2 ตอน EP.01— You are the beginning of everything.
โดย Dooof_Ger
| EP.01 |
You are the beginning of everything.
10เดือนก่อนหน้า...
"เอียนช่วยเอาเอกสารตรงนี้ไปส่งให้ที"
"เอียนเอานี่ไปถ่ายให้หน่อย"
"ช่วยเอาเจ้านี่ไปให้หัวหน้าแผนกที"
"ขอฝากงานนี้หน่อยนะ"
ความวุ่นวายภายในออฟฟิศทำให้อัลฟ่าหนุ่มหัวหมุนนั่งไม่ติดเก้าอี้ กองเอกสารกองใหญ่ถูกวางไว้บนโต๊ะทำงานจนตอนนี้แทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้สำหรับวางของ พนักงานคนอื่นก็ต่างใช้งานเขาเป็นว่าเล่นให้ทำนู่นทำนี่ในเมื่อตัวเองก็สามารถทำเองได้
แบบนี้มันพวกขี้เกียจชัดๆ
ถึงจะแอบด่าในใจแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธคนที่เอางานมาให้เลยแม้แต่คนเดียว ถึงจะปฏิเสธไปยังไงคนพวกนี้ก็จะยัดเยียดงานมาให้เขาทำอยู่ดีส่วนตัวเองก็ไปยืนดื่มกาแฟพูดเม้าท์มอยใส่ไข่กันที่จุดพักพนักงาน
"เฮ้อ..."
"ถอนหายใจแบบนั้นระวังแก่เร็วนะ"
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพร้อมกับป้ายพนักงานห้อยคอเดินเข้ามาเท้าแขนกับโต๊ะ มองหน้าผู้อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองเขาเพิ่งจะเห็นพนักงานสาวคนหนึ่งเอางานมาวางไว้โดยไม่พูดไม่จา ก่อนจะรีบเดินตามหลังเพื่อนๆ ที่ไปยังจุดพักพนักงาน แบบนี้เขาคงต้องตัดเงินเดือนพวกนั้นแล้วสิ...
"แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะครับ"
เอียนตอบกลับหัวหน้าแผนก หันเหความสนใจไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่แสดงรายได้ผลกำไรของบริษัทด้วยความเบื่อหน่าย เขาทำงานอยู่ในแผนกบัญชีของบริษัทแห่งหนึ่ง วันๆ ชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อหาเงินมาประทังชีวิตของตัวเอง
ตั้งแต่ที่เสียพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไปเมื่อสองปีก่อน ชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่อย่างเขาก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีญาติที่ไหนต้องการตัวเขาไปรับเลี้ยงสักคนทิ้งให้เขาเผชิญโลกกว้างอยู่คนเดียว ดิ้นรนทำงานหากินไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะหยุดทำเรื่องแบบนี้เมื่อไร
"ยังไงก็ปฏิเสธพวกนั้นหน่อยก็ดีนะ"
"..."
"เห็นๆ อยู่ว่าพยายามเอาเปรียบนาย"
เขาไม่ตอบมีเพียงพยักหน้าตอบกลับเท่านั้น เอียนรู้มาตั้งแต่เข้าทำงานแรกๆ แล้วว่าคนพวกนี้ชอบโยนงานให้พนักงานใหม่หรือไม่ก็คนที่ปฏิเสธใครไม่เป็นแล้วไปสวาปามสุขอยู่ด้วยกัน และเขาก็เป็นหนึ่งในพวกคนประเภทหลังนั่นด้วยนี่สิ
พวกเขาทั้งคู่คุยกันอีกไม่กี่ประโยคก่อนที่หัวหน้าแผนกจะเดินจากไปเพราะไม่อยากกวนเวลางานของเขามาก นิ้วกดแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดอย่างชำนาญดวงตาภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะสะท้อนภาพของตารางบัญชียาวเหยียดทำเอาอดถอนหายใจไม่ได้
"รู้งี้ไม่เป็นพนักงานบริษัทดีกว่า..."
บ่นไปยังไงเขาก็เลือกแล้วว่าจะทำมัน อดทนมานานแรมปีเงินเดือนก็ไม่ค่อยจะขึ้นโบนัสสิ้นปีก็แทบจะไม่มีแถมประธานก็ยังมาโหดร้ายกดขี่แอบให้เงินเดือนต่ำกว่ามาตรฐานอีก โดนคนในออฟฟิศใช้งานเยี่ยงคนรับใช้อีก ชีวิตเขาดูเหมือนจะโชคร้ายขั้นสุดแล้ว
(06:55 P.M.)
ก้มมองนาฬิกาข้อมือก็ถึงเวลาเลิกงานของเขาเสียแล้ว แต่ด้วยงานที่คนนู้นคนนี้บังคับให้ทำเอียนคงต้องทำOTทั้งคืนหรือไม่ก็กลับ'ในตอนเวลาบริษัทใกล้ปิด วางมือเท้าคางบนโต๊ะคลิกเมาส์ไปมาสำรวจตารางบัญชีอย่างที่ทำทุกวันหยิบจับเอกสารนู่นนี่ขึ้นมาดูบ้างบางครั้ง
"อย่ากลับดึกล่ะ" หัวหน้าแผนกตะโกน "ฉันเป็นห่วง"
"...ครับ"
เอียนไม่มีเวลามาสนใจความเป็นห่วงของคนอื่นหรอก เวลานี้เขาต้องรีบทำงานให้เสร็จไม่อย่างนั้นคงได้โดนมาม้าเมดิสันบ่นหูชาแน่ๆ ที่กลับบ้านดึก
Rrrrrr... Rrrrrr...
แรงสั่นสะเทือนจากเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะทำให้นิ้วที่'รัวแป้นพิมพ์หยุดชะงัก เอียนหยิบมือถือขึ้นมาจากกองเอกสารมองดูเบอร์คนที่โทรเข้ามาก็ลอบยิ้มอ่อน กดรับโดยไม่สนใจอะไร
"ครับมาม้า"
[เมื่อไรจะกลับ มาม้าจะได้เตรียมอาหารเย็นให้]
"คงจะกลับดึกๆ น่ะครับ" เอียนเกาท้ายทอย "ต้องอยู่ทำOT คงอีกนานเลย"
เสียงถอนหายใจของเบต้าหญิงแก่วัยชราดังออกจากมือถือ เอียนรู้ว่ามาม้าเมดิสันเป็นห่วงเขาแค่ไหนทุกวันตอนเลิกงานก็มักจะโทรมาถามเสมอว่าเลิกงานแล้วหรือยัง? ตอนนี้อยู่ที่ไหน? ในช่วงแรกๆ ที่มาม้าทำแบบนี้เขาก็ไม่ได้ชินหรอกแต่พอนานเข้าก็เป็นเรื่องปกติที่เขาและมาม้าจะทำกัน
ความห่วงใยที่มาม้าเมดิสันมอบให้เป็นสิ่งที่ให้เอียนลุกขึ้นสู้ชีวิตมาถึงทุกวันนี้ ถึงจะไม่ใช่ญาติหรือครอบครัวแต่เขาก็นับมาม้าเป็นเหมือนแม่คนหนึ่ง
[ถ้ากลับเมื่อไรก็โทรมาหามาม้าละกัน]
"ไม่เอาหรอกครับ มาม้าพักไปก่อนเถอะ มาม้ามีงานเช้านี่ครับ"
มาม้าเมดิสันที่พยายามจะหาข้ออ้างมาเถียงมากมายแต่สุดท้ายก็แพ้ให้คนหนุ่มกว่าจนได้ เอียนไม่ได้อะไรมากกับ'มาม้าขอแค่ไม่ต้องมานั่งสัปหงกรอเขากลับจากออฟฟิศก็พอแล้ว แค่คิดถึงตอนมาม้านั่งหลับๆ ตื่นๆ อยู่ที่โซฟารับแขกของโรงแรมของมาม้าก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก
เอียนวางมือถือที่ถูกตัดสายไว้บนโต๊ะดังเดิมยกแขนขึ้นเกร็งตัวบิดไปมาไล่ความเมื่อยที่สะสมตามร่างกาย วันทั้งวันเขาก็เอาแต่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ไม่ได้ลุกไปไหนข้าวเช้าข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กินทำให้ตอนนี้รู้สึกแสบท้องขึ้นมาจนอยากจะหาอะไรรองท้องก่อน
"งานตรงนี้ฉันเสร็จแล้วเหลือแต่เอาไปส่ง ช่วยหน่อยนะเอียน"
รุ่นพี่หนุ่มเดินเข้ามาพร้อมเอกสารกองใหญ่วางทุ่มลงบนโต๊ะ'จนสะเทือนไปหมด เอียนมองหน้าอีกฝ่ายที่ทำเพียงแค่ยิ้มแห้งมาให้แต่ไม่นานก็หันกลับไปสนใจงานของตัวเองแทน รุ่นพี่ที่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อก็แค่กล่าวลาสั้นๆ รีบสับเท้าเก็บของออกจากออฟฟิศทันที
ภายในออฟฟิศตอนนี้เหลือพนักงานอยู่ไม่มากไม่ถึงสิบคนเลยด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ที่กลับไปก็ทำงานเสร็จแล้วหรือไม่ก็โยนงานให้คนอื่นทำแทน เสียงเมาส์และแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดดังภายในความเงียบคละกับเสียงเครื่องปรับอากาศ
(08:13 P.M.)
รู้ตัวอีกทีเวลาก็ร่วงเลยมาเกือบสองชั่วโมง เอียนผลักตัวจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ยืดหลังตรงจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูกเบาๆ ตอนนี้ออฟฟิศคงเหลือเขาแค่คนเดียวเพราะพนักงานคนล่าสุดเพิ่งจะเดินออกไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
เอียนเก็บของใส่กระเป๋าไม่เร่งรีบเขาอยู่จัดการทุกอย่างบนโต๊ะให้เรียบร้อย ก่อนจะสะพายกระเป๋าโดยไม่ลืมเอาเอกสารที่รุ่นพี่คนก่อนฝากไว้เอาไปส่งให้ เขาใช้ไหล่ในการปิดไฟและเท้าในการเปิดปิดประตูในตอนนี้ถ้ามีใครมาว่าเขาไม่มีมารยาทก็คงจะไม่สน
ตามทางไร้ผู้คนมีเพียงเสียงพื้นรองเท้ากระทบผืนกระเบื้องสะท้อนแสง เอียนมาหยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์ที่สุดปลายทางเดินใช้ข้อศอกในการกดเรียกลิฟต์ ระหว่างยืนรอก็อ่านเอกสารไปพลางๆ อย่างคนไม่มีอะไรทำ
*ครืด⁓*
เสียงเรียกเข้าจากข้อความทำให้ต้องหยิบมือถือขึ้นมาดู ข้อความที่ถูกส่งมาจากรุ่นพี่ในออฟฟิศพร้อมประโยคใช้งานให้ทำนู่นทำนี้แทน เอียนถอนหายใจเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าขนาดเขากำลังจะกลับบ้านก็ยังส่งข้อความมาใช้งานกันได้
"เจ้าพวกเวรนี่..."
สองทั้งสองก้าวถอยหลังเดินกลับไปยังออฟฟิศดังเดิม เขาเดินเข้าไปยังโต๊ะของรุ่นพี่สาวที่ส่งข้อความมาพร้อมกับหยิบเอกสารกองหนากว่าเก่าขึ้นมาแบกกับแฟ้มงานอีกสองสามแฟ้ม เล่นเอาคิ้วเขากระตุกไม่หยุด
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยเขาตรวจเช็กข้อความอีกสักหน่อยเพื่อกันไม่ให้ใครส่งข้อความมาใช้งานเขาอีก ก่อนจะเดินออกจากออฟฟิศตรงไปที่ลิฟต์เหมือนเดิมแต่คราวนี้เขาต้องเดินช้าลงเพราะกองงานที่รุ่นพี่ทั้งหลายเหลือเอาไว้ให้เขาไปส่งเพราะกลัวไม่มีอะไรทำตอนใกล้เลิกงาน
อยากจะบีบคอให้ตายกันให้หมด...
ความคุกรุ่นภายในใจของเขาพยายามจะสกัดมันเอาไว้ หากไปมีเรื่องกับรุ่นพี่ที่ทำงานเมื่อไรด้วยวุฒิการทำงานของเขาคงเป็นคนที่จะถูกไล่ออกเสียมากกว่า
*ตึง!*
ลิฟต์ลงมาถึงชั้นที่เขายืนอยู่พอดี ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับร่างของแปลกหน้ารูปร่างสูงยืนอยู่ภายในอีกฝ่ายยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตรแต่บรรยากาศรอบกายกลับทำให้ขนทั่วร่างลุกชัน เอียนเดินเข้ามาพร้อมก้มหัวให้อีกฝ่าย
"ไปชั้นไหนดีครับ"
"ชั้นยี่สิบสองครับ"
ชายหนุ่มแปลกหน้าพยักหน้ากดลิฟต์ชั้นที่เขาต้องการ ความเงียบเข้าปกคลุมโดยรอบกว่าจะถึงชั้นยี่สิบสองคงจะนานเพราะเขาอยู่ชั้นที่สิบ'กว่าๆ บรรยากาศอึดอัดก็ประดาเข้ามาจนหายใจไม่ทั่วท้อง เอียนรู้สึกเหมือนมีใครสักคนเอามือมาบีบคอเขาไว้
นัยน์ตาสีนิลแอบมองเจ้าของร่างสูงเรือนผลสีบลอนด์ทอง'ผ่านกระจกภายในลิฟต์ อีกคนมีรูปร่างสูงใหญ่สวมเสื้อไหมพรมคอเต่าสีดำทับด้วยโค้ทสีเทา กางเกงสแล็คและรองเท้าหนังเงาวับ เพิ่มความดูดีให้อีกคนถ้าออกไปด้านนอกคงเรียกสายตาจากคนรอบข้างได้
"..."
เอียนสะดุ้งตัวเขารีบเสมองไปทางอื่น ชายหนุ่มเจ้าของส่วนสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบยิ้มร่าเขาถูกจับได้ว่าแอบมองก็ดูน่าอายดีเหมือนกัน เอียนสูดหายใจเข้าเบาๆ เรียกกำลังใจตัวเองให้กลับ
"คุณครับ"
"อะ!?...ครับ"
"ถึงชั้นยี่สิบสองแล้วครับ"
"อะ...ออ ครับ"
เอียนก้มหัวเดินออกจากลิฟต์กับชายแปลกหน้าที่เดินออกมาด้วย เขาไม่ได้สนใจอีกฝ่ายอย่างไรเสียเขาก็ต้องรีบเอางานไปส่งก่อนที่จะโดนมาม้าเมดิสันบ่นเอาว่ากลับดึก
สองขาเดินไปทางที่ปูพรมแดงเอาไว้สุดปลายทางที่เป็นห้องประธาน เขาวางกองเอกสารเอาไว้บนโต๊ะของเลขาหน้าห้องพร้อมจัดเรียงให้เรียบร้อย ยกข้อมือเพียงดูนาฬิกาตอนนี้ก็จะเกือบสองทุ่มครึ่งแล้วถ้าช้ากว่านี้มาม้าคงให้เขาอดข้าวเย็นแน่ๆ
"...เดี๋ยวนะ" สองขาหยุดชะงัก "อะไรน่ะ"
กลิ่นคาวและของเหลวอะไรบางอย่างไหลออกจากช่องประตูเล็กน้อย เอียนรู้สึกไม่ชอบมาพากลเขาย่างกางเข้าไปใกล้บานประตูไม้เนื้อดี ยิ่งเข้าใกล้กลิ่นสาบเหม็นก็ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ
สีแดงฉานเหนียวหนืดคล้ายโลหิตทำเอาใจเอียนเต้นรัวแรง เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นดันบานประตูเข้าไปภายในห้องนั้นมืดมิดไร้แสงผ้าม่านก็ถูกดึงปิดกันแสงจากด้านนอกเข้า เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงดังอยู่เหมือนมีคนอยู่ด้านใน
"..."
เขาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดไฟฉายเพื่อดูด้านใน ก่อนจะตกใจจนแทบทำมือถือหล่น แอ่งเลือดไหลนองเต็มพื้นพร้อมร่างอ้วนท้วมของท่านประธานบริษัทที่นอนนิ่งไร้ลมหายใจอยู่บนพื้น ทำเอาใจของเอียนตกไปที่ตาตุ่ม
*ปึง!*
"รู้ความลับซะได้" มือที่จับเข้ากับบานประตูเสียงดัง กับใบหน้าที่โน้มลงมาใกล้ใบหูเล็ก "แบบนี้คงปล่อยไปไม่ได้:)"
"เฮือก!"
ร่างทั้งร่างสะดุ้งตื่น เปลือกตาบางเบิกโพลงขึ้นเหงื่อซึมตามกรอบหน้ากับการหายใจที่แรงกว่าปกติ นัยน์ตาสีนิลก้มมองตัวเองที่กำลังนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวกับผ้าห่มที่คลุมกาย เขาสอดส่องไปรอบสถานที่ที่คุ้นเคย
โรงแรมของมาม้า...
"เอียน"
เสียงแหบพร่าของเบต้าหญิงวัยชราพร้อมกับร่างเล็กหลังค่อมรีบเดินเข้ามาหา มือกระด้างเหี่ยวย่นของหญิงแก่จับเข้าที่มือคนหนุ่มกว่าพร้อมสายตาเป็นห่วงเป็นใย
"มาม้าเมดิสัน...ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"
"ในตอนที่มาม้าออกไปดูข้างนอกก็เห็นเอียนนอนสลบอยู่ที่บันไดแล้ว" มาม้าพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง "เอียนมีแผลตามตัวเต็มไปหมดเลย"
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ก้มสำรวจตัวเองที่มีแต่ผ้าพันแผลพันอยู่รอบตัว ดูเหมือนเดเมียนจะเล่นกับเขาแรงไปหน่อยเมื่อขยับตัวเอียนรับรู้ได้ถึงความปวดเจ็บที่ท้ายทอยจนต้องยกมือขึ้นนวดเบาๆ
เขาจำไม่ได้ว่าหลังจากที่สลบไปพวกนั้นได้ทำอะไรเขาต่อหรือเปล่า แต่เพียงตื่นขึ้นมาก็อยู่ในโรมแรงของมาม้าเมดิสันแล้วหัวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด เขายกมือขึ้นนวดขมับที่ปวดตุบของตัวเองส่ายหัวไล่ความเครียดออกไป
"มาม้าไปพักเถอะ ดึกมากแล้ว"
"แต่เอียน—"
"ผมไม่เป็นอะไร"
เอียนยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะนิ่วหน้าเจ็บเขาลืมไปเสียสนิทว่ามุมปากของเขาถูกต่อยจนปากแตก มาม้าเมดิสันทำท่าเป็นห่วงแล้วจะเข้ามาทำแผลให้แต่เอียนกลับยกมือห้ามปรามพร้อมไล่ให้เธอไปพักอีกรอบ
หญิงชราที่ไม่อาจสู้คนหนุ่มกว่าได้ก็จำใจเดินกลับห้องไปพักผ่อน ส่วนเอียนเองก็จะเดินกลับห้องเช่นเดียวกันแต่ระหว่างนั้นก็เหลือบไปเห็นเสื้อโค้ทสีดำแสนคุ้นตาวางพาดไว้กับเก้าอี้ไม้ใกล้ๆ
*แกร๊ก!*
"ปืน...กระสุน?"
กระบองปืนพกและกล่องกระสุนที่เขาจำได้ว่าเดเมียนเป็นคนโยนให้ ถึงแม้จะไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อแต่เขาเชื่อว่ามันต้องมีความหมายโดยนัยแฝงเอาไว้ เอียนหยิบปืน กล่องกระสุนและเสื้อโค้ทของเดเมียนเดินขึ้นบันไดของโรงแรม
โรงแรมของมาม้าเมดิสันไม่ได้ใหญ่มาก มันตั้งอยู่ภายในตรอกมืดไม่น่าอภิรมย์มากนักรายได้จากโรงแรมก็ไม่ได้มีมากพอที่จะเลี้ยงชีพของเอียนและมาม้าได้ เสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้เก่าดังสนั่นไปทั่วทางขึ้นบันได
ทางเดินโถงแคบจนแทบเดินไม่ได้ เอียนหยิบลูกกุญแจจากกระเป๋ากางเกงปลดล็อกประตูผลักเข้าไป เขาเอื้อมมือเปิดสวิตช์ไฟใกล้ประตูหลอดไฟในห้องสว่างขึ้น เขาพาดเสื้อโค้ทของเดเมียนเอาไว้กับเก้าอี้ไม้เก่าๆ ใกล้พัง แล้ววางปืนไว้บนโต๊ะ
"เฮ้อ..."
ทิ้งตัวนอนลงบนฟูกแข็งมือเกยหน้าผาก เอียนมองออกไปนอกหน้าต่างที่ปิดเอาไว้แสงไฟจากตึกรามด้านนอกยังคงส่องสว่างไม่มีวันดับสมกับฉายาเมืองที่ไม่เคยหลับใหล สายลมเย็นๆ พัดเข้ามาทางบานประตูระเบียงที่เปิดอ้าเอาไว้เล็กน้อย
เอียนยันตัวลุกขึ้นเดินออกไปนอกระเบียงเท้าแขนกับราวเหล็กสนิมเขรอะจ้องมองรถราที่อยู่เบื้องล่าง ใจจริงเขาอยากจะขึ้นไปบนด้านฟ้าแต่ตอนนี้มันดึกมากแล้วและเขาก็กลัวมาม้าเมดิสันจะเป็นห่วง
*ครืด⁓*
มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้เอียนคิ้วขมวด เขาหยิบมันขึ้นมาเปิดดูรายชื่อของบุคคลปริศนาส่งข้อความเข้ามา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใครทั้งรูปโปรไฟล์หรือแม้แต่กระทั่งชื่อก็ไม่แสดงบนแอปพลิเคชันแสดงเพียงคำว่าUnknownขึ้นเด่นหรา
'อย่าลืมล็อกประตูห้องล่ะ'
ไม่ต้องเสาะหาคำตอบให้มากความ แค่รูปแบบประโยคที่ส่งมาก็ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่าตัวการของเรื่องนี้คือใคร เอียนหันซ้ายหันขวามองไปรอบตัวที่มีแต่ไฟสลัวพยายามหาสิ่งผิดปกติแต่ก็ไร้วี่แวว
'นายแอบดูฉันหรือไง'
'ฉันรู้ทุกการเคลื่อนไหวของนาย'
ข้อความเดียวทำเอาเอียนรู้สึกไม่ชอบใจ อีกฝ่ายรู้การเคลื่อนไหวของเขาทุกอย่างเพราะฉะนั้นแถวนี้คงมีอะไรซ่อนอยู่แน่ๆ กล้องเหรอ? หรือว่าสั่งคนมาเฝ้าดูพฤติกรรมเขาล่ะ แบบนี้มันก็โกง'การเล่นซ่อนหาน่ะสิ!
'แบบนี้คุณก็โกงน่ะสิ'
'ฉันไม่ได้บอกซะหน่อย ว่าใช้ตัวช่วยไม่ได้'
เอียนรับรู้ได้ถึงหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน เขาจ้องมองหน้าจอมือถือเขม็งอยากจะรู้นักว่าพ่อแม่อีกคนให้กินอะไรเข้าไปถึงได้กวนประสาทเขาขนาดนี้ หากวันนั้นไม่ได้ไปเจอเรื่องราวตอนนั้นก็คงจะดี
เขาไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไปเพียงเก็บมือถือลงกระเป๋าเหมือนเดิม จ้องมองวิวทิวทัศน์ที่ถูกปิดคลุมด้วยตึกสูงใหญ่และอาคารต่ำเตี้ย พลางถอนหายใจเหนื่อยหน่าย
"นายมันโรคจิต"
แสงจากหน้าจอแมคบุ๊คแสดงภาพของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีนิลที่กำลังยืนรับลมเย็นอยู่นอกระเบียบ มุมปากหนาหยักยกยิ้มอย่างพอใจในมือข้างขวาถือมือถือเครื่องหรูเอาไว้ส่วนอีกมือก็ถือแก้วไวน์กวัดแกว่งแก้วไปมาอย่างอารมณ์ดี
ดูท่าเขาจะปั่นหัวเอียนได้เสียแล้ว...
"เตรียมทุกอย่างให้พร้อม...."
ดวงตาสีแดฟโฟดิลเรือนรองเป็นประกาย เดเมียนพูดกับบอดี้การ์ดมือขวาที่ยืนรอคำสั่งอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความสนุกสนานคล้ายเด็กที่กำลังได้ของเล่นใหม่
"อีกสี่วันเราจะไปเยี่ยมมาม้าเมดิสันกัน"
"ครับ"
บอดี้การ์ดหนุ่มก้มหัวเขาเดินถอยหลังออกจากบริเวณที่เจ้านายอยู่อย่างรู้งาน รอบข้างเหลือเพียงแค่เดเมียนที่กำลังนั่งยิ้มจ้องมองจอแมคบุ๊คคนเดียว เขายื่นมือไปลูบใบหน้าของเอียนผ่านกระจกนัยน์ตาแสดงถึงความหลงใหลและรักใคร่ที่มีให้อย่างมากล้น
แต่น่าเสียดาย...
ที่เอียนไม่ค่อยอยากจะได้จากเขามากนัก
"อา...เมื่อไรจะยอมเป็นของฉันสักที"
"เจ้าหมาป่าน้อย"
เดเมียนยกมือลูบหน้าตัวเองเบาๆ พลางทำตาละห้อย ตอนนี้เอียนได้เข้าห้องไปเรียบร้อยพร้อมกับไฟที่ดับลงเป็นการบ่งบอกว่าอีกคนคงได้เวลาเข้านอนแล้ว เขานั่งจ้องหน้าจอแมคบุ๊คไปสักพักจนแน่ใจก็ลุกขึ้นเต็มความสูง
ฝ่ามือหนาจัดเสื้อสูทที่ยับเล็กน้อยพลางหยิบซิการ์ขึ้นมาสูบ เขาเดินออกจากห้องกว้างเหล่าบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอกเมื่อเห็นร่างของผู้มีศักดิ์เป็นนายก็รีบก้มหัว แล้วถอยทางให้
"คุณลูคัสถึงที่หมายแล้วครับ"
"เตรียมรถ"
บอดี้การ์ดมือขวาก้มหัวรีบสับเท้าออกนอกบ้านพักต่างอากาศไป เดเมียนยืนสูบซิการ์อยู่หน้าประตูบานใหญ่ในมือของเขายังคงถือมือถือเอาไว้อยู่เปิดแชตข้อความที่เคยคุยกับอีกคนเอาไว้ขึ้นมาดูฆ่าเวลา
'Sweet Dreams,darling'
รอยยิ้มมุมปากปรากฏเมื่อมองข้อความที่ส่งไปพร้อมกับการอ่านที่รวดเร็วเห็นได้ชัดว่าอีกคนยังไม่นอนและยังคงลืมตาตื่นอยู่ เดเมียนเก็บเครื่องมือสื่อสารลงกระเป๋าเมื่อรถมาจอดอยู่เบื้องหน้า
"จัดการเรียบร้อยนะลุค"
"เรียบร้อยหมดแล้วครับท่าน"
"...ดี"
เขานั่งไขว่ห้างรับเอกสารมาจากมือขวาไล่สายตาอ่านไปทีละบรรทัดอย่างใจเย็น ตัวอักษรนับแสนถูกตีพิมพ์ลงบนหน้ากระดาษพร้อมกับรูปภาพที่หนีบเอาไว้
รายชื่อของบุคคลนับสิบถูกตีพิมพ์ลงบนกระดาษอย่างครบถ้วน เรียกยิ้มพึงพอใจจากเจ้านายได้ นัยน์ตาคมสันเป็นประกายเรืองรองในหัวนึกเรื่องสนุกๆ มากมายเอาไว้
"เรามาจัดการพวกหนอนยั้วเยี้ยที่รังควานเธอดีกว่า:)"
↢——————————↣
Damian : Don't forget to lock the door to the room.
↢——————————↣
#สมบัติคุณท่าน
Comments (0)