3 ตอน ตอนที่ 2 ณ คาเฟ่แห่งหนึ่ง
โดย Pillow Mellow
คนอย่างเอ้อ อธิป แม้จะเป็นวันเสาร์ก็ไม่พลาดการตื่นเช้า ทันทีที่โทรศัพท์มือถือซึ่งทำหน้าที่แทนนาฬิกาปลุกกรีดร้องเจ้าตัวก็ลืมตาตื่นก่อนคว้าเครื่องมือสื่อสารมาปิดเสียง เมื่อลุกขึ้นนั่งบนเตียงก็เริ่มขยับร่างกายยืดเส้นยืดสายเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวและยืดหยุ่นประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นค่อยจัดหมอน เก็บผ้าห่มและคลุมเตียงเป็นขั้นตอนสุดท้าย
กิจวัตรประจำวันดำเนินไปตั้งแต่ต้นจนจบอย่างเรียบง่าย
หลังจากล้างแก้วกาแฟกับจานสำหรับขนมปังปิ้งมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร่างสูงในชุดเสื้อยืดสีขาว กางเกงขายาวทรงตรงสีครีม กับถุงเท้าสีเขียวเข้มก็กลับมานั่งลงบนโซฟากลางห้องอีกครั้ง
สมุดบันทึกเล่มเล็กสำหรับปีนี้ถูกกางออก ร้านกาแฟซึ่งเป็นจุดหมายของวันนี้ถูกเขียนเอาไว้ตรงหัวกระดาษหลังหมายเลข 26
เดินทางมาถึงส่วนที่ 2 ใน 4 ของเป้าหมายประจำปีแล้ว
ภารกิจตระเวนเช็กอินร้านกาแฟให้ครบ 100 ร้านก่อนสิ้นปีคงไม่ใช่เรื่องเกินฝัน
รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นบนใบหน้าที่เคยเรียบเฉย
การบรรลุเป้าหมายเพียงเล็กน้อยทำให้อธิปยิ้มได้ แต่ไม่รู้ทำไมคนที่บริษัทถึงชอบนินทาว่าเขายิ้มยากก็ไม่รู้ คงเพราะอธิปชอบยิ้มให้ตัวเองมากกว่ายิ้มให้คนอื่นมั้ง
อธิปออกจากห้องมาด้วยเสื้อผ้าโทนขาวกับถุงผ้าสีน้ำตาลอ่อน ถ้าป้าข้างบ้านที่ต่างจังหวัดเห็นคงจะทักเขาว่า ‘เอ้อจะไปบวชชีเหรอลูก’ แต่เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นมานานแล้วเพราะที่คอนโดนี้แม้กระทั่งคนข้างห้องอธิปก็ไม่คิดจะสนิทสนม ยามที่บังเอิญเจอกันเขาก็ทำเพียงทักทายและเลยผ่าน ขีดเส้นเอาไว้ให้เป็นเพียงเพื่อนข้างห้องเท่านั้น
จุดหมายปลายทางของวันนี้คือร้านกาแฟแถวเอกมัย
ร้านกาแฟแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนหลังบ้าน บรรยากาศตามรีวิวในเว็บไซต์ค่อนข้างร่มรื่นและเงียบสงบ เคยเป็นที่นิยมเมื่อหลายปีที่แล้วแต่เมื่อกระแสสังคมพัดผ่านก็กลับมาเป็นร้านที่เงียบสงบอีกครั้ง
อาจจะไม่ค่อยถูกใจเจ้าของกิจการนักแต่สำหรับอธิป บรรยากาศอันแสนสงบคือปัจจัยหลักที่เขาตัดสินใจเลือกเดินทางไปที่นั่น
ขับรถจากคอนโดแถวลาดพร้าวไม่นานนัก หลังจากเลี้ยวออกจากถนนหลักเข้าซอยก็พบกับป้ายบอกทางเล็กๆ ถึงจะบอกว่ากระแสสังคมไหลผ่านไปแล้วแต่ลานจอดรถท้ายซอยซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับลูกค้าร้านกาแฟโดยเฉพาะกลับยังมีรถจอดเกือบเต็มทุกช่อง โชคยังดีที่ด้านในสุดมีที่ว่างพอให้รถของอธิปได้จอด
‘หลังบ้านร้านกาแฟ’ คือชื่อของร้านที่ปรากฏตรงทางเข้า ตัวร้านตั้งอยู่หลังกำแพงสีขาวที่ยังขาวอยู่บ่งบอกว่าได้รับการดูแลเป็นอย่าง พื้นที่โดยรวมเรียกได้ว่ากะทัดรัด โซฟาหนังเทียมแบบกันน้ำถูกตั้งไว้ตามแนวกำแพงด้านขวามือ โดยมีโต๊ะไม้สีเข้มวางอยู่ประมาณ 3-4 ตัว ส่วนซ้ายมือมีบ่อปลาขนาดใหญ่แทบจะเต็มพื้นที่ ตรงขอบบ่อถูกตกแต่งด้วยก้อนหินทรายขนาดใหญ่ ข้างๆ วางชิงช้าไม้ตัวใหญ่เอาไว้ให้ลูกค้าได้นั่งพักผ่อน อธิปคิดว่าเมื่อก่อนจุดนั้นคงเป็นแลนมาร์คสำคัญสำหรับคอกาแฟที่ชอบถ่ายรูป
อธิปเก็บภาพบริเวณโดยรอบเพียงเล็กน้อยเอาไว้อัปลงอินสตราแกรมส่วนตัวก่อนจะเปิดประตูไม้สีขาวเข้าไปในอาคาร เดินตามกลิ่นกาแฟที่ตลบอบอวลชวนตื่นเข้าไปด้านใน
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เพียงก้าวเขามาในร้านเสียงเป็นมิตรก็ดังขึ้นต้อนรับ แม้จะได้ยินทุกครั้งที่เข้าใช้บริการร้านกาแฟแต่ถึงอย่างนั้นอธิปก็ยังตกใจจนสะดุ้งเสมอ ทำอย่างไรก็ไม่ชินซักที
จนพนักงานต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจค่ะคุณลูกค้า”
“ไม่เป็นไรครับ” อธิปโบกไม้โบกมือบอกผ่านภาษากายอีกแรงว่าไม่เป็นไรเลยก่อนจะก้มดูเมนูตรงหน้าเคาน์เตอร์แล้วเริ่มสั่งอาหารสำหรับเขาเพียงคนเดียว
อธิปตัดสินใจสั่งเครื่องดื่มเมนูแนะนำกับเค้กมะพร้าวอ่อน เขาเลือกนั่งตรงบริเวณที่สามารถมองเห็นบ่อปลาคราฟได้ชัดเจนที่สุด แม้สายตาจะจับจ้องไปยังฝูงปลาที่ว่ายวนไปเวียนมาแต่สมองกลับเอาแต่คิดถึงชีสเค้กในตู้ที่สดใสชวนน้ำลายสอ เอาล่ะ อธิปตัดสินใจแล้วว่าเมนูต่อไปต้องเป็นชีสเค้กนี่แหละ เขาตั้งใจจะนั่งนานอยู่แล้ว ซึ่งการนั่งนานก็ต้องแลกด้วยการอุดหนุนร้านใช่มั้ย หลังจากดื่มด่ำกับอาหารชุดแรกหมด ค่อยสั่งชีสเค้กก็ไม่เห็นเป็นไร
อธิปชอบดื่มกาแฟ แต่เขาไม่ใช่คอกาแฟ ไม่สามารถวิจารณ์รสชาติได้อย่างมืออาชีพ ร้านไหนที่กาแฟถูกปากอธิปก็จะติดดาวไว้เผื่อมีโอกาสจะได้กลับมาอุดหนุนอีกครั้ง แต่ถ้าร้านไหนไม่ถูกใจก็แค่ปล่อยผ่านไป กับของหวานประจำร้านก็เหมือนกัน
สำหรับหลังบ้านร้านกาแฟ เมนูกาแฟอธิปไม่ให้ดาว แต่เค้กมะพร้าวอ่อนเอาไปเลย 5 ดาว
เค้กแสนอร่อยคำสุดท้ายถูกส่งเข้าปาก อธิปค่อยๆ ละเลียดชิมและซึมซับรสชาติของมันอย่างตั้งอกตั้งใจ ยามที่เนื้อเค้กละลายในปาก เขารู้สึกราวกับว่ามีพลุถูกจุดขึ้นในอากาศกลางศีรษะ
หรือว่าควรจะสั่งเค้กมะพร้าวอ่อนอีกชิ้นดี แต่ชีสเค้กก็น่าลอง เอายังไงดี ลองชีสเค้กแล้วค่อยสั่งเค้กมะพร้าวอ่อนกลับบ้านดีมั้ย
เสียงกรุ๊งกริ๊กของกระดิ่งดังต้อนรับลูกค้าอีกครั้ง คนที่เดินเข้ามาเป็นชายหนุ่มตัวเล็กผมทองกับเจ้าของร่างสูงที่กำลังอ้าปากหาว สีหน้าของทั้งคู่ดูอ่อนเพลียแต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้าก็ไม่ได้ปราศจากรอยยิ้ม
“ที่นี่เหรอ ร้านสวยดีนะ” แสงเหนือเอ่ยถามคนข้างกายที่กำลังก้มหน้าเลือกเครื่องดื่มจากเมนู ส่วนเขากำลังเงยหน้ามองเมนูขนาดใหญ่ที่โชว์หราอยู่ด้านหลัง
ง่วงๆ แบบนี้ได้เอสเพรสโซ่ซักแก้วก็ดี แต่ใจจริงแสงเหนืออยากได้ก๋วยเตี๋ยวต้มยำแซ่บๆ ซักชามมากกว่า
“เหนือเอาไร”
“เอสเพรสโซ่ครับ” แสงเหนือหันไปสั่งกาแฟกับพนักงานพร้อมกับล้วงบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋า “เดี๋ยวเราจ่ายเอง”
“เฮ้ยเกรงใจเธอ”
“ไม่เป็นไร ไม่ค่อยได้ใช้เงินอยู่แล้ว ปกติเราเกาะแม่กิน”
“ตลกแล้ว”
“ก็เป็นคนหล่อที่ตลกอะเนอะ”
“นั่งรอก่อนเถอะ” คนตัวเล็กหัวเราะร่วนก่อนจะหมุนกายพลางกวาดสายตาเพื่อมองหาโต๊ะสำหรับนั่งรอเครื่องดื่ม
กับแสงเหนือถ้าไม่ได้เจอกันสถานการณ์แบบนี้ก็อยากจะสานสัมพันธ์อยู่เหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ก่อนออกจากร้านเมื่อคืนพวกเราตกลงกันไว้ว่าความสัมพันธ์นี้จะเป็นเพียงวันไนท์สแตน พอเช้าก็แยกย้าย
แต่เพราะง่วงเกินจะขับรถจึงลงเอยที่ร้านกาแฟใกล้ๆ โรงแรมที่เปิดไว้เมื่อคืนนี้
“รอเครื่องดื่มซักครู่นะคะ” แสงเหนือรับบัตรเครดิตพร้อมกับใบเสร็จรับเงินมา ขณะเก็บของใส่กระเป๋ากางเกงสายตาก็เหลือบไปเห็นแผ่นหลังที่คล้ายจะคุ้นเคย
เป็นเรื่องเสียมารยาทแต่แสงเหนือก็หยิบมือถือขึ้นมา กดเข้าแอปกล้องถ่ายรูป โฟกัสไปยังโต๊ะวิวบ่อปลาแล้วเริ่มซูม ยิ่งซูมเข้าไปใกล้ก็ยิ่งชัดเจนว่าอีกฝ่ายคือพี่อธิปไม่ผิดแน่
พี่อธิปที่กำลังครุ่นคิดบางอย่าง จริงจังยิ่งกว่าตอนสัมภาษณ์งานเขาซะอีก
เข้าไปทักทายดีไหม
ถ้าไม่ทักจะดูเสียมารยาทรึเปล่า
แต่ถ้าทัก พี่อธิปคนที่แสงเหนือไม่เคยเข้าใจความคิดจะมองว่าเขารุกล้ำพื้นที่และเวลาส่วนตัวไหม
เอาวะ!
“แสงเหนือกาแฟได้แล้วนะ” ตอนที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและกำลังจะเข้าไปทักทาย เสียงของคนที่มาด้วยกันก็ดังขึ้นซะก่อน ดังมากซะจนพี่อธิปหันมามอง
และในชั่วขณะนั้นพวกเขาก็ประสานสายตากันพอดี
ดวงตาของอธิปเบิกกว้างและสั่นไหวเล็กน้อยเช่นเดียวกับหัวใจแต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะพยักหน้าเมื่อเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องโปรยยิ้มทักทาย และเดินเข้ามาหาพร้อมเอสเพรสโซ่ที่เพิ่งรับมาจากคนตัวเล็กซึ่งมาด้วยกัน
“บังเอิญจังครับที่เจอพี่อธิปที่นี่” แสงเหนือทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรอย่างปกติพร้อมกับถือวิสาสะหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ กัน
“อือ” อธิปตอบรับสั้นๆ พลางทอดสายตามองไปยังฝูงปลาคราฟที่กำลังว่ายวนอยู่ในบ่อ มือที่วางบนหนังสืออยู่ไม่สุข กำๆ แบๆ วนไปและรับรู้ถึงความชื้นไร้ที่มาจนแอบกลัวว่าปกหนังสือเล่มโปรดอาจจะได้รับเสียหาย
“พี่อธิปพักอยู่แถวนี้เหรอครับ”
“เปล่า”
“งั้นก็หมายความว่านัดกับใครไว้สินะครับ เหนือกำลังรบกวนพี่อธิปรึเปล่า”
“...” อธิปครุ่นคิดถึงคำตอบที่ผุดขึ้นในหัวแต่ไม่สามารถเอ่ยออกไปได้
ที่จริงแล้วแม้จะตกใจแต่ก็ดีใจจนเกือบจะเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
“อืม เมื่อกี้น่ะเหนือเอากล้องขึ้นมาซูมดูด้วยว่าคนที่นั่งตรงนี้ใช่พี่อธิปจริงๆ รึเปล่า” พอคนเป็นเพื่อนร่วมงานไม่ตอบอะไรแสงเหนือก็ชวนคุยต่อ ราวกับว่าเขามาที่นี่ลำพัง ไม่สนใจชายหนุ่มผมทองที่นั่งมองแผ่นหลังตนจากโต๊ะซึ่งตั้งอยู่อีกฟากของร้านเลย
“อือ”
“เผลอกดชัตเตอร์ไปทีนึงรูปสวยทีเดียว นี่เหนือไม่ได้ชมตัวเองนะครับแต่รูปสวยจริงๆ เดี๋ยวเหนือส่งให้พี่อธิปดีมั้ยครับ”
อธิปเพียงพยักหน้า ไม่ได้ตั้งใจตอบรับหรือปฏิเสธ เขาแค่ทำตัวไม่ถูกที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็สารภาพว่าแอบถ่ายรูปเขาไว้ หัวใจในอกซ้ายเต้นตึกตักเพียงคิดว่าในโทรศัพท์มือถือของแสงเหนือมีรูปของตนอยู่
“ส่งทางไหนดี ไลน์มั้ยครับ เหนือขอไลน์พี่อธิปได้รึเปล่า”
หัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วพลันเพิ่มจังหวะขึ้นอีก แม้รู้ดีแก่ใจว่าแสงเหนือไม่ได้มีเจตนาอื่นแอบแฝง เขาแค่อยากส่งรูปมาให้ แต่คนที่คิดเกินเลยก็ยังทำตัวไม่ถูกอยู่ดี
“เอ่อ” อธิปเอาแต่อึกๆ อักๆ คิดวนเวียนสะระตะว่าควรแลกไลน์ดีมั้ย แลกแล้วยังไงต่อ แลกแล้วคงจะจบลงที่แสงเหนือส่งรูปและอธิปเอ่ยคำขอบคุณนั่นแหละ
“พี่อธิปไม่สะดวกเหรอครับ งั้นเดี๋ยวเหนือส่งให้ในแชตเฟซดีมั้ยครับ ไม่ต้องเป็นเฟรนด์ก็ส่งได้ ไม่มีปัญหา”
“ลบทิ้งไปเถอะ”
“ว่าไงนะครับ” แสงเหนือถามกลับด้วยน้ำเสียงคล้ายฉงนซึ่งปิดไม่มิด อย่าว่าแต่แสงเหนือเลยที่ตกใจอธิปเองก็กำลังด่าตัวเองในใจอยู่เหมือนกันที่เอ่ยประโยคแบบนั้นออกไป
แต่ไหนๆ ก็เลยเถิดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว การลบรูปทิ้งไปก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วก็ได้
จนถึงตอนนี้อธิปก็ยังชอบตัวเองที่อยู่ในสถานะคนแอบรัก ไม่คิดจะเปิดเผยหรือสานสัมพันธ์ไม่ว่าจะด้วยสถานะใดก็ตาม แม้แต่การแลกเปลี่ยนคอนแทคอธิปก็คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะทำให้เขาลำบากใจในอนาคต
“รูปผมในมือถือคุณ ลบทิ้งไปเถอะ”
รูปประโยคคล้ายขอร้องทว่าน้ำเสียงอธิปเรียบเฉยแฝงความจริงจังจนแสงเหนือไม่กล้าคัดค้านแม้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะเป็นการลงเอยที่ไม่คาดฝัน
แม้จะเสียดายแต่แสงเหนือก็ลบรูปอีกฝ่ายออกจากโทรศัพท์มือถือในที่สุด
“พี่เจลล์คิดว่าไงอะ พี่อธิปโกรธรึเปล่า”
“โกรธเรื่องอะไรล่ะ”
“ที่กูเล่ามาทั้งหมดนี่มึงไม่ได้ฟังเลยว่างั้น”
“ฟัง แต่ตรงไหนของเรื่องเล่าที่บ่งบอกว่าพี่อธิปโกรธ” จิระถามกลับขณะมือยังคลิกเมาส์เป็นระวิงเพื่อเร่งงานที่มีกำหนดส่งบ่ายวันนี้
“ก็ที่กูแอบถ่ายรูปเขาไง”
“ถ้ามึงรู้ว่าตัวเองผิดก็ไปขอโทษเขาสิ พี่อธิปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามึงขอโทษ เขาต้องยอมให้อภัยมึงแน่ๆ” แม้จิระไม่แนะนำ แสงเหนือก็ตั้งใจจะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว ทว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าขอโทษหรือไม่แต่มันอยู่ตรงที่ควรจะขอโทษอย่างไร
พี่อธิปโกรธที่เขาแอบถ่ายรูปแน่ๆ ถึงได้บอกให้ลบทิ้ง แต่สิ่งที่ค้างในใจคือคนเป็นผู้ใหญ่โกรธเขาระดับไหน ปกติพี่อธิปก็ไม่ค่อยมองหน้ากันอยู่แล้ว ขนาดชะโงกหน้าเข้าไปทักทายที่ห้องตอนเช้ายังแทบไม่เหลือบมองกันแม้แต่หางตา ก่อนนี้ก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้เริ่มคิดเล็กคิดน้อยแล้วว่า...
หรือที่จริงแสงเหนือถูกพี่อธิปเกลียดขี้หน้าเข้าให้แล้ว
ไหนว่าไม่อะไรกับใครไง แต่ทำไมถึงได้เกลียดขี้หน้าแสงเหนือได้ล่ะ
ไม่มีอะไรสมเหตุสมผลซักอย่าง
“พี่เจลล์ พี่อธิปเคยเกลียดขี้หน้าใครปะ”
“กูจะไปรู้ได้ไงอะ ก็เข้างานมาพร้อมกัน แถมมึงยังกว้างขวางกว่ากูอีก ถ้ามึงไม่รู้กูจะรู้ได้ไง เรื่องในออฟฟิศส่วนใหญ่กูก็ได้ยินมาจากมึงทั้งนั้นแหละ”
“กูดูขี้เสือกจังวะพี่”
“ยอมรับเหอะเหนือ แล้วถ้าเรื่องพี่อธิปมันค้างคาใจมึงมากจนไม่มีสมาธิทำงานก็เดินไปคุยดิจะได้จบๆ ฝ่ายบุคคลก็อยู่ห้องข้างๆ นี่เอง อินโทรเพลงยังไม่ทันจบท่อนแรกยังไม่ขึ้นก็เดินถึงกันแล้ว”
“พี่มึงพูดง่ายเนอะ จะให้กูเดินเข้าไปถามโต้งๆ เนี่ยนะ ไม่ดูร้อนตัวไปหน่อยเหรอวะ”
“มึงก็ดูมั่นใจทุกอย่างนะเหนือแต่เรื่องนี้ทำไมมึงดูลังเลจังวะ”
“ก็ไม่ค่อยมีปัญหากับผู้ใหญ่ไงพี่” แสงเหนือเป็นเด็กน่าเอ็นดูมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ต่อหน้าพวกผู้ใหญ่เขาไม่เคยแสดงความดื้อรั้นเลย และถึงแม้จะโดนดุเพียงใช้ลูกอ้อนไม่กี่กระบวนท่าก็ได้รับการให้อภัยแล้ว
แต่พี่อธิปไม่เหมือนผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่แสงเหนือเคยเจอ
ว่าอย่างไรดี อันที่จริงจะทำเป็นไม่สนใจเลยก็ได้ แต่เพราะยังต้องเจอกันอยู่ทุกวันถ้าทำเป็นเมินไปก็คงจะดูแปลก เพราะใครๆ ต่างก็รู้กันดีว่าแสงเหนือเป็นมิตรมากแค่ไหน เพียงแค่สบตาคนที่คุ้นเคยเขาก็ไม่พลาดที่จะทักทายด้วยรอยยิ้ม เช่นนั้นเขาจึงอยากปรับความเข้าใจกัน ถ้าถูกโกรธก็อยากขอโทษเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าหากถูกเกลียดจะได้เลี่ยงการพบหน้าเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย
กลายเป็นว่าแสงเหนือถูกพี่อธิปรบกวนความคิดทั้งวี่ทั้งวัน ตอนเดินผ่านห้องฝ่ายบุคคลก็แอบมองเขา เหมือนเด็กมัธยมที่ชอบเดินผ่านห้องเรียนของคนที่แอบชอบ ต่างกันแค่ตรงที่แสงเหนือไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับพี่อธิปแม้แต่น้อย เขาเอาแต่วนเวียนอยู่กับความคิดของพี่อธิปที่มีต่อตัวเองจนเรียกว่าหมกมุ่น ยังดีที่วันนี้ไม่ใช่กำหนดส่งงาน ไม่งั้นละก็บรรลัยแน่ๆ
กระทั่งเวลาเลิกงานมาถึง พี่อธิปก็ยังคงรบกวนจิตใจ
“มึงออกพร้อมกูมั้ยเหนือ”
“ไปก่อนเลยพี่ วันนี้กลับกับหม่าม้า”
“โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังให้แม่มารับอีกเหรอวะ”
“หม่าม้าผ่านมาทำธุระแถวนี้เว้ย ก็เลยจะแวะมารับไปกินข้าวร้านเพื่อนสนิท” แสงเหนือก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องอธิบายทั้งที่จิระก็ไม่ได้ตั้งใจฟังขนาดนั้น เขายังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็ชิงเดินออกจากห้องไปแล้ว
ในวันที่ไม่มีงานค้าง เมื่อถึงเวลาเลิกงานทั้งแผนกก็หายเกลี้ยงอย่างเช่นวันนี้เป็นต้น เช่นนั้นในเวลา 17 นาฬิกา 5 นาทีทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่แสงเหนือคนเดียว
เพราะบรรยากาศวังเวงเกินจะทน แม้หม่าม้ายังรถติดเพราะฝนตกอยู่บนถนนที่ไหนซักแห่งแต่แสงเหนือก็เลือกที่จะปิดคอมพิวเตอร์ เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องมา ตอนที่เดินผ่านห้องแผนกบุคคลก็พบว่าสภาพไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย
ไฟทั้งห้องถูกปิดไปแล้ว ทุกคนพร้อมใจกันกลับบ้านตรงเวลา แม้แต่พี่อธิปซึ่งชอบนั่งเงียบๆ ที่โต๊ะหลังเลิกงานจนค่ำยังไม่อยู่เลย
อาจจะเพราะกลัวฝนห่าใหญ่ไม่คาดฝันจะตกลงมาอีกรอบล่ะมั้ง
ใช้เวลารอลิฟต์ช่วงเวลาเร่งด่วนไม่นานแสงเหนือก็ลงมาถึงชั้น G เวลานั้นเองที่หม่าม้าส่งข้อความบอกว่าใกล้จะถึงแล้วให้ออกมารอหน้าตึกได้เลย หลังจากส่งสติกเกอร์โอเคตอบกลับไปขายาวก็ก้าวออกจากตึกมา ตั้งใจจะมายืนเด่นเป็นสง่ารอหม่าม้า พอรถมาถึงจะได้กระโดดขึ้นเลยโดยไม่ต้องจอดนาน ทว่าตรงนั้นเองที่แสงเหนือได้เจอกับคนที่เข้ามารบกวนความคิดเขาทั้งวัน
พี่อธิปในเสื้อเชิ้ตคอจีนสีอ่อน กางเกงสแล็กส์พอดีตัวกับรองเท้าหนัง สะพายกระเป๋าเป้ไว้บนหลัง กำลังเหม่อมองสายฝนที่เริ่มตกหนักอีกครั้ง
ไม่รู้อะไรดลใจ รู้ตัวอีกทีแสงเหนือก็ก้าวเข้ามายืนข้างๆ คนที่น่าจะสูงน้อยกว่าเขาราว 10 เซนติเมตร
ผู้ใหญ่ที่ดูคล้ายจะน่ากลัวคนนั้นที่แท้ก็ตัวเล็กแค่นี้เอง
“พี่อธิปกลับบ้านยังไงครับ” หัวใจเจ้าของชื่อเต้นแรงขึ้นทันทีที่รับรู้ถึงร่างสูงที่เข้ามายืนข้างๆ มิหนำซ้ำยังทักทายและเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรชวนให้นึกถึงเรื่องที่หลังบ้านร้านกาแฟ
เพราะความสูงที่ต่างอธิปจึงต้องเงยหน้ามองคนเด็กกว่าแต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
“วินมอเตอร์ไซค์ครับ”
“พักอยู่แถวนี้เหรอครับ”
“อือ”
“ฝนตกแบบนี้นั่งวินลำบากน่าดูเลย”
“ไม่หรอก”
“แล้วนี่พี่อธิปรอรถเหรอครับ”
“อือ พี่รปภ.ช่วยเรียกให้น่ะ”
“ถ้าวินมาตอนนี้ก็ต้องนั่งวินตากฝนอะดิ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกครับ” หัวใจของอธิปในยามที่ได้ฟังประโยคแสดงความเป็นห่วงเป็นใยชุ่มชื้นยิ่งกว่าสวนหย่อมหน้าตึกหลังจากโดนฝนมาทั้งวันเสียอีก
“อือ ไม่เป็นไรหรอก”
“เดี๋ยวหม่าม้าจะมารับเหนือ พี่อธิปกลับด้วยกันสิครับ เดี๋ยวให้หม่าม้าแวะไปส่ง”
“ไม่เป็นไร ขอบคุณนะ”
“พี่อธิป”
น้ำเสียงจริงจังยามเอ่ยเรียกทำให้เจ้าของชื่อซึ่งมองต่ำอยู่แล้วแทบจะหดหัวเข้ากระดอง ถ้าเกิดมีกระดองเหมือนเต่าอะนะ
“โกรธเหนือเรื่องที่ร้านกาแฟเหรอครับ”
“เปล่า” อธิปปฏิเสธแทบจะทันที คิดอยู่แล้วว่าน้ำเสียงและสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ของเขาตอนที่ขอให้แสงเหนือลบรูปนั้นต้องทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแน่ๆ
“ไม่โกรธจริงๆ เหรอครับ” แม้ว่าคำตอบของพี่อธิปจะทั้งชัดเจนและน่าเชื่อถือแต่การที่อีกฝ่ายไม่ยอมมองหน้าและสบตากันก็ทำให้แสงเหนือไม่มั่นใจ
“ผมต้องโกรธคุณเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องรูปถ่าย”
“ไม่ได้โกรธ”
“จริงๆ นะครับ”
“อือ”
เพียงพี่อธิปเงยหน้าขึ้นมามองและพยักหน้าเบาๆ แสงเหนือก็เผยรอยยิ้มโล่งใจออกมา
“ค่อยโล่งใจหน่อย เหนือคิดว่าพี่อธิปโกรธซะอีก รู้ป่าวว่าเหนือคิดมากทั้งวันเลยนะ”
“...”
“เหนือถามอะไรพี่อธิปอีกอย่างนึงได้มั้ยครับ”
“อือ”
“พี่อธิปไม่ชอบหน้าเหนือรึเปล่า”
“ฮะ!” คราวนี้อธิปถึงกับเก็บเสียงตัวเองไว้ไม่อยู่ เขาร้องเสียงหลง คิ้วคู่สวยขมวดเล็กน้อยแต่แสงเหนือไม่มีโอกาสได้เห็นเพราะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่คนอายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นมองเขา
“คือเหนือก็รู้นะว่าพี่อธิปไม่ค่อยอะไรกับใคร แต่พี่อธิปไม่ค่อยมองหน้าเหนือเลย อย่างตอนนี้ที่เราคุยกัน พี่อธิปยังสบตาเหนือนับครั้งได้เลย ไม่ชอบเหนือมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
ความรู้สึกของอธิปที่มีต่อแสงเหนือมันตรงข้ามกับ ‘ไม่ชอบ’ คนละขั้วเลยต่างหาก
ไม่คิดเลยว่าการแสดงออกที่พยายามไม่แสดงออกจะทำให้อีกฝ่ายคิดไปไกลขนาดนี้
“ถ้าเหนือล้ำเส้นพี่อธิป เหนือขอโทษนะ ที่จริงพี่อธิปมีสิทธิจะเกลียดขี้หน้าแหละ เหนือเข้าใจดีว่าคนเราไม่ได้เป็นที่รักร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก แต่เหนือแค่อยากแน่ใจ ถ้าพี่อธิปไม่โอเคกับเหนือ เหนือจะได้อยู่ห่างพี่อธิปไว้ เราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย”
“ผมไม่ได้เกลียดคุณนะ” อธิปบอกอีกฝ่ายหลังจากซ่อนความตกใจก่อนหน้าไว้อย่างมิดชิด
“แล้วทำไม...”
“แค่นี้ไม่พอเหรอ”
“ครับ?”
“ถ้าคุณไม่เชื่อผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้เชื่อ แล้วแต่คุณจะคิดแล้วกัน”
ตอนนี้อาจจะเป็นอธิปซะเองที่โดนเกลียด
แสงเหนือมีท่าทีเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง แต่เมื่อวินมอเตอร์ไซค์ที่เรียกไว้มาถึงอธิปก็รีบเดินจากตรงนี้ไปราวกับว่ารอโอกาสอยู่แล้ว ทว่าเพียงก้าวขาก็ถูกคนตัวสูงรั้งสายเป้เอาไว้ และเพียงเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเสื้อแจ็กเกตสีดำสกรีนชื่อคณะและมหาวิทยาลัยของแสงเหนือก็ถูกคลุมลงบนหัว
“ถ้าหัวเปียกเดี๋ยวจะไม่สบาย เอาเสื้อคลุมหัวไว้ดีกว่านะครับ”
“...” มือเรียวของอธิปคว้าเสื้อไว้ตั้งใจจะปฏิเสธทว่าก็ถูกเจ้าของมันรั้งข้อมือไว้ เพียงผิวกายสัมผัสสมองของอธิปก็เกินอาการรวนชั่วขณะจนพูดไม่ออก
“ถ้าพี่อธิปไม่รับไว้ เหนือจะคิดว่าพี่อธิปเกลียดเหนือจริงๆ แล้วนะ”
TBC.
จะดีใจและชื่นใจมากเลยค่ะ ถ้าทิ้งคอมเมนต์ไว้ให้เราซักนิดซักหน่อย
:)
#ก็เอ้อนั่นแหละ
Comments (0)