i can't stop looking into those eyes

i'm lost, maybe i'm hypnotized

cause the way you look with these pink skies

as the sun drifts away tonight

 

 

...

 

 

     “สรุปเรื่องโปรเจ็กต์จบมึงจะเอาแบบเดิมจริง ๆ เหรอวะตะวัน”

     เชรี่ถามขึ้นมาในขณะที่พวกเขากำลังนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกัน เสียงจอแจภายในโรงอาหารถือว่าเบาอยู่มากเมื่อเทียบกับช่วงเที่ยงเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว ซึ่งทั้งคู่เพิ่งเลิกเรียน และเด็กอาร์ตปีห้าปีสุดท้ายแบบพวกเขาก็มีเวลาเหลือเฟือที่จะมานั่งแกร่วและคุยกันไปเรื่อย แต่ก็ใช่ว่าจะมีเวลาในการปั่นโปรเจ็กต์จบที่เหลือเวลาเพียงแค่หนึ่งเทอมครึ่งเท่านั้น

     แม้ว่าพวกเขาจะเรียนคนละคณะแต่ก็เป็นคณะข้างเคียงกัน ในขณะที่ตะวันและเชรี่เรียน fine art[1] มู่หลานเลือกที่จะเรียนออกแบบ อันที่จริงมู่หลานอายุมากที่สุด เธอเคยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยอื่น แต่ตอนปีหนึ่งเคยถูกรับน้องอย่างรุนแรงเพียงแค่เพราะเพศสภาพและเพศวิถีของเธอไม่เหมือนใคร อีกทั้งยังไม่ชอบเข้าสังคมเหมือนเพื่อนคนอื่นจึงถูกเพ่งเล็งจากรุ่นพี่เป็นพิเศษ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนต้องซิ่วมาอยู่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ (แน่นอนว่าเป็นเชรี่และตะวันนั่นล่ะที่เข้าไปผูกมิตรมู่หลานก่อน)

     ส่วนเชรี่นั้นเด็กกว่าทุกคน – เปล่าหรอก เธอไม่ได้เรียนเก่งอะไรขนาดนั้น แค่เกิดเร็ว อย่างไรก็ตามเชรี่ก็เป็นคนเต็มที่กับทุกอย่างจนน่ากลัวเพราะถึงจะอดนอนปั่นโปรเจ็กต์ติดกันนานแค่ไหนก็ยังมีเวลาแต่งหน้าทำผมไปเรียนอยู่เสมอ แล้วก็มีเวลาไปผูกมิตรกับคนอื่นด้วย โดยเฉพาะในร้านเหล้า เป็นตัวอย่างของคนที่ตั้งใจกับทุกอย่างอย่างแท้จริงแม้แต่การคุยเล่นและการกินยำ

     “เอางั้นแหละ ยังคิดที่ดีกว่านี้ไม่ออก”

     “อันนี้ก็ดีแล้วเว่ย อาจารย์เขาก็ให้ผ่านแล้ว แต่กูแค่กลัวมึงจะเหนื่อยเพราะงานมันยิบย่อยอะ”

     ตะวันเห็นด้วยกับเพื่อนโดยสมบูรณ์ ชิ้นงานสำหรับเรียนจบเป็นชิ้นที่ทุกคนตั้งใจเพราะมันจะถูกนำไปจัดแสดงที่หอศิลป์ของมหาวิทยาลัยและเปิดให้คนนอกเข้ามาชมได้ ดังนั้นงานอาจจะไปเตะตากูรูด้านศิลปะหรืออาจจะถูกซื้อไปในราคาดีโดยนักสะสมงาน อีกทั้งยังเป็นเครื่องการันตีได้ถึงฝีมือและความสร้างสรรค์ ตะวันเห็นเพื่อนบางคนเริ่มงานชิ้นนี้ก่อนที่จะเริ่มทำชิ้นงานกลางภาคเสียอีก เขาเองก็เริ่มไปบ้างแล้ว แต่เพราะงานของเขาเป็นงานที่ต้องวาดรูปขนาดเล็กหลายรูป คนรอบข้างจึงกังวลว่ามันอาจจะเสร็จไม่ทันเวลาเอาได้

     “เหนื่อยจริง นี่กูเริ่มไปได้แค่สองรูปอยู่เลย”

     “เออ แค่วาดรูปปกติก็เหนื่อยอยู่แล้ว นี่มึงดันเลือกว่านู้ดอีก”

     ใช่ ภาพเปลือยที่หาคนมาเป็นแบบยาก ๆ นั่นแหละ ถูกต้องแล้ว

     “ก็ชอบอะ ให้ทำไงวะ กูว่าคอนเสปต์ก็ดีด้วย”

     “อันนี้เห็นด้วย แต่มึงจะหาแบบทันใช่ปะ”

     “ไม่รู้ว่ะ แต่ก็เข้าใจถ้าบางคนมาตกลงแล้วมาปฏิเสธทีหลัง ไม่ใช่ทุกคนจะอยากเป็นแบบนู้ดให้คนอื่นวาดอะ กูเป็นผู้ชายด้วย คนจะกลัวก็ไม่แปลก กูก็บังคับเขาไม่ได้ถ้าเขาไม่เต็มใจ ถึงกูจะให้เงินเยอะกว่าคนอื่นเลยก็เถอะ นี่ถ้าทำได้ตามแบบที่กูคิดไว้จริง ๆ คือเกินงบแน่นอน แต่ถ้าขายได้ก็กำไร ว่าจะขายแยกภาพด้วย แต่ถ้ามีใครซื้อยกเซ็ตก็จะขายอีกราคาหนึ่ง” ตะวันยิ้มกรุ้มกริ่ม

     “เวร ก็นึกว่ามีอุดมการณ์ อยากพูดเรื่องมาตรฐานความงามไรงี้ โถ่เอ๊ย”

     “ทำไงได้ ผมก็เป็นศิลปินในโลกทุนนิยมนะครับคุณ อุดมการณ์ก็มีแต่มันก็ต้องกินต้องใช้” เขาว่าพลางทัดผมสีเข้มที่หู “เอาเป็นว่าถ้ามึงมีเพื่อนคนไหนที่สนใจก็ฝากด้วยแล้วกัน ถึงกูจะเกลียดคอนเนคชั่นแต่คอนเนคชั่นของมึงสำคัญสำหรับกูมากครับในตอนนี้”

     “แฮชแท็กทุนนิยม แฮชแท็กคอนเนคชั่น แฮชแท็กคนมันต้องกินต้องใช้”

 

 

...

 

 

     ท่ามกลางความเงียบภายในห้องสมุด จงรัก กำลังพยายามอย่างมากที่จะสงบสติอารมณ์

     แม้ว่าหลายคณะจะผ่านพ้นช่วงสอบกลางภาคไปแล้วแต่ไม่ใช่กับคณะของเขา เขายังคงเหลืออีกราว ๆ สองสามวิชาที่ยังต้องสอบ และเป็นวิชาที่ต้องอ่านอย่างหนักหน่วงด้วย แต่หนังสือที่กองอยู่ตรงหน้าหรือแม้แต่เนื้อหาที่อ่านไปก่อนแล้วกลับไม่ได้อยู่ในหัวของเขาเลยสักนิด มันจางหายไปราวกับว่าในหัวของเขามีอ่างน้ำอยู่ และแผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยเนื้อหาทั้งหลายก็จมลงไปในอ่างนั้น ตัวหนังสือเลือนไปกับน้ำ แผ่นกระดาษเปื่อยยุ่ย อ่านให้ตายเท่าไหร่ก็เป็นแบบเดิม เหลือเอาไว้เพียงความทรงจำลาง ๆ ของสีปากกาเน้นคำที่ใช้

     จงรักไม่ใช่คนที่เรียนเก่งจนอยู่ในระดับต้น แต่ปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนที่จำอะไรไม่ได้เลยเช่นนี้ กลับกันแล้ว ช่วงปีแรกที่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย จงรักเป็นคนที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนมากมายที่พร้อมจะอ่านหนังสือไปด้วยกัน ร่วมหัวจมท้ายเมื่อเกรดออกมาห่วยแตก แต่ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งเหลือเพื่อนแบบนั้นน้อยลงทุกที ทีแรกเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องของช่วงวัยที่โตขึ้น จนกระทั่งเขาได้พบเจอเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ได้เข้าใจว่าถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับคนอย่างจงรักแน่นอน

     เขากลายเป็นคนเพื่อนน้อยและพลังชีวิตน้อยลงก็เพราะ –

     “มึง ขอนั่งด้วยดิ ที่อื่นไม่เหลือเลยว่ะ”

     จงรักหลุดออกจากห้วงความคิดลบ ๆ ในหัวเมื่อได้ยินเสียงทักเบา ๆ ของใครคนหนึ่ง เพื่อนคนเดียวที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่หายไปไหน เกาะติดเขามาตั้งแต่ประถมจนใกล้จะเรียนจบแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย ซึ่งจงรักก็ขอบคุณมากที่มันยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน

     “เอาเลย ๆ”

     “คณะอื่นยังสอบไม่เสร็จเหรอวะ ทำไมคนเต็มห้องสมุด”

     “คณะมึงนั่นแหละที่สอบเสร็จเร็วเชรี่” จงรักพูดยิ้ม ๆ กับเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต ก่อนจะเหลือบไปเห็นเพื่อนของเชรี่คนหนึ่งที่ติดสอยห้อยตามมาด้วย เชรี่ที่เห็นดังนั้นก็แนะนำเพื่อนคร่าว ๆ

     “ตะวัน”

     “ฮะ/เรียกทำไม” ผู้ชายสองคนบนโต๊ะขานขึ้นมาพร้อมกันโดยบังเอิญ

     “หมายถึง...เพื่อนกูชื่อตะวัน”

     “อ๋อ...ผมจงรักครับ”

     ตะวันพยักหน้ารับพลางยิ้มบาง ๆ ให้เพื่อนใหม่บนโต๊ะ แน่นอนว่าจงรักเองก็ยิ้มให้แบบแกน ๆ เช่นกัน เพราะต่างคนก็ต่างรู้ดีว่ามันเป็นความสัมพันธ์แบบเพื่อนของเพื่อนที่น่าจะไม่ได้เจอหรือคุยกันอีก และแม้ว่าจงรักจะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้คิดว่ามันแปลกอะไร คาดเดาไปว่าคงจะเคยเห็นอีกฝ่ายบ้างถ้าเป็นเพื่อนสักคนในประมาณพันคนของเชรี่

     “แล้วทำไมมึงทำหน้าแบบนั้น หม่นหมองเหมือนขี้ไม่ออกมาสองอาทิตย์” เชรี่หันมาถามจงรัก

     “ก็เรื่องเดิม ๆ”

     “อีกแล้วเหรอ” เชรี่กลอกตาถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายทันทีที่จงรักตอบกลับไปด้วยการยักไหล่ “กูพูดมาเป็นแสนรอบแล้วแต่ก็จะถามอีก เลิกไหมมึง”

     “ถ้ามันง่ายขนาดนั้นมึงก็ไม่น่าจะต้องพูดถึงแสนรอบนะ” จงรักพูดอย่างติดตลกแม้ว่าความจริงจะไม่ค่อยตลกนัก

     “มึงอาจจะคิดว่ามันคือเซฟโซนรึเปล่าเลยไม่กล้าออกมาจากตรงนั้น” เชรี่ตั้งข้อสังเกต “ลองทำอะไรใหม่ ๆ ไหมมึง ไปที่ใหม่ ๆ เจอคนใหม่ ๆ เอาให้มันรู้ไปเลยว่ามึงก็มีชีวิตที่ดีได้โดยไม่ต้องมีมันอะ ถึงลองแล้วจะยังหาทางออกไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อยที่สุดมึงอาจจะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นนะว่าต้องการอะไร”

     “จะเก็บไปคิดนะ”

     ตะวันไม่แน่ใจนักว่าเชรี่กับจงรักคุยเรื่องอะไรกันจึงไม่ได้แทรกบทสนทนาเพราะกลัวเสียมารยาท บนโต๊ะจึงกลับมาเงียบอีกครั้ง มีเพียงเชรี่และตะวันที่คุยกันเบา ๆ เป็นบางครั้งถึงเรื่องเรียนซึ่งจงรักไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่คิดจะเข้าใจหรือสนใจด้วย เขานั่งเท้าคางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง เห็นคนมากมายที่กำลังใช้ชีวิตในแบบของตัวเองบนลานกว้าง ๆ

     มันเป็นลานที่คั่นกลางระหว่างห้องสมุดกับตึกของคณะศิลปะ ตะวันชอบมานั่งที่ตรงนี้เป็นพิเศษเพราะนอกจากมันจะติดหน้าต่าง ได้รับลมเย็นให้สมองปลอดโปร่งแล้ว บางครั้งตึกศิลปะที่อยู่ตรงข้ามยังมีป้ายหรืองานอะไรบางอย่างแปลก ๆ ติดอยู่ตามตึก บ้างเป็นป้ายเรียกร้องประชาธิปไตยหรือความเท่าเทียมทางเพศที่เด็กคณะอื่นไม่กล้าทำ บ้างก็เป็นผลงานจัดแสดงของเด็กในคณะ มันทำให้จงรักได้หลีกหนีจากกองหนังสือและกองเรื่องราวในหัวได้บ้าง ไม่แน่ว่างานที่เขาบังเอิญเห็นจากฝั่งนี้แล้วรู้สึกชื่นชอบอาจเป็นงานของเชรี่หรือตะวันก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้นจงรักก็ไม่เคยเข้าไปชมงานนิทรรศการภายในตึกเลยสักครั้ง เพราะชีวิตเขามีเรื่องวุ่นวายเกินกว่าจะแวะไปชมของสวย ๆ งาม ๆ

     จงรักเหม่อมองอยู่อย่างนั้น โดยที่ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าท่าทางสบายกายแต่ไม่สบายใจของตัวเองกำลังถูกจับจ้องจากสายตาคู่หนึ่งอยู่

     ตะวันละสายตาจากหนังสือประวัติศาสตร์ศิลป์มามองคนที่นั่งเยื้อง ๆ กันสักพักใหญ่แล้ว แสงแดดจากด้านนอกหน้าต่างส่องเข้ามากระทบใบหน้าด้านข้างของเพื่อนใหม่อย่างพอดิบพอดี ดวงตาเฉี่ยวคมนั่นเต็มไปด้วยเรื่องราวบางอย่างแต่ก็ว่างเปล่าล่องลอยอยู่ในที มันกะพริบถี่ในบางจังหวะเพื่อหลีกลี้แสงอาทิตย์แต่ก็ไม่คิดจะหันหน้าหนีไปไหน อีกทั้งเรือนผมสีน้ำตาลยาวประบ่าที่ถูกมัดไว้ลวก ๆ ยังส่องประกายจนตะวันหยุดมองไม่ได้

     ภาพตรงหน้าทำให้เขานึกถึงรูปปั้นหินอ่อนของเทพเจ้ากรีก หรือไม่ก็เจ้าชายผู้เลอโฉมที่เทพีและนิมฟ์[2]ทั้งหลายล้วนตกหลุมรัก แต่ความรู้สึกที่ได้รับจากภาพที่เห็นกลับไม่ใช่ภาพสวยงามของคนที่กำลังอยู่ในห้วงความสุข หากแต่ดูเป็นความงดงามที่บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความอึดอัดอย่างน่าประหลาดใจ

     เป็นภาพที่ทำให้ตะวันใจเต้นแรงเหมือนตอนที่ได้ไปเดินในนิทรรศการสักที่แล้วได้พบงานใหม่ ๆ ที่ชอบ

     ถ้าชวนมาเป็นแบบให้จะโดนด่าไหมวะ

     ตะวันคิดในใจ ไม่ต้องเป็นแบบเปลือยให้โปรเจ็กต์จบก็ได้ คนที่ทำให้ตะวันเลิกมองงานศิลปะที่ตัวเองชื่นชอบมาก ๆ ในหนังสือแล้วไปมองเจ้าตัวแทนน่ะ แค่รู้สึกว่าอยากลองวาดคนคนนี้สักครั้ง

     ว่าแล้วก็ถือวิสาสะสเก็ตช์ภาพที่เห็นลงในสมุดบันทึกขนาดเอห้าของตัวเองด้วยดินสอชาร์โคลแท่งประจำที่ใช้ติดกระเป๋าเสมออย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีมันก็เป็นรูปเป็นร่าง รู้ตัวอีกทีหนังสือที่ชอบอ่านก็ถูกพับเก็บไปแล้ว รู้ตัวอีกทีมือบางส่วนก็เริ่มเปรอะไปด้วยรอยดำของถ่านเหมือนสมองที่เริ่มเปื้อนไปด้วยความทรงจำของคนที่ชื่อจงรักทีละเล็กละน้อย

     “มึง อาจารย์เรียกกูไปตรวจสเก็ตช์ว่ะ”

     “อ๋อ โอเค”

     รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปนานเท่ารูปสักรูปเสร็จสมบูรณ์แล้ว ตะวันรีบพับสมุดสเก็ตช์ภาพด้วยกลัวว่าเชรี่จะหันมาเห็นเพราะมันออกจะน่าอายเล็กน้อยที่เขาแอบวาดเพื่อนแปลกหน้าตั้งแต่แรกเจอ เขาพยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบกลับเพื่อนสาวว่าเข้าใจแล้วก่อนจะกุลีกุจอเก็บของบนโต๊ะ

     “เก็บของให้หมดนะมึงอะ ชอบลืมนั่นลืมนี่”

     “ค่าแม่”

     “ไปนะจง”

     จงรักที่ได้ยินแบบนั้นก็หันมาโบกมือลาเชรี่ และในจังหวะที่ตะวันได้จ้องตากับจงรัก ตะวันก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างก่อนจะจากไปโดยหวังว่าจงรักจะรับรู้

     เมื่อเพื่อนร่วมโต๊ะชั่วคราวหายลับสายตาไป ความเหงาใจอันลึกลับก็กลับมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะถาวรกับจงรักอีกครั้ง เขานั่งจ้องกองหนังสือที่ตั้งอยู่ตรงหน้ามาเป็นชั่วโมงแล้วก็ตัดสินใจเลือกยืมบางเล่ม ส่วนเล่มที่คิดว่าน่าจะไม่ได้ใช้ก็เอาไปคืนในจุดที่ทางห้องสมุดให้คืน แต่เมื่อเก็บของเรียบร้อยและกำลังจะเดินออกจากห้องสมุด เขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ตกอยู่ใต้โต๊ะ

     มันคือสมุดสเก็ตช์ขนาดเอห้าของตะวัน

     แน่ล่ะว่าจงรักต้องรู้ว่ามันคือสมุดของตะวัน แม้ว่าบนหน้าปกจะไม่มีลวดลายอะไร แต่ที่มุมล่างขวาของหน้ากระดาษแผ่นแรกถัดจากหน้าปกมีชื่อและช่องทางการติดต่อเล็ก ๆ เขียนเอาไว้ ราวกับรู้ว่ามันจะต้องหายแน่ ๆ ในสักวัน และต้องมีใครสักแน่ ๆ ที่หามันเจอ

 

ตะวัน’ s

พบเจอโปรดส่งคืน Line: TawanTawi

ปล. กำลังตามหาคนมาเป็นแบบภาพเปลือยสำหรับโปรเจ็กต์จบ มีค่าจ้างให้

 

     แบบภาพเปลือยเหรอ?

 

     ‘ลองทำอะไรใหม่ ๆ ไหมมึง ไปที่ใหม่ ๆ เจอคนใหม่ ๆ เอาให้มันรู้ไปเลยว่ามึงก็มีชีวิตที่ดีได้โดยไม่ต้องมีมันอะ ถึงลองแล้วจะยังหาทางออกไม่ได้ทันที แต่อย่างน้อยที่สุดมึงอาจจะได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นนะว่าต้องการอะไร’

 

     น่าสนใจแฮะ...

 

 

 

 

..............................

ร้ากกกกก แรกโพ้บบบบบ แท้จิงเป็นอย่างไรรรร เพราะเธอใช่หรือมั่ยยยยยย ต่างจากใครที่ช้านเป็น

#จงรักตะวัน


เชิงอรรถ

  1. ^ ศิลปะที่ตอบสนองอารมณ์ ความรู้สึก สร้างขึ้นเพื่อสุนทรียภาพ เน้นความละเอียด และการสร้างสรรค์ อาจไม่เน้นการใช้สอยเท่าไรนัก เพราะศิลปินผลิตงานขึ้นมาด้วยความพอใจ และอยากส่งข้อความในใจใส่ลงไปในผลงาน ไม่ได้หวังผลตอบแทน ต่างจากศิลปะประยุกต์ (Applied Art) ที่เน้นประโยชน์และการใช้สอยมากกว่า
  2. ^ ตามตำนานกรีก Nymph คือเทพีผู้งดงามซึ่งเป็นตัวแทนของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำลำธาร ป่าเขา อากาศ หรือทะเล มีสถานะเป็นเทพชั้นรอง มีอายุยืนยาวแต่ไม่ได้เป็นอมตะเหมือนเทพชั้นสูงบนเทือกเขาโอลิมปัส