2 ตอน ตอนที่ 1 แสงเหนือ
โดย Pillow Mellow
เวลา 12 นาฬิกาในห้องแผนกตัดต่อมีเพียงเสียงคลิกเมาส์ดังกริ๊กๆ เพียงสิ่งเดียวที่ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องไม่เงียบจนเกินไป
ชายหนุ่มเจ้าของฉายาน้องเล็กของแผนกนั่งจ้องคอมพิวเตอร์จนตาแทบถลน มือคลิกเมาส์เป็นระวิง ตั้งแต่เรียนจบ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวอยากมีซัก 10 มือ ไม่สิ แสงเหนืออยากแยกร่าง อยากให้มีตัวเขาซัก 10 คนช่วยกันทำงาน ส่วนคนที่ 11 จะส่งไปยืนเท้าสะเอวมองทีมกองถ่ายว่ามันทำงานกันยังไงถึงได้ส่งไฟล์วิดีโอช้าขนาดนี้
งานก็ต้องส่ง ท้องก็หิว ฉี่ก็ปวด
แต่...
วนกลับไปยังข้อแรก
งานก็ต้องส่ง
“ไอ้เหนือ” ตอนที่กำลังบรรจงแปะตัวอักษรกราฟิกลงบนหน้าจอ เสียงของเพื่อนร่วมงานที่ชิ่งลงไปกินข้าวตั้งแต่ยังไม่ 11 โมงครึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ว่าไงพี่” เจ้าของชื่อขานรับแต่ไม่คิดจะหยุดมือที่กำลังทำงานเป็นระวิง
“วันนี้มีก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านโปรดมึงนะ แต่แถวโคตรยาวอะไอ้เหี้ย ลงตอนนี้ได้กินชาติหน้า เชื่อกู” นิ้วที่กำลังคลิกเมาส์ตัดคลิปรายการที่ต้องส่งก่อนบ่ายสามวันนี้อย่างกระตือรือร้นมาตั้งแต่เมื่อคืนถึงกับหยุดชะงัก
เจ้าของชื่อ ‘แสงเหนือ’ ในสภาพขอบตาแดงก่ำผมเผ้ายุ่งเหยิงเหลือบมองจิระ หรือ ‘เจล’ เพื่อนร่วมงานข้างโต๊ะซึ่งอายุมากกว่าเขา 2 ปีที่เริ่มทำงานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก่อนจะผุดลุกขึ้นจนคนที่ถือถ้วยขนมหวานไว้ในมือถึงกับสะดุ้ง
“ไม่ได้การแล้วพี่เจล กูต้องไปเดี๋ยวนี้” เจ้าของความสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรเอ่ยอย่างกระตือรือร้นพลางวิ่งออกจากห้องด้วยความไวแสง ลืมไปเลยว่าสภาพของตัวเองตอนนี้เหมาะที่จะอยู่ในห้องนอนมากกว่าแคนทีน
แสงเหนือวิ่งสุดกำลังไปยังลิฟต์ ในหัวของเขานึกถึงแต่ก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าโปรดที่รสชาติแซ่บซี้ดจี๊ดจ๊าดชวนตื่นเต็มตายิ่งกว่ากาแฟแก้วละร้อยกว่าบาท
ใช้เวลาไม่นานลิฟต์ก็พาเขามาถึงชั้น G แสงเหนือเดินเบียดเสียดผู้คนไปยังแคนทีน เพราะเป็นเวลาพักกลางวันเขาจึงไม่สามารถทำความเร็วได้อย่างใจหวัง และก็แทบจะลมจับเมื่อก้าวเข้าไปในห้องซึ่งตลบอบอวลด้วยกลิ่นอาหารชวนน้ำลายสอแล้วพบว่าแถวร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าโปรดยาวเกือบถึงประตูทางเข้าเลยทีเดียว
อะไรมันจะขนาดนั้น
ถามว่าแสงเหนือถอดใจไหม
ความอยากไม่เข้าใครออกใครหรอก เช่นนั้นก็ตอบสั้นๆ เลยว่าไม่
เพราะถ้าไม่ได้กินก๋วยเตี๋ยวต้มยำเป็นมื้อกลางวันเขาที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนต้องไม่มีแรงทำงานส่งตอนบ่ายและถ้าส่งงานไม่ทันละก็ได้โดนด่ากันทั้งทีมแน่ๆ
ทำงานที่นี่ครบ 1 ปีเมื่อเดือนที่แล้ว แสงเหนือยังไม่เคยทำงานผิดพลาด ไม่เคยส่งงานล่าช้า เขาไม่ยอมให้งานวันนี้กลายเป็นจุดด่างพร้อยในประวัติการทำงานอันแสนสวยหรูซึ่งเพียรสร้างมาตลอดระยะเวลา 1 ปีกับอีก 1 เดือนหรอก
โบนัสประจำปีสูงลิ่วต้องเป็นของเขา ไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ แน่
ทว่าตอนนี้สิ่งที่จำเป็นยิ่งกว่าโบนัสประจำปีก็คือมื้อกลางวัน
นาฬิกาที่ข้อมือขวาบอกเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว คงจะผิดที่แสงเหนือรู้ตัวช้า ขณะยืนหันรีหันขวางอย่างชั่งใจว่าจะรอต่อหรือพอแค่นี้ จู่ๆ รุ่นพี่แผนกการตลาดที่คุ้นหน้ากันดีก็เดินเข้ามาทักทาย
“แสงเหนือจะเอาอะไร”
“ครับ?” แสงเหนือเอียงคอนิดหน่อยอย่างคนไม่เข้าใจคำถาม
“พี่จิ๊บเข้าแถวอยู่ เหลืออีก 2 คนก็ถึงคิวแล้ว เดี๋ยวพี่ช่วยฝากให้”
“ขอบคุณมากครับ แต่เหนือเกรงใจ”
“ไม่เป็นไร ฝากได้” แสงเหนือไม่ได้เกรงใจรุ่นพี่ฝ่ายการตลาดแต่เขาเกรงใจพนักงานออฟฟิศผู้หิวโหยที่เข้าคิวอยู่ข้างหน้าเขาต่างหาก
วัฒนธรรมการฝากซื้อแสงเหนือไม่รู้ว่าถูกหรือผิดแต่เขาไม่ชอบเลย จำได้ว่าสมัยเรียนเคยโดนเข้ากับตัว ขณะกำลังเข้าคิวรอก๋วยเตี๋ยวต้มยำเจ้าอร่อยในมหาวิทยาลัย จู่ๆ เพื่อนของคิวข้างหน้าก็เข้ามาฝาก รวมๆ แล้วประมาณ 5 ชามเห็นจะได้ และเมื่อถึงคิวแสงเหนือ ปรากฏว่าเส้นใหญ่ชามสุดท้ายถูกซื้อไปโดยแก๊งฝากเป็นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แสงเหนือทั้งเจ็บใจและโมโหหิว
หลังเหตุการณ์นั้นแสงเหนือจึงตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ทำนิสัยแบบที่ตัวเองไม่ชอบเด็ดขาด
หลังจากถูกแสงเหนือปฏิเสธอย่างสุภาพไปอีก 2 รอบ รุ่นพี่จากแผนกการตลาดก็เดินจากไป แสงเหนือเองก็ตัดสินใจเดินออกจากแถว ตั้งใจจะกลับขึ้นไปที่ Pantry Room ของบริษัทแล้วกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำน้ำข้น คิดว่าคงแทนกันได้ไม่มากก็น้อย
ลิฟต์ที่แออัดไปด้วยพนักงานออฟฟิศหยุดลงที่ชั้น 17 ความหิวโหยทำให้แสงเหนือรีบสาวเท้าเร็วๆ จนแทบจะกลายเป็นวิ่งไปยังห้องครัว
เวลาพักกลางวัน ส่วนกลางไม่ว่าจะเป็นของตึกหรือบริษัทก็ถูกจับจองจนเต็มทุกพื้นที่ ทว่าสำหรับชายหนุ่มที่ยืนหนึ่งเรื่องความเฟรนลี่นั้น แม้จะมีที่ว่างเพียงเล็กน้อยผู้คนรอบกายก็พร้อมจะขยับเพื่อแบ่งปันพื้นที่ให้กับเขาเสมอ
ตอนนี้ก็เช่นกัน
“ทำไมกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปล่ะเหนือ” ขณะกำลังแกะบะหมี่ถ้วยซึ่งเป็นหนึ่งในสวัสดิการของบริษัท จู่ๆ หนึ่งในพนักงานหญิงที่นั่งกินของหวานกันอยู่ก็เอ่ยถาม
“ตอนแรกว่าจะลงไปกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำ แต่แถวยาวมากเลยครับ รอไม่ไหวก็เลยคิดว่ากินบะหมี่แทนไปก่อน”
“ก๋วยเตี๋ยวต้มยำเหรอ” หญิงสาวผมลอนคนเดิมเอ่ยพลางมองไปยังตู้เก็บของข้างตู้เย็นอย่างมีนัย “ลองไปขอพี่อธิปดูสิ เมื่อกี้เราเห็นแกเดินเอาเข้ามาเก็บไว้ในตู้กับข้าวแหละ”
“พี่อธิป?”
“อือ เห็นว่าจะเก็บไว้กินเป็นมื้อเย็น แต่ถ้าเหนือไปขอพี่อธิปต้องยอมแบ่งให้แน่ๆ” แสงเหนือครุ่นคิดพลางนึกถึงใบหน้าเรียบเฉยของพี่อธิป ผู้ช่วยผู้จัดการแผนกบุคคลที่ไม่อะไรกับใคร แม้แต่กับเขาที่ยืนหนึ่งเรื่องความป๊อบปูลาร์พี่แกยังแทบจะไม่ยอมสบตา
“ไม่เป็นไรดีกว่า กินบะหมี่ก็อิ่มเหมือนกัน”
“เหนือไม่กล้าอะดิ แต่ก็ไม่แปลกหรอก พี่อธิปน่ากลัวจะตาย ถ้าเราไม่ทักก่อนแกก็ไม่ยอมทักเราหรอก แต่เอาจริงนะเวลาเจอหน้าพี่แกเลี่ยงได้ก็เลี่ยงแหละ อยู่ใกล้แล้วอึดอัด”
“นี่ก็พูดเกิน” พิชญะ ชายหนุ่มจากแผนกไอทีที่แสงเหนือคุ้นหน้าค่าตากันดีซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ กันเอ่ยขึ้น “พี่อธิปก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นซักหน่อย เคยเห็นแกยิ้มตอนกินไอติม น่ารักจะตาย ถ้าตัดเรื่องไม่อะไรกับใครออกไปก็เป็นคนที่น่ารักเลยนะ”
“แล้วมันตัดทิ้งได้มั้ยล่ะไอ้นิสัยไม่อะไรกับใครเนี่ย ก็ไม่ได้ปะ ลองคิดเล่นๆ ถ้าตอนมาสัมภาษณ์แล้วเจอพี่อธิปรับรองไม่ได้ทำงานที่นี่ชัวร์”
“ไม่รู้สิ ของแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถเหรอ”
“ก็ไม่ได้เถียงปะแต่ถึงจะมีความสามารถแค่ไหน ถ้าต้องนั่งประจันหน้ากับพี่อธิปก็กดดันจนใบ้แดกตกสัมภาษณ์แน่ๆ”
“ก็ไม่กดดันขนาดนั้นครับ” แสงเหนือที่ฟังบทสนทนาเรื่องพี่อธิปมาตั้งแต่ต้นเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่เพิ่งว่างลงพร้อมกับบะหมี่ถ้วยที่สุกพร้อมกิน “นี่ก็สัมภาษณ์กับพี่อธิป”
“จริงดิเหนือ” ทั้งสองเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น แววตาของพวกเขาซ่อนความตื่นเต้นไว้ไม่มิดเลย
“อือ”
“เล่าเร็ว”
“ก็ปกติครับ แค่ถามตอบกันไปมา” จะบอกว่าไม่เกร็งเลยก็ไม่ใช่ แน่นอนว่าในฐานะเด็กจบใหม่และสัมภาษณ์งานเป็นครั้งแรก ตอนที่เดินเข้าห้องสัมภาษณ์แล้วเจอพี่พนักงานออฟฟิศในชุดสูทภูมิฐานซึ่งกำลังจับจ้องมายังเขาราวกับกำลังประเมินราคาสินค้า ไม่ว่าจะเตรียมใจมาแค่ไหนก็มีอาการเกร็งบ้างอยู่ดี
กระทั่งฝ่ายนั้นผายมือให้นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วแนะนำตัว
พี่อธิปกวาดสายตามองเรซูเม่ของแสงเหนือครู่เดียวก่อนจะเลื่อนสายตามามองหน้าเขา แล้วเริ่มพูดคุย แสงเหนือจำได้ว่าพวกเขาคุยกันไม่กี่ประโยค ทุกบทสนทนามีเพียงเรื่องที่เป็นประโยชน์มีผลต่อการรับเข้าทำงาน ไม่มีเรื่องส่วนตัวแทรกเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังคุยกับแอปฯสิริยังไงยังงั้น และหลังจากหมดคำถามแสงเหนือก็ถูกทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวภายในห้อง ประมาณ 3 นาทีเห็นจะได้ พี่อธิปก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับชายหนุ่มอีกคน ซึ่งเขาคนนั้นก็คือหัวหน้างานโดยตรงของแสงเหนือในปัจจุบันนั่นเอง
การสัมภาษณ์งานกับพี่อธิปเรียกว่าผ่อนคลายก็ไม่ใช่ กดดันก็ไม่ถูก เอาเป็นว่ากว่าเราจะทันได้รู้สึกอะไรการสัมภาษณ์งานขั้นต้นก็สิ้นสุดลงแล้ว
หลังจากเริ่มทำงานกระทั่งผ่านไป 1 ปีกับอีก 1 เดือน แสงเหนือเจอพี่อธิปทุกวันตอนที่ชะโงกหน้าเข้าไปทักทายพี่ๆ ในแผนกบุคคลทุกเช้าเย็น แต่นับครั้งที่พวกเขาทักทายหรือสบตากันได้ด้วยนิ้วมือ
แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกว่าพี่อธิปวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเขาเสมอ
พี่อธิปมักถูกพูดถึงในวงสนทนาอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่พี่แกไม่อะไรกับใครเลยแต่ใครๆ กลับอยากจะอะไรกับแก คิดแล้วก็ชวนประหลาดใจไม่ใช่น้อย
เรื่องราวของพี่อธิปจบลงเมื่อหมดเวลาพักกลางวัน
แสงเหนือทิ้งถ้วยกระดาษลงถังขยะ เช็ดโต๊ะเฉพาะบริเวณที่ตัวเองใช้งานด้วยกระดาษทิชชููก่อนจะเปิดตู้เย็นแล้วหยิบชาเขียวออกมา 2 ขวด สำหรับเขา 1 และพี่เจลอีก 1
เหลือเวลาให้เคลียร์งานไม่มากแล้ว แสงเหนือรีบกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง ขณะที่กำลังเดินผ่านแผนกบุคคลจังหวะการเดินก็เปลี่ยนเป็นช้า คนที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่ได้รับความสนใจจากเขาเป็นพิเศษ
พี่อธิปกับเสื้อคอจีนสีอ่อนซึ่งเจ้าตัวสวมใส่จนแทบจะเป็นยูนิฟอร์มประจำตัวนั่งอยู่ที่โต๊ะประจำตำแหน่ง สายตาอ่อนโยนจับจ้องไปยังบางอย่างบนโต๊ะโดยมีหูฟังไร้สายเสียบอยู่ในหูทั้ง 2 ข้างและคนไม่อะไรกับใครกำลังหัวเราะแบบไม่มีเสียง
จริงอย่างที่พิชญะพูดไว้ในห้องครัว
ตอนพี่อธิปยิ้ม น่ารักจะตาย
เอ้อ น่ารักจริงๆ ด้วย
สำหรับพนักงานออฟฟิศที่ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ การเดินทางมาเยือนของวันหยุดเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่สำหรับปาร์ตี้บอยอย่างแสงเหนือ เสาร์อาทิตย์ก็ชอบแหละแต่ชอบคืนวันศุกร์มากกว่า
“เที่ยวอีกแล้วเหรอนายเหนือ” หม่าม้าร้องทักตอนคนที่แต่งตัวหล่อเป็นพิเศษเดินพ้นชานบันไดลงมาถึงชั้นหนึ่ง “กลิ่นน้ำหอมฟุ้งมาถึงนี่เลย”
“ฉุนเหรอครับหม่าม้า” แสงเหนือดึงคอเสื้อเชิ้ตขึ้นมาพิสูจน์กลิ่น และเมื่อหม่าม้าส่ายหน้าพลางหัวเราะจึงรู้ว่าโดนคนตลกแต่ไม่ตลอดหลอกเข้าให้แล้ว
“หล่อแล้วครับลูก แล้วนี่ไม่ลืมถุงยางอนามัยใช่มั้ย” คุณแม่ของแสงเหนือเป็นอดีตนางพยาบาล ตอนที่เขาเข้าสู่วัยรุ่นก็เป็นเธอที่สอนให้ลูกชายพกถุงยางอนามัยติดตัวไว้เสมอ
“เหนือพกติดกระเป๋าไว้ตลอดแหละน่า หม่าม้าไม่ต้องห่วง”
“ถ้าไม่ได้ใช้ก็ต้องเปลี่ยนทิ้งบ้างนะ ของมันมีวันหมดอายุ”
“ครับหม่าม้า” แสงเหนือรับคำพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “เหนือจะใช้ให้หมดทุกชิ้นภายในคืนนี้เลยครับ”
“ไอ้ทะเล้น เก็บแรงไว้กลับมาตัดคลิปให้หม่าม้าด้วย แฟนคลับพวกพี่ๆ เค้าบ่นคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว” พวกพี่ๆ ที่แม่พูดถึงไม่ใช่พี่น้องที่คลานออกมาดูโลกก่อนแสงเหนือแต่อย่างใด แต่คือเหล่าน้องหมาพี่แมวที่แม่รับมาเลี้ยงจนแทบจะนับหัวไม่ไหว
เรื่องมันเริ่มจากเจ้าบราวน์สุนัขโกลเดินริทรีฟเวอร์สีน้ำตาลกับเจ้าแบล็กสุนัขพันธ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สีดำที่ทำตัวประหนึ่งเป็นฝาแฝด ชอบชวนกันเปิดประตูหนีออกไปเที่ยวนอกบ้าน การหนีเที่ยวของทั้งสองตัวไม่เคยสร้างปัญหา กระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน
ในค่ำวันนั้น ทั้งสองกลับเข้าบ้านก่อนพระอาทิตย์ตกดินอย่างทุกครั้ง ทว่าสิ่งที่ไม่ปกติคือพวกมันคาบลูกหมามาคนละตัว พอวางลูกสุนัขตัวเล็กลงแล้วก็เข้ามาดึงขากางเกงแม่ให้เดินตามไปยังที่ดินรกร้างท้ายซอย และแม่ก็ได้พบกับลูกหมาอีก 3 ตัวกับแม่หมาที่สภาพอ่อนแอใกล้ตาย แม่หมาถูกส่งไปรักษาจนหายดี หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นสมาชิกอีก 1 ตัวของบ้าน
หลังจากนั้นอีก 1 ปี ไอ้แฝดคู่เดิมก็คาบลูกแมวกลับบ้านมาอีกครั้ง เหตุการณ์วนเวียนคล้ายกับตอนเจอครอบครัวหมา ทว่าครั้งนี้เป็นครอบครัวแมว
นับจากนั้น หลังบ้านที่แม่เคยใช้ปลูกพืชผักสวนครัวก็ถูกเปลี่ยนเป็นบ้านของหมา 8 ตัวและแมว 5 ตัวโดยสมบูรณ์แบบ
และแม่ที่ลาออกจากงานเมื่อตอนอายุ 50 เพื่อเป็นแม่บ้านเต็มตัวก็มีงานอดิเรกใหม่ คราแรกก็แค่อัปรูปพวกสัตว์เลี้ยงลงโซเชียลเพราะอยากแบ่งปันความน่ารักซุกซนที่ช่วยเยียวยาหัวใจมนุษย์หม่าม้าในวันเหงาๆ ทว่าพอเวลาผ่านไปความน่ารักซุกซนของพวกสี่ขาก็ตกมนุษย์สองขามาเป็นแฟนคลับได้อย่างมากมาย จากเพียงถ่ายรูปอัปเดตความน่ารักที่แฟนเพจชื่อ ‘My Pets เฮ็ดหยังวะ’ ก็เพิ่มเป็นอัปโหลดคลิปวิดีโอผ่านช่องยูทูปชื่อเดียวกันทุกสัปดาห์ ลำพังหม่าม้าไม่มีทางตัดต่อคลิปได้น่ารักเรียกแขกขนาดนี้หรอก เช่นนั้นหน้าที่ซึ่งไร้เงินเดือนนี้จึงถูกหยิบยื่นมายังแสงเหนือ
เพราะต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่ ที่เจ้าลูกชายชอบออกเที่ยวกลางคืนหม่าม้าไม่ชอบใจนักหรอก นานๆ ครั้งยังพอทนแต่ออกไปตะลอนทุกคืนวันศุกร์มันก็ดูเหมือนจะหมกมุ่นเกินไปหน่อย แต่บ่นไปก็เท่านั้น เมื่อเจ้าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนชอบเอาเรื่องตัดคลิปมาอ้างอยู่เรื่อย
น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า แม่ต้องพึ่งแสงเหนือ เช่นนั้นจึงยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้ทำตามใจตัวเองไป
ความคึกคักยามค่ำคืนในแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีขับไล่สารเมลาโทนีนที่ควรจะหลั่งยามดึกไปจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงเอ็นโดรฟินซึ่งร่างกายหลั่งขึ้นมาเมื่อมีความสุข พึงพอใจและผ่อนคลาย
แสงเหนือจำไม่ได้แล้วว่าเขาเริ่มเที่ยวกลางคืนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีแสงสี เสียงดนตรี ความคึกคัก แอลกอฮอล์และผู้คนมากมายในสถานที่อันแออัดยัดเยียดก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปซะแล้ว
เมื่อก่อน...
หมายถึงตอนที่ยังเป็นนักศึกษา เพราะสามารถเลือกเวลาเรียนเองได้ นายแสงเหนือจึงมักจะลงเรียนในช่วงบ่ายหรืออย่างเช้าที่สุดก็ประมาณ 10 โมงซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถลืมตาตื่นหลังจากไปตะเวนท่องราตรีมาทั้งคืนได้ เอาเป็นว่าร้านเหล้าเปิดวันไหน แสงเหนือก็ไปขลุกอยู่ที่นั่นวันนั้นแหละ แต่พอเรียนจบและเริ่มทำงานออฟฟิศซึ่งบังคับให้ต้องตื่นเช้า การเที่ยวทุกวันก็ลดเหลือเพียงสัปดาห์ละ 1 หรือ 2 วันเท่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าคนออกจากร้านมาด้วยกันจะถูกใจมากน้อยแค่ไหน
ตราบใดที่ทั้งสองฝ่ายยังโสดเรื่องวันไนท์สแตนด์ก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่ารังเกียจสำหรับแสงเหนือ เขาคิดว่าก็ในเมื่อต่างฝ่ายต่างถูกใจกันแต่ไม่อยากมีความผูกพันด้านความรู้สึก ความสัมพันธ์ทางกายเพียงอย่างเดียวก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ แต่ก็ไม่บ่อยนักหรอกที่แสงเหนือจะได้เจอคนถูกใจจริงๆ
ครั้งล่าสุดน่าจะผ่านมา 3 เดือนโดยประมาณ
ถุงยางอนามัยในกระเป๋าแทบจะไม่ได้หยิบออกมาใช้เลย
อย่างไรก็ตาม แสงเหนือไม่ยอมให้มันหมดอายุคากระเป๋าแน่ๆ
สาบานด้วยความเฟรนลี่ เสน่ห์และน้ำหอมที่เจ้าตัวตั้งใจฉีดมาวันนี้
“แหมไอ้เหนือ กูนึกว่ามึงเดินมา” ทันทีที่เดินเข้ามาถึงโต๊ะ คนแรกที่กระแนะกระแหนแทนคำทักทายก็คือเฉิน เพื่อนหน้าตี๋กล้ามโตที่รักรูปร่างตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด ตอนนี้ทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์วีไอพีอยู่ในฟิตเนสของพ่อมัน
นี่แหละหนาที่เขาบอกว่าเกิดมารวยมีชัยไปกว่าครึ่ง
ส่วนหนุ่มหน้าขาวปากแดงเจ้าของความสูง 180 เซนติเมตรที่นั่งอยู่ข้างๆ กันคือขุนพล เรียนปริญญาโทอย่างเดียว งานการไม่ทำ
“พระเอกออกทีหลังก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอวะ” แสงเหนือตอบโต้อย่างไม่ทุกข์ร้อนพร้อมกับนั่งลงข้างๆ
อันที่จริงมาถึงนี่ก่อน 5 ทุ่มก็เก่งแล้ว เพราะกว่าจะออกจากออฟฟิศฝ่ารถติดตรงแยกมหาโหดกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและขับรถฝ่าการจราจรอันสาหัสสากันช่วงค่ำวันศุกร์มาถึงแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนสุดฮิตได้ก็เล่นเอาอ่อนล้าไปทั้งกาย พูดง่ายๆ ว่าร่างพัง
แต่ถึงจะอ่อนล้า แสงเหนือก็มั่นใจว่าคืนนี้เสน่ห์อันแพรวพราวของเขาต้องไปสะดุดตาใครซักคนเข้าแน่ๆ และลงเอยด้วยการหยิบถุงยางอนามัยจากกระเป๋าออกมาใช้
“มึงมาเร็วไปก้าวนึงว่ะ อย่างมากก็เป็นได้แค่พระรองเท่านั้นแหละ” มองตามสายตาขุนพลไปก็พบเจ้าของร่างสูงใหญ่ หน้าตาคมคายกับผิวสีแทนอันเป็นเอกลักษณ์ในกางเกงยีนรัดรูป เสื้อเชิ้ตแหวกลึกจนเกือบถึงสะดือกับรองเท้าบู๊ทหนังเลยข้อเท้า
“กูยอมว่ะ” แสงเหนือยอมยกธงขาวยอมแพ้แต่โดยดี
พ่อหนุ่มผิวแทนคนนี้คือชาติภูมิ ลูกชายนักการเมืองท้องถิ่นที่ไม่อยากเป็นนักการเมืองเหมือนพ่อจึงเลือกทำงานที่สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ทว่าทำงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ตัดต่อไม่นาน ก็ไปสะดุดตาผู้จัดที่เดินสวนกันตรงล็อบบี้สถานีเข้า จับพลัดจับผลูกลายเป็นนักแสดง ถึงจะยังไม่ทันได้รับบทใหญ่แต่ก็ได้รับโอกาสจากงานโฆษณาหลายต่อหลายชิ้นแล้ว
“ไงมึง เพิ่งถ่ายแบบเสร็จเหรอวะ” แสงเหนือทักทายพลางมองเสื้อผ้าบนร่างของเพื่อนสนิทไม่วางตา
“ทำไม กูดูหล่อเป็นพิเศษเหรอ”
“ธีมหนังคาวบอยรึเปล่า เสื้อมึงอะแหวกได้อีก ถ้าจะแหวกขนาดนี้ถอดเลยมั้ย”
“นั่นก็เกินไป แค่นี้สาวๆ ก็มองตามกูจนคอเคล็ดกันเป็นแถวแล้ว”
“มั่นหน้าไม่มีใครเกินมึง”
“ก็กูมีหน้าหล่อๆ ให้มั่นก็ต้องมั่นดิวะ”
“ไม่คุยกับแม่งละ มาถึงก็โม้เลย แดกเหล้าดีกว่า” เฉินเป็นคนแรกที่เบือนหน้าหนีพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปากราวกับกระหายน้ำ
“เก็บความอิจฉาไม่มิดเลยนะคุณเฉิน”
“ใครอิจฉามึง ในบรรดาพวกเรางานกูสบายสุดแล้ว หรือมึงจะเถียง”
สบายไหมไม่รู้ แต่ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเฉินเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุด เพราะได้ทำสิ่งที่ชอบเป็นงานประจำ แถมไม่ต้องทนรับแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานเพราะหัวหน้างานก็คือพ่อที่แสนจะอารมณ์ดียิ่งกว่าตลกสามช่า
“มึงอะขุน เห็นเพ้อๆ อะไรอยู่ในสตอรี่”
“มึงรู้ปะภูมิว่ามึงทำตัวเหมือนคนว่างงานยิ่งกว่ากูอีก”
“สตอรี่อะไรวะ” แสงเหนือถามอย่างอยากรู้อยากเห็น ที่จริงคนชอบเล่นโซเชียลอย่างเขาไม่น่าพลาด ทว่าวันนี้มีงานเร่งจึงแทบจะไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาส่องเลย
แต่ถึงจะแสดงความอยากรู้อยากเห็นมากแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากเพื่อนเลยซักนิด
“ก็กูว่างจริงนี่หว่า วันๆ นอกจากเรียนการแสดงกูก็แทบไม่ได้ทำอะไรเลยเว้ย แม่งไม่อยากเป็นแล้วดารงดาราเนี่ย อยากกลับไปเป็นเจ้าหน้าที่ตัดต่องานงกๆ เหมือนเดิมมากกว่าอีก”
“ก็กลับดิ”
“ได้ที่ไหนอะ พวกมึงลืมไปแล้วรึไงว่ากูเซ็นสัญญาไปแล้ว ถอนตัวก็คือจ่ายค่าปรับบานเบอะ มีหวังพ่อกูฟันหัวแบะแน่ๆ” ท้ายประโยคชาติภูมิเอ่ยด้วยสำเนียงท้องถิ่นชวนให้นึกถึงช่วงปี 1 ที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก ตอนนั้นชาติภูมิเพิ่งเข้ากรุงเทพ เจ้าตัวยังพูดภาษาถิ่นอย่างภูมิอกภูมิใจและภาษาที่ฟังดูเป็นมิตรนั้นก็เรียกให้แสงเหนือเดินเข้าไปทักทาย มารู้ทีหลังว่าทั้งเฉินและขุนพลก็เช่นกัน ทว่าผ่านไปไม่นานชาติภูมิก็เลิกภูมิใจในภาษาถิ่นของตัวเอง ต้นเหตุเพราะถูกรุ่นพี่ล้อว่าเป็นเด็กบ้านนอก
จนถึงตอนนี้ปมเรื่องนั้นก็ยังติดอยู่ในใจของนักแสดงหนุ่มไม่คลาย
“มีชื่อเสียงก็ทำแบบเดิมไม่ได้แล้วดิวะ” แสงเหนือหมายถึงวันไนท์สแตนด์แบบที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่เริ่มเที่ยว
“เออดิ โดนแฉขึ้นมาทำไงล่ะ”
“วงการบันเทิงนี่ก็แปลก มีอารมณ์ทางเพศก็ต้องจัดการมั้ยวะ อีกอย่างมึงก็ไม่ได้ไปหลอกลวงใครมาเป็นคู่นอนซักหน่อย ต่างคนต่างพึงพอใจแล้วทำไมต้องกลัวโดนแฉ”
ชาติภูมิไหวไหล่ อันที่จริงตอนที่ถูกผู้จัดการห้ามเขาก็อยากจะถาม แต่ถามแล้วยังไงต่อ อาจะได้เหตุผลดีๆ แต่ข้อห้ามก็ไม่ได้หายไป
“แต่ก็ดีแหละ”
“เก็บทรงไม่อยู่เลยนะแสงเหนือ”
“บ้าน่าเฉิน เก็บทรงอะไร กูก็ปกติดี” เฉินหัวเราะคิกคักต่างจากชาติภูมิที่เก็บสีหน้าไม่สบอารมณ์ไม่อยู่เลย นิสัยบางอย่างถ้าลองได้ติดตัวแล้วก็แก้ยากใช่เล่นเลย
เห็นแสงเหนือผู้ไม่มีพันธะผูกพันกระดี๊กระด๊าไม่เก็บทรงก็อดอิจฉาไม่ได้จริงๆ
“เบาได้เบานะมึงอะ” ทว่าขณะที่เพื่อนๆ เห็นดีเห็นงานในเรื่องเดียวกัน ขุนพลก็เหยียบเบรกจนแทบหัวคะมำกันหมด
“เบาเหี้ยไรครับขุนพล นี่กูแห้งเหี่ยวมา 3 เดือนแล้วนะเว้ย คืนนี้ต้องได้แล้วปะ”
“เอาที่มึงสบายใจเหอะ แต่ก็อย่าหมกมุ่นให้มาก”
“มึงอะ บ่นกูเหมือนเกี๊ยวเลย นี่มันให้มึงมาคอยห้ามกูรึเปล่าเนี่ย” เกี๊ยวคือชื่อของเพื่อนอีกคนในกลุ่ม เป็นเพื่อนสนิทที่โตมากับแสงเหนือ เรียกได้ว่าอยู่ในทุกช่วงชีวิตของกันและกันเกือบ 10 ปีได้แล้ว
ทว่าชื่อเกี๊ยวที่แสงเหนือเอ่ยออกมาอย่างไม่คิดอะไรกลับทำให้ทั้งโต๊ะตกอยู่ในความเงียบงัน จนเฉินต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเอาเท้าสะกิดแสงเหนือที่ใต้โต๊ะแล้วบุ้ยปากไปด้านหลัง
“ถัดจากเราไป 3 โต๊ะ หนุ่มน้อยหัวทองกำลังจ้องมึงอยู่อะ”
“จริงดิ หันไปมองได้ปะ”
“มีปัญญาแค่นั้นเหรอแสงเหนือ ยกแก้วไปชนเลยดิวะ”
ในเมื่อเพื่อนส่งแรงใจเชียร์ขนาดนี้แล้วมีหรือที่แสงเหนือจะไม่ทำตามเสียงเรียกร้อง แก้วเหล้าถูกหยิบขึ้นมาพร้อมกับร่างสูงที่ลุกขึ้นยืน เมื่อหมุนตัวและมองไปยังโต๊ะตัวที่ว่านั้นก็ประสานสายตาเข้ากับชายหนุ่มตัวเล็กสเป็กแสงเหนือเข้าพอดี เส้นผมสีทองเข้ากับใบหน้าขาวใส ริมฝีสีระเรื่อโดดเด่นที่สุดบนใบหน้าน่ารักคลี่ยิ้มทักทาย สายตาสื่อความหมายคล้ายเป็นสัญญาณส่งเสียงเรียกให้ก้าวไปชนแก้ว
คิดว่าคืนนี้...ถุงยางอนามัยคงได้ทำหน้าที่ของมันจริงๆ
TBC.
:)