5 ตอน 5
โดย wilderst winter
you see the world in colors
i view it black and white
paint me a picture
out of the lines that I live in all of the time
treat me soft and tender
• spotify playlist is available now •
...
หลังจากวันที่ได้ลองวาดครั้งแรก ตะวันก็แนะนำให้จงรักลองถอดเสื้อผ้าแล้วมองตัวเองในกระจกบ่อย ๆ
แรกเริ่มที่ได้ลองทำก็รู้สึกเขินอายนิดหน่อยที่ต้องมายืนจ้องตัวเองในสภาพล่อนจ้อน เพราะโดยนิสัยแล้วเขาไม่ใช่คนที่จะชอบแก้ผ้าหน้ากระจกเท่าไหร่ แต่พอได้ทำครั้งที่สอง สาม สี่ และถัด ๆ มาก็เริ่มเคยชิน เขาเล่าความคืบหน้าให้ตะวันฟังว่ารู้สึกอย่างไร มันดีอย่างไรที่ได้เริ่มทำความรู้จักกับร่างกายด้วยตาของตัวเองจริง ๆ
และจงรักขอยอมรับเลยว่าไอ้คำว่า เก่งมาก ของตะวันมันทำให้เขาโคตรรู้สึกดี
จากที่คุยกันแค่เรื่องงาน (?) ก็เริ่มคุยกันเรื่องอื่นบ่อยขึ้น จงรักมักจะกลายเป็นตัวเลือกที่ตะวันชวนไปดูนิทรรศการทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย บางครั้งเลิกเรียนแล้วไม่รู้จะกินอะไรดีก็พาตัวเองมาฝากท้องกับตะวัน และบางครั้งที่ตะวันอยากลองทำอาหารอะไรแปลก ๆ แล้วไม่มีเพื่อนคนไหนกล้าลองชิมก็เป็นจงรักอีกนั่นล่ะที่ต้องทำหน้าที่นั้น
หรือแม้แต่วันที่ไม่มีอะไรเป็นปัจจัยให้ต้องมาเจอกัน ไม่จงรักทักไปหาตะวันว่า ‘ขอไปนั่งเล่นที่ห้องหน่อย’ ก็เป็นตะวันที่ทักมาว่า ‘เหงาอะ มานั่งเล่นที่นี่ไหม’ แล้วก็ไม่เคยมีใครปฏิเสธ
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่จงรักเอาตัวมาแปะไว้ที่ห้องสตูฯ ของตะวันโดยไม่มีเหตุผล
จงรักเคาะประตูห้องสามครั้งต่างสัญญาณบอกการมาถึง เฝ้ารอเจ้าของห้องที่ใบหน้าเปื้อนสีในบางครั้งแต่เปื้อนรอยยิ้มอยู่เสมอจะเปิดประตูให้ และเมื่อตะวันทำเช่นนั้น จงรักก็จะยิ้มกลับไปราวกับเป็นธรรมเนียมของทั้งคู่ไปแล้ว
“อู้ว วันนี้ปล่อยผม”
“พอดีหายางมัดผมไม่เจอ” คนน้องถามพลางจับปลายผมด้วยความประหม่า “มันแย่ไหม”
“ไม่ ๆๆ ปล่อยผมก็หล่อ โคตรหล่อเลยแก”
ตะวันหลีกทางให้จงรักเดินเข้ามาในห้องพลางพยายามสังเกตอีกฝ่ายไปด้วย ปกติแล้วจงรักจะชอบใส่กางเกงยีนหลวม ๆ กับเสื้อฮู้ดและรวบผม แต่เมื่ออีกฝ่ายใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนพอดีตัวและปล่อยผมแบบนี้แล้วมันก็ทำให้เขานึกถึงฉากแปลงโฉมในหนังหรือซีรีส์สักเรื่อง และแน่นอนว่าจงรักคือตัวละครเอกอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะไอ้ผมที่ถูกปล่อยนั่น...
นี่มีใครรู้หรือยังว่าตะวันชอบเวลาจงรักปล่อยผมน่ะ
เพิ่งรู้งั้นเหรอ
โอเค อย่าบอกจงรักแล้วกัน
“จริงเหรอ ผมว่ามันดูรุงรังนิด—เอ้า พี่มู่”
จงรักพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ต้องหยุดลงเสียก่อน เพราะเมื่อเจ้าของห้องปิดประตูลง เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าในห้องไม่ได้มีเพียงสิ่งไม่มีชีวิตอย่างผลงานศิลปะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีคนอื่นอยู่ในห้องก่อนแล้ว ทั้งยังนั่งเกือบเปลือยอยู่โต๊ะตัวยาวริมห้องอีกต่างหาก
มู่หลานโบกมือทักทายผู้มาใหม่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย เธอใส่เพียงแค่เสื้อเชิ้ตแขนยาวบาง ๆ ตัวใหญ่เพียงตัวเดียว และนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะ จงรักนั่งลงที่โซฟาและวางกระเป๋าสะพายข้างลงอย่างที่มักจะทำเป็นประจำก่อนจะมองไปที่ตะวันด้วยสายตาสงสัย
“อ่าว มึงใส่เสื้อทำไมกูยังวาดไม่เสร็จเลย”
“ทำไมไม่บอกก่อนว่าน้องจะมา กูก็ตกใจหมด นึกว่าใคร” เธอว่าพลางปลดเสื้อเชิ้ตออกจากไหล่จนมันไหลไปกองอยู่ที่ข้อศอกก่อนจะกระโดดลงมาจากโต๊ะแล้วยืนเท้าเอว “บอกแล้วใช่ไหมว่ากูสบายใจกับมึงแต่ไม่สบายใจกับคนอื่น”
“ขอโทษที มึงก็รู้ว่าบางทีกูก็จัดการตารางชีวิตตัวเองไม่ถูก แหะ...”
ตะวันพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิดสุดชีวิตพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวประจำที่หน้าเฟรมภาพ และเมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มลงมือวาดอีกครั้ง มู่หลานก็กลับมายืนที่กลางห้องแล้วโพสต์ท่าอีกครั้งซึ่งจงรักเดาว่ามันคงเป็นท่าที่เจ้าตัวทำค้างไว้ก่อนหน้าที่เขาจะมาถึง
เธอผูกแขนเสื้อเชิ้ตไว้ที่เอวลวก ๆ จนมันบดบังส่วนกลางลำตัวอย่างหมิ่นเหม่แต่ก็ยังคงสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก ไม่ต่างอะไรกับหน้าอกขนาดพอดีกับร่างกายของเธอที่ถูกผมยาวสลวยสีดำขลับปิดบังเอาไว้ แขนยาวไพล่ไปที่ด้านหลัง ทิ้งสะโพกและงอขาหนึ่งข้าง
“ให้ผม...ออกไปก่อนไหม หรือว่าไปนั่งในห้องนอนก็ได้นะ—ถ้าพี่ตะวันอนุญาต” จงรักพูดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้มู่หลานรู้สึกอึดอัดพลางโบกมือไม้ไปมาอย่างเลิ่กลั่ก
“ไม่เป็นไร” มู่หลานว่ายิ้ม ๆ
“มายืนดูก็ได้นะ อันนี้เราอนุญาต”
เจ้าของห้องกล่าวพลางใช่พู่กันปาดสีไปตามพื้นที่ส่วนต่าง ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นจงรักก็รีบเด้งตัวขึ้นแล้วเดินไปยืนซ้อนอยู่ที่ด้านหลังของตะวัน เขาตกใจเล็กน้อยที่ภาพตรงหน้าถูกถ่ายทอดออกมาด้วยโทนสีที่หม่นหมองกว่าที่คิด ไหนจะร่างกายผอมโปร่งของเธอที่ดูจะขับให้ภาพนี้เป็นภาพเปลือยที่ไม่ได้เล่าถึงกามารมณ์แม้แต่สักนิด แต่เมื่อเงยหน้ามองดี ๆ แสงและเงาที่ถูกจัดวางก็เป็นอย่างที่ตะวันวาดไว้ แม้ว่ามันจะไม่เหมือนทุกกระเบียดนิ้วเพราะนี่คือลายเส้นของตะวัน แต่มันก็ถูกถ่ายทอดออกมาลึกซึ้ง
“ไม่เห็นเหมือนที่พี่วาดผมเลย”
“อันนี้คนละงานกัน”
จงรักร้องอ๋อทั้งที่ยังคงยืนอยู่อย่างนั้น ดวงตาจ้องมองตะวันตวัดฝีแปรงแทนที่จะเป็นดินสอหรือแท่งถ่าน ถือเป็นภาพที่แปลกใหม่พอสมควร ยิ่งได้เห็นอีกฝ่ายที่ใช้แปรงเก็บรายละเอียดภาพยิ่งรู้สึกสนใจจนเผลอยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
ซึ่งจงรักก็ไม่ได้รับรู้เลยว่าตะวันกำลังหายใจติดขัดแค่ไหน รวมถึงพู่กันในมือก็ไม่เป็นใจทั้งที่ปกติมันแทบจะกลายเป็นอวัยวะอีกชิ้นในร่างกายของเขาไปแล้ว
หากพู่กันมีชีวิตและที่ปลายด้ามยาว ๆ นั้นซึ่งแตะโดนข้อมือของตะวันเป็นครั้งคราวสามารถรับรู้ได้ถึงชีพจรที่เต้นเร็วขึ้นของเขา มันคงกำลังหัวเราะด้วยความสมเพช
ไม่ใช่เพราะมีคนมายืนดู
แต่เพราะเป็นจงรักต่างหาก
และตะวันก็ไม่คิดจะปฏิเสธความรู้สึกนี้เลย
ในขณะที่กำลังยื่นหน้าเข้ามามองภาพด้วยความสงสัยใคร่รู้และพยายามละเลียดชมงานศิลปะเท่าที่พอจะทำความเข้าใจได้ หูของจงรักก็ได้ยินเสียงถกเถียงของตะวันและมู่หลานแว่ว ๆ ถึงชื่อที่เขารู้จักจนเผลอพูดพึมพำออกไปทั้งที่ยังจ้องภาพบนผ้าใบไม่วางตา
“อ๋า รูปนี้คือเซนต์เซบาสเตียน
สินะ”“รู้จัก...เหรอ”
ตะวันหันหน้ากลับไปมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง และเมื่อได้เห็นว่าระยะห่างของทั้งคู่ถูกลดลงจนเหลือเพียงคืบเดียวตะวันก็ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ เช่นเดียวกันกับจงรักที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าปล่อยให้ร่างกายนำหน้าความคิดจนพาตัวเองมาหยุดอยู่ในจุดที่ใกล้กับอีกฝ่ายถึงขนาดนี้
“รู้สิ นักบวชที่เป็นเกย์ไอคอนเชียวนะ”
จุดที่นอกจากกลิ่นฉุนของสีแล้ว จมูกของเขายังรับรู้ได้ถึงกลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากต้นคอของตะวันด้วย
“แล้วมีคนมาคอยมองแบบนี้พี่ไม่รู้สึก...เขิน ๆ เหรอ” จงรักถอยตัวออกมาเพื่อตั้งสติก่อนจะทำทีถามมู่หลานด้วยความสงสัยเพื่อแก้สถานการณ์ ตะวันจึงกลับมาหายใจหายคอได้สะดวกขึ้นบ้าง “หมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่พี่ตะวัน”
“อืม...กับจงพี่โอเคนะ แต่กับคนอื่นที่ไม่รู้จักบางทีพี่ก็ไม่ชอบเหมือนกัน”
“...”
“ไม่ใช่เพราะเขินหรอก แต่เพราะเขาชอบทำเหมือนพี่เป็นตัวประหลาด”
“...”
จงรักพอจะเข้าใจสิ่งที่มู่หลานจะสื่อ ไม่ใช่เพราะเขาอยู่ในสถานะเดียวกันกับเธอ แน่ล่ะ เขาไม่ใช่คนข้ามเพศ เขาไม่มีทางเข้าใจความยากลำบากที่เธอต้องเผชิญแน่ ๆ แต่เข้าใจเพราะเมื่อได้ลองถอดเสื้อผ้าให้คนอื่นจ้องเป็นเวลานานแล้วบางครั้งก็อดอึดอัดไม่ได้ ยิ่งถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จัก (ซ้ำร้ายยิ่งเป็นคนที่ไม่ได้ตกลงกันมาก่อน) หากถูกมองด้วยสายตาใคร่รู้ตั้งแต่หัวจรดเท้าก็คงรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ที่กำลังถูกนักท่องเที่ยวมองมาเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ
“เหมือนขยะแขยงเรานักหนา”
โดยเฉพาะกับมู่หลานที่ยังมี ไอ้นั่น อยู่ จงรักไม่แปลกใจนักกับคำว่า ตัวประหลาด ที่มู่หลานเลือกจะใช้ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมรับได้ว่าเธอคือผู้หญิง ทั้งที่มันเป็นสิ่งที่เจ้าของร่างกายและจิตใจมีอำนาจโดยสมบูรณ์ที่จะกำหนดให้ตัวเองโดยไม่ขึ้นอยู่กับอวัยวะเพศ
จงรักเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังคนที่กำลังยืนเป็นแบบ สีหน้าของมู่หลานเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากที่เคยเรียบเฉยมันกลับเรียบเฉยได้ยิ่งกว่าเก่า—จะเรียกว่าเรียบเฉยก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว มันเต็มไปด้วยความเฉยชาบางอย่างแต่ก็เต็มไปด้วยอารมณ์มากมายในขณะเดียวกัน
“ผมว่าพี่สวยมากเลย”
“ขอบคุณ”
จากใบหน้าเฉยเมยก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสดใส ไม่บ่อยนักที่มู่หลานจะยิ้มให้ใคร แต่ครั้งนี้เธอยิ้มให้รุ่นน้องอย่างจริงใจจนจงรักใจเต้นแรงกว่าเดิมไปหลายจังหวะแม้ว่าเขาจะเป็นเกย์ก็ตาม และจงรักยังคงยืนยันคำเดิมว่าดวงตาที่ดูสวยงามเหลือเกินสำหรับเขาคือดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งชีวิต
มู่หลานสวยมากจริง ๆ
“อย่าตกหลุมรักมันเชียว แกได้อกหักแน่”
ตะวันพูดขึ้นทั้งที่ไม่ได้หันไปมองคนที่ยังคงยืนซ้อนอยู่ด้านหลังด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง และถ้าให้สารภาพ มันมีส่วนผสมของความหงุดหงิดอยู่ในนั้นเล็กน้อย
“ถ้าผมชอบพี่มู่ พี่มู่จะไม่ชอบผมกลับสักหน่อยเลยเหรอ”
“เปล่า มันชอบผู้หญิง”
แล้วผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องก็ยิ้มให้เขาอีกครั้ง แต่เป็นรอยยิ้มขี้เล่นราวกับจะบอกว่า ‘sorry not sorry นะ’
“โอเค ตัดใจก็ได้”
น้ำเสียงหยอกล้อของจงรักทำให้ทุกคนในห้องหัวเราะเบา ๆ อย่างผ่อนคลาย และในขณะที่กำลังเดินกลับไปนั่งที่โซฟา เพียงแค่เสี้ยววินาทีที่ได้เห็นใบหน้าด้านข้างของตะวัน ได้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มไปวาดรูปไป จงรักก็อิ่มฟูที่หัวใจอย่างน่าประหลาด
ความคิดหนึ่งที่มีในหัวคือความสงสัย นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เป็นแบบนี้ ไม่ได้ยิ้มและเล่นตลกไปเรื่อยกับใคร ๆ ด้วยความสบายใจ
เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคนเก่าที่ร่าเริงกำลังค่อย ๆ กลับมา ในขณะที่อีกความคิดหนึ่งซึ่งเป็นใหญ่กว่าและขัดขวางความคิดอื่น ๆ มาได้สักระยะ คือเขากำลังคิดว่านอกจากดวงตาที่สวยมาก ๆ แล้ว รอยยิ้มของตะวันก็เป็นอีกสิ่งที่สดใสไม่แพ้แสงอาทิตย์ในฤดูหนาว และสวยงามมากเช่นกัน
...
“เราไม่ชอบกินของหวาน”
“หมายถึงหลังกินข้าวเหรอ”
“หมายถึงไม่ชอบกินเลย ขนมไทยมันหวานไปอะ ถ้าจะให้กินจริง ๆ ก็ต้องใส่น้ำแข็งเยอะ ๆ ให้มันหายหวานสักหน่อย หรือไม่ก็ใส่น้ำเปล่าลงไปเลย”
ตะวันพูดขึ้นขณะที่ขนมหวานมาเสิร์ฟพอดี มันเป็นร้านบนฟุตบาทริมถนนที่อยู่ใกล้ตลาดยามเย็นแถวมหาวิทยาลัย ผู้คนรอบข้างพลุกพล่านอย่างที่เป็นอยู่ประจำ บางคนเพิ่งเลิกงาน บางคนเพิ่งเลิกเรียน บางคนมาเดินเฉย ๆ เพราะไม่มีอะไรทำ ส่วนจงรักกับตะวันมาที่นี่เพราะหิว และเมื่อตระเวนกินร้านนั้นร้านนี้จนทั่วตลาดทั้งคู่จึงเลือกนั่งพักที่ร้านนี้และสั่งขนมหวานมากิน – จะบอกว่าทั้งคู่ก็ไม่ถูกนักเพราะคนที่กินมีเพียงจงรักเท่านั้น ถ้วยแรกเป็นเฉาก๊วย และถ้วยนี้เป็นบัวลอยแต้จิ๋ว ส่วนตะวันที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็กำลังนั่งกินปลาหมึกย่างราดน้ำจิ้มซีฟู้ดเผ็ด ๆ (แบบที่จงรักไม่มีทางกินไหว) และพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยแข่งกับเสียงรถรา
หลังจากตะวันวาดเพื่อนตัวเองจนพอใจแล้ว มู่หลานก็ขอตัวกลับทันทีเพราะนัดกับเชรี่เอาไว้ว่าจะไปซื้อเครื่องสำอางด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้า ส่วนตะวันก็บอกว่าตัวเองและจงรักก็นัดจะไปหาอาหารเย็นกินด้วยกันแล้วเช่นกัน ซึ่งมู่หลานก็เข้าใจดี
ตะวันบอกว่านัด ส่วนจงรักได้แต่เออออตามไปด้วย เป็นแพลนที่อยู่นอกเหนือจากแพลนโดยสมบูรณ์
อันที่จริงมันก็เป็นแพลนที่ไม่มีชื่อเรียกของพวกเขาไปแล้ว ราวกับเป็นธรรมเนียมว่าก่อนแยกจากกันในแต่ละวันต้องไปหาอะไรกินด้วยกันก่อน บางครั้งก็เป็นตะวันที่ลงมือทำอาหารเองเพราะไม่อยากออกไปข้างนอก จงรักที่ไม่ใช่คนเรื่องมากอะไรจึงไม่เคยอิดออดเลยสักครั้ง
‘แก say no บ้างก็ได้นะ’
‘มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ผมก็ไม่รู้จะปฏิเสธไปทำไม’
‘ระวังเวลามันเป็นเรื่องใหญ่กว่านี้แกจะปฏิเสธไม่ได้นะ เตือนด้วยความหวังดี’
ตะวันไม่รู้หรอกว่าจงรักกลายเป็นคนแบบนั้นแล้ว แบบที่ไม่กล้าปฏิเสธใครต่อใคร
โดยเฉพาะกับนัทธ์
นึกถึงชื่อนั้นแล้วก็เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา เขาไม่ได้คิดถึงชื่อนี้เลยมาเป็นเวลาสักพักใหญ่จนเลิกคิดไปแล้วว่ามันนานแค่ไหน เลิกพยายามรอให้อีกฝ่ายกลับมาง้อ หรือแม้แต่ทักแชตมา ข้าวของที่อยู่ในห้องก็กลายเป็นแค่ของชิ้นหนึ่งแทนที่จะเป็นของต่างหน้า น่าทึ่งเหลือเกินที่เวลาคนเราหมดสิ้นซึ่งความรู้สึกและเยื่อใย เราจะกลายเป็นคนที่เย็นชาได้ถึงขนาดนี้
สงสัยมันจะจบจริง ๆ แล้วสินะ
“เงียบเฉย ขอโทษนะที่ kill mood แกตอนกำลังกินบัวลอย”
“ไม่ ๆ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย” จงรักปฏิเสธเสียงเบาก่อนจะถามอะไรบางอย่างขึ้นมาทั้งที่ยังคงก้มหน้ามองถ้วยบัวลอย “พี่เคยรู้สึกเหมือน...มันยังค้างคาอยู่ไหม เวลาเลิกกับใครสักคน”
“นี่คือความคิดระหว่างที่แกกินบัวลอยเหรอ ทำไมมันจริงจังจัง” จงรักขำ แต่ก็พยักหน้า
“ตอบมาเหอะหน่า”
“ไม่รู้สิ ปกติเวลาเลิกกับใครเราตัดเลย ไม่ปล่อยให้ค้างคา เลิกคือเลิก” ตะวันพูดแล้วเสมองไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพราะกำลังคิดย้อนกลับไปถึงความสัมพันธ์ครั้งก่อน ๆ
“ใจแข็งดีจัง”
“แกเป็นคนแรกเลยที่บอกว่าเราใจแข็ง ปกติมีแต่คนบอกว่าเราใจร้าย” คนพี่ว่าทั้งที่ปลาหมึกยังเต็มแก้ม “แต่สำหรับเรานะ การปล่อยให้ความเศร้ากัดกินเรานาน ๆ โดยที่ไม่ยอมปล่อยมันไปก็ไม่ใช่เรื่องที่ใจดีกับตัวเองเหมือนกัน สู้ใจร้ายไปแล้วให้มันจบทีเดียวมันดีกว่าทั้งกับเขาแล้วก็กับเราเอง คือเราไม่ชอบยื้อน่ะ ถ้ามันไม่ใช่ยื้อไปมันก็ต้องจบอยู่ดี”
“...”
“เราบอกตัวเองว่ามันใช่ มันได้ มันพยายามได้มากกว่านี้ แต่เราแค่หลอกตัวเอง เราแค่ไม่ยอมรับว่ามันจบไปนานแล้ว เราแค่ยังไม่แกร่งพอจะทำใจ จนกระทั่งวันที่เราคิดว่าแกร่งพอแล้ว เราคิดว่าเออ โอเค กูทำใจได้แล้วแน่ ๆ แต่พอต้องเลิกจริง ๆ ต้องเห็นมันพังลงตรงหน้าด้วยมือแกเองจริง ๆ แกก็ยังเจ็บแทบตายอยู่ดี”
“...”
“เราคาดเดาปริมาณความเจ็บปวดไม่ได้หรอก ไม่มีวันทำได้แน่ ๆ เพราะงั้นก็ยอมรับมันมาทั้งหมดแล้วรีบ ๆ เศร้าดีกว่า เศร้าก็เศร้าดิวะ เจ็บก็ช่างแม่ง ก็แค่ร้องไห้ออกมาจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง ร้องจนคิดว่าหัวใจจะหลุดออกมา ร้องจนคิดว่าจะรักใครไม่ได้อีก แล้วก็ปล่อยให้ตัวเองตกหลุมรักใหม่ง่าย ๆ แบบไม่เข็ดหลาบ แต่เราว่ามันก็ดีกว่าการไม่ยอมรับความจริงแล้วปล่อยให้มันค้างคาจนมันกัดกินเราไปทีละนิด”
“...”
“เพราะเราก็โคตรกลัวการเสียตัวตนเลย”
จงรักได้แต่สงสัยว่าเชรี่เล่าอะไรให้ตะวันฟังหรือเปล่าถึงได้ตอบคำถามออกมาแทงใจดำเสียขนาดนี้ แต่เขาก็รู้สึกของคุณอีกฝ่ายอยู่ลึก ๆ ที่ตอบออกมาอย่างจริงใจ ระยะหลังมานี้มีหลายอย่างที่ยุ่งเหยิงอยู่ในหัวไม่ต่างจากผมยาวที่ไม่ถูกเซต แต่คำตอบของตะวันช่วยรวบความคิดที่กระจัดกระจายเหล่านั้นให้กลายเป็นก้อนเดียวแล้วร้อยเรียงออกมาเป็นประโยคที่เข้าใจง่ายเหลือเกิน
“ผม...มีแฟนที่คบกันมาได้ประมาณสองปีแล้ว”
ง่ายเสียจนสงสัยว่าทำไมที่ผ่านมาเขาถึงไม่เข้าใจอะไรเลย
“...”
ตะวันที่กำลังอ้าปากงับปลาหมึกย่างถึงกับชะงัก บทสนทนาเงียบลงชั่วครู่จนได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านไปมาด้วยความรวดเร็วบนท้องถนน – พี่ไรเดอร์สักคนคงรีบไปส่งอาหารน่าดู
เขาก็แค่ตอบคำถามไปอย่างที่ใจคิดเพราะนึกว่าจงรักไม่ได้จริงจังอะไร เป็นแค่ความคิดแบบสุ่มที่บังเอิญล่องลอยเข้ามาในหัวขณะที่กำลังกินขนมหวาน แต่กลายเป็นว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันดันมีเรื่องในใจอยู่จริง ๆ
“หลัง ๆ มานี้เรามีปัญหากันบ่อย ล่าสุดที่ทะเลาะกันคือประมาณเดือนที่แล้ว แล้วผมก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ไม่แม้แต่จะได้คุยโทรศัพท์ ไม่แม้แต่จะส่งข้อความมาหากัน” จู่ ๆ จงรักก็คิดว่าบัวลอยแต้จิ๋วแสนหวานในถ้วยตรงหน้ากลับขมขึ้นมาเสียอย่างนั้น “มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเป็นแบบนี้ ทั้งผมและเขาก็เคยบอกเลิกกันมาก่อน แต่ครั้งล่าสุดมันหนักมาจริง ๆ จนผมคิดว่า...บางทีเราอาจจะเลิกกันจริง ๆ ก็ได้”
“แล้วใจแกอยากจะเลิกรึเปล่า” คำถามของตะวันทำเอาจงรักกำช้อนแน่นขึ้น
“ผม...ไม่รู้”
“เลิก หรือ ไม่เลิก” ตะวันถามย้ำอีกครั้ง เพราะคำว่าไม่รู้ไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ
“...”
และจงรักก็ตอบไม่ได้
“เราไม่ได้อยู่ในจุดที่จะบังคับเธอได้หรอกนะว่าควรเลิกหรือไม่เลิกเพราะเราไม่ใช่เธอกับเขา เรามันคนนอก แบบ นอกมาก เราไม่ใช่เชรี่ที่รู้จักเธอมานานด้วยซ้ำ เราเพิ่งรู้จักกันเอง” ตะวันพูดอย่างจริงจัง “ที่เราอยากจะบอกคือ ถ้ามันมีคำว่าเลิกเข้ามาในหัว แปลว่ามันมีบางอย่างผิดปกติแล้วนะ เพราะถ้ามันดีจริง ๆ มันจะเป็นการหาวิธีให้รักไปต่อได้ แต่ต้องไม่ใช่คำว่าเลิกกัน”
“...”
ตะวันเป็นคนซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองเสมอมา และการที่ต้องมาเห็นว่าเพื่อนดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างจงรักต้องมานั่งไหล่ห่อ กินอาหารไม่อร่อย และรู้สึกค้างคาในใจเพราะความรักแบบนี้ทำให้ตะวันรู้สึกแย่พอสมควร แม้จะเพิ่งรู้จักกับอีกฝ่ายก็ตาม
ก็เพิ่งได้สังเกตเอาตอนนี้เองว่าเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่ได้รู้จักกันมาแล้ว ทั้งคู่มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันมากกว่านั้นไปพอสมควร
“อ่อ แล้วไอ้วิธีที่จะทำให้รักไปต่อได้ก็ต้องไม่ใช่วิธีที่ทำให้เราเสียตัวตนด้วย”
ตะวันจ้องมองคนที่นั่งก้มหน้าพลางคนขนมหวานในถ้วยเล็กไปมาอย่างล่องลอย น้ำหวานในถ้วยเพิ่มปริมาณขึ้นเพราะน้ำแข็งละลายจนหมด มันเริ่มล้นออกมาจากถ้วยอย่างห้ามไม่อยู่ จืดชืด เละเทะ ไม่หวานและไม่น่ากินอย่างตอนแรกที่ซื้อมาเสียแล้ว
คนพี่หยิบกระดาษชำระสีชมพูโง่ ๆ ที่ขาดง่ายยิ่งกว่าอะไรดีมายื่นให้คนที่นั่งตรงข้าม จงรักที่รู้สึกตัวว่าน้ำหวานเลอะก็รับมาเช็ดอย่างตระหนก
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร”
จงรักไม่เข้าใจว่าทำไมตะวันถึงเป็นคนยิ้มง่ายเช่นนี้ มันง่ายดายราวกับเจ้าตัวยิ้มให้กับทุกสิ่งและทุกคนบนโลกใบนี้ได้ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าคำว่า ไม่เป็นไร ของอีกฝ่ายบอกกับเขาในเรื่องใด แต่มันทำให้เขาใจเย็นลงได้ ทั้งจากน้ำหวานที่เลอะเทอะบนโต๊ะและจากความคิดเละเทะในหัว
“มีอีกเรื่องที่ผมอยากสารภาพกับพี่”
“ท็อปปิกวันนี้หนักจัง”
“ไม่อยากคุยก็ได้นะ”
“กับแกเราคุยได้ นาน ๆ ทีจะมีคนมาคุยอะไรแบบนี้ด้วย ดีเหมือนกันที่ได้พูดมันออกมา”
เพราะมันทำให้ตะวันได้เข้าใจว่าสิ่งที่พูดออกไปทั้งหมดนั้นไม่ได้พูดกับจงรักเท่านั้น
แต่มันยังเป็นสิ่งที่เขาบอกกับตัวเองด้วย
“สรุปจะสารภาพเรื่องอะไร”
“อันที่จริง...ผมไม่ค่อยมั่นใจในรูปร่างของตัวเองเท่าไหร่”
“อาฮะ พอจะเดาได้อยู่ แต่แกรูปร่างดีมากเลยนะ เราเห็นมากับตา วาดมากับมือ เราคอนเฟิร์มได้” จงรักได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มขำ
“เห็นแบบนี้ตอนเด็กผมเคยอ้วนนะ โดนแกล้งหนักเลยแหละ โตมาก็เลยพยายามเล่นกีฬาหลาย ๆ อย่างเพราะไม่อยากกลับไปอ้วนแบบเดิมแล้ว”
เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นผ่านไปนานมากแล้ว และจงรักก็ไม่ได้สนใจมากมายนักเพราะมันไม่ส่งผลอะไรกับเขาอีกต่อไป แต่ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะปกปิดเหตุผลที่แท้จริง
เหตุผลที่เขาจะไม่บอกอีกฝ่ายออกไป ว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเองเพราะคำพูดของนัทธ์
“เพราะแบบนี้รึเปล่าถึงชอบใส่เสื้อตัวใหญ่ ๆ”
“...อือ”
“แกรู้ไหมว่าโปรเจ็กต์จบของเราคืออะไร และทำไมเราถึงต้องวาดภาพเปลือย”
“ไม่รู้” แน่นอนว่าคนน้องส่ายหน้า นอกจากจะรู้ว่าตัวเองเป็นโมเดลให้อีกฝ่ายแล้วเขาก็ไม่รู้อีกไรอีกเลย ตะวันที่ได้เห็นแบบนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพูดต่อ
“เรามีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นแค่เพื่อนร่วมคณะ เคยทำงานคณะด้วยกันแค่ครั้งสองครั้ง ไม่ได้สนิทอะไรกันหรอก มันเป็นคนที่สวยมากเลยนะ ได้ยินว่ามีคนมาติดต่อให้มันไปเล่นซีรีส์ด้วยแหละ” แม้จะเล่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ตะวันกลับต้องหายใจเข้าออกหนึ่งครั้งเพื่อรวบรวมความกล้าในการเล่าต่อ “แล้วมันหายไปพักหนึ่งเพราะต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทุกคนคิดว่ามันคงสบายแล้วแหละ ได้เป็นดารานางแบบดังแน่ ๆ สุดท้ายมันก็ตัดสินใจดรอป”
ท่าทีแบบนี้ของตะวันเป็นสิ่งที่จงรักไม่เคยเห็นมาก่อนจนเขารู้สึกใจหายชอบกล
“ผมฟังอยู่ครับ”
ทำได้แค่บอกแบบนั้นออกไปเพื่อยืนยันกับตะวันว่าเขายังอยู่ตรงนี้ เมื่อได้ยินแบบนั้นตะวันก็พยักหน้าด้วยความรู้สึกสบายใจมากพอที่จะเล่าต่อด้วยรอยยิ้ม
“เรามารู้ทีหลังว่ามันไม่ได้ดรอปแค่เพราะเรื่องงาน แต่มันป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้วก็มีปัญหาการกินจนกลายเป็น eating disorder”
“...”
แล้วจงรักก็ได้เข้าใจในตอนนั้นว่ามันหนักหนากว่าที่คิด
“ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกที่ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่มันใกล้ตัวเรามาก คนที่เคยเดินสวนกัน เคยยิ้มให้กัน เราไม่รู้เลยว่าข้างในเขามีอะไรบ้าง หรือมันอาจจะไม่มีอะไรจนว่างเปล่าเลยก็ได้ เราไม่รู้ว่าใครถูกสังคมเฮงซวยนี่ทำร้ายจิตใจไปมากเท่าไหร่ สังคมที่เต็มไปด้วยมาตรฐานไร้สาระที่หามาตรฐานแท้จริงไม่ได้ เป็นแค่จินตนาการของคนบางกลุ่มที่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำหนดมันขึ้นมาและได้กดทับคนที่เอื้อมไม่ถึงมาตรฐานจอมปลอมพวกนั้น ทั้งเงินทองและความงาม”
“...”
“เราก็แค่อยากบอกกับทุกคนที่ได้เห็นงานเราว่าต่อให้คุณจะรูปร่างแบบไหน จะรวย จะจน แต่ข้างในก็เหมือนกันหมด ร่างเปลือยเปล่าของมนุษย์เรามันไม่ได้กักเก็บความงดงามเอาไว้เท่านั้น แต่สิ่งที่เราทุกคนมีคือความรู้สึกกับความตาย”
“...”
“สุดท้ายเวลาเราแก้ผ้าเราก็มีจู๋ มีจิ๋ม ก้น นม แขนขา หรือต่อให้ขาดสิ่งไหนไปก็ไม่เห็นว่าความรวยและความสวยจะเป็นอวัยวะไหนของเราเลยสักคน”
“แล้วพี่คนนั้น ตอนนี้เขายัง...สบายดีอยู่ไหม”
“กลับไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์แล้ว หมดซึ่งพันธะ”
“อ่า งี้นี่เอง...”
ตะวันพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกินปลาหมึกย่างชิ้นสุดท้ายจนหมดด้วยท่าทางที่สบายใจขึ้นจากบทสนทนาในช่วงแรก ราวกับการได้พูดสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาคือการปลดปล่อยและ หมดซึ่งพันธะ ส่วนคนที่นั่งฟังก็ได้แต่อึ้งเพราะไม่รู้ว่าในหัวเล็ก ๆ นั่นจะยังมีเรื่องราวอะไรที่น่าทึ่งอีกบ้าง
แววตาที่จงรักเคยมองว่าเต็มไปด้วยความหลงใหล ตอนนี้มันเต็มไปด้วยเรื่องราว อัดแน่นซึ่งความรู้สึก ทั้งโกรธแค้นสังคมที่ย่ำแย่ลงได้ถึงขนาดนี้ เศร้าหมองที่ต้องมารับรู้ว่ามีคนมากมายกำลังพังสลายลงเพราะถูกทำร้ายและกัดกินทั้งทางจิตใจและร่างกาย ไปจนถึงอัดอั้นที่ต่อให้เล่าให้ใครฟังไปก็คงจะถูกมองว่าประหลาดเหลือเกินที่ตั้งคำถามกับมาตรฐานของสังคม
มาตรฐานที่ใคร ๆ ก็มองว่าดีและสมควรแล้ว
“เพราะงั้นใจดีกับตัวเองเถอะ แกไม่รู้หรอกว่าแกจะตายวันไหน มันอยู่ใกล้แค่นี้เอง อย่าปล่อยให้ทั้งแฟนที่แกคาราคาซังอยู่แล้วก็ความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองมันกัดกินจนแกโงนเงนเหมือนเสาหลักของประเทศนี้เลย”
“ครับ”
“เห้อ วันนี้คุยกันแต่เรื่องหนัก ๆ”
“จริงด้วย”
จงรักตอบขณะที่จ่ายเงินค่าขนมหวาน ทั้งคู่เดินออกจากร้านอย่างสงบเสงี่ยมเพราะสายตาประหลาดจากลุงเจ้าของร้าน อาจเพราะพวกเขานั่งคุยกันนานเกินไปสำหรับขนมหวานเพียงสองถ้วย พวกเขาเดินกลับมาเงียบ ๆ เพราะความรู้สึกอัดแน่นนั้นยังคงลอยอยู่ในอากาศรอบตัว ก่อนที่ตะวันจะถามบางอย่างขึ้นขณะที่เดินมาถึงร้านโชห่วยตรงทางแยกไปหอพักของแต่ละคน
“ไปกินเบียร์ต่อที่ห้องเราไหม”
ตะวันยังไม่อยากบอกลาจงรักในตอนนี้ ถึงจะไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันแล้ว แต่ก็ยังอยากใช้เวลากับอีกฝ่าย เพราะมันดีเหลือเกินที่ได้ใช้เวลาอยู่กับใครสักคน ใครที่ปล่อยให้เขาได้นั่งอยู่เฉย ๆ เพราะจมอยู่กับความคิดในหัว แต่เมื่อเขาพูดออกมาก็เข้าใจกับความคิดเหล่านั้น หรือต่อให้ไม่เข้าใจก็ยังรับฟัง
“คำถามโคตรเชิญชวนเลย”
“ก็เชิญชวนไง”
และจงรักคือคนนั้น
“พี่ก็รู้ว่าผมหมายถึงอะไร”
คนที่ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่แฟน ไม่ใช่รุ่นน้องในคณะเดียวกัน ไม่ใช่คนสนิท แต่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ไม่ใช่ใครทั้งนั้น
“แล้วจะไปไหม”
แต่จงรักทำให้ตะวันรู้สึกดี
“ผมไม่เคยปฏิเสธพี่อยู่แล้ว”
และตะวันก็คือคนนั้นสำหรับจงรักเช่นกัน
..............................
บัวลอยขมเพราะเรื่องมันเศร้า ✖
บัวลอยขมเพราะเจ้าของร้านลืมเอาไส้แปะก๊วยออก ✔
เอนี่เว แม้ว่านี่คือโลกทุนนิยมที่เต็มไปด้วยความใจร้ายและมีคนบางกลุ่มที่พร้อมจะใช้ความรุนแรงต่อต้านคนที่เห็นต่าง แต่ไม่ว่าคุณจะนิยามตัวเองว่าเป็นเพศไหน หรือมีฐานะอะไรก็ตาม เราหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้อยู่ด้วยกันในสังคมที่มองทุกคนอย่างเท่าเทียม ได้รักคนที่อยากรัก ได้แต่งงานกับคนที่อยากแต่ง และได้มีชีวิตในแบบที่อยากมี คุณคือความภาคภูมิใจ อย่างน้อยที่สุดก็กับตัวเองนะคะ
อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่แฮปปี้ไพรด์นะคะทุกคน ?
#สมรสเท่าเทียม
#จงรักตะวัน
เชิงอรรถ
- นักบุญเซบาสเตียน (St. Sebastian) เป็นผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ในช่วงจักรวรรดิโรมัน เขาต้องหลบซ่อนความเชื่อของตนเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ จึงถูกสั่งประหารด้วยการยิงธนูใส่ อีกทั้งศิลปะในช่วงเรอเนซองส์ยังนิยมวาดให้เขาเป็นชายหนุ่มรูปร่างดี ใบหน้างดงามไร้ซึ่งความหวาดกลัวทั้งที่ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด สอดคล้องกับสิ่งที่เกย์หลายคนต้องเผชิญ เขาจึงกลายเป็น Gay Icon และปรากฏในผลงานต่าง ๆ เช่น งานศิลปะของ กีโด เรนี (Guido Reni) รวมถึง ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) นักเขียนชื่อดังก็ชื่นชมผลงานภาพนักบุญเซบาสเตียนของเรนีด้วยเช่นกัน ส่วนท่าทางของมู่หลานนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากภาพนักบุญเซบาสเตียนของ ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli)
Comments (0)