cause desire's a beauty when it looks like you

we can go to the moonlight and film all the things that

we could be, there's no room for discussion, i knew

from your lips, i could tell there's no angel like you

loving comes so easy with you

 

 

...

 

 

     ‘จง ว่างไหม ไปเดินเล่นกันปะ

 

     จงรักได้รับข้อความผ่านโปรแกรมแชตจากคนที่เพิ่งรู้จักได้ไม่นานอย่างตะวันในช่วงสาย วันนี้เป็นวันศุกร์ที่เขาไม่มีเรียนทั้งวันก็จริง แต่เพราะร่างกายตั้งนาฬิกาให้ตื่นแต่เช้าจนติดเป็นนิสัย เขาจึงอ่านข้อความของตะวันได้อย่างรวดเร็ว และเพราะวันนี้เขาไม่มีอะไรให้ทำเป็นพิเศษจึงตอบตกลงไปอย่างไม่คิดอะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าไอ้เดินเที่ยวน่ะมันคือที่ไหน แต่จะเป็นที่ไหนจงรักก็ไม่ติดทั้งนั้น ขอแค่ไม่ต้องอุดอู้อยู่ในห้องนานๆ ก็พอ แต่เมื่อถามยืนยันสถานที่นัดหมายไป เขาก็ได้แต่ทำหน้าสงสัย เพราะที่นั่นคือ

     “พี่จะพาผมมาเดินเล่นที่ห้องสมุดเหรอ”

     “ตลกแล้ว ห้องสมุดมีที่ให้เดินเล่นด้วยเหรอ”

     “อืม...ก็มีนะ ผมชอบเดินเล่นที่ชั้นสามกับชั้นสี่เพราะมีนิยายต่างประเทศให้อ่านเยอะดี เดินเล่นได้ทุกตู้เลย”

     “โอ๊ย นี่ก็ซื่อจัง” ตะวันหลุดขำเพราะเอ็นดูอีกฝ่ายที่ตอบคำถามออกมาอย่างซื่อตรง

     “อ่าว”

     “วันนี้พักเรื่องเดินเล่นที่ห้องสมุดแล้วไปเดินเล่นที่นู่นกัน”

     คนตัวสูงกว่าชี้ให้ดูอีกตึกที่อยู่ตรงข้ามกัน นั่นคือตึกศิลปกรรมที่จงรักมักจะนั่งมองมันผ่านหน้าต่างของห้องสมุดอยู่เสมอแต่ไม่มีโอกาสได้ไปเดินดูนิทรรศการสักที เมื่อเขามองตามนิ้วเรียวนั้นเขาก็พบว่าที่หน้าตึกมีป้ายขนาดใหญ่แขวนลงมาจากดาดฟ้ายาวจนถึงพื้นที่เขียนเอาไว้ว่ามีการจัดแสดงผลงานของเด็กปีหนึ่งและวันนี้คือวันสุดท้ายของงานแล้ว

     จงรักเดินตามคนขายาวที่พาเขาเดินลัดสนามกว้างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา เขามองผู้คนรอบตัวแล้วก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อยที่ตัวเองก็เคยเป็นเช่นคนเหล่านั้น บ้างแบกหนังสือเรียนไปด้วยในอ้อมกอดราวกับลูกรัก บ้างก็รีบสับเท้าเพราะกำลังจะเข้าเรียนสาย บางคนไถสเกตบอร์ดและฟังเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี และที่น่าหมั่นไส้ที่สุดคือคู่รักทั้งหลายที่เดินจับมือกะหนุงกะหนิงราวกับรอบตัวเต็มไปด้วยพื้นหลังสีชมพูและกลีบดอกไม้โปรยปรายราวกับซีรีส์เกาหลีแมสๆ สักเรื่อง โชคดีที่วันนี้อากาศไม่ได้ร้อนมากนัก เขาจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดไปมากกว่าที่ควร

     ในขณะที่ตอนนี้เรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยได้เพราะยังมีวิชาที่ต้องเรียนอยู่ รวมถึงวิทยานิพนธ์ที่ต้องทำให้แล้วเสร็จ ชีวิตเขาจึงวนเวียนอยู่ที่ห้องสมุดเป็นส่วนมาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีเวลาว่างมากพอให้ตื่นสายและเดินช้าๆ เข้าห้องเรียนอย่างไม่รีบร้อน หากแต่คนที่พาจงรักมาดูนิทรรศการดันเดินนำลิ่วไม่รอเขาที่เดินตามอยู่ด้านหลัง ในฐานะนักศึกษาปีสุดท้าย นี่จึงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ต้องเดินให้เร็วขึ้น

     “พี่”

     “หือ?”

     จงรักเรียกอีกฝ่ายที่เดินอยู่ตรงหน้าก่อนจะคว้าเสื้อแขนกุดที่ถูกสอดไว้ในกางเกงยีนขายาวจนชายเสื้อหลุดออกมาจากกางเกง

     เขาได้แต่สงสัยว่าทำไมตะวันที่หันกลับมาถึงได้ดูดีจนน่ารำคาญเช่นนี้ ไอ้ผมสีเข้มอันเดอร์คัตที่ถูกเซตมาอย่างดีน่ะโคตรเข้ากับโครงหน้าของอีกฝ่ายเลย ไหนจะแขนเรียวมีกล้ามเนื้อสมส่วนที่โผล่พ้นแขนเสื้อสีเข้มออกมานั่นอีก ให้ตาย

     เขาไม่ควรรู้สึกแบบนี้กับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันได้แค่สองสามครั้งรึเปล่านะ

     แถมยังเป็นในตอนนี้ทั้งตัวเองและอีกฝ่ายไม่ได้มีสถานะที่ควรจะเปิดใจให้ใครอื่นด้วย

     ตะวันหันกลับมาหาคนน้องด้วยความสงสัยพลางก้มมองมือใหญ่ๆ ที่กำชายเสื้อเขาเอาไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างที่อยู่ในฮู้ดเสื้อแขนยาวดูร้อนๆ นั่นก็กำสายกระเป๋าสะพายข้างเสียแน่น หัวกลมๆ ก้มมองปลายเท้าอย่างประหม่า เขาเพิ่งสังเกตว่าวันนี้ผมสีน้ำตาลยาวระคอของจงรักถูกมัดลวกๆ ทำให้มีปอยผมด้านหน้าบางส่วนที่กำลังปลิวไปตามสายลมอ่อนๆ ในช่วงสาย

     เห็นอย่างนี้แล้ว ตะวันก็ลอบยิ้มพลางชมตัวเองในใจว่าคิดถูกแล้วที่เลือกอีกฝ่ายมาเป็นแบบวาดรูป

     เขาจ้องมองจงรักที่ยืนเม้มปากอยู่อย่างนั้น รอจนกว่าริมฝีปากนั่นจะเปิดออกและเผยถึงสิ่งที่เจ้าตัวคิด และเพียงไม่นานจงรักก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาคล้ายว่ามีอะไรที่ยิ่งใหญ่จะสารภาพ

     เอาอีกแล้ว

     เด็กนี่มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการบางอย่างอีกแล้ว

     “เดินช้าลงหน่อยได้มั้ย...ผมเดินตามไม่ทัน”

     แล้วก็เป็นตะวันที่คิดไปเองอีกแล้ว

     คนพี่หลุดยิ้มจนหน้าบานอย่างห้ามไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าเพราะฟิลเตอร์ในตา เพราะอากาศดีๆ หรือเพราะอะไรกันแน่ที่ทำให้เขามองว่าการกระทำของอีกฝ่ายมันน่ารักไปหมด คำพูดคำจาที่ไม่มีคำลงท้ายแต่ฟังดูสุภาพและสีหน้าขี้เกรงใจเหลือเกินนั่นอีก

     น่าเอ็นดูจังวะ

     ตะวันเลิกนับไปแล้วว่าเขาหลุดคิดประโยคนั้นในหัวไปกี่รอบตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับจงรักมา

     “แกเหมือนคอร์กี้เลยอะ”

     “พี่บูลลี่ว่าผมขาสั้นเหรอ”

     “คอร์กี้มันน่ารักนะเว่ย อย่าดูถูก”

     “เอ้า คราวก่อนชมว่าหล่อ คราวนี้มาชมว่าผมน่ารักเหรอ”

     “เนี่ย เธอต้อนเราอีกแล้วอะ”

     จงรักไม่แน่ใจว่าเขายิ้มออกมาเพราะแกล้งตะวันได้สำเร็จหรือเป็นเพราะตะวันเดินช้าลงกันแน่

 

 

     ...

 

 

     “แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงชวนมาเดินดูงานศิลปะ”

     จงรักถามอีกฝ่ายที่เดินไปเดินมาท่ามกลางงานศิลปะมากมาย มันเป็นงานนิทรรศการที่จะจัดแสดงโปรเจ็กต์ของนักศึกษาทุกเอกในทุกชั้นปี มีตั้งแต่ภาพวาดสีน้ำมันบนผืนผ้าแคนวาสขนาดเล็กๆ เท่ากระดาษเอห้าไปจนถึงงานชิ้นใหญ่ แม้แต่งานปั้นและเซรามิกก็ถูกจัดแสดงที่นี่ทั้งหมดเช่นกัน

     แต่เพราะนี่เป็นช่วงจัดแสดงของเด็กปีหนึ่ง ชิ้นงานจึงมีไม่มากนัก และส่วนใหญ่ก็เป็นงานง่ายๆ อย่างการสเก็ตช์ภาพเพื่อดูเรื่องแสงและเงา และหลังจากงานนี้แล้วก็จะเป็นงานของเด็กฝั่งดิจิตอลอาร์ต ทั้งงาน illustration แบบจำลองเกม และศิลปะประยุกต์

     “เราชวนเพื่อนทุกคน แต่ไม่มีใครตกลงเลยนอกจากเธออะ มีแต่เธอที่อ่านแชตเราด้วยซ้ำ สงสัยเช้าไปมั้ง”

     “ถามจริง”

     พวกเขานั่งพักที่เก้าอี้ยาวหน้างานวาดแนว abstract สองสามชิ้นหลังจากที่เดินมาได้สักพัก ตะวันถือแก้วกาแฟเย็นไม่ใส่น้ำตาลที่ซื้อมาจากหน้าตึกก่อนเข้ามาในงานอยู่ในมือพลางยกขึ้นจิบเป็นระยะ ส่วนจงรักที่ไม่ดื่มกาแฟก็เลือกเป็นชานมเย็นหนึ่งแก้วแทน และตอนนี้มันก็ลงไปนอนในถังขยะเรียบร้อยหลังจากที่จงรักดูดมันจนหมดในเวลาไม่นาน

     “จริง แต่ก็ชินแล้ว เรามาเดินคนเดียวบ่อยเพราะเพื่อนเราไม่ค่อยมีใครอยากมาเดินดูงานรุ่นน้อง”

     “เพราะอะไรอะ”

     “ถ้าเจองานสวยๆ แล้วมันรู้สึกแทงใจดำมั้ง” คนพี่ว่าขำๆ

     “ซะงั้น”

     “งานศิลปะมันเป็นงานที่ไม่มีอายุของคนวาดแปะไว้น่ะ มันขึ้นอยู่กับฝีมือและการฝึกฝนล้วนๆ รุ่นน้องเราบางคนเก่งมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ยิ่งสมัยนี้ยิ่งโหด – เพราะมหา’ ลัยแม่งดันคัดมาแต่คนเก่งน่ะนะ” ตะวันพูดพลางกลอกตา

     “เออ โคตรแย่เลย เราเข้ามาเรียนก็เพราะเราไม่รู้ปะวะ”

     “ก็นั่นแหละ พอได้มาเห็นคนที่อายุน้อยกว่าได้ดิบได้ดีกว่าเราที่ฝึกมาตั้งหลายปีแล้วบางทีก็เจ็บใจ ก็โทษปี่โทษกลองไปเรื่อยว่าเพราะเขามีพรสวรรค์ เพราะเขาโตมาในครอบครัวที่ดี ซึ่งมันก็จริงแหละ ถ้ารวยก็คงมีโอกาสพัฒนางานของตัวเองมากกว่าในสังคมนี้ แต่ใครมันจะสน process ล่ะ เขาก็สนใจแต่ผลลัพธ์กันทั้งนั้น”

     “...”

     “แต่เราชอบมาดูนะ โคตรชอบเลยด้วย ช่วงแรกก็เจ็บใจอยู่ว่าทำไมเราไม่เก่งเท่าเขาวะ ทั้งที่เราอายุมากกว่า แต่พอมาบ่อยๆ ก็เริ่มเข้าใจ ในเมื่อศิลปะไม่สนว่าคนวาดจะอายุเท่าไหร่ ไม่สนว่าคนวาดจะเป็นเพศอะไร ยิ่งถ้าเป็นงานวิจารณ์สังคมไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น จะยิ่งใหญ่มาจากไหนก็กลายเป็นแค่องค์ประกอบในโลกของศิลปิน มันไม่ใช่การแข่งขัน มันไม่มีข้อจำกัดอะไรเลย แล้วเราจะสร้างข้อจำกัดนั้นขึ้นมาทำไมวะ มันก็คืองานศิลปะอีกชิ้นของศิลปินคนอื่นแค่นั้นเอง”

     “...”

     “เราขี้เกียจแข่งกับใครแล้วอะ เหนื่อย”

     การได้มาฟังใครสักคนพูดเรื่อยเปื่อยแบบเนิร์ดๆ บางทีก็ทำให้ได้เห็นอะไรในมุมมองใหม่ๆ เหมือนกัน สำหรับจงรักแล้วเขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้มากเป็นพิเศษ ก็แค่มองงานสักชิ้นว่าสวยดี ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าสวยของตัวเองจะเหมือนกับสวยของคนอื่นหรือเปล่า – แน่นอนว่าบรรทัดฐานความสวยงามของมนุษย์นั้นยังไงก็ไม่มีทางเท่ากันแน่นอน

     แต่ก็อย่างที่ตะวันว่า ในฐานะคนนอก เขามองงานศิลปะที่ผลลัพธ์มากกว่าเรื่องราวระหว่างทางที่อยู่ในนั้น แต่พอฟังที่ตะวันพูดแล้วก็ได้เข้าใจ เพราะไม่เพียงแต่ในวงการศิลปะที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน แต่ในทุกๆ ที่ก็แข่งขันกันอยู่ตลอดเวลาเพื่อตอบสนองต่ออะไรบางอย่างในสังคม และตะวันก็เป็นคนหนึ่งที่เลิกวิ่งตามใครๆ แล้วเลือกจะเดินไปในแบบที่ตัวเองอยากเดินก็เท่านั้น

     เจ๋งกว่าที่คิดนะเนี่ย พี่คนนี้

     จงรักคิดในใจพลางมองอีกฝ่ายด้วยความปลาบปลื้ม

     “แล้วพี่เข้าใจงานพวกนี้หมดเลยเหรอ ถึงได้เดินสนุก”

     “ไม่อะ”

     “เอ้า”

     “เอ้าอะไร”

     “ก็นึกว่าศิลปินจะดูงานศิลปะแล้วเข้าใจกันหมดซะอีก”

     “ศิลปินก็โง่เป็นนะครับ” คนพี่ว่าขำๆ ก่อนจะลุกไปทิ้งแก้วกาแฟเปล่าในถังขยะที่อยู่ไม่ไกลแล้วกลับมานั่งที่เดิม “ไม่รู้ดิ อาจจะเป็นที่สังคมบ้านเรามันยกงานศิลปะเอาไว้ให้เป็นกิจกรรมของคนรวยหรือไม่ก็คนวงในเท่านั้นด้วยมั้ง – เออ มันก็ต้องรวยแหละถึงจะเสพงานศิลปะได้ แต่พอมันจำกัดกลุ่มเป้าหมายของคนดูแล้วมันไม่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจงานในแบบของเราเองอะ ทั้งที่งานศิลปะมันไม่ได้เข้าถึงยากแบบนั้นเลย”

     “ของ่ายกว่านี้”

     “เอางี้” ตะวันหยุดพูดชั่วขณะ เขาหันมองไปรอบๆ แล้วชี้ไปที่ภาพภาพหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลแล้วจึงถามจงรักว่า “แกเห็นงานตรงนั้นไหมว่ามันกำลังเล่าอะไร”

     “ก็ไม่...” แน่นอนว่าจงรักไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากสีสันสดใสแบบพาสเทลที่ซ้อนทับกันไปมา

     “ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะงานมันไม่ได้เล่าให้แกฟัง ซึ่งก็ไม่เป็นไรเลย เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเข้าใจงานศิลปะทุกชิ้นอยู่แล้ว เหมือนกับที่เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเข้าใจทุกคนบนโลกน่ะ แต่กับคนอื่น – ใครสักคน เขาอาจจะรู้สึกว่างานชิ้นนั้นล้ำค่ามาก เพราะมันกำลังพูดกับเขาอยู่” ตะวันอธิบายช้าๆ

     “อาฮะ” จงรักพยักหน้าพลางพยายามย่อยข้อมูลที่อีกฝ่ายป้อนมาให้

     “แต่เราชอบผูกการไม่เข้าใจงานศิลปะว่ากระจอกหรือว่าไม่ชั้นสูงพอใช่ไหมล่ะ ซึ่งไม่ใช่ไง เราที่วาดรูปก็ไม่ได้เข้าใจไปซะหมดเหมือนกัน มันก็แค่การไม่เข้าใจ เพราะงานไม่ได้พูดกับเรา”

     “...”

     “แกหันไปดูคนรอบๆ ดิ” ไม่ว่าเปล่า แต่ตะวันยังมองไปรอบงานจริงๆ ทำให้จงรักมองไปรอบด้านด้วย วันนี้เป็นวันธรรมดา ผู้คนจึงมีไม่มากนัก บางคนเดินดูและพูดคุยกับเพื่อนอย่างออกรสว่างานศิลปะชิ้นนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวแบบนี้ บางคนก็แค่ใช้โทรศัพท์ถ่ายงานศิลปะ บางคนเซลฟี่กับเพื่อนเพื่อเอาไปลงในอินสตาแกรม บางคนก็เดินดูแบบเงียบๆ คนเดียว “คนเรามีเป้าหมายที่จะมาดูงานศิลปะต่างกัน จะมาเดินนิทรรศการเพื่ออะไรก็ไม่ผิดทั้งนั้น เรามีอำนาจเหนือผลงานพวกนี้จนกว่ามันจะมีสักรูปที่มีอำนาจเหนือเรา ดึงเราให้เข้าไปอยู่ในจักรวาลของมันเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นงานจากศิลปินชั้นนำเลย ไม่ต้องเป็นงานชั้นสูง ไม่ต้องรวย ไม่ต้องอยู่ในแกลอรี่ยังได้ด้วยซ้ำ บางทีเรื่องง่ายๆ อย่างรูปต้นไม้ก็อาจจะมีค่ามากๆ ก็ได้ถ้าคนที่ดูรู้สึก relate กับมัน”

     “...”

     “ขอแค่มีชิ้นเดียวที่สื่อสารกับเราได้ และขอแค่ใครสักคนที่เข้าใจว่างานชิ้นนั้นจะสื่อสารอะไร แค่นั้นก็โคตรคุ้มแล้ว”

     จงรักจ้องมองใบหน้าหน้าด้านข้างของคนที่แววตาเต็มไปด้วยประกายจ้าบางอย่าง ในสายตาของจงรักแล้วมันเต็มไปด้วยความหวัง ความชื่นชอบ ความหลงใหล เป็นแววตาที่จงรักไม่ได้เห็นมานานแล้ว ทั้งจากใครต่อใครหรือแม้แต่จากตัวเองที่ส่องกระจกอยู่ทุกวัน

     เขาไม่เคยรู้สึกว่าการมีแววตาที่ว่างเปล่าและใช้ชีวิตไปวันๆ มันผิดแปลกอย่างไร จนกระทั่งวันนี้ จากที่เคยเข้าใจว่าดวงตาที่สวยคือดวงตาสีสันหายากอย่างสีโอปอล หรือเขียวอมเทา แต่เมื่อเขาได้มาเห็นแววตาสีน้ำตาลเข้มธรรมดาๆ กลางนิทรรศการศิลปะไร้ชื่อ

     เมื่อนั้นเองเขาจึงได้เข้าใจว่าดวงตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในสิ่งที่ตัวเองรักต่างหากคือดวงตาที่งดงามที่สุด

 

 

     ...

 

 

     “ถอดเสื้อผ้าออก”

     “พี่ใจเย็นกับคนที่เป็นแบบครั้งแรกหน่อยได้ไหม”

     จงรักเปิดเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดกระป๋องโดยไม่สนใจว่ารสชาติมันจะห่วยแตกแค่ไหนแล้วเดินงุ่นง่านไปมาในห้องรกๆ และอบอวลไปด้วยกลิ่นสีจางๆ ของตะวัน

     หลังจากเดินดูงานศิลปะจนปวดขากันแล้วจงรักก็โดนหลอกให้มายังสตูดิโอของตะวันด้วยประโยคง่ายๆ อย่าง ‘ไปหาอะไรกินกัน’ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะชวนไปร้านอร่อยสักร้านจึงตามมาแบบไม่ได้คิดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าไอ้การไปหาอะไรกินคือการมากินที่ห้องของตะวัน แถมยังจะกลายเป็นวันแรกที่จงรักต้องมาเป็นแบบเปลือยให้อีกฝ่ายด้วย

     ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรมาสักอย่าง

     “มันฟังดูเหมือนสั่งเกินไปเหรอ” ตะวันตะโกนถามออกมาจากในห้องนอนเพราะเข้าไปเปลี่ยนกางเกงจากกางเกงยีนเป็นกางเกงวอร์มที่สบายตัวมากขึ้น

     “มาก”

     หลังจากเปลี่ยนกางเกงแล้วก็เดินออกมานั่งที่ด้านหลังของขาตั้งวาดรูปซึ่งมีกระดานรองเขียนและกระดาษพรูฟถูกเตรียมไว้เรียบร้อยราวกับวางแผนไว้หมดแล้วว่าจะพาจงรักมาขึ้นเขียง ก่อนจะใช้นิ้วเท้าคีบผ้ากันเปื้อนสีดำเปรอะๆ ที่วางกองขยุมอยู่บนพื้นแถวนั้นมาสะบัดสองสามรอบพอเป็นพิธีและสวมมันอย่างเป็นธรรมชาติเพราะทำมันมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ผิดกับจงรักที่เดินไปมาและนั่งสั่นขาอยู่บนโซฟาด้วยความประหม่าเพราะได้ลองมาเป็นแบบครั้งแรก

     “งั้นเราต้องพูดยังไงอะ” ตะวันชะโงกหน้าออกมาจากกระดานรองเขียนและถามด้วยแววตาใสซื่อ “ช่วยถอดเสื้อผ้าออกทีครับจงรัก

     “...”

     “ฟังดูเป็นคำสั่งน้อยลงไหม”

     แน่นอนว่ามันฟังดูแข็งกร้าวน้อยลง

     แต่เพราะน้ำเสียงที่อ่อนลงนี่ล่ะที่ทำให้มันกลายเป็นประโยคที่ฟังดูโคตรเชิญชวนเลย

     บางทีอาจจะมีแค่จงรักที่คิดมากเอง เพราะตะวันคงทำแบบนี้จนเคยชินและเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

     “นิดนึง”

     “ให้เราถอดเป็นเพื่อนไหม”

     “นี่เราสนิทกันจนแก้ผ้าให้กันดูได้แล้วเหรอ”

     “ไม่เลย นี่เป็นความสัมพันธ์เชิงธุรกิจล้วนๆ” จงรักรู้สึกสบายใจขึ้นได้เพราะประโยคหยอกล้อของอีกฝ่าย เขาเลิกนั่งสั่นขาแล้วแต่ก็ยังนั่งขยำชายเสื้อของตัวเองเพราะไม่กล้าถอดมันออกอยู่ดี ไม่กล้าแม้แต่เสื้อฮู้ดนั่นล่ะ “เป็นอะไรรึเปล่า”

 

     ‘เธออ้วนขึ้นปะ บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ากินของที่ไม่มีประโยชน์’

     ‘แต่งตัวแบบนี้แล้วเธอดูตันๆ ว่ะจง’

     ‘ได้ออกกำลังกายบ้างไหมเนี่ย ดูดิ พุงออกหมดแล้ว’

     ‘ที่เตือนก็เพราะเป็นห่วงไง เราเป็นห่วงไม่ได้เหรอวะ’

 

     “แค่...ไม่ค่อยอยากถอด”

     “เราไม่เร่งนะ ไม่กดดัน อยากเริ่มเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ถ้าแบบไม่พร้อมมันก็ออกมาไม่โอเคหรอก”

     “...”

     “หรืออยากเลิกก็ได้นะ ไม่ต้องฝืน เราเข้าใจ”

     “ไม่เป็นไรครับ แค่...ขอเวลาหน่อย”

     ตะวันพยักหน้ายิ้มๆ จงรักยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมและพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า เขาก้มลงมองมือตัวเองที่กำชายเสื้อไว้แน่นจนไม่ได้สังเกตว่าเจ้าของห้องลุกจากเก้าอี้ไปปิดหน้าต่างที่ถูกเปิดเอาไว้ก่อนจะเดินหายเข้าไปในห้องนอน ตะวันกลับมาอีกครั้งพร้อมกับเทียนหอมในมือ วางมันไว้ใต้โคมแล้วจึงเปิดเพื่ออุ่นเทียน

     “เราเปิดหน้าต่างไว้เพราะกะว่าจะชวนเธอมาเป็นแบบ กลิ่นสีมันเบาลงไหม กลัวเธอจะเหม็นอะ”

     “กะแล้วเชียวว่าพี่ต้องเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ผมโดนหลอกมาจริงๆ ด้วย” ตะวันที่ฟังอย่างนั้นก็ขำเบาๆ

     “ดีขึ้นไหม” เจ้าของห้องถามพลางเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้วาดรูป

     “ไม่เลย ผมเครียดกว่าเดิมเพราะกลิ่นเทียนตีกับกลิ่นสีจนฉุน”

     “จริงเหรอ ประสาทเรื่องกลิ่นเราตายด้านแล้วแน่เลยอะ”

     “ล้อเล่น” จงรักห้ามไว้เมื่อเห็นว่าตะวันทำท่าจะลุกไปปิดโคมไฟ

     “พูดเล่นแบบนี้ได้ก็แปลว่าหายเกร็งแล้วอะดิ”

     จงรักไม่แน่ใจว่าเทียนหอมที่อีกฝ่ายจุดคือกลิ่นอะไรเพราะเขาไม่ค่อยสันทัด แต่เมื่อมันเริ่มแสดงตัวตนไปรอบห้อง จงรักก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างน่าประหลาด แม้จะไม่อยากยอมรับเท่าไหร่ก็ตาม

     “กลิ่นดู...ใจดีจัง”

     จงรักทำให้สมองของตะวันคิดถึงคำว่า น่าเอ็นดู อีกแล้ว

     “กลิ่นดูใจดีคือยังไง”

     “มันอุ่นๆ หวานๆ แต่ไม่ฉุน...คิดถึงพระอาทิตย์ในช่วงหน้าหนาว”

     จงรักสูดหายใจเอากลิ่นหอมๆ ของเทียนเข้าปอดเต็มแรงอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วหันหลังให้คนที่รอวาดรูปอยู่ เสื้อฮู้ดเป็นอาภรณ์ชิ้นแรกที่หลุดออกจากตัวคนที่กำลังประหม่า

     “ขนาดนั้นเลยเหรอ”

     ตะวันถามพลางขยับขาตั้งปรับองศาให้เอียงมากกว่าเดิมเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นโซฟาได้ชัดขึ้น เขารู้ดีว่าแสงในยามบ่ายแบบนี้จะตกกระทบในมุมไหน และถ้าวาดแบบไหนจึงจะออกมาสวยที่สุด

     “อือ...กลิ่นมันใจดี”

     “...”

     “เหมือนพี่เลย”

     แต่กลายเป็นว่าเขาคิดผิดมหันต์

     เพราะเขาเห็นอีกฝ่ายชัดเจนเกินไป

     มันพอดีกันกับจังหวะที่จงรักหันกลับมามองตะวันด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า คนน้องพูดพลางปลดเข็มขัดกางเกงยีนไปด้วย แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก มีเพียงเสียงหัวเข็มขัดก๊อกแก๊กที่ดังคลอไปกับเสียงพู่กันและดินสอที่กระทบกันไปมาเพราะตะวันกำลังก้มหน้าเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

     อันที่จริงเขาเหลาดินสอเอาไว้หมดทุกแท่งแล้ว และวันนี้ก็คิดเอาไว้ว่าจะร่างแบบง่ายๆ เพื่อทำความรู้จักกับร่างกายของจงรักก่อน ไม่ใช่การวาดภาพที่จะใช้จริงในทันที แต่ที่เอาแต่ก้มหน้าเตรียมนั่นเตรียมนี่ก็เพราะทนมองคนที่จะมาเป็นแบบให้ไม่ได้เลย – ไม่ได้จริงๆ

     ทั้งที่งานของเขาคือการมองและสังเกตอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุดแท้ๆ

 

     ท่องไว้ตะวัน มืออาชีพ มืออาชีพ มืออาชีพ

 

     เงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าจงรักถอดกางเกงเสร็จแล้ว เหลือเพียงกางเกงชั้นในสีดำติดตัวอยู่แค่ชิ้นเดียว ตะวันไม่แน่ใจนักว่าทำไมจงรักถึงไม่มั่นใจในตัวเองทั้งที่หุ่นของอีกฝ่ายดูดีจนน่าอิจฉา กล้ามเนื้อเป็นมัดพอดี ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปโดยเฉพาะที่หัวไหล่กว้าง ไหปลาร้าขึ้นชัดจนน่าหมั่นไส้ และต้นขาแน่นที่ดูยังไงก็คือคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำชัดๆ

     ขนาดตะวันที่เล่นบาสเกตบอลยังไม่ได้มีหุ่นที่น่าอิจฉาแบบนี้เลย

     “นอนลง”

     ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประหม่าหรืออะไร แต่เสียงของตะวันกลับมาดูแข็งกร้าวอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ถึงมันจะเป็นคำสั่งจงรักก็ไม่คิดจะทักร้องขออีกรอบให้พูดแบบใจดีกว่านี้หน่อย เพราะจากที่ได้ฟังเมื่อครู่ก็ตระหนักได้ว่าถ้าตะวันพูดด้วยเสียงที่ใจดีกว่านี้เขาคงทนไม่ไหวแน่ๆ

     ไม่รู้ว่าไอ้เทียนหอมนั่นกับจงรักอะไรจะละลายจนหมดก่อนกัน

     “ต้อง...ถอดชั้นในไหม” จงรักพูดตะกุกตะกักขณะที่กำลังทำท่าทางเก้กัง

     “ไม่เป็นไร ครั้งนี้เอาคร่าวๆ ก่อน ยังไม่ใช่รูปจริงหรอก”

     “...”

     “แต่ถ้าอยากถอดก็ถอดได้ หรือถ้ายังไม่สบายใจจริงๆ เอาหมอนบังก่อนก็ได้นะ”

     “ครับ”

     แล้วจงรักก็หยิบหมอนทรงสี่เหลี่ยมมาบังส่วนกลางลำตัวอย่างที่ตะวันคิดไว้ไม่มีผิด

     ตะวันบอกท่าทางกับคนที่นอนอยู่บนโซฟาว่าควรทำอย่างไร ซึ่งจงรักก็เกร็งจนน่าเอ็นดู แต่ในฐานะที่วาดงานเปลือยมาหลายงานตะวันค่อนข้างชินแล้วที่คนที่มาเป็นแบบในครั้งแรกจะรู้สึกเกร็ง เขาจึงพยายามบอกอย่างใจเย็นที่สุดและไม่เข้าไปจัดแจงท่าทางด้วยตัวเองเพราะมันไม่สมควรที่จะเข้าไปแตะต้องตัวผู้เป็นแบบ

     “จง”

     “หื้อ?”

     “ปล่อยผมได้ไหม”

     จงรักทำตามอย่างไม่อิดออด ผมยาวถูกปล่อยให้เป็นอิสระจากหนังยางที่ถูกโยนลงบนพื้นก่อนจะกลับมานอนในท่าเดิม

     แน่นอนว่าในสายตาของจงรักแล้ว ตะวันดูใจเย็นและจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าโดยที่ไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาปะปนอย่างมืออาชีพ คนวาดจับแท่งดินสอแล้วยื่นแขนออกมาจนสุดเพื่อวัดอัตราส่วนแล้วละเลงทุกภาพและความรู้สึกลงไปบนแผ่นกระดาษพรูฟอย่างไม่มีลังเล และในสายตาของตะวันเอง ผู้ที่เป็นแบบอยู่ตรงหน้าก็ไม่ได้ดูคิดอะไรไปไกล

     ซึ่งไม่ใช่สักนิดเดียว

     ในหัวของทั้งคู่กำลังท่องไปในความคิดและความรู้สึกของตัวเองที่ขยายขอบเขตออกกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆ และกำลังปกคลุมสมองทั้งก้อนไม่ต่างอะไรกับงานศิลปะในนิทรรศการที่ครอบงำความคิดของผู้ชมให้จมอยู่ในอำนาจของมัน

     ตะวันประหม่าจนทำดินสอแท่งถ่านหักไปหลายที เมื่อได้เห็นอีกฝ่ายนอนนิ่งอยู่บนโซฟาสีหม่นๆ ที่ไม่ได้ทำให้จงรักดูดีน้อยลงสักนิด เฝ้ามองหน้าท้องที่ถึงแม้จะไม่ได้มีกล้ามเนื้อเป็นมัดอย่างนายแบบแต่ก็ดูสมส่วนพอดีขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ และต้นขาใหญ่ทั้งสองขยับเบียดกระมิดกระเมี้ยนกับมือที่จับหมอนเอาไว้เพื่อบดบังส่วนกลางลำตัวอย่างเขินอาย

     กลิ่นอุ่นๆ ของเทียนหอมคละคลุ้งไปทุกพื้นที่ ตะวันคิดว่ามันไม่ได้ใจดีอย่างที่จงรักบอกเลยสักนิด เขาค่อนข้างไม่มีสมาธิทั้งที่เทียนหอมกลิ่นนี้ช่วยให้ผ่อนคลาย และยิ่งเวลาผ่านไป – ที่ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว กลิ่นของมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แปรผันตรงกับจำนวนกระดาษที่ถูกฉีกขยำและปาลงบนพื้นเพราะวาดเท่าไหร่ก็ไม่พอใจ ซ้ำยังผนึกกำลังกับอุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้นแม้ว่าเครื่องปรับอากาศจะกำลังทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ

     เสียงของดินสอที่กำลังสีไปกับกระดาษ เสียงกระดาษถูกฉีกขาดที่เต็มไปด้วยความไม่ได้ดั่งใจของผู้วาด เสียงของผู้วาดที่คอยบอกให้แบบเปลี่ยนท่าตามต้องการ – แยกขาออกอีกนิดได้ไหม งอแขนซ้ายหน่อย ไม่ต้องเกร็งนะ นอนสบายๆ ได้เลย และเสียงตู้เย็นที่กำลังทำงานอย่างหนัก เสียงเหล่านั้นถือเป็นเสียงที่ดังที่สุดในห้อง

     แต่จงรักขอสาบานตรงนี้เลยว่าเขาได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นดังไม่แพ้เสียงใด

     จงรักรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ชอบกลจนเหงื่อเริ่มไหลจากขมับลงมาตามกรอบหน้าทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศในอุณหภูมิที่พอดี วิวเดียวที่มีให้มองก็ดันเป็นตะวันที่ขะมักเขม้นวาดรูป ไม่มีที่ไหนให้หนีจากความรู้สึกเหล่านี้ได้เลย นายแบบชั่วคราวจึงทำได้เพียงพูดบางอย่างเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเองแม้มันจะฟังดูโง่เง่ามากก็ตาม

     “อยากกินไข่เจียวหมูสับ”

     เมื่อตะวันได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาจนต้องหยุดวาดรูป

     “อะไรเนี่ย จู่ๆ ก็หิวเหรอ”

     “นิดหน่อย”

     “รอเราวาดเสร็จแล้วจะทำให้กินนะ”

     คนพี่กล่าวก่อนจะกลับไปนั่งวาดรูปตามเดิม ความเครียดขึงของบรรยากาศคลายตัวลงมากจนต่างฝ่ายต่างก็เบาใจอยู่ลึกๆ เพราะถ้าขืนปล่อยให้มันเข้มข้นอย่างเมื่อครู่ต่อไปต้องแย่แน่ๆ ...แย่มากๆ ด้วย

     ไม่ควรมีใครรู้สึกแบบนี้เลย

 

 

 

 

     ..............................

     อยากกินไข่เจียวหมูสับแบบไม่เล่น ขอคนจริงจัง

     #จงรักตะวัน