said baby it's just in my nature to be a little troublemaker

so wrong, but so right

know you really like the way I taste when we kiss, you reminisce

but this ain't the last time

just stay by my side

 

 

...

 

 

     ท่ามกลางความมืดภายในห้องสี่เหลี่ยมของใครบางคนที่ไม่สมควรจะมองเห็นอะไรได้ในยามค่ำคืน เขากลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่ชัดเจน...สัมผัสที่ปลุกเร้าประสาททั้งห้าอย่างพร้อมเพรียงจนขนอ่อนตามร่างกายแข่งกันลุกชัน สายตาที่แม้จะปรับรับแสงในความมืดได้บ้างแต่ก็พร่ามัวเพราะม่านน้ำตาแห่งความมึนเมาและลุ่มหลง ลมหายใจคลุ้งกลิ่นแอลกอฮอล์ตัวแรงที่ดื่มเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตราวกับวันพรุ่งนี้จะมาไม่ถึงต่างก็ถูกพ่นใส่กันและกันผ่านทั้งทางริมฝีปากและจมูก โสตสดับรับฟังเสียงหอบครางเคล้าผิวหนังชื้นเหงื่อกระทบกัน ใช้ริมฝีปากทำความรู้จักผิวหนังนั้นในทุกพื้นที่ ทุกซอก ทุกมุม ลากเลียและดูดดึงไปทั่วแม้แต่พื้นที่รโหฐานซึ่งไม่เคยมีใครได้ค้นพบ – หรืออาจจะมี ไม่มีใครทราบได้ และไม่มีใครสนใจว่าต่างฝ่ายจะผ่านอะไรมา

     พวกเขาต้องการเพียงแค่ใครสักคนที่จะพาตนเองไปสู่อีกฝั่งของความสุขสมเพียงชั่วข้ามคืน

     ใครสักคนที่เจอกันในร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัย ใครสักคนที่เป็นคนแปลกหน้าและจะไม่ได้พบกันอีก ใครสักคนที่จะช่วยคนตะกอนขุ่นมัวในใจให้ฟุ้งสลายไปสักเดี๋ยว

     มันพร่าเบลอ เร่ารีบ และสุขสมจนไม่สามารถจับอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่นิ้วมือเรียวที่เดินทางท่องไปตามเรือนกายของอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงลากและรั้ง สะเปะสะปะไม่ต่างอะไรกับนักเดินป่าที่หลงทิศในช่วงฤดูหนาว ต้องการไฟและความอบอุ่นจากบางอย่างให้ยามค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างปลอดภัย เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำการขยับยื้อเข้ามาในตัว เป็นจังหวะบ้างไม่เป็นจังหวะบ้าง เจ็บบ้าง กระสันบ้าง

     แต่ใครสนกันล่ะ ในเมื่ออีกไม่กี่อึดใจต่างฝ่ายก็ต่างจะถึงจุดหมาย ในเมื่อวันพรุ่งนี้ตะกอนจะตกกลับลงที่ก้นบึ้งของหัวใจ และพวกเขาก็จะจำอะไรไม่ได้อีกราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

 

 

     ซะที่ไหนล่ะโว้ย!!!

 

 

     ตะวัน นั่งทึ้งหัวอยู่ที่ปลายเตียงของคนแปลกหน้า ผมสีเข้มที่เพิ่งไปอันเดอร์คัตมาอย่างดียุ่งเหยิงไม่ต่างอะไรกับผ้าปูที่ยับย่นซึ่งเป็นหลักฐานชั้นต้นอย่างดีที่แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของความมึนเมาและเงี่ยนง่าน คนแปลกหน้านอนคว่ำในสภาพเละเทะและเปลือยเปล่าไม่ต่างกัน ตะวันมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายเพราะผ้าห่มบดบัง แล้วก็ไม่คิดอยากจะเห็นด้วยเพราะแค่นี้ก็น่าอับอายมากพอแล้ว ขืนได้เห็นหน้าผู้ร่วมก่อเหตุและภาพร่องรอยทางอารยธรรมตามร่างกายไปมากกว่านี้เขาคงได้กระโดดหน้าต่างตายแน่ ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ปฏิเสธตัวเองไม่ให้แอบเหลือบสังเกตคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงเป็นระยะไม่ได้ – ไหล่กว้าง ผมสีเข้ม และขาที่เลยขอบเตียงนั่นก็คงยาวน่าดู

     “ตะวัน มึงนะมึง ทำอะไรไม่คิดเลย”

     เขาบ่นงึมงำกับตัวเองอย่างเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปพร้อม ๆ กับหยิบเสื้อยืดและกางเกงยีนขาด ๆ ที่ใส่ไปกินเหล้ากับเพื่อนเมื่อคืนมาสวมลวก ๆ แล้วก็ต้องผงะเมื่อหันไปเห็นร่างสูงโปร่งของตัวเองในกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้งปลายเตียงด้วยความตกใจเพราะสภาพดูไม่ได้ เดินไปหน้าปากซอยหมามันยังรู้ว่าเขาเมาเละ คิดแล้วก็สางผมให้พอจะดูเป็นผู้เป็นคนสักหน่อย ก่อนจะคว้าทุกอย่างของตัวเองในระยะสายตาแล้วพยายามแบกสารร่างอันปวดร้าวเนื่องจากการออกกำลังกายเกินความจำเป็นย่างเท้าออกจากห้องอย่างรีบรนและเบาที่สุดเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้า ราวกับอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ต่างดาวที่พร้อมจะจับเขาไปทำการทดลองหากได้ลืมตาตื่น และทันทีที่ก้าวออกมาจากห้องนั้น เขาก็ได้แต่ถามตัวเองในใจว่า ที่นี่ที่ไหนว่าไอสัด

 

 

     “แล้วยังไงต่อ คือ?”

     “จะยังไงล่ะ กูก็แบกตัวเองกลับมาห้องด้วยความทุลักทุเลนี่ไง”

     “ไม่ ๆ คือสรุปมึงก็จำไม่ได้จริง ๆ เหรอว่าเขาคือใคร”

     เชรี่ ที่นั่งขัดสมาธิกินยำอยู่ที่พื้นห้องถึงกับต้องวางช้อนมาถามตะวันถึงเรื่องเมื่อคืน แม้แต่ มู่หลาน ที่ปกติไม่ค่อยจะชอบเรื่องดราม่าเท่าไหร่ยังเท้าคางฟังอย่างตั้งใจ เพราะตัวละครหลักของเหตุการณ์เมื่อคืนไม่มีความเป็นตะวันเลยสักนิด

     พวกเขาไปกินเหล้าที่ร้านประจำเพื่อเลี้ยงฉลองหลังจากส่งโปรเจ็กต์กลางภาคเสร็จร่วมกับเพื่อนในเอกอีกหลายคน มู่หลานไม่ได้ไปด้วยเพราะไม่ชอบเสียงดัง ส่วนเชรี่ก็น่าจะกำลังไปชนแก้วกับโต๊ะอื่นอยู่เพราะรู้จักทุกคนในร้าน ปล่อยให้ตะวันรับชะตากรรมโดนเพื่อนคนอื่นกลั่นแกล้ง ปกติเขาเป็นคนคอแข็งพอสมควร และถึงเมาก็ดูไม่เมาเพราะพูดรู้เรื่อง ต้องยืนเสียก่อนจึงจะพบว่าแขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนเดินไม่ไหวไปหมดจึงถูกเพื่อนผสมอะไรต่าง ๆ นานาให้ลองกินอยู่บ่อยครั้ง

     “จำไม่ได้! กูจำเหี้ยอะไรไม่ได้เลยครับเช กูไปตั้งแต่ที่โดนกรอกเหล้าเพียว ๆ ผสมโค้ก ผสมเหล้าปั่น ผสมเหี้ยห่าอะไรไม่รู้ใส่ปาก ภาพตัดไปที่กูกอดชักโครกอ้วกที่ร้าน ตัดไปอีกทีคือกูยืนคุยอะไรกับใครสักคนซึ่งกูเดาว่าน่าจะเป็นเขา แล้วก็ตัดอีกทีไปบนเตียงเลย ฉับ ๆ jump cut ยิ่งกว่าตัดฟุตดิบพรีเซนเทชั่นงานมิดเทอม”

     “นี่คือข้อเสียของคนที่เมาแล้วยังดูมีสติสินะ” มู่หลานพูดเบา ๆ ก่อนจะสูดเส้นมาม่าในยำเข้าปาก

     “ที่เหี้ยกว่านั้นคือ...” ตะวันเว้นหายใจไปจังหวะหนึ่งเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนสาวทั้งสองคนที่ราวกับถามว่า มีเหี้ยกว่านี้อีกเหรอ ก่อนจะพูดอ้อมแอ้มว่า “กู...จำไม่ได้ว่าใช้ถุงยางรึเปล่า”

     “เอาดี ไม่เล่นนะตะวัน แม่บอกแล้วใช่ไหมลูกว่าจะไปเอากับใครก็ได้แต่ต้องป้องกัน ท้องไส้ขึ้นมามันจะเป็นเรื่องใหญ่”

     “มึงสิไม่เล่น อีเช” มู่หลานหันไปดุเพื่อน “มึงเละเทะขนาดนี้ได้ไงวะตะวัน ปกติมึงระวังตลอดไม่ใช่เหรอ”

     “ขออนุญาตถามว่าปกติของมันนี่คือตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะมันคบกับบีมมาสักพักแล้ว และ— เชี่ย! บีม!” ยังไม่ทันจะได้พูดจบเชรี่ก็ถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดปากพลางเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเพื่อนมีแฟนสาวอยู่แล้ว ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เสแสร้งราวกับเล่นละครคุณธรรมในติ๊กต็อกว่า “นี่มึงลืมตัวละครสำคัญในชีวิตมึงไปได้ยังไงตะวัน”

     “กูไม่รู้เลยว่าเรื่องถุงยางกับเรื่องบีมอะไรจะเป็นเรื่องใหญ่กว่ากัน” มู่หลานพูดแล้วถอนหายใจ

     “ก็ต้องเรื่องถุงยางปะวะ ชีวิตเพื่อนมึงทั้งคนเลยนะ ว่าแล้วก็อย่าลืมไปตรวจเลือดนะมึง เป็นห่วง อันนี้จริงจัง”

     “เออ กูก็ว่าจะไปอยู่แหละ ปกติกูก็ตรวจตลอด แต่จริง ๆ แล้ว...กูกับบีมมีเรื่องนิดหน่อย”

     “เอาล่ะ มันยังไงไหนเล่า”

     “คือเขา...เขาไม่ค่อย enjoy having sex ว่ะ”

     “มึงห่วยเหรอตะวัน” มู่หลานถามขึ้นด้วยความซื่อก่อนจะหันไปถามเพื่อนสาวที่นั่งกินยำอยู่ข้าง ๆ ว่า “เช มึงไม่เคยสอนเพื่อนเหรอว่าก่อนจะมีอะไรกับใครต้อง foreplay ก่อนน่ะ”

     “ไม่ใช่โว้ย! มัน...จะพูดยังไงดี” เขาเว้นจังหวะไปก่อนจะกลอกตาไปมาเพราะต้องเรียบเรียงที่อยู่ในสมองออกมาเป็นคำพูด “เขาไม่อยากมีเซ็กซ์น่ะ เขาไม่รู้สึกว่ามันจำเป็น แล้วก็ไม่รู้สึกสนุกเท่าไหร่ด้วยที่ได้ทำ ไม่ใช่แค่กับกู แต่เขาเป็นกับทุกคน”

     “...”

     “เขาก็เลยบอกกูว่า กูจะลองไปมีอะไรกับคนอื่นก็ได้ เขาไม่ติด เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้กูไม่สนุกกับชีวิตเซ็กซ์ของตัวเองเหมือนกัน”

     คำตอบของตะวันทำให้เชชะงักไปเล็กน้อย ส่วนมู่หลานไม่ได้แสดงออกอะไรมากมายไปกว่าใบหน้าเรียบเฉยที่มักจะเป็นเครื่องประดับประจำบนหน้า ตะวันเข้าใจดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเขาและแฟนสาวไม่ใช่เรื่องปกติในสังคมที่ใคร ๆ ก็รับได้ และถึงแม้ว่าเพื่อนทั้งสองจะหัวสมัยและรับได้ในอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่เมื่อเจอกับคนใกล้ตัวแล้วก็ย่อมมีตกใจบ้างเป็นธรรมดา เขาเองตอนที่ได้ยินบีมพูดแบบนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับตัวเอง ไอ้คำว่า Open Relationship น่ะ ไม่เคยอยู่ในหัวเขาเลยสักนิด แต่ตะวันก็เคารพในความคิดของบีม แม้ว่าตัวเองจะมีความต้องการแต่การไปบังคับให้บีมต้องยอมทำกิจกรรมดังกล่าวกับเขาทั้งที่เธอไม่อยากนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรเลยสักนิด แม้ว่าเธอจะเป็นแฟนสาวของเขาก็ตาม

     อันที่จริงก็ต้องยอมรับว่าหลังจากที่เมื่อคืนได้ลองมีอะไรกับคนอื่นแล้วเขารับได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าที่คิดไว้ (แม้จะสติแตกไปบ้าง) เพราะนี่ก็ยุคสมัยไหนแล้ว ถ้ามันทำให้เขาและเธอสบายใจในความสัมพันธ์มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไรตราบใดที่ไม่มีใครสร้างความเดือดร้อนให้ใคร

     แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีปัญหาเลย

     “กูว่าเขาก็แฟร์กับมึงนะ มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแล้ว ถ้ามึงตกลงกันแบบนั้นได้ก็ถือเป็นทางออกของคู่มึง ไม่ใช่เรื่องอะไรที่กูหรือใครต้องไปตัดสิน อันนี้พูดในฐานะคนที่เคยลอง 3some” มู่หลานไม่เคยทำให้เพื่อนผิดหวังเลยจริง ๆ

     “อันนี้คืออะไร คาบสุขศึกษาเหรอ เพื่อนกูแรงทุกตัวเลย” เชรี่มองหน้าเพื่อนสลับไปมาอย่างเลิ่กลั่ก

     “นั่นแหละ สรุปว่าเมื่อคืนกูก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ตัวเลย มันก็รู้บ้าง แล้วก็มีส่วนเล็ก ๆ ในใจกูที่บอกให้ลองเหมือนกัน แต่ปัญหาคือ...”

     “ปัญหามึงยังไม่จบอีกเหรอตะวัน”

     “เออ ปัญหาคือกูชอบไง ชอบมากด้วย”

     “...”

     “ถ้ามันเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วถ้ากูดันไปชอบใครขึ้นมานอกจากบีมอะ คนที่ให้กูได้ทั้งเรื่องรักแล้วก็เรื่องบนเตียง มันก็แปลว่ากูก็ต้องเลิกกับบีมรึเปล่าวะ...แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดเขาเลยไงที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้”

     “กูไม่รู้นะว่าวันข้างหน้ามึงจะเลิกกับบีมจริงไหม แต่ทางออกคือมึงก็ต้องคุยกันไง ถ้าวันหนึ่งมึงรู้สึกกับคนอื่นมากกว่าเขามึงก็ต้องบอก ถ้ามันต้องจบลงไปจริง ๆ ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก มันก็แค่เซ็กซ์ไหมวะ ก็เป็นความชอบอย่างหนึ่ง ก็แค่มึงชอบส่วนเขาไม่ชอบ แค่นั้นเลย แค่มึงกับเขามีรสนิยมที่ไม่ตรงกัน ต่อให้มึงจะชอบเขามากแค่ไหนถ้ามันไปต่อไม่ได้มันก็ทำได้แค่ทำใจ” มู่หลานพูดอย่างจริงจังแม้ว่าปากจะเคี้ยวยำอยู่ก็ตาม “แค่ต้องบอกเขาไปตรง ๆ น่ะ อย่าเป็นคนเหี้ยก็พอ”

     “มงลงเว่อ ปีหน้าประกวดมิสทิฟฟานี่ไหมเดี๋ยวกูเป็นพี่เลี้ยงให้” เชรี่พูด

     “อีควาย”

     “ตะวัน มู่มันด่ากู มันไม่เคยด่ากูเลยนะ ทำไมกัน”

     “เลิกเล่นไหมอีละครคุณธรรมของมึงน่ะ ขยันเล่นไปพลอยชิดจันทร์เขาก็ไม่จ้างมึงนะ”

     “ทำไมเราต้องให้เขาจ้าง ในเมื่อเราเป็นพลอยชิดจันทร์ได้ด้วยตัวเอง”

     “ผัวก็ไม่มีจะเอาที่ไหนไปเป็นพลอยชิดจันทร์”

     “แกจะแรงเพื่อ”

     บางทีตะวันก็รู้สึกขอบคุณที่แม้ว่าตัวเองจะไม่ค่อยโชคดีเรื่องความรักเท่าไหร่นักแต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนคอยอยู่ข้าง ๆ เสมอ มันทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาได้ในวันที่รู้สึกเฮงซวยสุด ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ตะวันไม่สามารถหลบหนีความจริงที่ว่าเขาเริ่มเห็นรอยร้าวที่ชัดเจนขึ้นในความสัมพันธ์ ถ้าเขาและแฟนสาวไม่สามารถห้ามรอยร้าวนั้นเอาไว้ได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง มันอาจจะต้องจบลงจริง ๆ

     เพราะถึงแม้มันจะไม่ได้เป็นความตั้งใจร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่มันเป็นเซ็กซ์ที่ดีที่สุดในรอบหลายเดือนของเขาแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน

 

 

 

 

..............................

เรื่องนี้สั้น ๆ อ่านง่าย ไม่เครียด (?) ค่ะ สั้นจริง จำนวนคำต่อตอนก็น้อย จำนวนตอนก็น้อย แป๊บเดียวก็จบและ เชื่อเรา เราเชื่อถือได้อยู่ (เชื่อถือได้อยู่แปลว่า...)

#จงรักตะวัน