ตอนที่ 1

 

 

 

 

 

     ในอาณาจักรแห่งหนึ่งที่ถูกปกครองด้วยจักพรรดินีเมอร์เรียนที่ 2 จักพรรดินีผู้นี้มากด้วยความสามรถแต่ก็มากด้วยกามอารมณ์เช่นกัน พระองค์มีพระสนมชายอยู่ในครอบครองถึง 7 พระองค์ด้วยกัน ถึงแม้จะมีพระสนมมากมายแต่ก็ยังไม่มีใครได้สิทธิ์นั่งเคียงข้างพระองค์เลยสักคน หากว่าด้วยเรื่องทายาทก็ยิ่งแล้วใหญ่ แม้จะผ่านมาหลายมีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววถึงบุตรของพระองค์เลยสักนิด

    วันนี้ก็เหมือนอย่างทุกวัน หลังเสร็จสิ้นกิจบ้านเมืองแล้วก็ถึงเวลาที่พระองค์จะต้องไปหาพระสนมของตน จักพรรดินีในวัยสาวพรั่งนั้นงดงามหาที่ใดเปรียบ แต่ใครจะรู้เล่าว่าการที่ไปหาพระสนมของพระองค์คือการไปนั่งดูพวกเขาเล่าสิ่งต่างๆหรือแสดงอะไรให้หล่อนดูเพียงเท่านั้น ไม่มีใครเคยได้สัมผัสตัวนางและพวกเขาก็ไม่สามารถปริปากเรื่องนี้ได้เป็นอันขาดเพราะนี่คือกฎเหล็กในการอยู่ในพระราชวังแห่งนี้

   หลังจากพระนางเสวยพระกายาหารกับสนมหนุ่มเสร็จเรียบร้อยแล้วก็คุยอะไรกันนิดหน่อยเพื่อให้พระองค์คลายเครียดจากหน้าที่การงานในทั้งวันที่ผ่านมา

  “ฝ่าบาท วันนี้พระองค์จะทรงบรรทมที่นี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้กับเจ้าชีวิตของตน ตัวเขานั้นเป็นองค์ชายจากอาณาจักรอื่นที่ถูกส่งตัวมาเป็นส่วย ในทีแรกก็ไม่พอใจที่ต้องจากบ้านเกิดมาเพื่อเป็นสนม แต่พอได้พบหน้ากับองค์จักพรรดินีเข้า เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดแทบจะทันที พระองค์ช่างงดงามกว่าหาที่ใดเปรียบ แม้จะตัวเล็กแต่ก็แบกภาระไว้มากมายนัก ทั้งสวย ทั้งเก่งขนาดนั้น ก็ทำให้ดวงใจของเขาตกเป็นขององค์จักพรรดินีได้อย่างง่ายได้ แม้ว่าจะมีคู่แข่งอีกหกคนที่ร่วมชายคาด้วยก็ตามแต่พวกเขาก็ไม่เคยทะเลาะเลยสักครั้ง ออกจะสามัคคีกันสะอีก ช่วยกันแบ่งปันข้อมูลต่างๆที่ตนรู้ และการที่เราคุยกันใรทุกๆวันเช่นนี้ก็ทำให้รู้ว่าองค์จักพรรดินีไม่เคยนอนกับผู้ใดเลยสักครั้งแม้จะผ่านมาสามปีแล้วก็ตามที่เรามาที่นี่กัน

   “เจ้าก็รู้สิ่งที่ถามอยู่แล้ว จะถามอีกให้ได้ความอะไร” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยตอบเขาอย่างไม่ยีรัง พระนางช่างเย็นชาเหลือล้นแต่นั้นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งขอพระองค์นั้นแหละ 

  “ก็เผื่อพระองค์อยากทำอย่างอื่นนอกจากคุยเฉยๆนี่พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย เลื่อนมือเข้าไปใกล้พระนางแต่ก็ถูกปัดออกแทบจะทันที 

  “เราจะไปแล้ว” หญิงสาวเอ่ย ลุกขึ้นจากโซฟา หยิบเสื้อคลุมของตนและรีบเดินออกไปจากห้องโดยที่เจ้าของยังไม่ได้เอ่ยคำลาเลยสักนิด

  “ให้ตายเถอะ นางเป็นพวกตายด้านหรือไง” ชายหนุ่มเสยผมของตนที่ปรกหน้าขึ้นอย่างหัวเสีย ทั้งที่วันนี้เลือกใส่เสื้อผ้าที่เปิดอกขนาดนี้จนแทบจะไม่ต้องใส่แล้วแท้ๆ แต่นางกลับไม่มองมันเลยด้วยซ้ำ “คริส ข้าอ้วนขึ้นอย่างนั้นรึ กล้ามข้าหายรึเหตุใดพระนางจึงไม่มองข้าเลย”

  “หามิได้ครับองค์ชาย พระองค์ไม่ได้อ้วนขึ้นเลยครับ หุ่นพระองค์ยังคงสมบูรณ์แบบเหมือนกับที่ผ่านมาครับ หากแต่องค์จักพรรดินีมีตาหามีแววไม่” 

  “อย่าว่าจักพรรดินีเช่นนั้นอีก หากมีคนมาได้ยินเข้าเจ้าจะซวยมิใช่น้อย”

  “ขออภัยครับ” คริสเป็นห่วงองค์ชายจนเกินเหตุไปสินะ ชายหนุ่มมององครักษ์ของตนที่ติดตามมาด้วยกัน ส่ายหน้าออกมาเบาๆ หากเป็นอย่างเขาว่าจริงๆแล้วเหตุใดพระองค์จึงไม่ให้ความสนใจเข้าเลยนะ ให้ตายเถอะ ก่อนจะมาที่นี้เขาเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆแท้ๆ จะบอกว่าสเปคของหญิงสาวที่นี่จะไม่เหมือนกับอาณาจักรของเขามันก็ไม่ใช่ เพราะสาวใช้ที่มาทำความสะอาดที่วังมรกตแห่งนี้ก็ดูจะชอบเขากันอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่แค่เขาด้วยซ้ำแต่สนมอีกหกคนที่เหลือพวกนางก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากเขา เอาจริงๆพวกเราก็หน้าตาดีกันทั้งหมดนั่นแหละ แต่ก็ยังไม่มีใครได้ใจองค์จักพรรดินีสักคนเช่นเดียวกัน

 

 

   “เป็นอย่างไรบ้าง แดเนียล” เจ้าของชื่อถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ส่ายหน้าเบาๆ ทุกคนที่นั่งอยู่ก็รู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร

  “นี้ก็ผ่านมาสามปีแล้วที่เรามาอยู่ที่นี่ แต่พระนางก็ยังไม่เคยร่วมหอกับใครเลยน่ะหรือ” เหล่าชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง 

  “พวกท่านว่าที่พระนางหายไปในทุกๆคืน พวกท่านคิดว่าพระองค์ไปนอนห้องบรรทมหรือไปที่อื่นหรือ” คนที่อายุน้อยที่สุดอย่างอาร์เธอร์เอ่ยถามขึ้นวงสนทนา “เอาน่า ที่นี่ก็มีแต่พวกเราทั้งนั้นแหละ ข้ารู้ว่าพวกท่านก็เกิดคำถามนี้เช่นเดียวกับข้า” พวกเขามองหน้ากันไปมาเล็กน้อย อาร์เธอร์เป็นคนที่พูดออกมาตามใจคิดเช่นนี้ จนพวกเราไปไม่เป็นอยู่บ่อยครั้ง แต่คำพูดของเขาก็ตรงใจพวกเราอยู่ทุกครั้งไปเช่นเดียวกัน

  “ถึงมันจะเป็นการเสียมารยาทที่มานินทาเรื่องของจักพรรดินีแต่ข้าคิดว่าพระนางไม่ได้กลับห้องบรรทมหรอก” ชายหนุ่มที่ดูเรียบร้อยที่สุดอย่างเลออนเอ่ยขึ้นมาในวงสนทนาหลังจากเงียบฟังอยู่นาน

  “ใช่ไหมล่ะ ข้าอย่างรู้เสียจริงว่านางหายไปไหน” พวกเราทุกคนต่างพยักหน้าไปตามๆกัน นั้นเป็นความสงสัยที่พวกเราอยากรู้มากที่สุด 

  “แต่จะทำอย่างไรล่ะ ที่นี่ก็ใช่ว่าจะออกไปได้ง่ายๆเสียหน่อย มีทหารเฝ้าก็ตั้งมาก” อลันเอ่ยขึ้นมา ภายในวังมรกตสถานที่ที่พวกเราอาศัยอยู่แม้จะสะดวกสบายมีทุกอย่างให้เลือกสันแต่ก็ไม่มีอิสระเลยสักนิด พวกเราไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ เว้นแต่จะขออนุญาตจักรพรรดินีและต้องรายงานว่าพวกเราจะไปที่ใดอีกต่างหาก ซึ่งมันก็ยุ่งยากจนไม่อยากทำและเลือกที่จะอยู่แต่ในนี้แทน

  “ข้าว่าพระนางไม่ได้ออกไปไหนหรอก คนที่นางไปหาน่ะ อยู่ภายในวังมรกตแห่งนี้นี่แหละ” ชายหนุ่มทั้งหกหันหน้ามามองดีนแทบจะเป็นสายตาเดียวกัน เขากระแอมเล็กน้อย “ข้าบังเอิญเห็นตอนออกไปเดินเล่นที่สวนน่ะ ข้าเห็นว่าพระนางแอบไปที่ที่หนึ่งภายในวัง” 

  “จะบอกว่าภายในวังแห่งนี้มีห้องลับอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าพวกเราสำรวจกกันหมดแล้วหรอกหรือ” เอ็ดเวิร์ดเอ่ยขึ้นมา

  “ใครจะรู้ล่ะ ภายในวังแห่งนี้ก็กว้างใหญ่ไม่น้อยพวกเจ้าก็รู้ การที่จะมีห้องลับโดยที่พวกเราไม่รู้ก็คงจะเป็นเรื่องธรรดา” เอเดนเอ่ยกับเหล่าสหาย “พวกเจ้าว่าพระนางซ่อนอะไรไว้ ในห้องลับที่พวกเราไม่รู้” 

  “จะไม่รู้ได้อย่างไร ปีศาจหรือ” ชายหนุ่มส่ายหน้า 

  “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน” เอเดนเอ่ย “เช่นนั้นคืนนี้พวกเราลองตามองค์จักพรรดินีไปดูดีหรือไม่” เอเดนเสนอความคิด เขายกแก้วจิบไวน์ไปพลาง รอเราเด็กหนุ่มทั้งหลายครุ่นคิดในสิ่งที่เขาเสนอ

  “มันจะไม่เสี่ยงไปรึ” อลันเอ่ยขึ้น หากโดนจับได้จะไม่ได้โดนลงโทษไปหรอกรึ 

  “ไม่เสี่ยงไปหรอก พวกเราก็รู้ทางหนีทีไล่ของที่นี่อยู่แล้ว แถมตอนกลางคืนที่นี่มืดจะตาย” เอเดนเอ่ย “หากไปตื่นตูมพระนางก็จับไม่ได้หรอก พวกเราก็ตามพระนางไปเพียงแค่ให้พอรู้ว่าห้องนั้นอยู่ที่ไหนก็พอ”

  “แต่ว่าหากไปกันหมดยังไงมันก็ต้องจับได้ไม่ใช่หรือ” เอ็ดเวิร์ดเอ่ย “ยิ่งไปน้อยยิ่งดีนะ” 

  “ข้าคิดไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะพูดเช่นนี้ ข้าจึงเตรียมสิ่งนี้มาด้วย” เอเดนยกบางสิ่งขึ้น 

  “กิ่งไม้งั้นรึ” เอเดนพยักหน้าเบาๆ

  “กิ่งไม้พวกนี้มีขนาดไม่เท่ากัน หากใครได้ไม้สั่นที่สุดก็คือผู้โชคดีที่จะต้องสะกดรอยตามพระนางไป” เอเดนอธิบายให้อีกหกคนได้ฟังถึงกติกา “ยุติธรรมดีนะว่าไหม” 

  “เอาเช่นนี้ก็ได้” ชายหนุ่มต่างพากันเหงื่อตกไปตามๆกัน แม้จะอยากรู้แต่ก็กลัวอยู่ดี พวกเขาก็ต่างหวังว่าจะไม่ใช่ตัวเอง 

  “เอาละ หากจับกันครบหมดแล้ว ก็ชูขึ้นมา” ชายหนุ่มทั้งเจ็ดคนยกกิ่งไม้นั้นขึ้นมาพร้อมกัน และผู้โชคดีที่ว่านั้นก็คืออาร์เธอร์คนที่อายุน้อยที่สุดในทั้งเจ็ดคน อาร์เธอร์ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเท่าไหร่นะ คำภาวนาของเขาไม่เป็นผลสินะ 

 “อาร์เธอร์ งานนี้คงต้องฝากเจ้าแล้วล่ะ” เอ็ดเวิร์ดตบไหล่อาร์เธอร์เบาๆ 

 “ว่าแต่วันนี้ใครเป็นเวรนะ” อลันยกมือขึ้น เอเดนพยักหน้าเบาๆ “ดีนเจ้าเห็นองค์จักพรรดินีไปทางไหน” 

 “เดินไปทางเดินฝั่งตะวันตก แต่ข้าไม่รู้ว่าพระนางไปที่ไหนต่อ” 

 “ก็ดี ห้องอลันเป็นห้องสุดท้ายทางตะวันตกพอดี จะได้ตามง่ายๆหน่อย” เอเดนหันไปทางอาร์เธอร์ “ดีที่อาร์เธอร์ตัวเล็ก เจ้าไปซ่อนตัวตรงระเบียงฝั่งทางเดิน ตรงนั้นเจ้ายืนอยู่ได้สบายๆเลยล่ะ ส่วมชุดดำไปด้วยล่ะ จะได้สังเกตยากหน่อย” 

 “เอาอย่างนั้นรึ” เอเดนพยักหน้า “เข้าใจแล้ว” อาร์เธอร์ตอบรับ เอาเถอะลองดูสักหน่อย จักรพรรดินีคงไม่ใจร้ายขนาดหรอกกระมัง ถ้าเขาถูกจับได้ว่าแอบตามน่ะ

 

 

 ในกลางดึกคืนนั้นอาร์เธอร์แอบอยู่ตรงระเบียงฝั่งทางเดินตามที่เอเดนบอก อาร์เธอร์มองดูชุดสีดำของตนอย่างไม่ชอบใจนัก กว่าจะหาเจอไม่คิดเลยจริงๆว่าตัวเองมีชุดสีดำอยู่กับเข้าด้วย

 “นานจังแฮะ” อาร์เธอร์เอ่ยกับตัวเองเบาๆ สักพักเขก็ได้ยินเสียงประตูเปิดออก ในที่สุดองค์จักรพรรดินีก็ออกมาจากห้องของอลันเสียที อาร์เธอร์ฟังเสียงย่างเท้าที่ค่อยๆห่างออกไป นำตัวเองขึ้นมายังทางเดิน เสื้อคลุมของจักรพรรดินีเป็นสีแดง ทำให้ตามตัวง่ายขึ้นหน่อย อาร์เธอร์พยายามทำให้ฝีเท้าตัวเองเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ องค์จักรพรรดินีเดินไปทางฝั่งขวา ซึ่งที่ตรงนั้นไม่ได้มีห้องอะไรมิใช่หรือ 

 อาร์เธอร์หลบอยู่กำแพง ค่อยๆโผล่หน้าออกไปให้เห็นว่าจักรพรรดินีทำอะไร พระนางหยุดอยู่หน้ารูปวาดผืนใหญ่ พระนางค่อยๆเลือนมันออก พบกับประตูที่ซ่อนอยู่หลังรูปนั้น อาร์เธอร์ทำตาโตอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

 เขาไม่คิดเลยว่าหลังรูปนั้นจะมีห้องอยู่จริงๆตามคำกล่าวของคนเหล่านั้น หลังล่วงรู้ความลับของจักรพรรดินีแล้วเขาก็รีบวิ่งไปยังห้องของตนแทบจะทันทีก่อนจะมีคนมาเห็นเข้าแล้วเขาจะซวยเอาเปล่าๆ

 

 

 “ฝ่าบาท” ชายวัยกลางคนคลุมผ้าให้ผู้เป็นเจ้าชีวิตของทับอีกชั้นเพราะอากาศข้างนอกหนาวเย็นนัก “เมื่อครู่ก่อนที่ฝ่าบาทจะออกมา กระหม่อมเห็นท่านอาร์เธอร์ที่ระเบียง..”

 “เรื่องนั้นเรารู้อยู่แล้วล่ะ” องค์จักรพรรดินีกระชับผ้าคลุมของตนเล็กน้อย “อาร์เธอร์คงทำตามคำสั่งเอเดน ให้มาแอบดูเรา” หญิงสาวหยุดคิดไปครู่หนึ่ง “อย่างพวกเจ้าไม่สงสัยหรือว่าฝ่าบาทไปที่ใด ลองไปจับตาดูสิ อะไรทำนองนี้กระมัง” 

 “ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดีพ่ะย่ะค่ะ”

 “จับตาดูไปก่อนเถอะ เราอยากรู้เสียจริงว่าพวกเขาจะทำอย่างไรต่อ” ว่าจบพระองค์ก็เดินขึ้นรถม้าทันที ชายวัยกลางคนมองดูองค์จักรพรรดินีเล็กน้อยก่อนจะขึ้นรถม้าตามเพื่อกลับสู่พระราชวังตามเดิม

 “หากพวกเขารู้ความลับพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ

 “พวกเขาไม่มีทางรู้เรื่องนี้เป็นอันขาด เพราะหากรู้พวกเขาคงจะลำบากอยู่ไม่น้อย” องค์จักรพรรดินีเหยียดยิ้มอย่างนึกสนุก เอาเถิดเอเดนหากเจ้ามีความอยากรู้อยากเห็นเช่นนั้นก็ลองดูเสียหน่อย ข้าหรือเจ้ากันที่จะชนะในเกมครั้งนี้

 

 

 “เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าได้ความว่าอย่างไร” เอเดนเอ่ยถามขึ้นขณะที่พวกเรากำลังร่วมกันน่งดื่มน้ำชาอยู่

 “สุดทางเดินฝั่งตะวันตกทางขวามือ รูปแขวนนั่นมีประตูซ่อนอยู่” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาเบาๆอย่างกล้าๆกลัวๆ เอเดนยกยิ้มชอบใจ ความลับของพระองค์ให้เอเดนผู้นี้ได้รับรู้ด้วยเถอะนะพ่ะย่ะค่ะ

 “เป็นเช่นนั้นรึ” เอเดนวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ “ข้าคงต้องไปดูหน่อยแล้วกระมัง” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

 “จะไปตอนนี้เลยหรือ” อลันเอ่ยถาม “หากมีคนมาเห็นจะทำอย่างไร” 

 “จะมีใครเห็นได้อย่างไร เวลานี้พวกสาวใช้ไม่อยู่บนตึกหรอก” ชายหนุ่มเอ่ย มุ่งตรงไปยังสถานที่ที่อาร์เธอร์บอก

 “ข ข้าไปด้วย” อาร์เธอร์เอ่ย คนอื่นๆค่อยๆเดินตามเอเดนไป อลันมองดูคนอื่นๆที่ลุกเดินตามไปกับเอเดน เขาช่างชักจูงคนเก่งจริงๆ อลันคิดก่อนจะเดินตามพวกเขาไปด้วย

 

 

 พวกเขามาหยุดอยู่หน้ารูปภาพนักรบผืนใหญ่ อาร์เธอร์จัดการเคลื่อนรูปภาพเหมือนดั่งที่เขาเห็นมาเมื่อคืน หลังรูปภาพนั้นมีประตูอยู่จริงๆ พวกเขาทั้งเจ็ดรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่ตนพึ่งรู้อยู่ไม่น้อย

 ประตูไม้บานใหญ่พอดีคนผ่านนั้นไม่ได้ล็อคหรือผนึกไว้ ไร้ซึ่งความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้นจนน่าพิศวง เอเดนมองดูประตูบานนั้นด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าหลังประตูนั้นมีอะไรอยู่ แถมไม่ล็อคไว้เช่นนี้เพราะคิดว่าพวกเราจะไม่รู้ก็คงไม่ใช่ ด้วยนิสัยของนางที่ดูระวังตัวขนาดนั้นคงไม่สะเพร่าเช่นนี้

 “หยุดก่อนอาร์เธอร์” เอเดนจับแขนอาร์เธอร์ที่ทำท่าจะเปิดประตูบานนั้น 

 “ทำไมเล่า ประตูนี่ก็ไม่ได้ล็อคอะไร” เอเดนส่ายหน้า

 “มันน่าสงสัยเกินไป” เอเดนเอ่ย “พอแค่นี้แหละ กลับกันเถอะ” แม้คนที่เหลือจะรู้สึกสงสัยกับการกระทำของเอเดนแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากอะไรออกไป