2 ตอน cakeverse
โดย razi;
1
Cakevers
‘นาย ภัทรบุตร อติมาน’
ผมมองบัตรประชาชนบนมือนิ่ง แม้ใบหน้าที่ถูกเจ้าหน้าที่ถ่ายทีเผลอจะคุ้นหน้าคุ้นตา แต่พอพยายามความหาความทรงจำเกี่ยวกับชื่อนี้กลับเจอแต่สีขาวโพลน
อย่าว่าแต่ชื่อเลย สิ่งแวดล้อมรอบตัวก็ทำเอาปวดขมับตึบ ๆ อากาศเย็นสบายฉาบเข้าผิวหนังแม้โทรศัพท์ขึ้นบอกเดือนเมษา ตึกรามบ้านช่องที่จัดสรรอย่างเป็นระเบียบ ไหนจะทางเท้าเรียบเสมอดูสะอาดตาและต้นไม้เขียวชอุ่มที่เติบโตโดยไม่ตีกับเสาไฟฟ้า
ไม่ นี่ไม่ใช่ประเทศไทยที่ผมรู้จัก
แต่ป้ายโฆษณาหรือป้ายบอกทางรอบ ๆ กลับย้ำว่าเป็นภาษาที่ได้ยินมาตั้งแต่ในท้องแม่ ไหนจะคนที่เดินผ่านไปผ่านมาส่วนมากก็ไม่ใช่ฝรั่งตาน้ำข้าวที่ไหน เอาล่ะ ในใจเริ่มร้อนรน ความทรงจำขาด ๆ หาย ๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครแถมยังไม่รู้ว่ามาโผล่ที่ไหนอีก มือขวายกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ใช้นิ้วสแกนปลดล็อกเพื่อตรวจสอบตำแหน่งตัวเองด้วย GPS
ไม่รู้จัก…
นิ้วโป้งสไลด์จอเปิดแอปใหม่ พิมพ์ ‘กรุงเทพมหานคร’ เมืองเทพสร้างแต่เทพไม่อยู่ลงไปอย่างคล่องมือ อนิจจัง อากู๋ที่รู้ทุกอย่างโบกธงขาวพลิ้วไสวขอยอมแพ้
หลังจากที่ยืนขวางทางคนอื่นค้นหาข้อมูลอยู่นาน สรุปได้ว่าที่นี่เป็นประเทศไทยที่ไม่ได้มีชื่อเรียกว่าไทย ส่วนผมเป็นใครนั้นก็มีแค่บัตรประชาชนในมือเป็นคนตอบ ตอนนี้แม้ข้างในจะเหงื่อแตกพลั่กกับสถานการณ์อะไรก็ไม่รู้ที่ถาโถมเข้ามา แต่แง้มดูกระเป๋าเจอแบงค์เทาหน่อยก็โล่งอก ตังค์ใครไม่รู้แต่เริ่มใจเย็นขึ้นมาอีกนิด
ถ้าลองเดินไปที่ตำแหน่งนี้น่าจะเป็นบ้าน
ผมวิเคราะห์อย่างชาญฉลาด แน่นอนว่าที่ฉลาดเป็นโทรศัพท์เครื่องที่ถืออยู่ จนชักจะแอบสงสัยแล้วว่าการที่มันบันทึกตำแหน่งที่เคยไปทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้เป็นตัวผมที่รอบคอบหรือเพราะใช้ชีวิตได้ห่วยแตกจนต้องพึ่งเทคโนโลยีกันแน่ เอาเถอะ ถ้าดูจากรายชื่อเบอร์โทรศัพท์แล้ว น่าจะเป็นอย่างหลังแบบไม่ต้องสงสัย
ตามทางคนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่นัก ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่งเหมาะแก่การเดินเล่น ก้าวขาไปเรื่อย ๆ ก็เจอร้านขายขนม มีรูปสตรอว์เบอร์รีรูปใหญ่แปะประดับอยู่บนป้าย หัวใจเจ้ากรรมออกแรงเต้นตุบ ๆ ในอกจนต้องหยุดยืน ดูเหมือนผมจะสนใจผลไม้สีชมพูนั่นมาก อาจจะเป็นความชอบโดยส่วนตัวหรือไม่ก็เป็นเรื่องฝังใจในวัยเด็กจนทุกเวลาที่เห็นจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน
ว่าไปนั่น
กรุ๊งกริ๊ง
เสียงกระดิ่งดังตามแรงที่ผมผลักประตูกระจกเข้าไป สายตากวาดมองร้านที่อึนทึม ไม่มีกลิ่นของขนมลอยโชยอย่างที่จะเป็น ลูกค้าคนอื่นก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็น แม้แต่เจ้าของร้านก็ไม่เห็นแม้แต่เงา
“อ๊ากกกกกกกก”
ผมสะดุ้งตัวโยนเมื่อมีเสียงร้องลอยแว่วเข้าใบหู ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระทบของอะไรสักอย่างดังโครมครามเป็นระยะ ๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด จะเข้าไปถามก็ไม่กล้า ยึกยัก ๆ อยู่หลายนาทีก็ตัดสินใจอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า แต่ผมก็โทรแจ้งตำรวจไปเผื่อแล้ว ถ้ามีอะไรก็เดี๋ยวตำรวจก็คงจัดการได้ พอคิดแบบนั้นเลยย่องออกมาเงียบ ๆ มองผลไม้สีชมพูตาละห้อยก่อนจะออกตัวเดินต่อ
จากผู้คนประปรายก็เริ่มเดินกันขวักไขว่ ไม่รู้ทำไมในใจถึงเกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เลยก้มหน้าก้มตารีบเดินออกจากฝูงชน รองเท้าผ้าใบสีเทากระทบพื้นซีเมนต์ดังเป็นจังหวะ เสียดสีก้อนดินแห้งกรังให้หลุดออกทีละนิด แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่าก่อนหน้านี้ผมไปทำอะไรมา แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก พอจะนึกได้รางๆ ก็กลับหายวับไปเสียดื้อ ๆ หงุดหงิดซะจนเร่งฝีเท้าเพิ่มอีกนิด แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอสิ่งมีชีวิตตัวขนกระโจนเกาะขาแน่น
แมวเหมียวขนส้มหน้าตาไม่รับแขก
“ขอโทษค่ะ ๆ”
เสียงใสวิ่งหอบมาหยุดตรงหน้า เด็กสาวผงกหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่ หน้าตามีความลังเลว่าจะกระชากเจ้าตัวน้อยออกจากต้นขาของผมด้วยวิธีไหนดี
“ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา ก้มมองกางเกงยีนที่น่าจะเป็นรูอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องหงุดหงิด สองมือออกแรงแกะสิ่งมีชีวิตที่ติดหนึบ พร้อมส่งให้สาวน้อยที่เป็นเจ้าของ
“แง๊วๆๆ”
“ปกติไม่เป็นอย่างนี้นี่นา” เสียงใสบ่นตำหนิ “ขอโทษนะคะ ปกติน้องไม่กระโจนเข้าหาใครก่อนเล— อ้าว พี่ภีมนี่ หายไปไหนมาตั้งนาน เก๋ติดต่อไม่ได้เลยเนีย ไหนบอกไปแค่ 2-3 วันไง”
ผมกะพริบตาปริบ “..คือ”
“พี่ไม่น่าฝากกุญแจห้องไว้ที่เก๋เลย รู้ไหมว่าไอก้องมันแอบขโมยไปไขนอนเปิดแอร์เย็นฉ่ำในห้องพี่อีกแล้วอ่ะ แถมพาส้มจิ๋วไปด้วย บอกเลยว่าเละ แต่หนูทำความสะอาดให้แล้วพี่ไม่ต้องห่วง แต่ขออย่างหนึ่งพี่ต้องด่ามันนะ คราวนี้อย่าไปยอม เห้อ เด็กอะไรไม่รู้ดื้อด้านชะมัดยาด วันก่อนนู้นก็วิ่งไปกัดน้องแป้ง เก๋กับพี่แบงค์รีบแยกแทบไม่ทัน แถมน้องแป้งร้องไห้งอแงเอาซะป้าบัวยังเอาไม่อยู่ วุ่นวายกันไปหมด พี่ป่านยังโมโหอะคิดดู เพราะมันคนเดียว”
ใจเย็นน้อง..
ชื่อตัวละครโผล่พรวดออกมาเป็นโขยง เด็กสาววัยรุ่นอายุประมาณ 15-16 ปี อุ้มแมวส้มบ่นกระปอดกระแปดมาตลอดทาง จะแทรกก็ไม่มีจังหวะให้ขัด พอจะขัดก็มาถึงหน้าแมนชั่นซะแล้ว
“อะพี่ กุญแจที่ฝากไว้” เด็กสาวยื่นโลหะชิ้นเล็กให้พลางชี้นิ้วสั่ง “ห้ามใจอ่อนให้ไอก้องนะ เอามันหนัก ๆ เลย แต่ก็นะ หนูกับมันก็ไม่ได้แตะข้าวของของพี่ พี่ไม่ต้องกังวลว่าอะไรจะหายไป และคราวหน้าจะออกไปไหนอีกก็ไม่ต้องฝากกุญแจไว้กับเก๋แล้ว มันกี่ครั้งกี่หนที่สุดท้ายไอก้องก็แอบย่องเข้าไปอะ ไม่รู้มันจะติดใจอะไรห้องพี่นักหนา เข้าใจไหมคะ พูดครั้งสุดท้ายแล้ว ไม่-รับ-ฝาก-ค่ะ!”
รัวเป็นปืนกลขนาดนี้ การตอบรับก็เหลือเพียงพยักหน้าอย่างเดียวล่ะนะ
แกร๊ก
แมนชั่นห้องเท่ารูหนู 1 ห้องน้ำ 1 เตียงนอน มีระเบียงเล็ก ๆ พอให้ออกไปยืนรับลม เครื่องปรับอากาศหนึ่งตัวไม่ใหม่มากแต่ก็ไม่ได้เก่าจนเกินไป พื้นเป็นลายไม้สีน้ำตาลดูมีระดับ แถมสะอาดดีตามที่น้องเก๋คนนั้นอวดฝีมือแม่บ้านเอาไว้
“เห้อ”
ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงนุ่ม ความทรงจำยังเป็นสีขาวโพลน แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมตัวผมเองไม่รู้สึกกระวนกระวายให้มากกว่านี้ แน่นอนว่าสิ่งรอบตัวก็ประหลาดไปเสียหมด มันให้ความรู้สึกคุ้นเคยแต่กลับเหมือนไม่เคยมีอยู่จริง
“ที่นี่มันที่ไหนกันแน่”
อาจด้วยความล้าทำให้ผมผล็อยหลับไป
.....
............
โครก
หลับไปได้ไม่เท่าไหร่ กระเพาะก็ลุกขึ้นประท้วง ไฟนีออนในห้องสะท้อนเป็นเงาในดวงตา ระเบียงกับหน้าต่างมีม่านสีทึบกั้นจึงทำให้ไม่รู้ว่าข้างนอกแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วหรือยัง เตียงนุ่มเปลี่ยนเป็นบุ๋มบริเวณก้น ขาสองข้างไขว้กันนั่งขัดสมาธิ มือคว้าโทรศัพท์จิ้มสั่งเดลิเวอร์รี่เพราะความขี้เกียจ
“เห้อ”
ถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่ได้นับ ถ้ามีทุ่งหายใจสักร้อยสองร้อยไร่ก็คงถูกถอนไปจนหมดแล้ว เอาเถอะ ห่อเหี่ยวไปก็ป่วยการ ไหน ๆ ตอนที่รอไก่ทอดมาส่งก็มานั่งเรียบเรียงข้อมูลที่ได้มาก่อนแล้วกัน
ผมน่าจะมีชื่อเล่นว่า ‘ภีม’
อ้างอิงจากน้องเก๋ เด็กมัธยมที่ดูจากบทสนทนาตอนนั้นแล้วเหมือนจะสนิทกับผมในระดับหนึ่ง ระดับที่วางใจฝากกุญแจห้องไว้บ่อย ๆ แถมแอบเข้าไปเล่นในห้องก็ไม่มีวี่แววว่าผมจะโกรธด้วยซ้ำ ถ้าสันนิษฐานจากมนุษย์สัมพันธ์เป็นศูนย์ของนายภีมแล้วล่ะก็ ลูกหรือหลานเจ้าของแมนชั่นคงเป็นบทสรุปที่เข้าท่าอยู่ ส่วนส้มจิ๋วแมวของเธอก็คงขี้อ้อนกับผมเป็นพิเศษ? ดังนั้นสรุปได้ว่าไม่น่าจะแพ้ขนแมว
ต่อไปก็—
ไม่มี
ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ชื่อพี่ป้าน้าอาที่ออกมาจากปากน้องเขานั้นผมแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เรื่องเด็กกัดกันหรือปลอบให้หยุดร้องไห้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผม ส่วนเด็กชายก้องตัวดีตอนนี้ก็คงนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว จะไปลากมาคุยก็ไม่น่าจะได้สารอะไรเพิ่ม
กิ๊งก่อง
“ครับ” ผมครางเสียงตอบในลำคอ หยุดคิดเรื่องในหัวแล้วหันไปสนใจกับการมาเยือน เดาได้ว่าเป็นพนักงานส่งของ เพราะเมื่อสักครู่ส่งแชตมาว่าถึงหน้าแมนชั่นแล้ว
พนักงานมองผมแปลกนิดหน่อยตอนยื่นถุงไก่ทอด ปากขมุบขมิบเหมือนอยากจะถามอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา หรือว่าจะเป็นคนรู้จักอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ทำไมตัวผมถึงได้ผูกมิตรกับคนอื่นไปทั่วทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นเลยแท้ ๆ หรือว่าจะเดาผิดมาตั้งแต่แรก นั้นก็แปลว่าบุคลิกผมเปลี่ยนไปน่ะสิ แบบนี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่แย่สุด ๆ ไปเลย กลายเป็นคนใหม่ทั้งที่จำอะไรไม่ได้จะใช้ชีวิตให้เป็นปกติได้ยังไง
พอจะเป็นฝ่ายถามบ้าง พนักงานส่งของก็วิ่งกลับไปทางเดิมแล้ว เขาน่าจะมีงานต่อ ท่าทางขยันแบบนั้นก็แอบส่งกำลังใจให้สักหน่อย
ไก่ทอดรสเผ็ดกับชานมไข่มุกสูตรหวานน้อย เมนูที่ไม่ได้เข้ากันเท่าไหร่นักแต่ผมกดสั่งไปอย่างไม่ลังเล อย่างน้อยก็ยังเหลือความทรงจำว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร รู้การทำงานของเครื่องอำนวยความสะดวก วิธีการจับช้อนส้อม การพูด อ่าน เขียนก็ปกติดี หรืออีกหลาย ๆ อย่างที่เป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตก็ยังสามารถจดจำได้
เหมือนแค่ใครสักคนตั้งใจลบความทรงจำบางส่วนของผมไป นี่คงไม่ได้อยู่ในโปรเจกต์ของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่บอกว่าโลกภายนอกกำลังเกิดสงครามเลยกักตัวผมมาทดลองเพราะมีผมคนเดียวที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติได้หรอกนะ
ว่าไปนั่น
งั่ม
ความแสบร้อนซ่านไปทั่วลิ้น สมกับเป็นไก่ทอดรสเผ็ดอย่างที่โฆษณา แต่ว่านะ ผมรู้สึกมันไม่มีรสชาติความอร่อยออกมาสักนิด หรือเพราะมันเผ็ดเกินไปจนลิ้นรับรสไม่ได้กันแน่
“ยังกับน้ำเปล่า”
ชานมไข่มุกที่ไม่ใช่ชานมไข่มุก ตอนนี้ผมไม่รู้รสชาติอะไรนอกจากความเผ็ดที่ทำให้ลิ้นห้อยต่องแต่ง แม้จะเดาว่าเพราะแบบนั้นเลยทำให้การรับรู้รสผิดพลาดแต่ที่บอกว่าหวานน้อยมันก็ไม่ควรจะน้อยจนเป็นน้ำเปล่าขนาดนี้ไหม คิดได้ดังนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอป พิมพ์ยิก ๆ ส่งฟีดแบ็กให้ร้านอาหาร เสร็จก็มาจัดการกินต่อแม้ว่ามันจะจืดสนิทแต่ความหิวมีมากกว่าจะนั่งเลือกกิน
หนังท้องตึกหนังตาก็หย่อน ผมผล็อยหลับบนเตียงโดยที่ไม่ได้เช็กข้อความที่ร้านส่งกลับมา
| Xxx : สวัสดีค่ะ ทางร้านรับทราบเรื่องและขออภัยสำหรับข้อผิดพลาด ทั้งนี้ทางร้านขออนุญาตตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งนะคะ แอ็กเคานต์ของทางฝั่งลูกค้ายังเขียนอยู่ชัดเจนว่าเป็น “ฟอร์ค” ไม่ทราบว่าลูกค้าทานเองหรือเปล่าคะ – 21.01 น.
______________________
“ดูก็รู้ว่าเป็นฟอร์ค แล้วยังมาคอมเพลนร้านอีก หนูอะโคตรงงเลยพี่” หญิงสาวกลอกตากอดอกบ่น “แถมตอบกลับมาเป็นเครื่องหมายคำถาม พี่จะให้หนูพิมพ์ไปว่าอะไรคะ ทำอย่างกับคนไม่รู้ว่าฟอร์คคืออะไร หลุดมาจากโรงพยาบาลไหนหรือคิดจะก่อกวนกันอะ”
“ใจเย็น”
“นี่เย็นสุดแล้วนะพี่เนม ทำงานก็เหนื่อยตายแล้วยังจะเจอลูกค้าน่ารำคาญอี—เอ้า ลดให้อีกแล้ว ได้กำไรมั่งไหนเนีย”
ชายหนุ่มคู่สนทนาฉีกยิ้ม “กินเยอะ ๆ จะได้ไม่ต้องบ่น แล้วก็ห่วงตัวเองก่อนเถอะ แวะมาแบบนี้เดี๋ยวพี่จิวก็มาหาเรื่องพี่อีก รับมือกับเจ้านายเธอมันน่าปวดหัวมากกว่า”
“อ๋า ก็หล่ออย่างนี้พี่จิวเลยตามตื๊อตามเต๊าะไง” เด็กสาวหัวเราะ “เปิดตัวแฟนสักทีดิ รายนั้นจะได้เลิกมาวอแว หนูจะได้ไม่ถูกบังคับให้เป็นกามเทพด้วย”
“ไม่อยากเป็นกามเทพเพราะดันชอบเขาแทนใช่ไหมล่ะ”
“แย่ ๆ ไปดีกว่า”
เนมมองเด็กสาวอย่างเอ็นดู “เดินไปที่ร้านดี ๆ ล่ะ ช่วงนี้มีข่าว ‘เค้ก’ ถูกทำร้ายเยอะ ระวังหน่อย ตอนกลับบ้านก็ให้พี่จิวไปส่ง อย่าหึง อย่างอนไม่เข้าเรื่องนะขิม”
“จะบ้าหรอ” เจ้าของชื่อฟึดฟัด เดินย่ำติดตลกไปตรงประตูแต่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จะว่าไปแถวบ้านหนูเหมือนแมวจะหายไป 2-3 ตัว ไม่รู้ว่าติดสัดหรือคนเล่นพิเรนทร์นะ แต่แมวของเพื่อนมันทำหมันแล้วก็หายไปเฉย ๆ จนถึงวันนี้ก็ยังร้องไห้อยู่เลย หนูก็พลอยรู้สึกไม่ดีไปด้วย”
“ไม่มีอะไรหรอก”
ปลอบอีกสองสามคำ เด็กสาวก็ยอมออกจากร้านไปโดยดี เนมโคลงศีรษะไล่ความเมื่อยล้า ตอนนี้เวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบหกนาที อีกไม่นานจะได้เวลาปิดร้านแล้ว การเปิดร้านเล็ก ๆ และมีพนักงานคนเดียวเป็นอะไรที่เหนื่อยกว่าที่คิดมาก แต่ความเคยชินและห่วงคุณภาพของขนมจึงไม่อยากจ้างใครก็ไม่รู้มาช่วย
“เค้กกับฟอร์คหรอ” เสียงพึมพำลอยปนกับกลิ่นหวานที่ตลบอบอวนไปทั่วร้าน
เริ่มมาสักพักแล้วที่มนุษย์เกิดการกลายพันธุ์ ช่างน่าเหลือเชื่อราวกับนิยายแฟนตาซี แน่นอนว่าอะไรใหม่ ๆ ก็ต้องสร้างความเดือดร้อนไม่มากก็น้อย กว่าความวุ่นวายจะสงบก็ตอนที่โรคประหลาดนี้แพร่ไปทั่วโลกหลังจากนั้น 2 ปี ปัจจุบันก็เข้าสู่ปีที่ 6 แล้ว
รัฐบาลโลกที่ทำงานกันอย่างล่าช้าออกมาประกาศแบ่งผู้คนออกเป็น 3 กลุ่มท่ามกลางเสียงก่นด่าของประชาชน เดิมทีกลุ่ม ‘ฟอร์ค’ กับกลุ่ม ‘เค้ก’ มีจำนวนน้อยกว่ากลุ่ม ‘ปกติ’ แต่เพราะรัฐบาลโลกไร้ความสามารถทำให้กลุ่ม ‘ปกติ’ กลายเป็นกลุ่มที่มีจำนวนน้อยที่สุด และในปัจจุบันเหลือเพียงไม่ถึง 1000 คนจากทั่วโลก ทำนายได้เลยว่าในอีกไม่กี่ปีจะเหลือเพียงประชากรกลุ่ม ‘ฟอร์ค’ และกลุ่ม ‘เค้ก’ เท่านั้น
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
แน่นอนว่าสำหรับคนที่ไม่เดือดร้อน
ฟอร์ค จะสูญเสียประสาทการรับรสจนหมดสิ้น ส่วน เค้ก จะกลายเป็นรสชาติที่เติมเต็มให้กับฟอร์ค ฟังเผิน ๆ ช่างดูแสนโรแมนติก การตามหารสชาติของชีวิต ความพิเศษที่เข้าคู่กันเหมือนส้อมที่ไว้ตักชิมเค้กที่หอมหวาน ปลายลิ้นชุ่มที่ลากไล้ไปตามผิวสัมผัสของเค้ก อีโรติกแบบที่ใครก็อยากฝันถึง เหมาะสมกับการเป็นฉากหน้าในทุ่งลาเวนเดอร์
ส่วนเบื้องหลังก็คือ อัตราการเป็นโรคซึมเศร้าจนนำไปสู่การฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำโดยประชากรกลุ่มฟอร์คที่เดินเข้าหาจิตแพทย์จนงานล้นมือ ส่วนกลุ่มเค้กก็ไม่น้อยหน้า อัตราการเป็นเหยื่ออาชญากรรมในส่วนคดีกินคนก็สูสีไม่เป็นรองใคร
ต่างคนต่างเจ็บปวด…
เนมมองเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลข 11 เขาไล่ความคิดที่ไม่เป็นเรื่องออกจากหัว อวัยวะในอกที่เต้นระส่ำค่อย ๆ กลับเข้าจังหวะ สองเท้าก้าวออก ขยับตัวใช้สองมือเก็บของเพื่อเตรียมปิดร้าน ชีวิตประจำวันของเนมไม่มีอะไรมาก ตื่นเช้ามาทำเค้ก เตรียมเปิดร้าน ทำงานจนถึงค่ำ มีเวลาให้ตัวเองสองสามชั่วโมงก่อนจะเข้านอน พอตื่นเช้ามาก็วนใหม่ เป็นวัฏจักรที่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าใจแต่อย่างใด ซ้ำยังพอใจมากเสียด้วยซ้ำ
จนกระทั่งผู้ชายคนนั้นก้าวเข้ามาในร้าน
กรุ๊งกริ๊ง
“ปิดแล้วนะครับคุณลูกค้า” เนมผงกศีรษะยกยิ้มทักทายแบบธุรกิจ
“ขอเค้กสตรอว์เบอร์รีให้ผมได้ไหมครับ อ่า..ถ้าไม่มีเอาแค่สตรอว์เบอร์รีก็ได้ครับ”
เนมคิ้วขมวดมองชายหนุ่มที่ท่าทางเหนื่อยหอบ
“นะ.. ครับ”
ดูท่าทางจะไล่ออกไปยาก เจ้าของร้านเสยผมสีทองขึ้นอย่างจนใจ “เค้กหมดแล้วแต่ถ้าแค่สตรอว์เบอร์รีอย่างเดียวน่าจะมี คุณลูกค้านั่งก่อนก็ได้ครับ”
จะปิดร้านแล้วแต่ก็ยังต้องควานหาผลไม้แปะหน้าเค้ก เนมรู้สึกหงุดหงิดอยู่พอตัว แต่จะทำไงได้ ชายหนุ่มที่ดูน่าจะอ่อนกว่าเขา 5-6 ปีกำลังหน้าซีดหน้าเซียวตื่นตระหนกจากสาเหตุอะไรบางอย่าง เห็นแบบนี้แล้วไม่ช่วยก็คงเสียชื่อเทวดารูปหล่อแห่งย่านร้านค้าแห่งนี้แน่
จานใบเล็กมีผลไม้สีชมพูวางระเกะระกะอยู่ 3 ลูก เนมวางเบา ๆ ตรงหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญพร้อมกับแก้วใบเล็กสีขาวใส่ชาอุ่น ๆ เจ้าของร้านยิ้มพอใจกับการรับแขก ผงชาจากร้านจิวที่น้องขิมให้มาเป็นประโยชน์ในตอนนี้มาก จากนั้นชายหนุ่มก็เดินไปตรงประตูกระจก กลับป้ายจาก open เป็น closed เสร็จสิ้นภารกิจเก็บหน้าร้าน
เงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานอยู่ เนมเท้าคางที่เคาน์เตอร์มองลูกค้าที่จ้องสตรอวร์เบอร์รี่ 3 ลูกอย่างไม่วางตา เข็มยาวชี้ไปที่เลข 2 แล้ว การกลับบ้านช้าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยเท่าไหร่นัก จะให้เขารอคนประหลาดแบบนั้นที่ไม่รู้จะกลับไปตอนไหนก็ยังไงอยู่ แต่จะให้ไล่ลูกค้าออกก็ดูจะเสียมารยาทเกินไป
และแล้วชายคนนั้นก็หยิบผลไม้เปรี้ยวสีชมพูใส่ปาก หนึ่งลูก สองลูก และสามลูกตามมาติด ๆ
“ท่าจะชอบเอามากหรือไม่ก็—”
ประโยคพึมพำกับตัวเองหยุดค้างเอาไว้ ก่อนเจ้าของร่างสูงโปร่งจะเดินดุ่ม ๆ ทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “เป็นฟอร์คหรอ”
มือที่กำลังวางแก้วน้ำชะงัก
“ชานั่น” นิ้วยาวชี้ที่จุดหมาย “ผมใส่เกลือไปตั้งครึ่งช้อน”
พรวด
“แค่ก ๆ”
“ล้อเล่น” ยิ่งเห็นปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม ริมฝีปากที่เม้มกั้นเสียงหัวเราะก็ไม่สามารถยั้งได้ตามที่ใจอยาก เนมกระแอมไอกลบเกลื่อน ก่อนจะเลื่อนกล่องทิชชูบนโต๊ะให้
“ไม่เห็นจำเป็นต้องเก๊กเลย ทำอย่างกับหลุดออกมาตอนยุคล่าฟอร์ค ถึงปัจจุบันก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า bully อยู่ก็เถอะนะ แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป ไม่มีใครรุมปาก้อนหินใส่คุณหรอก สบายใจเถอะ”
เนมฉีกยิ้มอย่างเป็นมิตร พลางสำรวจใบหน้าเล็กที่ก้มมองโต๊ะอยู่ เส้นผมสีดำสนิทบดบังใบหน้าบางส่วนจนมองเห็นไม่ถนัดไล่ลงมาก็เจอกับมือเรียวที่กอบกุมแก้วไม่ยอมปล่อย เจ้าของร้านฉายาเทวดารูปหล่อแห่งย่านร้านค้าไม่เข้าใจกับพฤติกรรมนี้จริง ๆ
“หรือเพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นฟอร์ค?”
ถามมั่ว ๆ แต่คู่สนทนาเหมือนจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ
เนมกอดอกพิงเก้าอี้คิด “แปลว่าเคยเป็นกลุ่มปกติแต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นฟอร์ค? อืม..การกลายพันธุ์เหมือนจะหยุดไปนานแล้ว ทำไมถึงมีเคสแบบนี้อยู่ หรือผมควรส่งคุณให้รัฐบาลดี”
“...”
พูดติดตลกแต่อีกฝ่ายไม่ตลกด้วย เจ้าของร้านผมทองยิ้มแห้งพลางเหล่มองเข็มยาวที่ชี้เลยเลข 5 ไปนิดหน่อย แสงไฟจากร้านอื่นเริ่มดับลงทีละร้าน เนมได้แต่มองตาละห้อย
“ขอโทษที่รบกวนนะครับ”
ลูกค้าตัวป่วนวางเงินไว้ข้างแก้วน้ำ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นและเดินออกไปจากร้านทันที
“เออ นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป” เนมเท้าคางบนโต๊ะ มองธนบัตรใบเขียว 1 ใบด้วยความงุนงง “เด็กนั่นมันหยิบแบงค์ผิดใบหรือเปล่า ยี่สิบนี่ได้แค่เศษชาเองนะ”
....
“เห้อ ช่างมัน ทำหน้าทำตาเหมือนโลกจะล่มสลายทันทีแบบนั้นจะยกประโยชน์ให้จำเลยก็ได้”
tbc
razi; - ตัวละครเยอะจังเลย @-@
Comments (0)