25 ธันวาคม…

ในยามเช้าวันคริสต์มาสที่มีหิมะโปรยปรายลงมาอย่างเบาบางไม่ขาดสาย ทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนที่ควรจะมีบรรยากาศรื่นเริงหรือเสียงเพลงคริสต์มาสดังคลอมาตามลม ทว่าในหมู่บ้านแห่งนี้กลับมีแต่เสียงซุบซิบจากชาวบ้านที่มายืนมุงชายป่าสนริมทะเลสาบน้ำแข็งหลังหมู่บ้าน และบรรยากาศโศกเศร้าจากการสูญเสียสมาชิกในหมู่บ้านไปถึงสองคนในชั่วเวลาเพียงข้ามคืนเดียว

“ต้นสนนั่นน่าจะตัดทิ้งไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว ถ้ารีบตัดให้เร็วกว่านี้ละก็ เด็กคนนั้นคงไม้โชคร้ายแบบนี้หรอก” หญิงวัยกลางคนเปรยขึ้น สายตาทอดมองต้นสนที่หักโค่นลงมาเพราะแรงลมเมื่อคืน ท่อนบนที่หักครึ่งทิ้งตัวลงขวางทางเข้าชมรมเบสบอล และใต้ต้นสนยักษ์มีหย่อมเลือดสีแดงฉายเปื้อนเปรอะเป็นวงกว้าง เพราะมีร่างไร้วิญญาณของเด็กสาวคนหนึ่งถูกทับอยู่

“นั่นสินะ แล้วเมื่อคืนหิมะก็ตกหนักมากด้วย ทางรถไฟถูกหิมะทับถมจนไปต่อไม่ได้ มีรถไฟขบวนหนึ่งตกรางด้วยละ เป็นขบวนสุดท้ายที่มาหมู่บ้านเราในรอบดึกไง” หญิงวัยเดียวกันเอ่ยขึ้น เรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างให้หันมามอง

“โอ้พระเจ้า! แล้วคนในรถไฟเป็นยังไงบ้างล่ะ” หญิงสาวนางหนึ่งถามอย่างตื่นตระหนก

“ตายหมด รอดแค่เก้าคน เพราะรถไฟตกรางตอนข้ามสะพานแม่น้ำ หิมะตกหนักแบบนั้นน้ำคงเย็นมากเลยล่ะ”

“ตายจริง! ถ้างั้นพ่อของเด็กคนนั้นก็…”

“ในวิทยุยังไม่มีบอกชื่อผู้รอดชีวิต แต่ก็บอกว่าเป็นผู้หญิงสาม ชายชราสอง เด็กผู้ชายหนึ่ง เด็กผู้หญิงสอง แล้วก็วัยรุ่นชายอีกหนึ่งคน ฉันว่าเขาคงไปดีแล้วละ” หญิงวัยกลางคนบอกด้วยน้ำเสียงหดหู่สีหน้าเห็นใจ

“ไม่น่าเลย ยังหนุ่มยังแน่นอายุแค่สามสิบกว่า ๆ ก็ตามภรรยาไปซะแล้ว” ชายวัยกลางคนเปรยขึ้นอย่างนึกสงสาร

“นั่นสิ น่าสงสารอีฟนะ เธอยังเด็กอยู่เลย แม่ก็ตายหลังคลอดวันเดียว แล้ววันนี้พี่สาวกับพ่อก็ไปพร้อมกันเลย” ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ชาวบ้านที่เหลือต่างมีสีหน้าสงสารเห็นใจขึ้นมาเช่นกัน

“และคุณยายของเธอก็เพิ่งเสียไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนนี้อีฟก็เหลือญาติสนิทแค่คนเดียวเท่านั้น พระเจ้าช่างโหดร้ายเหลือเกิน” หญิงสาวรำพึง แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีขาวสลัวที่มีหิมะตกลงมา ถึงวันนี้จะกลายเป็นวันไวท์คริสต์มาสเพราะมีหิมะตก ปกคลุมทิวทัศน์ให้เป็นสีขาวโพลนละลานตา ทว่าเกือบทุกคนมนหมู่บ้านแห่งนี้ต่างมีสภาพจิตใจที่มัวหมองเพราะความเศร้าใจสงสาร

ส่วนเด็กหญิงผู้ได้รับความเห็นใจอย่างเปี่ยมล้นแบบไม่รู้ตัว กำลังยืนงงอยู่ในอ้อมกอดของน้าสาวที่ร้องไห้พลางพูดเสียงสะอื้นกลางห้องนั่งเล่น แม้จะแปดโมงครึ่งแล้วแต่บรรยากาศก็ค่อนข้างมืดสลัวเพราะหิมะตกตั้งแต่เมื่อคืน

“อีฟ ต่อไปนี้หลานคงต้องมาอยู่กับน้าแล้วละ ฮึก!” แอนลูบหัวปลอบโยนอีฟทั้งที่ตัวเองยังสะอื้นไห้ไม่หยุด ในใจของหญิงสาวรู้สึกสงสารหลานสาวตัวน้อยจับใจ

“ทำไมล่ะคะน้าแอน” อีฟถามอย่างแปลกใจ เพราะกำลังนอนหลับสบายเนื่องจากเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย แต่ก็ถูกปลุกเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้เป็นน้า พองัวเงียเดินออกจากห้องนอนมาก็ถูกกอดแล้วพูดเสียงสะอื้นยาวเหยียดจนอีฟจับต้นชนปลายไม่ถูกแม้จะหายง่วงแล้วก็ตาม

“เดี๋ยวหลานก็รู้เองจ้ะ” แอนตอบแล้วคลายอ้อมกอดจากเด็กหญิงตัวน้อย ดวงตาที่แดงช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนักมองหลานสาวตาสลด

“แล้วทำไมหนูอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ล่ะคะ ถึงหนูจะชอบสวนบ้านน้าแอน แต่หนูก็ชอบบ้านหลังนี้มากกว่า” อีฟถามแล้วหันไปมองสภาพบ้านตัวเอง ถึงจะเป็นบ้านสองชั้นไม่มีพื้นที่สวนกว้าง ๆ เหมือนบ้านของแอน แต่เธอก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดจึงรู้สึกผูกพันมาก

“ก็ได้จ้ะ ถ้าหนูอยากอยู่ต่อที่นี่เดี๋ยวน้าจะลองถามน้าเจมส์ให้นะ แต่ถ้าไปอยู่ที่บ้านน้า คุณยายกับคุณตาจะดีใจมากเลยละ” แอนบอกโดยพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ เพราะตั้งแต่รู้ข่าวการจากไปของหลานสาวคนโตและพี่เขย เธอก็ร้องไม่หยุดมาเกือบครึ่งชั่วโมงและรีบมาหาอีฟที่บ้านด้วยความเป็นห่วง

“แล้วพี่เจนกับพ่อล่ะคะ” อีฟถามต่อ จะว่าไปแล้วตั้งแต่เธอตื่นขึ้นมาก็ไม่เจอพ่อกับพี่เลย หรือว่าเมื่อคืนอยู่ฉลองกันดึกจนเกือบถึงตีสองเลยตื่นสาย จะขึ้นไปปลุกตอนนี้ดีไหมนะ?

แอนพยายามสะกดกลั้นความเศร้าโศกที่ถามโถมเข้ามาอีกรอบ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง รู้สึกอึดอัดในอกเหมือนมีก้อนสะอื้นแข็ง ๆ ติดคอ จะบอกข่าวร้ายกับหลานสาวตัวน้อยที่ยืนหน้าซื่อตาใสอยู่ตรงหน้าก็ทำไม่ลง สุดท้ายหญิงสาวจึงโผเข้ากอดเด็กหญิงอีกครั้งแล้วร้องไห้โฮอีกชุดใหญ่

“ต่อไปนี้…นะ…น้าจะดูแลหนูแทนพ่อนะอีฟ ถะ…ถึงน้าจะยังไม่มีลุกแต่ก็จะพยายามดูแลหลานให้ดีที่สุด แล้วถ้าตะ…ต่อไปน้ามีลูก น้าก็จะไม่ทิ้งหลานแน่นอน มาอยู่กับน้าเถอะนะ”

“เอ๋? ถ้าให้หนูไปอยู่กับน้าแอน แล้วพ่อกับพี่ทำไมน้าถึงไม่ให้ไปด้วยล่ะคะ อ้อ! แล้วก็มีคุณยายด้วย” อีฟที่ยังไม่รู้เรื่องราวอันใดกอดน้าสาวแล้วถามเสียงใส

แอนตัวแข็งทื่อหยุดร้องไห้ทันทีเมื่อได้ยินคำกล่าว หญิงสาวผละออกแล้วเหลียวซ้ายแลขวามองรอบห้องอย่างระแวง แต่พอไม่เจออะไรผิดปกติก็หันมามองอีฟด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

“มะ…เมื่อกี้ ละหลานพูดถึงยายเหรอ”

“ใช่ค่ะ” อีฟรับคำเสียงใสแล้วมองหาคุณยายที่เธอมักเห็นนั่งอยู่บนโซฟานุ่ม ๆ ในห้องนั่งเล่น แต่น่าแปลกใจจังที่เช้านี้เธอไม่เห็นคุณยายเลย หรือเพราะเมื่อคืนนอนดึกกว่าที่เคยเลยตื่นสายเหมือนพี่กับพ่อ

“ละ…หลานพูดเล่นหรือเปล่าจ๊ะ น้าไม่ขำนะ” แอนถามเสียงสั่น เพราะเรื่องที่อีฟพูดเป็นเรื่องน่าขนลุกมากสำหรับเธอ ประกอบกับบรรยากาศที่มืดสลัวในยามเช้าทำให้หญิงสาวรู้สึกหนาวกว่าเดิม

“ไม่ได้พูดเล่นค่ะ แล้วทำไมหนูต้องพูดเล่นเรื่องคุณยายด้วยล่ะ” อีฟถามกลับอย่างมึนงงไม่หาย

“นี่หลาน…เห็นแม่ของน้า เอ่อ…คุณยายจริง ๆ เหรอ?” แอนถามต่ออย่างเริ่มตื่นกลัว

“ก็ต้องเห็นอยู่แล้วสิคะ คุณยายก็อยู่ในบ้านทั้งวันไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่เมื่อคืนสงสัยอยู่ฉลองด้วยกันจนดึกไปหน่อย คุณยายก็เลยยังไม่ตื่น พ่อกับพี่เจนก็เหมือนกัน” อีฟตอบกลับแล้วเงยหน้ามองเพดานห้องนั่งเล่นที่เป็นพื้นที่ชั้นสอง ตอนนี้พี่กับพ่อคงกำลังหลับสบาย ขนาดน้าแอนมาแล้วร้องไห้ลั่นบ้านยังไม่ตื่นลงมาดูเลย

“เดี๋ยวนะ? เมื่อคืนหลานอยู่ฉลองคริสต์มาสกับใครบ้างนะ” แอนถามเสียงสั่น

“กับทุกคนเลยค่ะ พ่อกับพี่เจนที่ไม่เคยมาก็ยอมมาร่วมฉลองด้วย หนูมีความสุขมากเลยค่ะ เพราะที่ผ่านมาหนูต้องอยู่กับคุณยายคนเดียว แต่เมื่อคืนนี้ทั้งพ่อกับพี่เจนมาด้วย ถึงไม่มีของขวัญเหมือนปีก่อนแต่ก็ไม่เป็นไร คริสต์มาสปีนี้หนูมีความสุขมากเลยค่ะ คุณยายที่ทำหน้าเศร้า ๆ มาตลอดก็ยิ้มกว้างเลยละ” อีฟบรรยายถึงการฉลองคริสต์มาสเมื่อคืนด้วยน้ำเสียงสีหน้ารื่นเริงแววตาสดใส แสดงว่าวงแหวนขนมปังขิงทำให้คำอธิษฐานของเธอเป็นจริงสินะ

แอนหน้าซีดปากสั่นทันทีเมื่อฟังคำพูดซื่อ ๆ ของหลานสาวจบ มือที่สั่นระริกยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงกรีดร้อง ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจกลัว ในใจคิดทบทวนถึงคำพูดของอีฟด้วยความสับสน ก็ในเมื่อคนทั้งสามที่อีฟพูดถึงจากโลกนี้ไปแล้ว จะมาร่วมฉลองมื้อค่ำคืนคริสต์มาสกับอีฟได้ไงล่ะ โดยเฉพาะคุณยาย…แม่ของเธอ ได้จากไปเพราะโรคชราเมื่อสามปีก่อน ตอนที่อีฟอายุเพียงสี่ขวบ

“มีอะไรเหรอคะน้าแอน” อีฟเอียงคอถามอย่างฉงนเมื่อเห็นน้าสาวขาอ่อนยวบทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเธอ

“คะ…คุณแม่คะ ต่อไปนี้ไม่ต้องห่วงอีฟแล้วนะ หนูจะ…ดูแลหลานสาวคนนี้ให้ดีที่สุด พี่เขยกับเจนก็ไม่ต้องห่วงนะ” แอนพึมพำบอกเสียงสั่นสะท้าน เรียวแขนบอบบางสวมกอดหลานสาวที่ยืนทำหน้าฉงนอย่างไม่เข้าใจคำพูดของน้าสาว

นอกตัวบ้านบนถนนที่ไร้ผู้คน หิมะที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องได้ปกคลุมพื้นถนนจนหนาเตอะ หญิงชราคนหนึ่งยืนมองภาพหญิงสาวคุกเข่ากอดเด็กหญิงพลางสะอื้นไห้ ดวงตาที่พร่ามัวไปตามสังขารเปล่งประกายสดใสหลังแว่นกลมกรอบทอง ใบหน้าที่มีริ้วรอยของความชราภาพเปื้อนยิ้มเปี่ยมสุข ร่างท้วมที่งองุ้มเล็กน้อยเดินห่างจากบ้านที่เคยอาศัยไปตามท้องถนนที่มีหิมะปกคลุมทั่วพื้นผิว แต่น่าแปลกใจนักที่หญิงชราผู้นี้สามารถเดินเหยียบหิมะได้อย่างไร้ร่องรอย

“ไปกันเถอะ ถึงพวกเราจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ก็ยังมีตัวตนหลงเหลืออยู่ในใจของเธอตลอดไป” หญิงชราเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเมื่อเดินมาถึงปลายถนน มีหนึ่งชายหนุ่มและเด็กสาวกำลังยืนรออยู่ด้วยท่าทางเรียบเฉย แต่สายตาทอดมองไปทางบ้านของอีฟนั้นฉายแววโศกเศร้า

ชายหนุ่มและเด็กสาวผู้มีเค้าหญ้าคล้ายคลึงกันเดินตามหญิงชราไป ทั้งสามเดินตรงไปยังลำแสงสีทองที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าสีขาวครึ้มในยามเช้า เมื่อร่างทั้งสามถูกลำแสงสีทองส่องกระทบ ก็เลือนหายไปพร้อมกับลำแสงสีทองปริศนา ราวกับถูกกลืนกินเข้าไปในช่องว่างของก้อนเมฆที่ลอยตัวอยู่บนฟากฟ้าสีหม่น

แว่วเสียงกระดิ่งลมยามเมื่อสายลมหนาวพัดผ่าน หิมะสีขาวสะอาดได้ร่วงลงมาจากท้องฟ้าตกลงสู่พื้นดินอย่างนุ่มนวล แต่ในความนุ่มนวลอ่อนโยนนั้น…มีความหนาวเย็นแอบซ่อนอยู่

❄True Ending❄