3 ตอน ซ่อนกลิ่นวิฬาร์
โดย razi;
2
ซ่อนกลิ่นวิฬาร์
ผมค่อนข้างแน่ใจว่าลิ้นเคยรับรู้รสชาติมาก่อน
เตียงนอนยุบลงตามน้ำหนักตัว เหม่อมองไฟบนเพดานนึกย้อนไปถึงบทสนทนาของผู้ชายผมสีทองคนนั้น เป็นไปได้ไหมที่จะกลายพันธุ์เอาตอนนี้ หรือกลายพันธุ์มานานแล้วแต่เพราะความจำเสื่อมกันแน่
ไม่ใช่
ผมจำประเทศไทย จำจังหวัดกรุงเทพมหานคร หรือสิ่งแวดล้อมที่เคยสัมผัสมาก่อนได้ แม้จะนึกภาพให้ชัดเจนไม่ออกแต่ก็รู้ทันทีว่าที่นี่ต่างหากที่แปลกประหลาด
ผมไม่รู้จักโลกใบนี้
เดิมทีทุกคนไม่ได้ถูกแบ่งเป็นฟอร์คหรือเค้ก เราใช้ชีวิตกันปกติ มนุษย์ทุกคนปกติไม่มีทางกลายพันธุ์แบบนี้ได้ ความแฟนตาซีที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริงเห็นทีจะอยู่ในนิยายซะมากกว่า
นิยาย?
“อึก”
อยู่ ๆ ความเจ็บปวดก็แล่นแปลบตรงขมับ ศีรษะเหมือนถูกอะไรบีบจนต้องร้องออกเสียง สองมือขยุ้มเส้นผมหวังผ่อนคลายความเจ็บปวดตามสัญชาตญาณ เหงื่อแตกพลั่กแม้อุณหภูมิภายในห้องเหยียบ 23 องศา หัวใจเต้นระส่ำก้องผ่านรูหู ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมดิ้นพล่านอยู่บนเตียง ในที่สุดดวงตาที่ฉายภาพบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรงก็เริ่มเข้าที่พร้อมกับความเจ็บปวดที่ค่อย ๆ คลายหายไป
“อะไรวะเนีย” ผมหอบตัวโยน แผ่กายบนเตียงที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ทำไมถึงไม่เคยคิดมาก่อนว่าโลกนี้มันอาจจะเป็นโลกในนิยาย ฉันเคยอ่านมันบ้างหรือเปล่—อั่ก ปวดหัวชะมัด ทั้ง ๆ ที่เหมือนจะนึกอะไรออกแล้วแท้ ๆ”
ในเสี้ยวหนึ่งผมเริ่มคิดแล้วว่ามีนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องมายุ่งวุ่นวายกับความทรงจำจริง ๆ
ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเหตุผลที่ผมถูกจับมาทดลองคืออะไรกันล่ะ
“แม่ง”
อยู่ในห้องก็มีแต่จะคิดอะไรไปไกล ออกไปสูดอากาศข้างนอกสักหน่อยอาจจะทำให้ใจเย็นกว่านี้
ประตูห้องปิดลงพร้อมกับเสียงล็อกกุญแจ ขาสองข้างก้าวลงบันไดที่ปูด้วยกระเบื้องสีขาว แมนชั่นหลังนี้ไม่ได้หรูหราอะไรมาก แต่ความใส่ใจในเรื่องความสะอาดทำให้ตึกยังดูใหม่อยู่เสมอ ผมค่อนข้างพอใจที่บริเวณรอบข้างไม่มีเสียงรบกวน ก็คงต้องชมอีกว่าเจ้าของจัดการได้ดีทีเดียว
อากาศเย็นสัมผัสที่หนังกำพร้า ผมเงยหน้ามองดาราที่ส่องแสงอยู่ไหว ๆ คืนนี้ดวงจันทร์เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะได้เห็นเดือนเพ็ญหรือเดือนดับในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ผมผ่อนลมหายใจเฮือกใหญ่ราวกับจะไล่ความกังวลในอกทิ้งไปให้หมด
“เมี๊ยว”
ครั้งนี้ไม่โดนจู่โจม ผมมองสิ่งมีชีวิตตัวขนที่ร้องเรียกอยู่ห่าง ๆ ดวงตาเรียวของมันสว่างวาบราวกับกำลังพินิจพิจารณา ถ้าไม่ได้แสงไฟข้างทาง ขนสีดำทมิฬแบบนั้นคงกลืนหายไปในความมืด
“มานี่มา”
ความสามารถในการเล่นกับแมวเป็นศูนย์ เหมียวน้อยวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
“เห้อ”
เห็นทีจะมีแต่ส้มจิ๋วที่ผมเล่นกับมันได้
“พี่ภีม..”
พูดถึงส้มจิ๋ว เจ้าของส้มจิ๋วก็โผล่มา เด็กสาววัยมัธยมเรียกชื่อผมพร้อมกับใบหน้าที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำตาจนอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามไถ่ “เกิดอะไรขึ้น”
“ส้ม..ส้มจิ๋วหายไป” เสียงสั่นเครือพูดตะกุกตะกักแต่ก็พอเข้าใจได้
“หายไปเมื่อไหร่”
“เมื่อตอนเย็น หึก.. มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะพี่ภีม ปกติถึงจะไปซนที่ไหนแต่แปปเดียวก็กลับ..มาแล้ว ฮือ” ยิ่งพูดก็ยิ่งเขื่อนน้ำตาแตก ทว่าเจ้าตัวก็ยังพยายามอธิบายให้ผมเข้าใจ “หนูเรียกเท่าไหร่มันก็ไม่มา เดินหาตามจุดที่มันน่าจะอยู่แล้วแต่ก็ไม่เจอเลย ส้ม..จิ๋วมันยังเป็นลูกแมวอยู่เลยนะพี่ภีม หนูกลัวหมากัดมัน มันสู้ไม่ได้หรอก..”
“เดี๋ยวมันก็กลับมา”
“ถ้าไม่กลับมาล่ะพี่ ถ้ามันโดนรถชนหรือโดนคนจับไปล่ะ ฮือ.. ช่วงนี้ยิ่งมีข่าวลือว่าแมวแถว ๆ นี้หายไปอีก หนู..กลัว”
เส้นผมยุ่งเหยิง เหงื่อไคลที่ชุ่มเสื้อผ้า ไหนจะเนื้อตัวที่เลอะดินเลอะฝุ่นเพราะเอาแต่มุดที่นู่นที่นี่เพื่อตามหาแมวอีก เด็กคนนี้วิ่งวุ่นมากี่ชั่วโมงแล้ว พ่อแม่เจ้าตัวน่าจะเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ก็พอจะเข้าใจว่าตอนที่สิ่งสำคัญมันหายไปแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยมันน่าอึดอัดใจขนาดไหน
“เดี๋ยวมันก็กลับมา”
ไม่รู้ว่าคราวนี้เป็นประโยคที่หมายถึงแมวหรือความทรงจำของผมกันแน่ เลยพยายามสลัดความคิดในหัวออกไปและเอ่ยคำพูดใหม่ “เดี๋ยวพี่ช่วยหา เก๋กลับไปก่อนนะ ที่บ้านคงเป็นห่วงแย่แล้ว”
“แต่ว่—”
“มันดึกแล้ว ถ้าเก๋เป็นอะไรไปอีกคนจะทำยังไง”
หว่านล้อมอยู่สักพัก เด็กสาวมัธยมก็พยักหน้ายอมกลับไปแต่โดยดี
เก๋เป็นหลานเจ้าของแมนชั่น และไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ บ้านเธอไม่ไกลนักหรอก ข้ามถนนเดินไปสัก 5 นาทีก็ถึงแล้ว แค่มองไกล ๆ ก็พอจะรู้ว่าถึงบ้านปลอดภัยหรือเปล่า
เอาล่ะ ส่วนผมยังคิดไม่ตกว่าจะต้องไปตามหาเจ้าส้มจิ๋วที่ไหน ขนาดเจ้าของไปทุกที่แล้วยังไม่เจอ แล้วคนที่ความจำเสื่อมแบบผมจะไปเจอได้ยังไง คิดแล้วก็อยากตีปากตัวเองที่เสนอตัว แต่ถ้าไม่ทำเด็กสาวก็คงไม่ยอมท่าเดียว เพราะฉะนั้นผมจะนั่งอยู่แถว ๆ แมนชั่นสักพัก เป็นการแสดงออกถึงการมีน้ำใจและเผื่อว่าเด็กตัวขนจะคิดถึงคนแปลกหน้าคนนี้เลยมาหาสักหน่อยล่ะนะ
ก้นหย่อนลงตรงม้านั่งหิน เสียงแมลงยังดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ ถึงแม้จะแปลกใจอยู่นิดหน่อยเพราะแถวนี้ไม่มีสวน แต่ถ้าโลกนี้เป็นนิยายอะไรก็เกิดขึ้นได้
แล้วผมเข้ามาในนิยายเรื่องไหนกัน
ความรู้สึกเหมือนจะจำได้แต่ก็จำไม่ได้มันน่าอึดอัดมากกว่าที่คิด
จะว่าไปแล้วเจ้าของร้านขนมที่เจอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็น่าประทับใจอยู่ ตอนแรกว่าจะเข้าร้านที่แปะป้ายด้วยรูปสตรอว์เบอร์รีใหญ่ ๆ นั่นแต่ดันไปเห็นขึ้นป้ายเซ้งเลยลองถามคนแถวนั้นดู ปรากฏว่าเจ้าของกลายเป็นบ้าไปแล้ว ผมไม่รู้สาเหตุเบื้องลึกเบื้องหลังหรอก แต่ถ้าเป็นเพราะผมแจ้งตำรวจไปก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันนะ
เอาเถอะ แต่กลิ่นของหวานที่ร้านคนผมทองนั่นหอมกว่าเป็นไหน ๆ
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
ชุดเครื่องแบบที่ไม่คุ้นตา แต่ตราที่เด่นตรงหน้าเมื่ออีกฝ่ายโชว์บัตรประจำตัวก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาเป็นตำรวจนั่นเอง
“ไม่มีอะไรครับ เอ่อ ..ผมหาแมวให้น้องสาวอยู่”
ตาไล่สำรวจคนตรงหน้า ชุดตำรวจโลกนี้มันจะเท่ไปไหน เสื้อเชิ้ตสีดำแขนสั้น สายรัดหนังเงาวับเหมือนเอี๊ยมพ่วงเข้าที่เอว กางเกงสีทึบพอดีขาท่าทางใส่สบาย ช่างผิดกับรสนิยมเชย ๆ ของประเทศด้อยพัฒนาที่เคยอยู่
“มีรูปหรือเปล่าครับ”
“ผมไม่ได้พกโทรศัพท์มาน่ะสิ” ยิ้มธุรกิจไปหนึ่ง โทรศัพท์ไม่ได้พกมาจริงแต่ถึงพกมาก็ไม่มีรูปอยู่ดี “ตัวเล็กประมาณฝ่ามือผม อืม..อาจจะใหญ่กว่านิดหน่อย ตัวสีส้ม.. อ้อ ยังเป็นแมวเด็กอยู่ครับ”
“ผมตรวจพื้นที่อยู่แถวนี้ ขอทราบที่อยู่ได้ไหมครับ ถ้าเจอจะติดต่อไป”
“ผมอยู่แมนชั่นนี่แหละ คุณตำรวจเอาเบอร์มือถือไหมครับ น่าจะสะดวกกว่า”
ปกติตำรวจทำแบบนี้กันหรือเปล่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่โลกนิยายอะไรก็เกิดขึ้นได้ล่ะนะ ท่าทางก็ออกจะแข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ ขนาดนั่งอยู่ยังต้องเงยคุยจนแทบคอเคล็ด ถ้าผมยืนก็น่าจะประมาณปลายคางเขาเองมั้ง
“คุณน่าจะกลับห้องดีกว่านะ นั่งข้างนอกเป็นชั่วโมงแบบนี้จะกลายเป็นเป้าให้คนมาทำร้ายได้”
ผมพยักหน้าหงึก ๆ “ก็ว่าจะกลับอยู่พอดีครับ”
ผงกหัวเป็นการล่ำลาแล้วก็เดินขึ้นบันไดแมนชั่น พอนึกครึ้มมองลงมาตรงม้าหินเมื่อกี้ก็เจอเข้ากับสายตาคุณตำรวจตัวใหญ่ที่จ้องผมอย่างไม่วางตา ไม่รู้ว่าขยันทำหน้าที่หรือเคยมีเรื่องแค้นฝังหุ่นกับผมหรือเปล่า
ว่าไปนั่น
ติ๊ง
ไขกุญแจเข้าในห้องก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ทันที รองเท้าผ้าใบที่ยังมีเศษดินแห้งติดอยู่ผมถอดวางไว้บนชั้นวางรองเท้าอย่างเรียบร้อย อากาศในห้องอบอ้าวนิดหน่อยแต่พอเปิดเครื่องปรับอากาศความเย็นก็เข้ามาแทนที่ ในหัววางแผนว่าจะอาบน้ำทำความสะอาดหลังจากที่เจอแต่เรื่องวุ่นวายมาทั้งวัน แต่พอจับโทรศัพท์ก็ทำเอามือแข็งค้างกลางอากาศไปดื้อ ๆ
สายไม่ได้รับ 4 สาย
อีเมลจากมหาวิทยาลัย
และข้อความที่ส่งมาบอกให้ติดต่อกลับด่วน
...
เดี๋ยวนะ
ไม่ใช่คนว่างงานแต่เป็นนักศึกษาหรอกหรอ...
“ชิบหxx”
...
........
...............
“ครับ”
....
“ผมดีขึ้นแล้วครับพ่อ ไม่ต้องห่วง สัปดาห์หน้าก็กลับไปเรียนแล้วครับ”
กริ๊ก
ปาดเหงื่อรอบที่ร้อย
ไม่น่าเชื่อว่านายภัทรบุตรจะติดโปรจนเกือบโดนรีไทร์ ไล่มองเกรด 6 เทอมในเมลที่มหา’ ลัยส่งมาก็หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ถ้าได้เอฟอีกตัวได้โดนเตะตูดออกจากมหา’ ลัยแน่นอนล่ะ ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ยังปรานี ถึงแม้จะโกหกคำโตไปว่าประสบอุบัติเหตุเข้าโรงพยาบาลก็เถอะ อย่างน้อยก็พอถูไถทั้งฝั่งเรียนและฝั่งครอบครัวให้รอดตัวไป
เพราะฉะนั้นจึงต้องไปเรียน และไม่รู้ทำไมมหาวิทยาลัยถึงอยู่ไกลกว่าแมนชั่นนัก นี่เอ็งกะไม่ไปเรียนอยู่แล้วสินะ เวลาว่างมากมายนั่นเอาไปทำอะไร หรือว่านี่คือนิยายโรแมนติกที่ตัวเอกการเรียนไม่เอาแต่รักเรายั่งยืน? โอ้ มาถึงขนาดนี้แล้วถ้าแฟนโผล่มาจะไม่ตกใจเลย
“ภีม เป็นไงบ้าง”
เปิดประตูรับแขกเพราะนึกว่าข้าวที่สั่งมาส่ง แต่หนุ่มหน้ามนผมอันเดอร์คัตสีมิ้นต์นี่มันใคร
“อาจารย์บอกนายเข้าโรงพยาบาล”
“อืม”
“ภีม เราขอโทษที่จะตัดชื่อนายออก ขอโทษจริง ๆ เราไม่รู้เลยว่านายโดนรถจนชนนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน” เสียงใสแจ๋วพุ่งแทรกขึ้นมาจากทางด้านหลัง เด็กสาวผมทองใช้เพื่อนผมมิ้นต์เป็นกำแพงบังตัว
“ลิน”
หนุ่มหน้ามนเรียกชื่อเพื่อนพลางส่ายหน้ารัว ๆ สงสัยไม่อยากให้พูดเรื่องที่นินทาผมกันลับหลัง จริง ๆ ก็พูดตามสบายเถอะ คนที่ไม่ทำงานกลุ่มสมควรโดนตัดชื่อออกอยู่แล้ว แต่ว่าใครรถชนครับ ใบขับขี่หมดอายุยังนอนแผ่ในกระเป๋าไม่ไปต่อตั้งแต่ปีมะโว้ จักรยานสักคันยังไม่มี อาจารย์ไปบอกคนอื่นท่าไหนจากประสบอุบัติเหตุเป็นรถชนครับ แถมนอนเป็นเดือนนี่ออกจะเกินไปหน่อย นายภีมที่เพื่อน ๆ รู้จักอาจจะเล่นสนุกเป็นเดือนมากกว่านะ
“งานกลุ่มนั่นยังเหลืออะไรให้ทำอยู่ไหม”
“จริง ๆ ส่วนหนึ่งที่มาหาก็เพราะเรื่องนี้” หนุ่มหัวมิ้นต์ตอบ เขาลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งแต่ก็เอ่ยปากออกมา “มันก็เหลืออยู่ไม่มาก แต่เราตกลงกันให้นายทำส่วนสุดท้าย แบบนี้โอเคไหม ..คนที่เหลือก็จะช่วยด้วย”
“ยังไงก็ได้”
นายหัวมิ้นท์ทำท่าโล่งอก อะไร นายภัทรบุตรคนนี้มันไม่เอาการเอางานเอาเพื่อนเอาฝูงเลยหรอ ถ้าโลกนี้เป็นนิยายจริง ๆ ก็สมกับเป็นตัวละครในนิยายดี ใช้ชีวิตแบบหมาป่าเดียวดาย แต่วิ่งวุ่นเรื่องรักจนเกือบโดนไล่ออก
ผมตกลงกับคิวและลินเรื่องไปทำงานกลุ่ม พกเสื้อผ้าไปสองสามชุดเผื่ออยู่ยาวค้างคืน สองคนนั้นดูเกร็งไปบ้างบางที แหม มนุษยสัมพันธ์ติดลบแบบผมจะไปพูดอะไรได้ อยากยกนิ้วโป้งสำหรับการพยายามที่จะเข้ามาคุยจริง ๆ พลังล้นเหลือ
แล้วอุตส่าห์มีเพื่อนดี ๆ ขนาดนี้ทำไมไม่ไปเรียน
ผมคิดอยู่ในหัว และเอ็นจอยไปกับคนที่ไม่ได้อยู่ในความทรงจำ กว่าจะรู้คำตอบนั้นก็หลังเกิดเรื่องวุ่นวายไปแล้วถึง 2 คดี
______________________
ครืด ๆ
“...ว่า”
เสียงงัวเงียกรอกใส่โทรศัพท์อย่างเชื่องช้าผิดกับปลายสายที่พูดรัวจนแทบจับใจความไม่ได้ ‘เวหา’ บีบหว่างคิ้วไล่อาการปวดตุบ ๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคขึ้นขัด “ที่ไหน”
[ที่รกร้าง หมู่ 4 ถนนXxxx ใกล้แมนชั่นXxxxX]
“อืม”
ชายหนุ่มโยนโทรศัพท์ทิ้งปล่อยให้อีกฝ่ายตัดสายไปเอง หยิบหนังยางขึ้นมัดเส้นผมสีน้ำตาลที่ยาวระต้นคออย่างลวก ๆ กางเกงยีนสีทึบยังอยู่บนตัว เหลือเพียงหยิบเชิ้ตที่พาดไว้บนเก้าอี้มาสวมก็เรียบร้อย
แน่นอนว่าไม่ลืมบัตรประจำตัว และกุญแจรถ
Kawasaki Ninja H2 วิ่งเรียบไปตามถนน แม้ท้องฟ้าจะเข้าสู่ช่วงสนธยาแล้วแต่เวหายังคงบิดข้อมือเร่งไปให้ถึงที่เกิดเหตุ แรงลมไม่มีผลต่อเขามากนัก และหมวกกันน็อกก็ทำหน้าที่ปกปิดขอบตาคล้ำจากการทำงานไม่เป็นเวลาได้เป็นอย่างดี
“สวัสดีครับหมวด”
“ว่ามา”
เวหาโคลงศีรษะขยับตัวไล่ความเมื่อยล้า ทุ่งรกร้างในสายตาเขาเป็นสถานที่ปกปิดความลับชั้นดี ดวงตาสีดำสนิทมองตามนิ้วที่ลูกน้องชี้ พงดอกซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นหอมหวนแตะที่ปลายจมูกปนมากับกลิ่นสนิมที่รู้สึกได้จาง ๆ
“6 ตัว” ชายหนุ่มทวน “ตรวจสอบบริเวณใกล้ ๆ แล้วหรือยัง”
“ตรวจสอบแล้วครับ บริเวณใกล้เคียงพบเพียงกรงที่คาดว่าน่าจะใช้ขัง จากปฏิกิริยาลูมินอลพบคราบเลือดจำนวนหนึ่งซึ่งสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นของแมว ไม่มีลายนิ้วมือหลงเหลือ และไม่มีวี่แววของซากแมวนอกเหนือจากนี้หรือสัตว์ชนิดอื่นเลยครับ” นายตำรวจยศต่ำกว่าส่งแท็บเล็ตแสดงรูปที่กองพิสูจน์หลักฐานเพิ่งจะถ่ายกันไป ซากแมวตัวน้อยปรากฏขึ้นในสายตา เลือดเกรอะกรังจนบางตัวแทบมองไม่ออกว่าตอนมีชีวิตอยู่หน้าตาเป็นอย่างไร บางตัวส่วนหัวกับส่วนตัวไม่ต่อติด บางตัวโดนผ่าท้องจนเครื่องในทะลัก
แย่ชะมัด
เวหาคิด พลางฟังนายตำรวจอีกคนอธิบาย
“2 ตัวน่าจะตายมาได้ 2 วัน ส่วน 4 ตัวนี้ดูจากสภาพยังไม่เน่าเปื่อยมาก เป็นไปได้ว่าอาจจะตายเมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้ครับ”
“ผมว่าคนร้ายไม่น่ามาทำความสะอาดกรงอยู่แล้ว คงเพราะฝนตกเมื่อเช้าเลยล้างเลือดไป อืม..ทุ่งร้างแบบนี้คงไม่มีกล้องวงจรปิดสินะ”
“ช่าย เกิดคดีที่ไรก็เป็นแบบนี้ทุกทีอย่างกับซีรีส์เลยเนอะ”
เสียงแหลมข้างใบหูทำเอานายตำรวจสะดุ้ง “ผู้กอง”
หางม้าส่ายไปมาตามทิศทางที่ศีรษะหัน เจ้าของใบหน้าสวยคมกำลังหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นปฏิกิริยาของลูกน้องตัวเอง “เด็กน้อยของฉันยังไม่ชินอีกหรอ”
“ผมไม่ชอบ”
หมวดเวหาบอกปัดตัดรำคาญแม้หัวใจจะเต้นระรัว หางตาเหล่มองหญิงสาววัยสามสิบกว่าที่กำลังสวยสะพรั่ง แม้เธอจะแต่งตัวทะมัดทะแมงแต่ก็ยังสามารถดึงดูดสายตาเขาให้มองเป็นระยะ
ทว่าตอนนี้นายตำรวจสืบสวนต้องใส่ใจกับงานตรงหน้าเสียก่อน เสียงตบเท้าดังเป็นจังหวะตามนิสัย เวหามองไปรอบ ๆ พลางคิด “จ่าสองคนตรวจสอบทีว่าแมวพวกนี้มีเจ้าของไหม ผมจะไปดูกล้องวงจรปิดใกล้ ๆ นี่เผื่อได้อะไรเพิ่ม อ้อ.. ฝั่งนู้นมีรถจอดอยู่ ช่วยประสานเรื่องกล้องหน้ารถด้วยเผื่อจะถ่ายติดผู้ต้องสงสัย”
“ครับ!”
วันทยหัตถ์เสร็จก็เดินออกไปทำตามคำสั่ง เวหาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย “หวังว่ามันจะไม่ใช่จุดเริ่มต้นของคดีใหญ่ ๆ นะ”
“ไม่ใช่ซีรีส์สักหน่อย”
“คุณน่ะเงียบไปเลย”
“นี่ จากประสบการณ์สิบปี ฉันว่าก็แค่คนพิเรนทร์ที่ชอบทรมานสัตว์ อาจจะเป็นเด็กมัธยมก็ได้ เห็นไหม แผลพวกนี้อย่างกับมือใหม่หัดทำ รอยตัดก็ไม่เรียบร้อย ไหนจะทิ้งอาวุธไว้ในที่เกิดเหตุอีก ดูก็รู้ไม่ค่อยระมัดระวังตัวเท่าไหร่ ตามกล้องแปปเดียวก็เจอแล้ว” สาวเจ้าพูดแจ้ว แม้ตอนนี้เวลาจะพาตะวันลับขอบฟ้าไป แต่ใบหน้าของตำรวจหญิงก็ยังสะท้อนในแก้วตาของชายหนุ่มอย่างชัดเจน “แมว 6 ตัว ต้องให้เด็กน้อยของฉันออกโรง หึ่ย สารวัตรคิดอะไรของเขาอยู่กันนะ”
เสียงเจื้อยแจ้วดังไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่ตรงมุมปาก
“ฮัลโหล ช่าย ..ไม่มีอะไรแล้ว น่าจะเสร็จเร็ว ๆ นี้แหละ อ่าฮะ โอเค จะรีบกลับค่ะที่รัก”
และรอยยิ้มมุกปากก็หุบลงทันที
“ฝากจัดการต่อด้วยนะ ไหน ๆ ก็เรียกนายมาแล้วก็ต้องใช้ให้คุ้ม”
ตำรวจหนุ่มพยักหน้า มองแผ่นหลังแบบบางที่ค่อย ๆ ไกลออกไป เสียงแมลงยังคงดังแว่วอยู่เป็นเพื่อน ลมเย็นหอบกลิ่นดอกไม้เข้ามาติดที่ปลายจมูก หมวดเวหามองซากแมวที่นอนแผ่ในพงซ่อนกลิ่น ราวกับจะปิดบังคาวเลือดไม่ให้เล็ดลอดออกไป—
เหมือนกับผมที่ซ่อนความรู้สึกนี้ไว้
tbc
ติดโปร : [โปรเบชั่น (probation) หรือ ติดวิทยาทัณฑ์] นักศึกษาที่ได้คะแนนเฉลี่ยสะสม ต่ำกว่า 2.00 จะถูกไล่ออก
(โปรสูง 4เทอมติดด Retired ! / โปรต่ำ 2 เทอมติด Retired!)
razi; - ตั้งใจเรียนกันเถอะนะ
Comments (0)