6 ตอน คดีที่ 3 (1)
โดย razi;
5
คดีที่ 3 (1)
แสงอาทิตย์แยงตาจนต้องตื่นจากการพักผ่อน
ผมหยิบผ้าเปียกหมาดบนหน้าผากออก พอเอี้ยวตัวนิดหน่อยก็รู้สึกได้ว่าไม่ได้นอนอยู่บนเตียงนุ่ม ผ้าห่มผืนเล็กบางสีชมพูหล่นไปกองที่พื้น ศอกชนเข้าที่พนักพิง ร่างกายปวดเล็กน้อยจากท่านอน แต่ผมก็ไม่ได้หงุดหงิดอะไร แน่นอนว่าไข้ลดลงไปเยอะแล้ว
มองไล่สำรวจสถานที่ก็ปรากฏใครบางคนนอนฟุบบนโต๊ะอยู่ไม่ไกลนัก แสงแดดอ่อนยามเช้าตรู่สาดกระทบใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่าย ท่านั่งทำให้เสื้อผ้ายับเล็กน้อย ช่วงอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะการหายใจ
ผมขยี้ตาพลางยันตัวลุกขึ้นนั่ง เก้าอี้ที่ต่อเป็นแถวยาวแทนเตียงนอนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเล็กน้อย เครื่องปรับอากาศทำงานอย่างขะมักเขม้น เดานิสัยเจ้าของร้านได้เลยว่าเป็นพวกทำอะไรแปลก ๆ ไม่เหมือนกับหน้าตา
สถานการณ์นี้มันควรจะหิ้วผมกลับบ้านและตื่นมาอย่างสดชื่นในห้องเจ้าชายขี่ม้าขาวหรือเปล่า
เท้าเปล่าแตะพื้นเย็น ผมกวาดสายตามองหารองเท้าที่ใส่ออกมา แตะเก่า ๆ คู่หนึ่งปรากฏในระยะการมองไม่เห็น ผมจำได้แม่นว่าไม่ได้เป็นคนถอดออก น่าสงสัยว่าจะเป็นคุณเจ้าของร้านที่กลัวสกปรกล่ะไม่ว่า
เมื่อสวมมันเรียบร้อยแล้วก็ย่องเบาเตรียมออกจากร้าน แต่พอเห็นคนฟุบหลับอยู่ก็ยั้งตัวเองไว้ก่อน กลัวว่าจะออกไปเลยคงไม่มีมารยาทเท่าไหร่นัก
ผมเป็นฆาตกรในนิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีชื่อเรื่องว่า ‘ปริศนาซ่อนรัก’ เป็นนิยาย lgbt+ ที่เล่าถึงความรักระหว่างผู้ชายสองคน พระเอกเป็นนักทำขนมที่อยู่ ๆ ก็กลายเป็นฟอร์คกะทันหัน การสูญเสียประสาทการรับรสเป็นปัญหาใหญ่หลวงของคนทำอาหาร แน่นอนว่ามีคนเก่งมากมายที่สามารถจำน้ำหนักมือโดยไม่ต้องพึ่งพาลิ้นได้ แต่สำหรับคนรักการกินก็จะเป็นอีกเรื่อง โดยพระเอกของเราเป็นทั้งนักทำและนักชิม
นิยายเรื่องนี้ค่อนข้างจะเล่ามุมมองฝั่งพระเอกเป็นหลัก 1 ใน 3 ส่วนเป็นเรื่องรันทดก่อนที่พระเอกจะเจอคู่แห่งโชคชะตา กว่าจะรู้ว่าติดแท็กนิยายสืบสวนก็เลยครึ่งเล่มไปแล้ว
ส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบตัวละครนี้เท่าไหร่ในหลาย ๆ ความหมาย
ตัวละครหลักอีกคนก็คือ เวหา หรือหมวดเวหาเป็นเค้กที่ทั้งเท่และเก่ง เป็นตัวละครที่นอกจากจะมีบทบาทเป็นคนรักของพระเอกแล้วยังเป็นคนที่เติมเต็มรสชาติและช่วยดึงพระเอกออกมาจากการใช้ชีวิตอันห่วยแตก เหมือนขนมเค้กกับส้อมที่อยู่เคียงคู่กันบนจานเปล่า มันเป็นพล็อตดาด ๆ ตามสไตล์เค้กเวิร์สหรือนิยายรักทั่วไป และแน่นอนว่าการเจอกันครั้งแรกเป็นฉากเซ็กส์ที่บรรยายไปประมาณ 10 กว่าหน้าได้
เพราะนิยายเรื่องนี้ก็ติดแท็ก 18+ ด้วยยังไงล่ะ!
พอนึกถึงเนื้อหาตอนนั้นแล้ว มือที่เท้าคางบนโต๊ะอยู่ก็สัมผัสอุณหภูมิอุ่นบริเวณใบหน้า
อย่างน้อยการแอบดูก็คงไม่อิหลักอิเหลื่อเท่าการอ่าน ตัวละครที่กลายเป็นคนจริง ๆ มาอยู่ตรงหน้า ถ้าเจอกันก็ไม่รู้จะเอาตาไปมองที่ไหน ก็เล่นซะเขียนละเอียดยิบยันขนาดไอจ้อน ผู้ชมที่นั่งดูติดขอบเวทีอย่างผม หนังโป๊น่ะชิดซ้ายไปได้เลย
อะแฮ่ม
หลังจากนั้นตัวละครภีมก็โผล่มา
ฆาตกรโรคจิตที่เริ่มด้วยการฆ่าแมวจรจัดเป็นการฝึกมือ ต่อมาฆ่าคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย เจ้าของร้านขนม ตำรวจ และน้องสาวพระเอกตามลำดับ
ผมจ้องแอปพลิเคชันติดตามที่เคยใช้หาที่อยู่เมื่อตอนนั้นพลางคิด
จริง ๆ ตอนที่รู้สึกตัวว่ามาอยู่ในโลกนิยายก็เคยเหลือบไปเห็นเส้นทางอีกอันที่มีบันทึกไว้ มันเป็นทุ่งรกร้างทุ่งเดียวกับที่แมวจรถูกฆ่าตายตามเนื้อเรื่อง ตอนนั้นผมน่าจะนึกเอะใจเศษดินที่ติดตรงรองเท้าแล้วเชียว
เดี๋ยวนะ
แปลว่าวันนั้นผมไปฆ่าแมวมาหรอ
หัวใจเกิดเต้นรัวขึ้นเล็กน้อย นิ้วพิมพ์หาข่าวในอินเทอร์เน็ตอ่านให้หายข้องใจ
“ตายหลังจากที่เราเข้าไปในนิยายเรื่องนี้ โถ่เอ๊ย ตกใจหมด นึกว่าจะกลายเป็นฆาตกรไปแล้วจริง ๆ”
ผมบ่นพึมพำออกเสียง
แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้อีกว่าถ้าไม่ใช่ตัวเองแล้วใครกันล่ะที่เป็นคนก่อเรื่องที่ผ่านมา
“ฆาตกร?”
ผมหันไปมองตามเสียงที่เอ่ยขึ้นในความเงียบ หัวฟู ๆ ของอีกฝ่ายยังไม่ถูกจัดให้เรียบร้อย ตาปรือที่ทำท่าจะตื่นแหล่มิตื่นแหล่มองตรงมาที่ผม เสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมด้านบนสองสามเม็ดเผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาข้างใน ดูท่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกายเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงขั้นผอมกะหร่องแบบผม
ก่อนที่เอ่ยจะตอบคำถามกลับ เสียงนาฬิกาข้อมือดิจิตอลก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“อะ ต้องไปทำเค้กแล้ว”
ชายหนุ่มลุกยืนบิดขี้เกียจก่อนเดินย่ำ ๆ ไปด้านหลังเคาน์เตอร์
ผมชะเง้อมองอย่างสนอกสนใจ
นิยายแนวโรแมนติกที่ครึ่งเรื่องก็แล้วยังอยู่แค่ตรง nc บางคนอาจจะนึกเอะใจลึก ๆ ว่าทำไมถึงใส่บทฆาตกรลงมาให้กลายเป็นแนวสืบสวน
ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
เนื่องจากตัวเองเป็นเพียงนักอ่านและถึงความจำจะกลับมาแล้วก็จริง แต่นอกจากเรื่องที่เกี่ยวกับนิยายก็แทบจะนึกอะไรไม่ออกเลย ทั้งชื่อ ที่อยู่ อาชีพในโลกแห่งความจริง เหมือนยังคงถูกล็อกด้วยแม่กุญแจแบบพิเศษที่ไม่มีอะไรมาไขได้
เอาเถอะ พอจะจำได้นิดหน่อยว่าพาร์ทสืบสวนของนิยายเล่มนี้มันเสริมให้เรื่องสนุกมากขึ้น ถึงแม้จะติดอยู่ที่ว่าการเป็นผู้ชมกับผู้เล่นมันจะสนุกไม่เท่ากันก็เถอะ
เสียงวัตถุกระทบแว่วดังเป็นระยะ ผมไม่รู้หรอกว่าการทำเค้กมันต้องทำยังไง ต้องมีความรู้อะไรบ้าง แต่จากที่ดูผ่าน ๆ แล้ว ผมไม่รู้สึกว่าอาชีพนี้มันเหมาะกับตัวเองเอาซะเลย แปลว่าในโลกจริง ๆ ก็คงไม่ได้ประกอบอาชีพทำอาหาร หรือบางทีผมอาจจะเป็นคนฉลาดอย่างคาดไม่ถึงก็ได้ เพราะเนื้อหาที่ต้องจำเพื่อสอบในไม่กี่อาทิตย์ผมก็คิดว่าตัวเองทำได้ดีเลยทีเดียว
เหม่อมองคนที่กำลังเตรียมร้าน สองแขนของเขาขยับอย่างเป็นระบบ ดูท่าจะคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเป็นอย่างดี ผมสูดกลิ่นสตรอว์เบอร์รีที่ลอยแตะปลายจมูกเข้าไปในปอด กลิ่นของผู้ชายคนนั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ตัวประกอบที่กำลังจะตายในไม่ช้า ผมควรจะช่วยเขาหรือปล่อยให้มันเป็นไปตามท้องเรื่องอย่างที่ควรจะเป็น
แต่คิดอีกทีมันจะเป็นไปตามนิยายได้ยังไง ในเมื่อฆาตกรนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
ผมไม่ฆ่าใครหรอก พูดให้ชัดเจนก็คือ ผมยังมีสำนึกหรือความเฉลียวใจที่คนปกติธรรมดาทั่วไปควรจะต้องรู้ ถึงจะเป็นบทบาทของฆาตกร แต่จิตใจก็เป็นของผม ผมยังรู้ตัวว่าตนเองไม่ฝักใฝ่อะไรแบบนั้น ทว่าฆาตกรคนใหม่นี่สิ เอาจริงไหมเนีย ขนาดตัวประกอบยังไม่รอด ต่อไปจะมั่นใจได้ยังไงว่าผมที่เป็นตัวละครเอกจะอยู่รอดปลอดภัยไปตลอดรอดฝั่ง
ไหนจะเรื่องคิวอีก..
“เห้อ”
ผมถอนหายใจขยุ้มหัวตัวเองอย่างติดนิสัย
เช้าอย่างนี้คิดอะไรไม่ออก ขอนอนต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน
ว่าแล้วก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะ ปล่อยสติให้ออกไปท่องเที่ยวในความฝัน
______________________
“ไม่ใช่รัดคอ”
หมวดเวหานวดขมับที่ปวดตุบพึมพำ เขาพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแต่ก็ไม่มีใครสนใจ ไม่รู้ว่าเพราะเขาเป็นเค้กถึงไม่มีใครอยากฟังความเห็นกันหรือเปล่า หากเป็นอย่างนั้นจริงก็น่าเจ็บใจที่คดีสรุปออกมาอย่างชุ่ย ๆ โดยมีเหตุมาจากตัวเขาเอง
“แล้วมันคืออะไร”
ผู้กองสาวยื่นหน้าเข้ามาดูรูปที่นายตำรวจถืออยู่ในมือ สภาพศพที่เธอเคยเห็นของจริงมาแล้วปรากฏในภาพถ่ายคุณภาพสูง “รอยที่คอตรงกับสายไฟที่ยังคล้องเป็นบ่วงอยู่ ถ้าไม่ใช่คนร้ายที่รัดคอแล้วมันหมายความว่าอะไร ยังไงผู้ตายก็รัดคอตัวเองไม่ได้”
เวหาเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่ใช่รัด แต่แขวนต่างหาก”
“ฆ่าตัวตาย?” หญิงสาวหลุบตาคิด “แต่รอยที่คอมันต่ำกว่าที่ควรจะเป็นนะ ปกติมันต้องอยู่ประมาณใต้คางด้านหน้— เดี๋ยวนะ หรือว่า?”
“ใช่ ส่วนใหญ่มันเป็นแบบนั้น รอยของเชือกจะปรากฏผ่านใต้คางเฉียงขึ้นด้านข้างหรือด้านหลังคอโดยเว้นบริเวณใต้ปมห่วง เป็นลักษณะของการแขวนคอฆ่าตัวตายแบบปกติ” ตำรวจหนุ่มชี้ที่รูปอธิบาย “ยกเว้นกรณีที่ตำแหน่งแขวนต่ำแบบการนั่งผูกคอบนเก้าอี้ อย่างนี้ตำแหน่งของรอยจะเกือบขนานกับพื้นหรือบางทีก็ตั้งฉากไปเลย ดูรูปแล้วยังไงก็เข้าข่าย”
“ตอนเข้าไปในที่เกิดเหตุ ผู้ตายถูกแทงเสียชีวิตในท่านอน เพราะแบบนั้นก็เลยคิดว่าเป็นการรัดคอไง”
เวหาผ่อนลมหายใจแรง “ใช่ กรณีนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจอศพในท่าทางไหน ถ้านอนอยู่ก็รัดคอ ถ้านั่งอยู่ก็ฆ่าตัวตาย เรื่องสับสนน่ะไม่แปลกเลย”
“นั้นก็ไม่ใช่ความสะเพร่าน่ะสิ”
“สะเพร่าสิ” หมวดเวลาหมุนเก้าอี้สบตาอีกอีกฝ่าย นิ้วมือชูขึ้นมาตามประโยคที่แทรกขึ้น” หนึ่ง สายไฟที่ใช้รัดคอมีแต่ลายนิ้วมือผู้ตาย สอง สายไฟมีรอยเสียดสีจนขาด ซึ่งน่าจะเกิดจากตอนเอาไปแขวนอะไรสักอย่างแถวนั้นแต่รับน้ำหนักตัวไม่ไหว สาม ไม่มีสัญญาณบ่งบอกการดิ้นรนเอาชีวิตรอด”
“1 กับ 2 ยังพอหาเหตุผลได้ แต่ไม่มีสัญญาณ? ไม่มีรอยเล็บ?”
“ใช่ ไม่มีรอยข่วนเลย”
ผู้กองสาวตาถลน คว้ารูปบนโต๊ะมาพิจารณา
“คุณดูให้ทะลุมันก็ไม่ออกมาหรอก แต่ผมเห็นของจริงมาแล้ว ตรงคอศพมันไม่มีจริง ๆ ฟังจากนิติเวชก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย ผู้ตายเสียชีวิตเนื่องจากถูกมีดแทงโดยไม่ทันขัดขืนด้วยซ้ำ ดังนั้นสายไฟนี่เป็นการฆ่าตัวตายแต่ทำไม่สำเร็จต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงว่าเป็นคดีฆาตกรรมสักหน่อย”
“ใช่ ยังเป็นคดีฆาตกรรมเหมือนเดิม” เวหาดึงรูปจากมืออีกฝ่ายมาเก็บเรียงเข้าที่ “แต่ลูกน้องปลายแถวของคุณสรุปว่าเป็นการฆ่ารัดคอ เหอะ ถ้ามันมีเวลามานั่งรัดคอขนาดนั้น ทำไมเขาถึงไม่ถอดรองเท้าหรือเก็บกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตรงประตูสักหน่อยล่ะ เอาสิ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ว่ายังไง”
รูปถ่ายกล่องเค้กที่บุบกับกระเป๋าที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันสะท้อนนัยน์ตาตำรวจหญิง
เวหาดึงภาพมาเก็บ “แล้วถ้าตัดเรื่องการฆ่าตัวตายออกไป คุณคิดว่ามันแปลกไหมที่คนเพิ่งมาถึงหน้าประตูแบบนี้จะหยิบมีดพุ่งมาแทงน้องชายที่น่าจะนอนบนพื้นเพราะฆ่าตัวตายไม่สำเร็จนะ?”
“ถ้ามันเป็นการจัดฉากล่ะ”
เวหาหัวเราะในลำคอ “จะจัดฉากหรือไม่จัดฉากผมก็กำลังจะไปสืบอยู่แล้ว ไม่เหมือนใครบางคนที่ดีแต่สั่งลูกน้องปลายแถวแต่ตัวเองหนีไปไหนก็ไม่รู้จนการสืบสวนมันออกมาชุ่ยแบบนี้หรอกครับ”
“นี่!” หญิงสาวขึ้นเสียงไม่พอใจ
“ถ้าการเตรียมงานแต่งมันทำให้คุณไม่มีเวลาก็ลาออกไปเลยไม่ดีกว่าหรอครับ”
ผู้กองสาวกำหมัดแน่น บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันตาเห็น น่าแปลกที่คราวนี้คนจริงจังอย่างเวหาเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานก่อน บางทีอาจเป็นเพราะความเครียดสะสมที่ทำให้ปากเจ้ากรรมพลั้งออกไป แม้การตัดพ้อครั้งนี้จะเป็นประโยคที่ล้ำเส้นแต่เจ้าตัวก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ขอโทษอะไรทั้งสิ้นจนอีกฝ่ายเดินหนีลับตา
ตำรวจหนุ่มทุ่มรูปถ่ายจากกองพิสูจน์หลักฐานกระจายเต็มโต๊ะระบายความขี้แพ้ของตัวเอง นานมากแล้วที่เวหาเก็บซ่อนความรู้สึกนี้เอาไว้ เขารู้ดีว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับเธอแต่ก็ยังพยายามทำตัวให้เข้าตา ทว่าทุกอย่างมันมืดบอดเมื่ออีกฝ่ายประกาศว่าจะแต่งงานในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เวหาไม่เคยรู้เลยว่าเธอมีคนรักอยู่แล้วหรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาเลือกที่จะไม่รับรู้เองซะมากกว่าก็ได้
ความเศร้าทำให้ชีวิตตัวเขาเป๋ไปพักหนึ่ง
จนกลับมาตั้งตัวได้เพราะความริษยา
และรำคาญใจกับความขี้แพ้ของตัวเอง
เวหามองรอยกัดที่ข้อมือซ้าย นึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนที่ตัวเองเมาแปล้ในร้านเหล้า
ความเครียดจากเรื่องงาน และความทรมานข้างในทำให้เขาตัดสินใจหิ้วตัวเองไปปลดปล่อยในสถานบันเทิง ในที่แห่งนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาเกลียดฟอร์คอย่างกับอะไรดี แต่กลับนอนแผ่ร้องครวญครางอยู่ใต้ร่างมัน เสื้อผ้าที่ถูกถอดทีละชิ้นเหมือนปลดเปลื้องความทุกข์ที่ถับถมมาเป็นเวลานาน ไหนจะลิ้นสากที่โลมเลียทั่วตัวราวกับจะชำระทุกความรู้สึกให้สลายหายไปอีก
ชายหนุ่มกระชับเสื้อปิดรอยแดงห้อเลือดบริเวณลำคอ
การหลอกตัวเองมันจะทำได้นานขนาดไหนกัน
______________________
แปะ
สัมผัสอุ่นบริเวณหน้าผากทำให้ผมรู้สึกตัว เปลือกตาค่อย ๆ เปิดรับแสงสว่าง ภาพที่พร่าเบลอเริ่มปรากฏชัด ใบหน้าได้รูปเอียงคอมองอยู่ไม่ไกลจากระดับสายตา เดาได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังใช้มือวัดอุณหภูมิ
“ไม่มีไข้แล้ว”
ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ
สันหลังกลับมาเหยียดตรง บิดตัวไล่ความเมื่อยล้าเล็กน้อย ท้องฟ้าข้างนอกสว่างไสว ดวงอาทิตย์เฉียงเกือบตรงหัว คาดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาใกล้เที่ยง
ส่วนร้านนี้เปิดบ่ายโมง
ผมหันมามองเจ้าของร้านที่ยืนนิ่งไม่ไปไหน รอยยิ้มกว้างแบบธุรกิจนั่นกับฝ่ามือที่กำลังแบออกมาทำเอาผมรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกแม้อุณหภูมิในร้านจะประมาณ 25 องศาเซลเซียส
“ครับ?”
ถามแบบไร้เดียงสาพร้อมยิ้มแห้งสู้
“ค่าที่พัก”
มองสีหน้าจริงจังนั่นแล้วก็กะพริบตาปริบ เป็นคนทำอะไรแปลก ๆ แบบที่คิดจริงด้วย
“ไม่ได้หยิบกระเป๋าตังค์มาครับ”
“เอาโทรศัพท์มามัดจำแล้วกลับบ้านไปเอาเงินมา”
ผมอึ้งพลางยิ้มแหยถามต่อ “คุณเอาเท่าไหร่”
“เรทราคาโรงแรม 5 ดาว”
ตอนแรกก็คิดว่าเขาเป็นคนใจดีมาก ๆ ที่ยอมให้คนแปลกหน้านอนในร้านถึงแม้การหิ้วกลับบ้านน่าจะดีกว่าก็ตาม
ใจดีคูณสองที่นอนเป็นเพื่อนอยู่เฝ้าไข้ แม้เหตุผลจริง ๆ อาจจะกลัวผมขโมยของไปก็เถอะ
สรุปแล้วเขาใจดีไหม...แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ไม่น่าเรียกใจดี
ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายทีเล่นหรือทีจริง ประโยคดูยียวนกวนประสาท แต่น้ำเสียงกับแววตาเหมือนกำลังบอกว่า ถ้าไม่จ่ายอย่าหวังจะได้กลับไปครบสามสิบสอง
จะว่าไปเจ้าของร้านขนมถูกฆ่าเพราะอะไรนะ
ภีม เป็นคาแรกเตอร์ที่พูดน้อยและมีโลกส่วนตัวสูง เขาไม่ชอบเป็นจุดรวมสายตาเลยไว้ผมยาวเพื่ออำพรางใบหน้าตัวเอง อาการทางจิตที่เป็นมาตั้งแต่เกิด ในนิยายไม่ได้เฉลยว่าเขาเป็นโรคอะไร เหตุผลการลงมือฆาตกรรมในหนังสือก็ไม่ค่อยกล่าวถึง แต่ในคดีที่ 3 กลับบรรยายไว้อย่างชัดเจน ว่าตัวฆาตกรหลงใหลเจ้าของร้านขนมมาก ๆ
อาจจะเป็นความรักซะด้วยซ้ำ
จำนวนครั้งที่ใช้มีดแทงลงไปบนร่างอีกฝ่าย น้ำตาของเขาก็ไหลออกมามากเท่านั้น ก้อนเนื้อในอกปวดแปลบแบบที่ตัวเองก็นึกไม่ถึงว่ามันเป็นความรู้สึกเจ็บปวด ภีมยังคงจับมีดปักลงซ้ำ ๆ ที่ร่างไร้วิญาณเพื่อระบายความรู้สึกที่ไม่อาจเข้าใจนี้
นั่นเป็นบทบรรยายเท่าที่นึกออก
ตัวละครจิตไม่ปกติที่สร้างขึ้นมาเพื่อความเร้าใจในครึ่งเล่มหลัง ผูกปมให้พระเอกที่วนเวียนอยู่รอบตัวเวหาถูกสงสัยว่าเป็นฆาตกร ส่งผลให้เป็นตัวแปรกระชับความสัมพันธ์ของพวกตัวละครเอกให้กลายเป็นความรักที่แน่นแฟ้น
ผมรั้งผ้ากันเปื้อนอีกฝ่ายไว้พลางเงยหน้าสบแววตาที่กำลังงุนงง
“ผมขอทำงานที่นี่ได้ไหม”
เอ่ยปากตัดสินใจอย่างจริงจัง ไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกไหมในสถานการณ์แบบนี้ ไหน ๆ แล้วผมก็อยากรู้ว่าใครเป็นฆาตกรสวมรอย ถึงจะคิดว่าตัวเองอัจฉริยะแต่ในสมองตอนนี้ไม่มีแผนการล่วงหน้าอะไรหรอก
ก็แค่ถ้าอยู่ใกล้คนคนนี้น่าจะเจอเร็วที่สุด
ถ้าจับตัวได้คิวก็จะรอด
ไหน ๆ ก็เปลี่ยนบทบาทไปแล้ว ผมก็อยากให้นิยายเล่มนี้จบลงด้วยแนวโรแมนติกธรรมดา
ขอแบบธรรมดาที่สุดนะ
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งดังกระทบสม่ำเสมอเมื่อประตูแง้มออก กลิ่นของหวานลอยแตะที่ปลายจมูก ชายหนุ่มผมสีดำสูดมันเข้าไปทดแทนความกระหาย เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะดื่มด่ำกับบรรยากาศเหมือนลูกค้าในที่แห่งนี้ได้
“รับอะไรดีครับ”
ฟอร์คอย่างเขากินอะไรก็ไม่รู้รส แต่ก็ไม่รู้ทำไมขาสองข้างนี้ถึงก้าวเข้ามาในร้านที่ไม่เหมาะกับเขาเอาซะเลย พอพูดอะไรไม่ออกก็กลายเป็นว่ายืนนิ่งเงียบไปหลายนาที
“ผมว่าคุณเหมาะกับสตรอว์เบอร์รีนะ”
ผลไม้สีชมพูค่อนไปทางแดงถูกส่งให้ตรงหน้า ชายหนุ่มสบแววตาที่ราวกับมีดวงดาราโคจรอยู่ในนั้น กลิ่นหวานอมเปรี้ยวลอยผ่านเข้าไปในจมูก
หัวใจเต้นถี่แรงจนน่าสงสัย
tbc
razi; - สตอร์วเบอรีอร่อยนะ
Comments (0)