we just can't deny this chemistry

when you're with me

be honest, let's just be honest

you got me in my feelings

 

 

...

 

 

     ‘ทำไมเธองี่เง่าจังวะ แค่ไปอ่านหนังสือกับเพื่อนมันทำไมนักหนา’

     ‘แล้วทำไมต้องไปอ่านหนังสือกับคนอื่นอะ เธออ่านกับเราไม่ได้เหรอ อยู่กับเรามันแย่มากเลยดิ เธอแม่งก็เป็นแบบนี้ตลอดอะ ชอบทิ้งให้เราอยู่คนเดียว’

     ‘มันไปถึงตรงนั้นได้ไงวะเนี่ย’

     ‘ที่ทำแบบนี้ก็เพราะเราพยายามยื้อความสัมพันธ์ของเราไว้ไง แต่เธอแม่งไม่เคยพยายามอะไรเลยสักอย่าง มีแค่เราที่พยายามอยู่คนเดียว เธอไม่รักเราเลยมั้ง แม่ง...ไม่เคยรักกันเลย’

     ‘พูดอะไรวะ ใครกันแน่ที่ไม่รัก อย่าคิดว่าเราไม่รู้นะว่าเธอไปมีอะไรกับคนอื่นอะ’

     ‘มีอะไรกับใครอีกล่ะ เธอคิดไปเองแล้ว ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ เนี่ย ถ้าเราจะนอกใจเธอก็เพราะเธอคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้ไง’

     ‘อย่ามาโกหก’

     ‘โกหกอะไร มีหลักฐานเหรอมาพูดแบบนี้อะ นี่อยากเลิกจนต้องกุเรื่องเลยเหรอ? ถ้าไม่รักกันแล้วก็บอกมาตรง ๆ ดิ ไม่ชอบอะไรก็บอก หรือเราทำให้ผิดหวัง คือถ้าเราทำให้ผิดหวังอะไรก็ขอโทษด้วยแล้วกัน’

     ‘ไม่ใช่แบบนั้นเว่ยนัทธ์ เราแค่...’

     ‘แค่อะไร? แค่เราผิดเองใช่ปะ เรางี่เง่าใช่ไหม เออ เรามันแย่เองแหละ เธอไม่เคยผิดหรอก ไม่เคยผิดอะไรเลย ไม่เคยสนเลยด้วยว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง’

     ‘…’

     ‘เธอแม่งโคตรไร้หัวใจเลยจงรัก’

 

     จงรักถอนหายใจอีกครั้งและอีกครั้งเมื่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองอาทิตย์ก่อนไปพร้อม ๆ กับไถหน้าจอโทรศัพท์ดูรูปคู่ของตัวเองกับนัทธ์ไปด้วย บทสนทนาทั้งหลายยังคงอยู่ในหัวของเขา มันฝังแน่นราวกับแผ่นหินสลักชื่อของคนตายบนหลุมศพ บอกเล่าเรื่องราวที่เป็นเพียงความทรงจำของผู้วายชนม์ ไม่ต่างอะไรกับภาพน่ารัก ๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุขของทั้งคู่ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่กลายเป็นเรื่องในอดีต

     นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่จงรักทะเลาะกับแฟนหนุ่มที่คบกันมานาน แม้ว่าช่วงแรกจะรักกันหวานชื่นดีจนคนอิจฉา แต่ช่วงเวลาดี ๆ เหล่านั้นกลับจบลงรวดเร็วจนน่าตกใจ แม้แต่น้ำต้มผักยังทิ้งความหวานเอาไว้ได้นานกว่า

     มันเริ่มเละเทะแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เขาเองก็จำไม่ได้เสียแล้ว รู้อีกทีก็จืดชืดและการพบกันกลายเป็นเรื่องเหนื่อยล้าจนบางทีจงรักก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าสิ่งที่เขาทำมันถูกต้องจริง ๆ หรือเขาคิดไปเองและไร้หัวใจแบบที่นัทธ์พร่ำบอกเขาทุกครั้งที่ทะเลาะกัน

     เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ในความสัมพันธ์นี้ โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมา

     เพราะเขาเองก็ไปมีอะไรกับคนอื่นเช่นกัน

     เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายแอบไปมีคนอื่น – น้ำหอมกลิ่นแปลก ข้าวของหน้าตาแปลก ๆ ที่จู่ ๆ ก็มาอยู่ในห้องของเขาอย่างเช่นกล่องถุงยางที่ไม่ใช่ไซซ์ของเขาและนัทธ์ เคยมีเพื่อนเตือนเขาแล้วในช่วงแรกที่คบกัน แต่เขาไม่เชื่อ เพราะในสายตาของจงรัก อีกฝ่ายเป็นพวกทุ่มเทให้ทุกอย่าง แรกรักอะไรก็ดีไปหมดจนตัวเขาเองก็รักอีกฝ่ายกลับไปอย่างที่เชื่อว่ามันจะเท่าเทียมและสม่ำเสมอ หากแต่คำพูดและการกระทำหลายอย่างของนัทธ์ที่เคยยืนยันเสมอว่าจงรักเป็นคนที่ดีที่สุดและเป็นคนที่นัทธ์รักที่สุดเท่าที่เคยคบหาใครต่อใครมานั้นมันช่างขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเหลือเกิน

     ขัดแย้งมากเกินไปจนเขาเลือกจะประชดอีกฝ่ายด้วยการทำสิ่งเดียวกัน

     มันเป็นหนึ่งในวันที่ความสัมพันธ์ตกต่ำได้จนเกือบจะถึงที่สุด จากที่เคยคิดว่าการตกหลุมรักเป็นเรื่องที่ไม่น่ากลัว แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น ยิ่งตกลงมาลึกเท่าไหร่มันยิ่งเต็มไปด้วยความมืด คับแคบ และอึดอัด ครั้นจะปีนกลับขึ้นไปที่ปากหลุมก็ไม่ทันเสียแล้ว – ถลำลึกเกินไปจนมันมีแต่ความเหนื่อยล้ากระทั่งเขาทนไม่ไหว ตัดสินใจเดินออกจากห้องเพื่อหนีหน้าแฟนหนุ่มไปกลางคันขณะที่ยังทะเลาะกันอยู่ เดินไปยังร้านเหล้าที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่งกินดื่มอยู่อย่างนั้นคนเดียวแล้วก็ตกลงปลงกายกับคนแปลกหน้าสักคนที่เจอกันในห้องน้ำ

     แม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องแต่ร่างกายกลับรู้ดี เพียงแค่ได้จ้องตาที่พร่าเบลอ เพียงแค่ปลายนิ้วมือสัมผัสก็พากันออกจากร้านไปยังซอยแคบ ๆ ที่อยู่ไม่ไกล กอดรั้งกระชากกันและกันด้วยแรงอารมณ์ที่ไม่คิดจะข่มเอาไว้ รู้ตัวอีกทีก็กลับมาที่ห้องซึ่งไร้เงาของนัทธ์แล้วเลือกจะแทนที่ความว่างเปล่านั้นด้วยคนแปลกหน้า รู้ตัวอีกทีเขาก็ตื่นขึ้นมาไม่พบใครเลยนอกจากตัวเอง

     บางทีการที่เขาทำให้นัทธ์รู้สึกแย่ทุกครั้งที่เจอกันแบบนี้มันแปลว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจไม่ใช่คนดีอย่างที่ใคร ๆ คิด

     บางทีอาจจะเป็นจงรักเองที่เป็นคนทำให้ความสัมพันธ์นี้มันพังลงจนยากจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม

     หลายอย่างไหลเข้ามาในหัวไม่ต่างอะไรกับภาพคู่ในโทรศัพท์ที่ถูกเลื่อนผ่านไปด้วยความรวดเร็ว นิ้วเรียวกดหยุดลงที่ภาพของขวัญและวันสำคัญต่าง ๆ นัทธ์มักจะซื้อของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้จงรักเสมอ ตั้งแต่เสื้อผ้าแบบที่จงรักชอบใส่ ของที่จงรักชอบกิน แผ่นซีดีเพลงของวงดนตรีที่เขาชอบฟัง ไปจนถึงของราคาแพงอย่างสร้อยคู่

     แน่นอนว่ามันทำให้จงรักรู้สึกดีเสียจนมันล้นอยู่ในอกเพราะถูกเอาใจใส่ แต่พอมาถึงตอนนี้ที่มองไปตรงไหนก็เห็นแต่ของที่อีกฝ่ายซื้อมาให้มันกลับเป็นความรู้สึกกระอักกระอ่วนเสียจนอยากจะขว้าง ๆ ทิ้งไปซะให้หมด มีอย่างหนึ่งที่ไม่อยากทิ้งแต่ดันหายไปไหนไม่รู้ นั่นคือเสื้อยืดลาย Beautiful Mistakes ของ Maroon 5

     แต่ช่างเถอะ บางทีนัทธ์อาจจะเอาไปแล้วก็ได้ หายไปสักชิ้นได้ก็ดี โดยเฉพาะชิ้นนี้ที่เป็นชิ้นโปรด มันจะได้หายไปจากระยะสายตาเสียบ้าง และหวังว่าในที่สุดมันจะหายไปจากความทรงจำ

     หลังจากวันนั้นที่ทะเลาะกันอย่างรุนแรงเขาก็ไม่ได้เจอนัทธ์มาสองอาทิตย์กว่าแล้ว อาจเพราะเป็นช่วงสอบด้วย ทั้งเขาและนัทธ์ต่างก็เรียนอยู่คณะเดียวกันแต่คนละวิชาเอก แน่นอนว่าจงรักทำคะแนนสอบออกมาได้ห่วยบรมเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้เขาอ่านหนังสือไม่เข้าใจเลยสักนิด ส่วนนัทธ์ก็หายเข้ากลีบเมฆอย่างน่าฉงน โซเชียลมีเดียก็ไม่ออนไลน์ ไม่มีแม้แต่ข้อความหรืออะไรสักอย่างที่จะส่งมาขอโทษทั้งที่ยังไม่ได้แก้ไขความคับข้องใจต่อกัน

     นี่อาจจะเป็นการเลิกกันจริง ๆ แล้วก็ได้

     จงรักไม่ชอบเลยสักนิดเวลาที่ทะเลาะกับใครแล้วอีกฝ่ายไม่คุยด้วยข้ามวัน ไม่ว่าจะกับคนรัก กับเพื่อน หรือกับครอบครัวก็ตาม เขามักจะแก้ปัญหาภายในวันนั้นอยู่เสมอ จนกระทั่งได้มารู้จักกับนัทธ์ บางครั้งเขาก็กลายเป็นคนที่เมินอีกฝ่ายเสียเองเพราะคร้านจะทะเลาะ แล้วอีกฝ่ายก็ต่อว่าว่าเขาไม่สนใจ แล้วก็กลับมาทะเลาะกันอีก

     แน่นอนว่าเขาพยายามบอกเลิกแล้ว แต่นัทธ์ไม่เคยยอมให้มันจบ ถ้าไม่ร้องไห้ตัดพ้อก็อ้างสารพัดสิ่ง หมาตาย ทะเลาะกับเพื่อน มีปัญหากับครอบครัว ทำข้อสอบได้แย่ จงรักเจอมาทุกอย่าง แต่ก็ยังใจอ่อนอยู่ร่ำไปเพราะไม่อยากเห็นอีกฝ่ายต้องรู้สึกไม่ดีไปมากกว่าเดิมหลังจากพบเจอเรื่องแย่ ๆ มา

     จงรักไถโทรศัพท์ในมือไปเรื่อยก่อนจะลุกไปนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือตัวเล็กข้างเตียง กะว่าจะอ่านหนังสืออีกสักรอบเพราะพรุ่งนี้เหลือสอบกลางภาควิชาสุดท้าย แต่ระหว่างที่หาหนังสือซึ่งถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบก็มีเล่มหนึ่งหล่นลงพื้น

     แรงกระแทกเบา ๆ ทำให้มันแผ่หลาอ้าออกอย่างเรียกร้องความสนใจ ซึ่งมันก็ทำสำเร็จ เพราะถ้าหากมันเป็นสมุดธรรมดาจงรักก็คงเก็บมันไว้ที่เดิม แต่สิ่งที่เขาเห็นคือภาพสเก็ตช์สถานที่ต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย บางรูปถูกลงสีด้วยสีไม้ บ้างเป็นสีน้ำ บ้างก็เป็นภาพขาวดำจากการใช้ดินสอ มันไม่ใช่ของจงรักอย่างแน่นอนเพราะเขาวาดรูปได้ห่วยแตกยิ่งกว่าเด็กน้อยที่เริ่มจับดินสอ และทันทีที่จงรักเปิดกลับไปที่หน้าแรก ความทรงจำจาง ๆ ในซอกหลืบก็แสดงตัวช้า ๆ ว่าสมุดสเก็ตช์เล่มนี้เป็นของใคร

 

ตะวัน’ s

พบเจอโปรดส่งคืน Line: TawanTawi

ปล. กำลังตามหาคนมาเป็นแบบภาพเปลือยสำหรับโปรเจ็กต์จบ มีค่าจ้างให้

 

     ประโยคด้านหลังปัจฉิมลิขิตสะกดจิตของจงรักให้จ้องมันอยู่อย่างนั้นนานทีเดียว เขาไม่เคยเป็นโมเดลให้ใครมาก่อน ไม่แม้กระทั่งภาพธรรมดาที่ไม่ใช่ภาพเปลือย

     เขาก็ไม่แน่ใจนักว่าประโยคธรรมดา ๆ นี่ทำไมถึงน่าสนใจขนาดนั้น ซึ่งไม่ใช่เพราะคำว่าค่าจ้างอย่างแน่นอนเพราะจงรักไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองจนต้องหาเงินเพิ่ม อาจเพราะคำว่าแบบภาพเปลือยที่เต้นแร้งเต้นกาอยู่ในหัวจนกลบความขุ่นหมองในใจไปได้อย่างหมดสิ้น เขาได้แต่สงสัยในใจว่า นี่ขนาดเห็นแค่คำยังรู้สึกสนใจขนาดนี้ แล้วถ้าไปเป็นแบบให้ตะวันจริง ๆ จะเป็นอย่างไรกัน

     จะยังต้องการคนเป็นแบบให้อยู่ไหมนะ...

 

 

     ...

 

 

     จนแล้วจนรอดความสงสัยใคร่รู้ก็พาจงรักมายืนอยู่ที่หน้าห้องพักซึ่งเป็นสตูดิโอของตะวันเข้าจนได้

     จงรักไม่เคยบอกตะวันว่าจะมาหา เขาทำเพียงแค่ทักไปหาเชรี่และเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ เพียงว่าเขาเจอสมุดของตะวันตกอยู่และต้องการจะเอามาคืน จึงทักมาถามที่อยู่ของตะวันก็เท่านั้น แล้วเขาก็ได้รู้ว่าห้องนี้ถูกใช้เป็นสตูดิโอกลาย ๆ ของตะวัน ส่วนเชรี่และเพื่อนอีกคนนั้นก็มีหอที่อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมากกว่า จึงแวะมาที่นี่เป็นครั้งคราวเท่านั้นเพื่อทำงานหรือใช้เก็บของอย่างเช่นเฟรมภาพวาดหรือรูปปั้นหน้าตาประหลาดของเชรี่ที่จงรักเคยเห็นในอินสตาแกรม

     จงรักทำการเคาะประตูสองสามครั้ง เขายืนรออยู่ครู่หนึ่งจนเริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนจากเสื้อฮู้ดสีดำ และอากาศเพราะช่วงบ่ายแก่แต่ก็ยังไม่มีใครออกมา และในขณะที่กำลังจะเคาะอีกครั้ง ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับใครบางคนที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยคำถามและรอยดำจากดินสอ

     ซึ่งรอยเปื้อนนั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลยเมื่อเทียบกับผมสีเข้มยุ่ง ๆ กับเสื้อแขนกุดที่ถูกสวมทับด้วยผ้ากันเปื้อนอีกที

     จะผิดไหมถ้าจะคิดว่ามันน่ารักชอบกล

     “จง?”

     “ครับ” จงรักเม้มปากยิ้มพลางเสยผมยาว ๆ ของตัวเองด้วยความประหม่า

     “มาได้ไงเนี่ย เข้ามาก่อนดิ ร้อนแย่เลย”

     ผู้มาเยือนเดินตามเจ้าถิ่นไปต้อย ๆ ด้วยความเกร็งเหมือนลูกหมาหลงทาง ภายในห้องใหญ่กว่าที่จงรักคิดเอาไว้มาก เพราะมันไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนอกจากโต๊ะตัวยาว ตู้เก็บของเล็ก ๆ ขาตั้งวาดรูป เก้าอี้ไม้ตัวเล็ก โซฟาสีหม่น ตู้เย็นกลางเก่ากลางใหม่ที่ดังเรียกร้องความสนใจอยู่ตลอดเวลา และกองงานมากมายที่ถูกวางไว้เป็นจุด ๆ ตามพื้น – มีรูปปั้นหน้าตาประหลาดหลากหลายขนาดของเชรี่อยู่จริง ๆ ด้วย แม้แต่บนผนังก็ยังมีรูปสเก็ตช์ต่าง ๆ แปะไว้ โดยเฉพาะรูปเปลือยที่ดูจะครองพื้นที่ส่วนมากบนผนังไปพอสมควร และถึงมันจะรก ๆ ไปบ้างแต่ก็ยังดูสว่างตาเพราะมีประตูระเบียงบานใหญ่ทำจากกระจกที่ทำให้แสงเข้าได้เต็มที่

     จงรักถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาสีหม่น ๆ ทึม ๆ ในขณะที่ตะวันเดินไปเดินมาง่วนเก็บของให้เข้าที่แม้ว่ามันจะไม่ได้ทำให้ห้องดูดีขึ้นมาเลยก็ตาม

     “พี่ไม่ต้องเก็บของก็ได้ครับ ผมมาแป๊บเดียว” จนกระทั่งจงรักบอกแบบนั้น ตะวันถึงได้หยุดแล้วนั่งลงขัดสมาธิที่พื้น “คือ...ผมเจอนี่ตกที่ห้องสมุด เลยเอามาคืน”

     “เฮ้ย มาอยู่นี่เอง ก็คิดว่าหายไปไหน” ตะวันรับสมุดสเก็ตช์จากจงรักมาถือไว้ แสร้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าทำมันหายที่ไหน ทั้งที่เขาเป็นคนวางกับดักชิ้นนี้ไว้ที่พื้นด้วยตัวเอง

     “ว่าจะคืนนานแล้วแต่ลืมสนิทเลย ผมไม่ได้เจอรี่ด้วย เลยไม่ได้ฝากมันมาคืนพี่สักที ขอโทษทีนะครับที่ไม่ได้รีบคืน”

     “ไม่เป็นไร ๆ เราไม่รีบใช้ มีอีกหลายเล่ม” คนตัวสูงว่ายิ้ม ๆ พลางชี้ไปตามซอกหลืบที่ดูเหมือนจะเป็นหลุมหลบภัยของสมุดสเก็ตช์มากมาย “แต่เอาสมุดมาคืนต้องมาหาเราถึงนี่เลยเหรอ ขอคอนแทกเราจากเชแล้วนัดที่มหา’ ลัยก็ได้นะ”

     ตั้งใจ

     ตั้งใจตั้งแต่วางสมุดเล่มนี้ไว้ยันตั้งใจพูดประโยคเมื่อครู่เพื่อโยนหินถามทาง เผื่อว่าจงรักจะตกหลุมพรางและยอมมาเป็นแบบวาดรูปให้

     “อันที่จริง...ผมเห็นที่พี่เขียนไว้ว่ากำลังหาคนมาเป็นแบบนู้ดของโปรเจ็กต์จบ” จงรักพูดอ้อมแอ้ม

     “อาฮะ”

     “ยัง...หาอยู่ไหมครับ”

     ตะวันตั้งใจทุกอย่างนั่นแหละ

     “หาดิ ทำไมเหรอ มีเพื่อนสนใจเหรอ ทักเรามาได้เลยยี่สิบสี่ชั่วโมง เราต้องการคนอีก จำ นวน มาก!”

     ตะวันเน้นคำและพูดด้วยท่าทางตลกจนจงรักหลุดขำออกมา สัมผัสได้ว่าคนน้องรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก สังเกตได้จากรอยยิ้มและการเลิกนั่งห่อไหล่เกร็ง ๆ แล้ว และเมื่อเสียงหัวเราะทุ้ม ๆ หายไป แววตาของจงรักก็กลับมาหลุกหลิกอีกครั้ง ก่อนจะพูดว่า

     “ไม่ใช่เพื่อนหรอกครับ”

     “...”

     “ผมเอง”

     แม้ว่าจะทำเป็นเบิกตาตกใจเล็กน้อย แต่ในใจของตะวันนั้นกำลังเต้นฉลองเพราะรอให้จงรักติดกับนานเสียจนจะเลิกรอแล้ว แถมอีกใจหนึ่งก็ยังคิดว่าอาจจะเป็นคนอื่นที่เก็บสมุดเล่มนี้ไปก็ได้ แต่ได้ยินสิ่งที่จงรักพูดแล้วก็โล่งใจ เพราะแผนลวงสำเร็จแล้ว!

     อันที่จริงจงรักไม่ใช่คนแรกที่ตะวันอยากได้มาเป็นโมเดลวาดรูป มีคนมากมายที่รู้สึกถูกตาต้องใจ แต่พอถามใครออกไปว่าอยากมาเป็นแบบภาพเปลือยไหมก็พากันวิ่งหนีไปหมด ซึ่งตะวันก็ไม่คิดจะงอแงแต่อย่างใดเพราะรู้ดีว่าในสังคมที่เต็มไปด้วยความวิปลาสนั้นน่ากลัวเกินกว่าจะไว้ใจคนแปลกหน้าจากไหนก็ไม่รู้ที่เดินดุ่ม ๆ มาถามว่าอยากเป็นแบบภาพเปลือยหรือเปล่า

     ตะวันไม่ชอบคะยั้นคะยอใคร หากตอนแรกตกลงกันได้แล้วแต่มาเปลี่ยนใจทีหลังเขาก็จะไม่ตอแย ปล่อยให้โชคชะตานำพาคนที่พร้อมจะมาเป็นมิวส์[1]ให้เขาดีกว่าต้องไปบังคับให้คนอื่นมาเป็นแบบให้ทั้งที่เจ้าตัวไม่ต้องการ หลัง ๆ มาจึงต้องอาศัยคอนเน็กชันของเพื่อนสนิทอย่างเชรี่บ้าง หรือไม่ก็ประกาศหาไปเรื่อย หรือไม่ก็อาจจะต้องโยนเหยื่อล่อแบบที่ทำกับจงรัก ซึ่งถ้าจงรักจะไม่ยินยอม เขาก็คงไม่ตื๊อเช่นกัน (แม้ว่าจะเสียดายมาก ๆ ก็ตาม)

     “ได้ โอเคเลย เริ่มเลยไหม”

     “เดี๋ยวครับ ใจเย็นก่อน ทำไมมันง่ายจัง ไม่มีออดิชันหน่อยเหรอ”

     “ไม่มี! ไม่ออดิชันอะไรทั้งนั้น เรารับหมดทุกคนทุกเพศทุกวัยเพราะจะทำโปรเจ็กต์ไม่ทันแล้ว” ตะวันว่าพลางทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก และนั่นก็ทำให้จงรักหัวเราะออกมาอีกครั้ง “แต่ถึงมีออดิชันเธอก็ผ่านอยู่ดี”

     “ไบแอส”

     “แน่นอน เราบาร์เอียง ยอมรับตรง ๆ”

     “เพราะผมเป็นเพื่อนของรี่เหรอ”

     “เพราะเราอยากวาดรูปเธอต่างหาก”

     “...”

     ฉับพลันห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงแค่เสียงมอเตอร์ของตู้เย็น สายตาและคำพูดของรุ่นพี่ทำให้จงรักรู้สึกหวิว ๆ ในอกชอบกลจนต้องเสยผมด้วยมือทั้งสองข้าง วินาทีนั้นเองตะวันจึงได้รู้ตัวว่าเขาทำอะไรลงไปโดยไม่คิด

     “ซอรี่นะถ้าทำให้อึดอัด ไม่ได้ตั้งใจ...”

     “ไม่เป็นไรครับ” จงรักว่ายิ้ม ๆ อย่างจริงใจเพราะไม่อยากให้คนพี่รู้สึกแย่

     “แต่ด้วยความสัตย์จริงนะ ด้วยเกียรติของลูกเสือ” ไม่ว่าเปล่า ตะวันชูสองนิ้วขึ้นมาอย่างจริงจังเกินไป ไหนจะจมูกเปื้อนรอยดินสอที่ยังไม่ถูกเช็ดออกไปนั่นอีก มันทำให้คนน้องอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ – อีกแล้ว “เราว่าเธอเหมาะจะมาเป็นแบบวาดรูปให้เราโคตร ๆ เลย”

     “ผมก็ไม่ได้หล่อขนาดนั้นสักหน่อย” จงรักแย้งด้วยเสียงค่อยอย่างไร้ซึ่งความมั่นใจ

     “จะเป็นแบบได้ไม่ได้แปลว่าต้องหล่อเสมอไปเหอะ ศิลปะมันมีความหมายมากกว่าคำว่าหล่อสวย”

     “อ่า...ผมไม่หล่อจริง ๆ ด้วยสินะ”

     “เฮ้ย ไม่ได้หมายความแบบนั้น” ได้ยินแล้วจงรักก็ยกยิ้มพลางเปลี่ยนมานั่งเท้าคางมองคนพี่ที่นั่งส่ายหัวดิ๊ก ๆ อยู่ที่พื้นอย่างลุกลี้ลุกลน

     “แสดงว่าพี่มองว่าผมหล่อจริง ๆ ด้วย”

     “โอ๊ย แกอย่าต้อนให้จนมุมดิ”

     “ไม่ได้ต้อนสักหน่อย” ทีแรกจงรักก็รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองอยู่หรอก แต่พอเห็นว่าคนพี่ถูกพาไปไหนก็ตามไปดื้อ ๆ แบบนี้แล้วก็ดันอย่างแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น “แต่ว่าลูกเสือเขาชูสามนิ้วนะพี่ ไม่ใช่สองนิ้ว”

     “...แกมองไม่เห็นนิ้วที่สามเองปะ” แล้วตะวันก็ยกนิ้วนางขึ้นมาทันทีที่พูดจบประโยคอย่างหน้าไม่อายก่อนจะเอามือลง ทำเอาจงรักหัวเราะเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่อาจรู้ได้ “เอ้ย เราเรียกแกได้ไหม มันติดปากอะ”

     “ได้หมดครับ ผมไม่ซีเรียส”

     “เออ นั่นแหละ เราว่าแกมีเสน่ห์...ลองเปิดสมุดสเก็ตช์ของเราไปที่หน้าล่าสุดดูดิ” คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหยิบสมุดสเก็ตช์บนพื้นมาเปิดไปยังหน้าล่าสุดที่ถูกใช้ ก่อนจะนิ่งเงียบไปจนคนพี่เริ่มใจไม่ดี อันที่จริงตะวันไม่ค่อยวาดรูปใครโดยไม่ขออนุญาตก่อนเพราะมันอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว ซึ่งตะวันก็ได้แต่กล่าวขอโทษอยู่ในใจเพราะมุมของจงรักที่เขาได้เห็นในวันนั้นน่ะพลาดไม่ได้จริง ๆ “นิ่งเลย...ขอโทษอีกทีที่วาดแกโดยพลการ”

     “อ่า...”

     “อย่าเงียบดิ มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ตะวันเริ่มเสียความมั่นใจ

     “ไม่ ๆๆ สวยดีครับ” จงรักว่าพลางลูบไปตามภาพสเก็ตช์บนหน้ากระดาษสีนวล “แค่ไม่เคยเห็นตัวเองในมุมนี้มาก่อน”

     “อย่ามาขี้โม้ แฟนแกไม่เคยแอบมองแกมุมนี้จริงดิ มันดูดีมากเลยนะ เอ๊ะ...นี่แกมีแฟนรึเปล่า บอกแฟนแล้วใช่ไหมว่าจะมาเป็นแบบให้เราอะ ถ้าเขามาอาละวาดเราไม่รู้ด้วยนะเว่ย”

     “ผมมีแฟนนะ” จงรักเว้นจังหวะหายใจก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาและยิ้มแหย “แต่ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้ว”

     จงรักไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เพราะมีแฟนก็คือมีแฟน มันจะไม่แน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองมีแฟนหรือเปล่าถ้าหากความสัมพันธ์กำลังเป็นไปได้ด้วยดี แต่เขาก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกเช่นกันหากถูกถามต่อ เพราะเหนื่อยจะต่อความยาวสาวความยืดกับคนที่เพิ่งเจอกันได้แค่สองครั้ง ไหน ๆ หนีจากพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองมาแล้ว จงรักขอหนีจากเรื่องต่าง ๆ นานาในหัวบ้าง เพราะเขาก็เหนื่อยจะต้องคิดถึงเรื่องของนัทธ์แล้วเหมือนกัน

     “อือ...เหมือนกัน”

     “...”

     และจงรักก็ไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้จากตะวัน

     “เอาเป็นว่าวันนี้เราอย่าเพิ่งเริ่มวาดดีกว่า แกน่าจะยังเกร็ง ๆ อยู่ เรานั่งคุยอะไรไร้สาระแบบนี้กันไปก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบนะ เราเข้าใจ” ตะวันตัดบทเปลี่ยนเรื่องก่อนจะยิ้มอย่างใจดี

     “โอเคครับ”

     จู่ ๆ เจ้าของห้องก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดตู้เย็นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะกลับมานั่งท่าเดิมในตำแหน่งเดิมแต่มีสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือเบียร์สองกระป๋องในมือ ตะวันยื่นให้จงรักกระป๋องหนึ่งแต่ก็ชักกลับไปก่อน

      “ขับรถมารึเปล่า”

      “เดินมาครับ ไม่ไกลเท่าไหร่” ได้ยินแบบนั้นก็ยื่นให้อีกฝ่ายแต่โดยดี

      “กินได้เต็มที่เลย สตูเรามีเบียร์ฟรี เพราะเชรี่เป็นคนซื้อมาตุนไว้”

      “ว่าแล้วเชียว เห็นยี่ห้อนี้แล้วคิดถึงมันคนแรกเลย”

      “โห รู้ใจเพื่อนขนาดนั้นเลยเหรอ”

      “เปล่า ไม่มีใครกินยี่ห้อนี้แล้วนอกจากมัน รสชาติโคตรห่วย” ว่าแล้วจงรักก็กระดกเบียร์ลงคออึกใหญ่ก่อนจะทำหน้าเหยเก

      “ใช่ปะ! เราบอกมันหลายรอบแล้วมันก็ไม่เชื่อ ในที่สุดเราก็มีพวกแล้ว!”

      “เดี๋ยวคราวหน้าผมซื้ออันอื่นมาให้พี่ลองดีกว่า”

      “ได้ไง แกมาเป็นแบบให้แล้วยังต้องมาเลี้ยงเบียร์อีก...งั้นเดี๋ยวเราขึ้นค่าตัวให้ดีกว่า”

      “ไม่เป็นไรครับ ไม่อยากได้เงิน”

      “เฮ้ย ไม่ได้ดิ เราจ้างนะเว่ย ไม่ได้ขอให้มาเป็นแบบฟรี ๆ มันไม่แฟร์อะ”

      “ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ไหม”

      “เอาอะไรอะงั้น”

      ห้องเงียบลงอีกครั้งเพราะจงรักจ้องตะวันอย่างนิ่งงัน แม้แต่เบียร์ก็ยังไม่ยกขึ้นมากระดก ส่วนเขาก็จ้องตาคนที่เด็กกว่ากลับไปอย่างตั้งใจด้วยเพราะต้องการคำตอบ แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นสายตาแปลก ๆ ที่ทำเอาตะวันเกือบจะคิดไปไกล มันเป็นสายตาที่ถ้าหากว่าเขาไม่ได้มีแฟนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีแฟนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าคนตรงหน้าไม่ใช่จงรักที่กำลังจะมาเป็นโมเดลให้ และมันเกิดขึ้นกับใครอื่นในวันที่ตะวันกำลังเมาได้ที่อยู่ในร้านเหล้า เขาขอสารภาพตรงนี้เลยว่ามันจะต้องพาไปจบลงที่เตียงนอนแน่ ๆ

      ไม่ได้หรอก ยังไงกับจงรักก็ไม่ได้ ทั้งในฐานะของคนที่กำลังจะกลายมาเป็นโมเดล คนที่เป็นเพื่อนของเพื่อน และคนที่เข้ามาในตอนที่ความสัมพันธ์ของตะวันกำลังคาราคาซัง

      “คิดไม่ออก”

      “โอ๊ย ก็นึกว่าคิดเยอะอยู่ เห็นจ้องเราตาไม่กะพริบเลย” ตะวันถอนหายใจอย่างโล่งอกที่บรรยากาศเมื่อครู่เจือจางลงไปบ้างแล้ว

      “จมูกพี่เปื้อนน่ะ” จงรักกล่าวแล้วยกเบียร์ขึ้นกระดกทีเดียวเกือบหมดจนหน้าเบี้ยวเพราะรสขมปะแล่มไม่ถูกใจ “โคตรดึงดูดความสนใจเลย”

      “เอ้า แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก” ว่าแล้วก็เอื้อมไปหยิบทิชชูที่วางอยู่ไม่ไกลมาเช็ดออก

      “ตลกดี” แล้วจงรักก็ถูกทิชชูปาใส่ด้วยความหมั่นไส้ “สรุปว่าพี่จะจ้างผมด้วยอะไรดี”

      “จะไปรู้เหรอ จะจ้างด้วยเงินก็ไม่เอา”

      “ไม่มีอะไรที่พี่ทำได้แล้วเหรอ อะไรก็ได้นะ ซื้อขนมให้กินผมก็โอเค”

      “เราทำอาหารเป็นนะ อร่อยมากด้วย”

      “งั้นขอผมฝากท้องกับพี่แล้วกัน”

      “เลี้ยงง่ายเนอะ”

      “ดีลไหมล่ะ”

      “ดีล”

      กระป๋องเบียร์ทั้งสองถูกยกขึ้นชนกันจนเกิดเสียงแก๊ง ทั้งคู่ยกมันขึ้นดื่มจนหมดในครั้งเดียวราวกับเป็นการประทับลายนิ้วมือลงบนสนธิสัญญาอันว่างเปล่า จงรักขออนุญาตเจ้าของห้องเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเบียร์อีกหลายกระป๋องให้พวกเขาทั้งคู่ แล้วก็ได้พบว่าคนพี่คงจะไม่ได้โกหกเรื่องที่ทำอาหารเก่งจริง ๆ เพราะในบริเวณห้องสี่เหลี่ยมรก ๆ นี่มีเพียงตู้เย็นเท่านั้นถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบต่าง ๆ นานาทั้งที่จงรักรู้จักและไม่รู้จัก

      “ตู้เย็นเรียบร้อยจัง”

      “เราไม่ได้จัดเองหรอก เพื่อนเป็นคนจัดให้ – ที่ไม่ใช่ไอ้เชน่ะ แกดูสภาพห้องที่เหลือของเราด้วย เอาอะไรมาเรียบร้อย”

      “แล้วห้องพี่ว่างขนาดนี้พี่ทำอาหารยังไง” เขาถามพลางเดินกลับมานั่งที่พื้นข้าง ๆ คนพี่ก่อนจะยื่นเบียร์กระป๋องใหม่ให้อีกฝ่าย เขาไม่ได้นั่งบนโซฟาอย่างที่ทำในตอนแรกแล้ว ทั้งยังนั่งเหยียดขาอย่างสบายใจมากขึ้นด้วย

      “ในตู้มีเครื่องครัวอยู่ กระทะไฟฟ้ามีดเขียงเครื่องปรุง เป็นโลกอีกใบของเราเลย”

      “เพื่อนอีกคนที่จัดตู้เย็นให้ใช่พี่มู่ไหม”

      “ใช่ รู้จักมู่ด้วยเหรอ”

      “เคยเจออยู่กับรี่สองสามครั้ง...แต่ทำไมผมไม่เคยเจอพี่เลย”

      “ไม่แปลกหรอก มันสองคนตัวติดกันจะตาย ถึงขั้นตกลงกันไว้เลยนะว่าถ้าสามสิบห้าแล้วไม่มีใครได้แต่งงานจะจดทะเบียนสมรสแล้วซื้อบ้านอยู่ด้วยกัน”

      “จดทะเบียนสมรสเหรอ?”

      สีหน้างง ๆ ของจงรักทำเอาตะวันหลุดขำ แน่ล่ะ พูดแบบนี้ให้ใครฟังก็ย่อมสงสัยกันทั้งนั้นว่ามันทำได้ด้วยเหรอในประเทศที่คนเพศเดียวกันยังแต่งงานกันไม่ได้แบบนี้น่ะ

      “มู่หลานมันเป็น trans”

      แล้วสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระจ่างนั้นก็ทำให้ตะวันรู้สึกเอ็นดู

      ทั้งคู่พูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันไปเรื่อยกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ห้องเริ่มมืดจนเจ้าของห้องต้องลุกไปเปิดไฟ ตะวันได้รู้ว่าจงรักเป็นเพื่อนกับเชรี่มาตั้งแต่เด็กเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน แต่เพราะเชรี่เกิดต้นปีจึงได้เรียนชั้นอนุบาลหนึ่งก่อน จงรักได้รู้ว่าตะวันหารค่าเช่าสตูดิโอแห่งนี้กับเชรี่และมู่หลาน แต่เพราะมีห้องนอนห้องเดียวคนพี่จึงอาศัยนอนที่นี่ไปด้วยในตัวโดยที่จ่ายค่าเช่าในส่วนที่มากกว่าเพื่อน ที่หน้าประตูห้องนอนมีรูปสเก็ตช์ติดเอาไว้ราวกับว่ามันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผนัง จงรักจึงไม่ทันได้สังเกตในทีแรก รวมถึงประตูห้องน้ำก็แฝงตัวอย่างแนบเนียนไม่ต่างกัน

      “รู้ไหมว่าตอนที่เจอกันที่ห้องสมุดเราแอบกลัวเธอด้วย”

      “เพราะผมเงียบ ๆ เหรอ” จงรักจำได้ดีว่าวันนั้นเขาอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่นัก แม้แต่กับเชรี่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากมาย

      “ก็ด้วย แต่เธอหน้าดุน่ะ ตาเฉี่ยว ๆ แต่พอยิ้มแล้วเป็นคนละคนเลย”

      “ได้ยินคนพูดหลายคนอยู่”

      แอลกอฮอล์กระป๋องแล้วกระป๋องเล่าถูกเปิดและยกดื่มโดยไม่มีใครรู้ตัว แม้ว่ารสชาติของเบียร์จะค่อนไปทางห่วยแต่เพราะรสชาติของบทสนทนานั้นอร่อยถูกปากพวกเขาเหลือเกินมันจึงกลบรสขมเฝื่อนในปากได้โดยสมบูรณ์

      นานมากแล้วที่ทั้งตะวันและจงรักไม่ได้ทำความรู้จักและพูดคุยกับใครแบบนี้ และถึงได้ทำความรู้จักกับใครใหม่ บทสนทนาก็คงไม่ราบรื่นแบบนี้ อาจเป็นเพราะแอลกอฮอล์ที่กำลังไหลเวียนอยู่ในสายเลือด อาจเป็นเพราะทั้งคู่มีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกัน แต่จะเพราะอะไรก็ตาม ตะวันรู้สึกขอบคุณตัวเองเหลือเกินที่เลือกจะทิ้งสมุดเอาไว้เพื่อให้อีกฝ่ายเก็บมันมาคืน และจงรักก็ขอบคุณที่ตัวเองกล้าออกจากสิ่งเดิม ๆ มายังห้องสตูดิโอแห่งนี้

      “ผมกลับดีกว่า ไม่อยากกวนพี่แล้ว” คนเด็กกว่าว่าพลางลุกขึ้น แต่เพราะดื่มเบียร์เข้าไปจึงเซจนเกือบล้ม โชคดีที่ตะวันลุกขึ้นมาคว้าแขนเอาไว้ได้ทัน

      “อะไรอะ เบียร์แค่นี้เธอเมาแล้วเหรอ”

      “ผมกินเบียร์ไม่เก่ง”

      “เดินกลับได้ใช่ไหม ไม่ไหวนอนนี่ก็ได้นะ”

      “ไม่เป็นไรครับ ผมเดินกลับไหว”

      จงรักยืนตัวตรงให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขายังยืนไหว อันที่จริงก็ไม่ได้เมาอะไรมากมาย แค่ลุกเร็วเกินไปก็เท่านั้น แล้วเขาก็เพิ่งได้สังเกตในตอนนั้นเองว่าคนพี่ตัวสูงกว่าเขาตั้งหลายเซนติเมตรทั้งที่เขาคิดว่าส่วนสูง 178 เซนติเมตรของตัวเองก็เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างมากอยู่แล้ว แล้วก็ได้แต่สงสัยในใจว่าอีกฝ่ายสูงเท่าไหร่กัน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

      หลังจากบอกลากันไป จงรักก็เดินโซซัดโซเซกลับหอพัก เขาเพิ่งรู้ตัวว่าการที่สติยังไหวแต่ร่างกายไม่สัมพันธ์ตามมันเป็นยังไงเพราะปกติไม่ค่อยดื่มหนัก ๆ เท่าไหร่ ครั้งล่าสุดน่าจะเป็นวันนั้น

      เขานั่งลงข้าง ๆ สุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่นอนอยู่เยื้อง ๆ กับร้านโชห่วยเพื่อพักกลางทางก่อนจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่รู้ว่ามืดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะคุยกับตะวันจนเพลิน มันไม่ได้เต็มไปด้วยดวงดาวเพราะที่นี่คือเมืองที่เต็มไปด้วยแสงไฟซึ่งกลบแสงดาวไปจนมิด แต่อย่างน้อยวันนี้ก็พอจะมองเห็นเมฆอยู่บ้าง และมันก็ไม่ใช่ท้องฟ้าที่หมองหม่นอย่างที่เป็นมาหลายวัน

 

 

 

 

..............................

เรารับบทหมาหน้าร้านโชห่วย

#จงรักตะวัน


เชิงอรรถ

  1. ^ มิวส์คือเทพีผู้มอบแรงบันดาลใจ สนับสนุน ช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์และจินตนาการให้ศิลปินแขนงต่างๆ มีทั้งหมด 9 นาง เป็นลูกสาวของซุสกับนางนีโมซิเน และเป็นสหายของอะพอลโล (หนึ่งในหน้าที่ของอะพอลโลคือการเป็นเทพแห่งดนตรีและกวี) ในวงการศิลปะ กวี และแฟชั่น ยกย่องให้ผู้ที่ช่วยให้ศิลปินเกิดแรงบันดาลใจว่าเป็นมิวส์เช่น เอมีเลีย ฟลูเก ที่ปรากฏอยู่ในภาพ The Kiss ของกุสตาฟ คลิมท์ หรือ แมริลิน มอนโร ในฐานะมิวส์ของน้ำหอม Chanel No. 5