5 ตอน บุหงาลักสร้อย (2)
โดย razi;
TW : Suicide การฆ่าตัวตาย / Murder การฆาตรกรรม
4
บุหงาลักสร้อย (2)
เหนื่อยแล้ว
เด็กหนุ่มกดบาดแผลยาวประมาณหนึ่งนิ้วชี้บริเวณท่อนแขนเพื่อห้ามเลือด ถุงใส่วัตถุดิบทำหมูกระทะกระจัดกระจายตามพื้นถนน มันเละเทะจนมองดูก็รู้ว่ายังไงก็ใช้ไม่ได้
เคพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องอะพาร์ตเมนต์ราคาถูกด้วยสภาพไม่สู้ดีนัก พอนึกย้อนเหตุการณ์กลับไปเมื่อสักครู่เด็กหนุ่มก็ตัวสั่นขึ้นมาอีกรอบจนต้องรีบสลัดให้ออกจากหัว
สองขาเดินโซเซ เหงื่อผุดไหลหยดปนกับเลือด กลิ่นสนิมลอยคลุ้งแต่เด็กหนุ่มไม่มีใจจะปฐมพยาบาล ตอนนี้บาดแผลที่มันที่ทำให้เขาอ่อนแอไม่ใช่บาดแผลสิบเซนติเมตรตรงท่อนแขน แต่เป็นจิตใจที่โดนขีดข่วนจนเหวอะหวะ แม้อยากจะรีบรักษาก็คงไม่ทันกาลแล้ว
สายไฟที่ตัดออกมาแบบลวก ๆ พันเกี่ยวเป็นทรงหยดน้ำแขวนไว้ที่เหล็กดัด ช่องว่างมีมากพอให้เด็กหนุ่มลอดศีรษะเข้าไป เส้นผมสีดำตัดสั้นเปียกชื้น เหงื่อผุดไล้กรอบหน้าจากอาการกังวลและความหวาดกลัว แต่ ณ ตอนนี้เคเหนื่อยมามากพอจนไม่อยากใช้ชีวิตต่อไปอีกแล้ว
การเป็นเค้กมันเป็นตราบาปให้เขามาตลอด 6 ปี
เรื่องราวมากมายที่เก็บไว้ในใจฉายซ้ำไปซ้ำมาในความทรงจำ ก้อนเนื้อในอกเจ็บแปลบ น้ำตาใสไหลล้นอาบสองพวงแก้มจนดวงตาพร่าเบลอมองไม่ชัด เขาลังเลอยู่ไม่นานในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งน้ำหนักตัวให้เชือกรั้งต้นคอ
“อ..อัก”
นิ้วมือจับที่สายไฟตามสัญชาตญาณ ร่างกายดิ้นพล่านเพื่อเอาตัวรอด หลอดเลือดถูกแรงบีบไม่ให้ออกซิเจนขึ้นไปเลี้ยงสมอง หัวใจเต้นระส่ำ ใบหน้าเริ่มซีดเซียว แต่ชั่ววินาทีก่อนที่เด็กหนุ่มจะหมดสติ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย สายไฟที่ไม่ได้มาตรฐานเสียดสีกับเหล็กดัดจนตัดขาดออกจากกันทำให้ร่างร่วงลงไปนอนกองกับพื้น
“คะ.. แคก ๆ”
เคไอโขลกอยู่เป็นนาที รอยเชือกสีแดงจ้ำเด่นชัดพาดลำคอ หลอดลมกลับมาทำงานอีกครั้งแต่ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกดีเท่าไหร่นัก
แอ๊ด
ในจังหวะที่หมดอาลัยตายอยาก เสียงประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น ตาพร่าเบลอมองคนปริศนาที่กำลังเดินย่างเข้ามาใกล้ เคไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายเป็นเพศอะไร หรือถ้าหากเป็นพี่ชายของเขา เด็กหนุ่มจะแก้ตัวว่ายังไงก็ยังไม่มีคำตอบในหัวเลย
พี่คิว..
มือข้างหนึ่งเอื้อมมือออกไป ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง เคคิดว่าแม้จะโดนพี่ชายดุเรื่องที่เขาคิดฆ่าตัวตายแต่ถ้าเปิดใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟัง บางทีอนาคต เขาอาจจะใช้ชีวิตได้มีความสุขมากกว่านี้ก็ได้
มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ
ปัก
“อั่ก”
ด้ามโลหะสีเงินสะท้อนใบหน้าซีดเซียวที่ประดับด้วยลูกตาเบิกโพลงของเด็กหนุ่ม คนปริศนาดึงมีดออกก่อนจะซ้ำลงอีกครั้งจนมิดด้าม กลิ่นคาวฉุนกึก สีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วห้อง ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เด็กหนุ่มก็นอนแน่นิ่งหมดลมหายใจไปพร้อมกับดวงตาที่เปียกชุ่ม
............
.......
....
แกร๊ก
“นายไม่รู้แน่ว่าพี่ซื้ออะไรมา”
ชายผมสีมิ้นต์ไขประตูเข้ามาอย่างอารมณ์ดี มือซ้ายลากกระเป๋าเดินทาง มือขวาหิ้วกล่องขนมเค้กรสโปรดของน้องชาย เขาไม่รู้หรอกว่ามันอร่อยแค่ไหนแต่ก็พอจะนึกออกจากใบหน้ามีความสุขของครอบครัวเพียงคนเดียว
ยังไม่ทันจะปิดประตู กลิ่นคาวเลือดก็ทำให้ชายหนุ่มชะงัก สายตากวาดมองของเหลวสีแดงที่ทิ้งร่องรอยเป็นแนวยาว พอไล่ไปเรื่อย ๆ ก็ปรากฏร่างนอนแน่นิ่งจมกองเลือดอยู่ไม่ไกล
ริมฝีปากสั่นระริก ดวงตาเบิกกว้างอารามตกใจ กล่องเค้กร่วงจากมือเสียงดังตุบ เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าข้างในมันจะอยู่ดีหรือเปล่า เพราะสิ่งที่เขาสนใจคือร่างไร้วิญญาณของน้องชายที่ไม่มีทางตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
“เค! เค!”
ปากร้องเรียกชื่อ สองมือโอบประคองอย่างทะนุถนอมแม้ตัวจะเปรอะเปื้อนไปด้วย ชายหนุ่มพยายามกดห้ามเลือดไว้แต่ก็รู้ว่าไร้ประโยชน์ ความหวังที่อีกฝ่ายจะทักทายกลับมานั้น แค่ 1 เปอร์เซ็นต์ก็ไม่มี น้ำตาแห่งความโศกเศร้าร่วงเผลาะพร้อมกับเสียงคำรามในลำคอ
ปัง
ประตูส่งเสียงปิดทั้งที่ไม่มีลมพัด คิวตวัดมองอย่างเดือดดาล ในใจคิดว่ามันต้องมีคนเพิ่งออกจากห้องไป แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฆาตกรที่ฆ่าน้องชายของเขา!
ออกตัววิ่งตามโดยคว้ามีดที่ตกอยู่ไม่ไกลมาเป็นอาวุธ ศีรษะหันซ้ายขวาไม่เจอคนน่าสงสัยในขอบเขตการมองเห็น ท้องฟ้ามืดมิดกับแสงไฟสลัวตอกย้ำความเปล่าเปลี่ยวของเขาขึ้นมาจนจุกถึงคอหอย สองมือทุ่มแรงใส่ระเบียงอย่างเจ็บใจ ใบหน้าที่เปรอะเลือดเล็กน้อยบิดเบี้ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ข้างในปวดร้าวแม้ไม่ได้บาดเจ็บ ชายหนุ่มทรุดตัวลงร้องไห้ราวกับโลกนี้กำลังจะพังทลายในอีกไม่ช้า
ตึก ๆ
มัน!
ต้องเป็นมันแน่ ๆ !
เสียงรองเท้ากระทบคอนกรีตเรียกความสนใจ สายตาเหลือบเห็นเงาที่กำลังวิ่งอยู่ด้านล่าง แม้จะมองใบหน้าไม่ชัดแต่รอยยิ้มที่ตั้งใจเยาะเย้ยให้คิวที่อยู่ชั้นสองเห็นก็เป็นตัวยืนยันอย่างดีว่าเป็นคนที่คิดไว้
“มึxหยุด ไอเหี้x”
คำหยาบคายพ่นออกจากปากอย่างบ้าคลั่ง คิวถือมีดวิ่งลงบันไดหมายจะจับตัวให้ได้โดยไม่สนว่าคนที่สวนผ่านมาจะกรีดร้องเสียงดังขนาดไหน
เขาวิ่งมาไกลมาก แต่กลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย ความโกรธเกรี้ยวเป็นแรงผลักให้สองขาวิ่งตามฆาตกรราวกับคนบ้า แน่นอนว่าถ้าจับได้เขาจะขอลงโทษมันกับมือ คิวไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้าเหลือตัวคนเดียวอย่างน้อยก็ขอลงนรกไปพร้อมกับคนอย่างมันซะเลยก็แล้วกัน
“หยุด!” เสียงตวาดทางด้านหลังทำให้คิวหันศีรษะกลับไป “วางอาวุธลงเดี๋ยวนี้!”
ปืนสั้นสีดำจ่อตรงมาที่เขา เครื่องแบบผดุงความยุติธรรมปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงไฟที่ติดอยู่ริมทาง หมวดเวหากดดันอีกฝ่ายทางสายตา แน่นอนว่าการเจรจาเป็นวิธีอันดับแรก
คิวยิ้มออกทั้งน้ำตาก่อนจะเอ่ยปากที่สั่นระริก “มันอยู่นั่น มันวิ่งไปทา—อั่ก!”
“หมวดมาวิน!”
ตำรวจหนุ่มเรียกชื่อเพื่อนร่วมงานอย่างโกรธเคืองก่อนจะวิ่งเข้าไปดูอาการของผู้ต้องสงสัยที่ล้มลงไปนอนโอดครวญเพราะกระสุนปืนโดยไม่ลืมเตะมีดให้ห่างเพื่อกันการลอบทำร้าย
“คุณไม่จำเป็นต้องยิง” เวหากดปากแผลห้ามเลือดบริเวณท่อนขาข้างซ้ายของชายหนุ่ม ดูจากท่าทีแล้วไม่น่าจะเป็นอะไรมากจึงเอ่ยปากต่อ “ทำเกินกว่าเหตุ”
อีกฝ่ายสบถในลำคอ
มาวินเก็บปืนเหน็บที่เอว สองขาเดินเข้าไปใกล้กดสายตามองต่ำ “คิดว่าตัวเองจะคุยกับฟอร์คได้หรือไง” นายตำรวจเดาะลิ้นแสดงความรำคาญ “ตามหาหมาแมวเอย ลักเล็กขโมยน้อยเอย คดีพวกนั้นมีเป็นสิบ ๆ แต่ไม่ยักจะทำ สะเหล่ออยากจะสร้างผลงานไม่ดูตัวเอง เหอะ! ใครแม่งเป็นตัวต้นคิดส่งพวกเค้กมาแผนกอาชญากรรม โถ่เอ๊ย ทำเป็นไม่รู้ว่าที่ฟอร์คมันหน้ามืดตามัวแบบนี้เป็นเพราะใคร ไม่รู้มาช่วยหรือทำให้คดีมันวุ่นวายขึ้น”
เวหากำมือแน่น เหมือนจะเป็นเรื่องที่ควรชินชาได้แล้ว แต่สำหรับเขา การถูกแบ่งแยกโดยสาเหตุมาจากร่างกายที่ไม่มีทางแก้ได้มันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย
โลกนี้แม่งอุบาทว์สิ้นดี
______________________
ป่วย
ไม่รู้ว่าโดนผีหลอกจนไข้ขึ้นหรือว่าร่างกายสะสมความล้าจากการคร่ำเคร่งร่ำเรียน
ผมหยิบผ้าชุบน้ำบนหน้าผากออก อุณหภูมิอุ่นทำให้ความเปียกหมาดเริ่มแห้ง พยายามยันตัวลุกขึ้นเดินง่อนแง่นเข้าไปในห้องน้ำ กะละมังใบเล็กบรรจุน้ำสะอาดถึงเวลาเปลี่ยน เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยจะมี ถ้าเผลอลื่นหัวแตกที่นี่คงนอนขึ้นอืดเป็นเดือนกว่าจะมีคนมาเจอ
บรื๋อ
อย่าคิดอะไรแบบนั้นจะดีกว่า
เปลี่ยนน้ำเสร็จก็เอามาตั้งไว้ข้างเตียง บิดผ้าที่เอาไปชุบพอหมาดก่อนจะเอามาเช็ดทั่วร่างกาย ตั้งใจว่าจะกลับไปนอนห่มผ้าเหมือนเดิมแต่เสียงกริ่งประตูก็แว่วกระทบใบหูขึ้นมาก่อน
พนักงานส่งของยิ้มแป้นอยู่ด้านหน้า
“ขอบคุณครับ” ผมสำรวจข้าวกล่องที่สั่ง สายตาเหลือบไปเห็นเจลลดไข้ที่ไม่มีในออร์เดอร์ “หืม?”
“ปกติเห็นจะเขียนคำขอให้เอานู่นเอานี่เพิ่ม ก็เลยสงสัยว่าคุณเป็นฟอร์คจริง ๆ หรือเปล่า” ผิวขาวรับกับผมสีน้ำตาลที่แลบออกมาจากหมวกแก๊ป รูปร่างไม่สูงมาก ดูจากการใส่รองเท้าแล้วเผลอ ๆ อาจจะเตี้ยกว่าผมเล็กน้อย ส่วนดวงตาโตนั่นก็ทำให้นึกถึงลูกหมาที่กำลังเรียกร้องความสนใจ
“...ไม่สบายสินะครับ ผมคิดถูกจริง ๆ ด้วย” อยู่ ๆ ใบหน้านั่นก็ยื่นเข้ามา ผมตกใจจนเซถอยร่นไปสองสามก้าว เสียงเจื้อยแจ้วนั่นยังพูดต่อพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มเผื่อคนทั้งโลก “ถ้าคุณไม่โอเคก็โยนทิ้งไปได้เลยนะครับ”
ผมโบกมือบอกเป็นนัยว่าไม่เป็นไร
พอสังเกตอีกทีก็ยังดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่าหรือน้อยกว่า นิสัยชวนน่าเอ็นดูบางทีก็ไม่ได้ไปพร้อมกับตัวเลข
“ถ้าอยากได้อะไรเพิ่มก็บอกผมได้นะ”
หนุ่มพระอาทิตย์ยิ้มกว้างก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป
“บอก? ..หมายถึงไม่ต้องกดรับงานก็อยากทำให้?” ผมยืนคิดก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ
สถานการณ์นี้ช่างสมกับเป็นนิยายโรแมนติกจริง ๆ
บิดตัวนิดหน่อยให้พอสดชื่น เพราะอีกไม่กี่นาทีอาจารย์จะส่งข้อสอบมาทางออนไลน์ วิชาสุดท้ายก่อนการปิดภาคเรียนเทอมที่ 1 พอนึกถึงความลำบากตรากตรำก็อย่างเฉ่งหัวนายภีมในอดีตสักยก
“รีบทำรีบนอน”
จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอนาคตของนายภีมก็ได้ แต่คิดไปคิดมาถ้าเกิดติดอยู่ในนิยายตลอดไป การสร้างอนาคตที่ดีเผื่อไว้ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก
นิ้วมือกดโหมดกลางคืน ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือไปอีกทาง หลังจากทำข้อสอบเสร็จก็ไม่น่าจะต้องติดต่อใครหรือใครติดต่อมา ดังนั้นผมจะขังตัวเองไว้ในห้อง ขอเวลาฟื้นฟูร่างกายเพื่อเอาแรงมาสู้กับอนาคตหน่อยก็แล้วกัน
.....................
..............
........
.....
หนึ่งทุ่มยี่สิบหกนาที กับ ไข้ที่ลดลงนิดหน่อย
มันเป็นเพราะผมไม่กินข้าวกินยาหรือเอาแต่นอนคลุมโปงเร่งให้เหงื่อออกนะ
“โห อะไรเนีย”
ผมหยิบเจลลดไข้ออกจากหน้าผาก หยิบเครื่องสี่เหลี่ยมขึ้นมาพลางไล่สายตาลงมานิดหน่อยก็เจอเบอร์โทรศัพท์ของลินกับข้อความมากมายบนหน้าจอโทรศัพท์ คิ้วผมขึ้นขมวดปม หัวใจเต้นตุบ อาการสั่นสู้นี่มันลางสังหรณ์ของการติดเอฟหรือเปล่านะ
“มีอะ—”
ยังไม่ทันจะกรอกเสียงให้จบ ปลายสายก็ตวาดแวดขึ้นแทรก
[ทำไมเพิ่งจะโทรมาป่านนี้ รู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น]
“ฉันยังไม่ได้อ่านที่เธอพิมพ์มาเลย”
[นายนี่มัน..]
น้ำเสียงหงุดหงิดมาพร้อมกับการสูดน้ำมูก ผมเดาได้เลยว่าลินกำลังร้องไห้ นั่นยิ่งทำให้ผมกลัวคำตอบที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดออกมา
[คิว..]
“...”
[คิวถูกจับข้อหาฆาตกรรมน้องชายตัวเองเมื่อวานนี้ ไม่ได้ดูข่าวเลยหรอไง พวกนายอยู่ด้วยกันตลอดเลยไม่ใช่หรอ ทำไมเรื่องถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้]
“เมื่อวานคิวจะกลับบ้าน ฉันก็เลยกลับด้วย”
ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ไปพร้อม ๆ กับหยิบกุญแจบ้านเพื่อออกไปหาคนที่กำลังเป็นประเด็นร้อนของข่าววันนี้ “คิวอยู่สถานีไหน ฉันจะไปให้ปากคำ”
ไม่มีทางหรอก คิวที่เคยมองค้อนผมตอนพูดถึงน้องตัวเองไม่ดี ไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นแน่ ๆ
นี่มันเรื่องเข้าใจผิด
ก้อนเนื้อในอกเต้นตามอัตราการสูบฉีดเลือด ร่างกายที่กำลังทรุดเพราะพิษไข้ราวกับขุดพลังเฮือกสุดท้ายให้กลับมาแข็งแรงแข็งขัน ปลายสายยังพูดอะไรบางอย่างอยู่แต่ตอนนี้มันไม่ค่อยจะเข้าหูผมเลย
รองเท้าแตะย่ำบนน้ำเจิ่งนองเนื่องจากตอนบ่ายฝนน่าจะตกลงมา อากาศเย็นชื้นเอิบอาบเข้าที่ผิวหนัง ปกติผู้คนช่วงเวลาค่ำยังไม่โหรงเหรงนัก แต่ทำไมวันนี้กลับเงียบหายไม่แม้แต่มีคนเดินเฉียด ช่วงสนธยาผ่านไปสักพักแล้ว ท้องฟ้ามืดมิดยิ่งทำให้ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวกว่าที่เคยรู้สึก
[..ฮัลโหล ได้ยินไหม]
“อะไร ฉันกำลังไป สถานีไหนนะ”
[ไม่ได้ฟังเลยสินะ]
[นักข่าวอยู่เต็มไปหมด ถ้านายไม่อยากโดนถามอะไรที่ไม่จำเป็นก็อย่าไปแสดงตัวที่นั่น อีกอย่างคิวก็อยู่โรงพยาบาล ถึงจะห้ามเยี่ยมก็เถอะ..]
“ทำไมอยู่โรงพยาบาล”
[ฉันก็ไม่รู้ ข่าวจริงข่าวปลอมปนกันมั่วไปหมด นี่แปลว่านายไม่ได้ดูข่าวจริง ๆ สินะ รู้ไหมว่าคดีนี้มันเป็นคดีกินคน]
“..เป็นไปไม่ได้”
[เป็นไปแล้ว เป็นมากด้วย ทั้งจับได้ในที่เกิดเหตุ แถมพยายามหลบหนี อาวุธก็มีแต่รอยนิ้วมือของคิว และอย่างสุดท้ายที่เป็นประเด็นสุดซึ่งนายก็คงจะรู้ดี]
“คิวเป็นฟอร์ค”
[ฉันก็ไม่เชื่อว่าคิวจะเป็นฆาตกร แต่ทุกอย่างมันชี้นำขนาดนี้แล้วปากคำของพวกเราจะไปงัดขึ้นได้ยังไง นู่น รอขึ้นศาลอย่างเดียว ถ้าทนายดีหน่อยหรือคิวยอมรับผิดก็คงลดโทษได้ แต่ถ้าออกมาตรงกันข้ามฉันคงไม่ต้องพูดนะว่าเพื่อนเราจะเป็นยังไง]
ประหารชีวิต
กฎหมายที่ใช้สำหรับฟอร์คในคดีกินคน ซึ่งไม่เคยมีแพะรับบาปเลยแม้แต่คนเดียว
ลินวางสายไปแล้ว ผมนั่งลงบนทางเท้าอย่างเหม่อลอย พิษไข้เริ่มกลับมาสะกิด แต่ผมไม่มีกะจิตกะใจจะห่วงตัวเองเลย
อะไร
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ผมโน้มตัวขยุ้มเส้นผมด้วยสองมือด้วยความรู้สึกมืดแปดด้าน ไม่เข้าใจเลยว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น อากาศเย็นยิ่งทำให้สมองตื้อ อาการครั่นเนื้อครั่นตัวยิ่งส่งผลให้คิดอะไรออก
“เจอกันอีกแล้ว”
เสียงใครบางคนเอ่ยขึ้น ผมเงยหน้าสบดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่าย ผมสีทองยุ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งขับให้เขามีเสน่ห์ชวนน่ามอง กว่าจะรู้ตัวว่ามานั่งหน้าร้านขายขนมก็ตอนที่เจ้าของร้านมานั่งยอง ๆ ยิ้มหวานอยู่ตรงนี้
“วันนี้เป็นลูกค้าหรือแมวจรหลงทางมาครับ”
ซากแมวตัวน้อยปรากฏขึ้นในสายตา เลือดเกรอะกรังจนบางตัวแทบมองไม่ออกว่าตอนมีชีวิตอยู่หน้าตาเป็นอย่างไร บางตัวส่วนหัวกับส่วนตัวไม่ต่อติด บางตัวโดนผ่าท้องจนเครื่องในทะลัก
ไม่รู้ว่าเพราะไข้หรืออะไรที่ทำให้ผมได้ยินเสียงบางอย่างดังแว่วอยู่ในหัว
พรึ่บ
เสียงพลิกกระดาษอีกแล้ว
ผมกุมขมับที่เริ่มปวดจี๊ดขึ้นมาทีละนิด อาการคลื่นไส้เสียดแทรกจนอยากจะอ้วกเอาอาหารตอนเช้าออกมา
สายไฟที่ตัดออกมาแบบลวก ๆ พันเกี่ยวเป็นทรงหยดน้ำแขวนไว้ที่เหล็กดัด ช่องว่างมีมากพอให้เด็กหนุ่มลอดศีรษะเข้าไป...
….
พรึ่บ
“อัก..”
“คุณ! เป็นอะไรไป คุณ!”
ปืนสั้นสีดำจ่อตรงมาที่เขา เครื่องแบบผดุงความยุติธรรมปรากฏขึ้นท่ามกลางแสงไฟที่ติดอยู่ริมทาง หมวดเวหากดดันอีกฝ่ายทางสายตา แน่นอนว่าการเจรจาเป็นวิธีอันดับแรก
เสียงบรรยายนี่มันอะไร ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันก็ยิ่งเหมือนจะนึกอะไรออกขึ้นมา ตาปรือมองผู้ชายผมทองที่เข้ามาช่วยพยุงไม่ให้ล้มนอนที่ถนน ผมอ้าปากถามคำถามอีกฝ่ายออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“คุณชื่ออะ..ไร”
“ครับ?” เขาเหมือนจะสับสนเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “เนม ชื่อเนมครับ”
‘เนม จาก name หรอ? ทำไมถึงตั้งชื่อเขาแบบนั้น’
‘ก็เพราะว่าเป็นตัวประกอบไง’
‘พวกนักเขียนนี่ใจร้ายกับตัวประกอบจังเลย’
‘แย่หน่อยนะสำหรับคนที่หลงรักตัวประกอบอย่างนายน่ะ’
จำได้แล้ว
ผมจำได้แล้วว่านิยายเรื่องนี้คือเรื่องอะไร
เพราะฉะนั้น
“อย่า..เข้ามาใก—”
ตั้งใจจะพูดให้จบประโยค แต่ปากเจ้ากรรมกลับไม่ยอมขยับ อุณหภูมิข้างในร้อนรุ่มจนสมองสั่งร่างกายให้ชัตดาวน์เอาเสียดื้อ ๆ ศีรษะของผมคว่ำตรงบ่ากว้างของอีกฝ่ายที่เตรียมรองเป็นหมอนแข็ง ส่วนสติก็ค่อย ๆ เก็บกระเป๋าหนีหายไป
1 ครั้งเรียกโชคชะตา 2 คราเรียกจงใจ
ร้านขนมเล็ก ๆ ที่ไม่น่าจะเดินเฉียดเข้าไปได้ กลับเหมือนมีอะไรดึงดูดให้เข้ามาถึงสองหน
มันไม่ใช่อิทธิพลของนิยายโรแมนติกธรรมดา แต่นี่เป็นนิยายโรแมนติกสืบสวนที่มีผมเป็นตัวร้ายและเหยื่อคดีต่อไปคือเจ้าของร้านขนมผมสีทองคนนั้นนั่นเอง
tbc
razi; - ไม่สบายก็ต้องกินยานะ
Comments (0)