลากเก้าอี้ว่างมารองรับร่างของตัวเองที่หย่อนตัวลงนั่ง ส่วนเพื่อนของริมทั้งสองคนก็เปลี่ยนตำแหน่งมายืนฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะเรียนของฉัน เป็นอันว่าในตอนนี้พวกเขาล้อมดักฉันไว้สมบูรณ์ จะหนีออกไปก็ทำได้ยากมาก แค่คิดจะหนีก็ทำไม่ได้เลย ถึงแม้ว่าพวกปริมจะอายุ 13 ปีเท่าเทียมกับฉัน แต่รูปร่างของปริมสูงใหญ่ เพราะเขาเป็นนักกีฬาตะกร้อชื่อดังจากโรงเรียนเก่า ส่วนเพื่อนของปริมทั้งสองคนก็เป็นเด็กฝาแฝดรูปร่างอ้วนที่ต่างคนต่างยืนดื่มน้ำโค้กจากขวดอย่างสบายใจ มายืนล้อมฉันแบบนี้ก็ไม่ต่างจากโบกปูนสร้างกำแพงมาขังฉันเลยสักนิด!

"ทำบ้าอะไรวะปริม?"

"คนเขาถามดี ๆ พูดดี ๆ ไม่เป็นหรือไง"

"แล้วเล่นปิดประตูแถมยังหาเรื่องแบบนี้ ใครมันอยากจะไปคุยด้วย?" ฉันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหลืออด "ที่นั่งของคนอื่นอะไรกัน อาจารย์ก็แบ่งที่ให้เรียบร้อยแล้ว ได้ที่ตรงไหนก็นั่งตรงนั้นไปดิ"

ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องมาเถียงฉอด ๆ กับปริมด้วยเรื่องเล็ก ๆ แบบนี้ แต่คงเป็นเพราะความโกรธที่ฉันมีในตอนนี้ ฉันจึงอยากทำอะไรสักอย่าง ให้เขาเลิกทำตัวโง่เง่าใส่ฉันสักที

"โต ๆ กันแล้ว แยกแยะบ้างเหอะว่าอะไรควรไม่ควร"

"ก็กูไม่นั่ง! มึงจะทำไม?"

ปริมตะคอกกลับเสียงดังจนฉันตกใจ แล้วจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเตะเก้าอี้ที่เคยนั่งกระเด็นไปไกล เขามองฉันด้วยสายตาอาฆาตก่อนที่จะจับเข้าที่ต้นแขนข้างขวาของฉัน ออกแรงนิ้วหัวแม่มือกดลงไปอย่างแรง

"โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย..." เสียงฉันเบาลงอย่างที่ไม่ควรเบา เพราะความเจ็บปวดที่ฉันได้รับทำให้ฉันไม่เหลือแรงที่จะตะโกน ไม่รู้ว่าปริมจงใจกดตรงจุดเส้นประสาทตรงไหน ฉันถึงได้รู้สึกเจ็บเหมือนแขนจะหักแบบนี้ ฉันพยายามผลัก ต่อย หรือหยิกมือของปริมที่จิกแขนของฉันให้เขาได้รู้สึกเจ็บบ้าง แต่ที่ฉันได้รับกลับมาคือสีหน้ายิ้มเยาะของเขา กับน้ำตาของฉันเองที่เอ่อล้นออกมาจนไหลรดข้างแก้ม 

"ปริม... ปล่อย... เราเจ็บ... เรายอมย้ายที่ก็ได้"

"พูดดี ๆ แบบนี้ก็จบแล้ว" ปริมกล่าว แต่เขาก็ยังไม่เอามือของเขาออกไปจากแขนของฉันสักที "เฮ้ย เอาโค้กมาให้กู"

"เอาของใคร?" สองแฝดถามออกมาพร้อมเพรียงกัน

"ของใครก็เอามาให้กูเหอะ!" ปริมกล่าวอย่างเหลืออดก่อนที่จะกระชากขวดน้ำโค้กจากมือของหนึ่งในสองแฝด เมื่อเขาได้มาก็หันมาส่งรอยยิ้มให้กับฉัน 

"เราให้นะอิม กินเยอะ ๆ จะได้ไม่เป็นอีเตี้ยม่อต้อแบบนี้ แดกเข้าไปเยอะ ๆ เลยนะ"

ปริมพูดจบ ก็ยกขวดโค้กให้สูงเหนือหัวของฉัน ก่อนที่จะเทให้น้ำโค้กรดลงบนหัวของฉันอย่างจงใจ ฉันพยายามยกมือมาบังหัวตัวเอง แต่ทว่าหนึ่งในสองแฝดอ้วนนั่นมาจับข้อมือของฉันออกไป แถมส่งเสียงเชียร์สนุกสนาน ราวกับเป็นเรื่องราวที่สนุกที่สุดในชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ฉันเกลียดพวกเขาเข้ากระดูกดำ ถ้าในตอนนี้จู่ ๆ พวกเขาหัวใจวายตายต่อหน้าฉัน ฉันก็จะมีความสุขที่สุดในชีวิตนี้เลยก็ได้ แต่ตอนนี้จะมีใครมาช่วยฉันได้ล่ะ?

"เป็นไง? สูงขึ้นบ้างรึยัง?" ปริมพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า พร้อมทั้งเอาขวดเปล่ามาเคาะหัวของฉันสามครั้ง ก่อนที่จะโยนมันออกไปอย่างไม่ใส่ใจ "เฮ้ย เอามาอีกขวดดิ"

"กูซื้อมาแดกนะไอ้ปริม" แฝดอีกคนที่ถือขวดน้ำโค้กปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็แพ้แรงบังคับของปริมอยู่ดี เมื่อได้มาสมใจอยาก เขาก็ยกขวดน้ำโค้ก เล็งมาที่หัวของฉันอีกครั้ง ฉันหลับตาลงอย่างยอมแพ้ เพราะรู้ว่าสุดท้าย ต่อให้ฉันสู้ไปก็ไม่ได้อะไรกลับมา 

"เฮ้ย! ทำไมกูขยับไม่ได้วะ!?" เสียงร้องตกใจของปริมทำให้ฉันลืมตาขึ้นมามอง ก็เห็นว่าเขายังคงยกแขนค้างอยู่ในท่าเดิม ร่างกายของปริมขยับเขยื้อนได้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้อมือของปริมถึงได้คลับคล้ายคลับคลาว่าถูกตรึงกับอากาศหรือวัตถุอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ปริมละมือที่จับแขนของฉันออกและมาดึงข้อมือที่ค้างอากาศของเขาเอง 

"เฮ้ย! มึงมาช่วยกูดิวะ" ปริมหันไปตะโกนเรียกสองฝาแฝดที่กำลังจะตั้งท่าหนี แต่ฉันก็ต้องตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เมื่อสองฝาแฝดนั่นมีท่าทีเหมือนกำลังถูกบีบคอพร้อมกัน ดวงตาของทั้งคู่เหลือกมองข้างบน ร่างของฝาแฝดขยับเพียงสองสามครั้งก่อนที่จะล้มตัวลงนอนบนพื้น ทั้งฉันทั้งปริมต่างมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกตะลึง แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่าเหตุการณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นกับปริม

มือของปริมที่ยังจับขวดน้ำโค้กไว้เหมือนเดิมนั่น ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนทิศทางไปยังปากของเขาเอง และปากของเขาก็เปิดกว้างอย่างฝืนกระทำ ก่อนที่ปริมจะจับปากขวดน้ำให้เข้าไปในปากของเขาทั้งแบบนั้น เสียงกลืนน้ำดังออกมาชัดเจน และถึงแม้ว่าปริมจะกลืนน้ำอัดลมทั้งหมดลงคอแล้ว แต่ทว่าปริมยังคงยัดขวดเปล่าไว้ในปากของเขาเหมือนเดิม สายตาของเขาเบิกกว้างอย่างหวาดกลัว อีกทั้งยังส่งสายตาขอความช่วยเหลือมายังฉัน

"อ้วย....อ้วย.... อ่อกก"

ปริมพยายามยื่นมือมาคว้าร่างกายของฉันอีกครั้ง แต่ทว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงร่างของเขาให้ถอยห่างออกไปอย่างรุนแรง ร่างของปริมล้มหงายหลังหัวฟาดพื้นเสียงดังก้อง แต่เขายังคงมีสติอยู่ ยังคงส่งเสียงร้องฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาให้ได้ยิน และมือของเขายังคงจับขวดเปล่ายัดปากตัวเองไม่เปลี่ยนท่าอื่น 

สิ่งที่ฉันทำคือได้แต่นั่งนิ่งด้วยความตกตะลึง ฉันทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้แต่ยกสองเข่ามาชิดอกตัวเอง นั่งเอามือปิดหูแล้วหลับตาด้วยความหวาดกลัว ฉันไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ฉันไม่อยากมองเห็นอะไรอีก เมื่อไหร่เก้ากับนุ่นจะมา เมื่อไหร่ทุกอย่างจะจบลงสักที 

"อิม!! อิม!!"

เสียงของนุ่นกับเก้าดังเข้ามาในหูของฉัน เมื่อฉันลืมตาขึ้นมา ก็มองเห็นว่าทั้งคู่วิ่งมาหาฉันด้วยสีหน้าวิตกกังวล 

"ทำไมมึงตัวเปียกแบบนี้วะอิม!? ไอ้เหี้ยปริมมันทำมึงเหรอวะ?" นุ่นมองสภาพร่างกายของฉันด้วยสีหน้าเจ็บปวดพร้อมทั้งหันหน้าไปหาปริมที่นอนสลบไปแล้ว เธอทำท่าจะพุ่งเข้าไปกระทืบปริมอีกครั้ง แต่ว่าฉันก็จับรั้งข้อมือของนุ่นเอาไว้ก่อน 

"ฮึก... ฮือ...."

ฉันโอบกอดรอบเอวของนุ่น และร้องไห้ออกมาอย่างที่ไม่อายสายตาของคนอื่น ๆ ในห้องที่ทยอยเข้ามาทีละจำนวนมาก แม้กระทั่งตอนที่เก้าพาอาจารย์ธีภพเข้ามาในห้องเรียนแล้วก็ตาม ฉันก็ยังคงกอดนุ่นไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยไปไหน 

ฉันอยากกลับบ้าน

 

 

 

 

 

 

 

โพสต์อิทสีเหลืองใบหนึ่งถูกติดไว้ที่ใต้ชั้นเก็บของโต๊ะนักเรียนแถวสุดท้ายหลังห้อง

ข้อความบนกระดาษถูกเขียนด้วยปากกา จากเขาคนนั้น

เหตุการณ์ทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ทำให้เขาเสียพลังงานไปไม่น้อย 

ชายหนุ่มผมขาวหย่อนตัวเองลงนั่งบนเก้าอี้ สองแขนพาดวางบนโต๊ะเรียน ก่อนที่จะค่อยเอนหัวลงนอนโดยเอาแขนของตัวเองรองรับแทนหมอน ใบหน้าหันข้างมองข้างในฝั่งห้องเรียน

พลางนึกความเป็นไปของเธอในตอนนี้

เขาก็หวังว่าตัวเองจะสามารถช่วยเหลือเธอได้มากกว่านี้ ถ้าทำได้ดีกว่านี้ก็คงดี


Aim

Library


 

 

 

Talk : 

เป็นตอนหนึ่งที่น้องอิมน่าสารมากกกกก ฝากให้กำลังใจน้องด้วยนะคะ YY

แต่พี่ผมขาวยังไม่มีชื่ออีกเรอะ 5555

Charming_Synthier