4 ตอน บุหงาลักสร้อย (1)
โดย razi;
TW : Sexual harassment การล่วงละเมิดทางเพศ
3
บุหงาลักสร้อย* (1)
เช้าวันนี้ในชั่วโมงเร่งด่วน ปลากระป๋องรูปรถไฟฟ้าก็ยังวิ่งแล่นตามปกติ เด็กชายคนหนึ่งเบียดเสียดผู้คนเพื่อตามหาพื้นที่ว่างดี ๆ ทรงตัวยืนโหน เสื้อสีขาวปักตัวย่อด้วยไหมสีน้ำเงินใครเห็นก็รู้ว่าเป็นเด็กนักเรียน ท่อนล่างเป็นกางเกงสีดำยาวถึงเข่ารัดด้วยเข็มขัดหนังตรงตามกฎระเบียบ เด็กชายมองรองเท้าผ้าใบที่ผูกเชือกอย่างเรียบร้อยด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
นาฬิกาข้อมือดิจิตอลบอกเวลา 7 : 32
“ขอโทษครับ”
คนด้านหลังเอ่ยปากขอโทษเมื่อเซมาชนเบา ๆ ตามแรงเฉื่อยของรถไฟฟ้า ‘เค’ พยักหน้ารับและหันกลับไปแบบไม่ได้สนใจอะไร พอปล่อยคนเข้าออกประมาณ 1 นาที ประตูก็ปิดและรถก็เคลื่อนขบวนเพื่อมุ่งไปยังสถานีหน้า
7 : 34 มีอะไรบางอย่างเบียดเสียดตรงสะโพก แต่เพราะสภาพที่มันแน่นเป็นปลากระป๋อง เคจึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร
7 : 37 อะไรบางอย่างยังคงอยู่ที่เดิม พร้อมกับหัวใจที่เต้นสั่นเมื่อพบชายกลางคนกำลังฉีกยิ้มอยู่ด้านหลัง
7 : 38 เคกอบกุมมือที่สั่นของตัวเอง ลมหายใจติดขัด เหงื่อแตกพลั่กจนเสื้อนักเรียนสีขาวเปียกชุ่ม
7 : 41 ลิ้นสากเลียสัมผัสที่หลังต้นคอ ราวกับกำลังลิ้มรสลูกอมหวาน เด็กหนุ่มตัวแข็งตาเบิกโพลง น้ำใสคลอเคล้าที่เบ้าตา
7 : 42 เคตัดสินใจก้าวขาที่สั่นเทาวิ่งออกจากขบวนรถทันทีที่ประตูเปิด
‘หวานจัง’
คำพูดน่าขนลุกขนพองทำเอาอาหารเช้าตีย้อนขึ้นที่คอหอยก่อนจะสำรอกออกมาแทบจะหมดท้องตรงหน้าลานสถานี ชุดนักเรียนเปื้อนอ้วกเล็กน้อย เด็กหนุ่มนั่งร้องไห้ท่ามกลางคนพลุกพล่านอย่างไม่อาย ความรู้สึกน่าขยะแขยงยังคงพันอยู่รอบตัวแม้ชายคนนั้นจะไม่ตามลงมา
พี่สาวคนหนึ่งยื่นทิชชูให้ตรงหน้า รอยยิ้มของเธอทำให้เครับมันเอาไว้ คุณปู่ท่าทางที่เดินก็ไม่ค่อยแข็งแรงนักแต่ก็นั่งยอง ๆ หยิบขวดน้ำขึ้นบิดฝาพลางพูดติดตลกว่า ‘ของใหม่ ๆ ฉันยังไม่ได้กิน’
เพราะอย่างนั้นเด็กหนุ่มจึงค่อย ๆ ใจเย็นลง และตามนายสถานีไปห้องพยาบาล
มันเกิดเรื่องทำนองแบบนี้มาตลอด ตั้งแต่ที่ผลตรวจออกมายืนยันว่าเขาเป็น ‘เค้ก’
6 ปีที่แล้ว เคเป็นเพียงเด็กมัธยมต้น เป็นเด็กที่แม้โลกเปลี่ยนไปก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวเท่าไหร่นัก วันหนึ่งในระหว่างที่ไปค้างคืนบ้านเพื่อนสนิท พี่สาวที่เคยเห็นหน้าค่าตาอยู่บ่อยครั้งก็เข้ามาจูบแบบไม่ทันตั้งตัวตอนกลางดึก ปากพร่ำเพ้อแต่รสชาติหวานหอม ลิ้มลองอย่างรุนแรงโดยไม่ใส่ใจสีหน้าของผู้ถูกกระทำ
นั่นเป็นครั้งแรกที่เครู้สึกหวาดกลัว
ตั้งแต่นั้นก็มีครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ตามมาติด ๆ
‘อืม..’
เสียงครางพึงพอใจของเธอดังผ่านลำคอ อวัยวะตรงหว่างขากำลังเคลื่อนไหวอยู่ในปากอิ่ม ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นกระตุก น้ำขาวขุ่นปล่อยออกมาตามกลไกของร่างกาย สาวเจ้ากลืนลงไปพร้อมเอ่ยปากชม
‘หวานจัง’
….
ฝันร้ายที่เขาไม่อยากนึกถึง
เคนั่งคุดคู้พิงอยู่ข้างเตียง ใช้สองมือโอบตัวขดเป็นดักแด้ แม้อุณหภูมิจะทำเหงื่อแตกไหลหยดพื้น แต่เขาก็ไม่พึงจะคลายร่างกายให้อยู่ในท่าสบายกว่านี้
นึกว่าจะไม่โดนแล้ว นึกว่าจะได้ชีวิตแบบไม่ต้องกลัวอะไร แต่พอใช้ชีวิตแบบไม่หวาดระแวง ผลลัพธ์กลับกลายเป็นแบบเดิมทุกที ไม่ว่าจะไปที่ไหน ไปกับใคร ก็ต้องแปะป้ายเตือนตัวเองว่าให้ระวังตัว หกปีแล้วที่เด็กหนุ่มไม่เคยใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อึดอัดอยู่ในอกจะไปบอกใครก็ไม่กล้า เก็บงำเอาไว้แม้แต่พี่ชายคนเดียวก็ไม่รู้
ต้องแต่งตัวแบบไหนถึงจะไม่โดนฟอร์คเข้ามาเลีย
ต้องทำตัวยังไงฟอร์คถึงจะไม่แตะต้อง
ถ้าใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว กลบกลิ่นหวาน ๆ ด้วยน้ำหอม ทำตัวมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออก ทำแบบนี้แล้วฟอร์คจะมองว่าเขาไม่ใช่เหยื่อหรือเปล่า
ไม่หรอก
เครู้แก่ใจตัวเองอยู่แล้ว
น้ำตาสีใสล้นออกจากดวงตา เสียงร้องไห้ระงมดังทั่วห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ หลังมือพยายามปาดความชื้นที่อาบสองข้างแก้ม ชุดนักเรียนยังคงสวมอยู่บนตัว เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า แม้ตำรวจจะเข้ามาพูดอะไรด้วย ทว่าการนิ่งเงียบของเค อีกฝ่ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากพามาส่งที่บ้าน การโดดเรียนแบบไม่ตั้งใจมักจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนอาจารย์ไม่ทวงถามอะไร นั่นจึงเป็นอีกสาเหตุให้เด็กหนุ่มเลือกจะไม่บอกใคร ถึงแม้ว่าการบอกไปจะไม่ช่วยอะไรก็ตาม
[ไม่ได้ไปโรงเรียนหรอ?]
พี่ชายคนเดียวโทรมาถามไถ่ ตอนแรกเคว่าจะไม่กดรับแล้ว แต่ร่างกายกลับทำตรงกันข้าม
“รู้ได้ไง”
[รู้แล้วกัน]
ยิ่งฟังเสียงก็ยิ่งอยากเล่าทุกอย่างออกไป แต่ก็ยั้งไว้เพราะคำนึงถึงสถานการณ์ของอีกฝั่ง
“พี่อ่านหนังสือไปเถอะ”
[ฉันมันอัจฉริยะ]
แอบหัวเราะในลำคอเบา ๆ เสียงทุ้มต่ำของปลายสายทำให้เคสบายใจมากขึ้น ถ้าไม่ใช่เพราะบ้านหลังนี้ไกลจากมหาวิทยาลัย เราสองพี่น้องก็คงไม่ต้องแยกกันอยู่แบบนี้
“...”
[เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?]
อยู่ ๆ คำถามก็แทรกดังขึ้นมา เคเงียบไปสักพักก่อจะบอกปัด “ไม่.. ไม่มีอะไร”
[…]
[กินหมูกระทะกันไหม เดี๋ยววันนี้พี่กลับบ้าน]
“อืม”
ตอบสั้น ๆ ก่อนจะกดวางสาย รอยยิ้มปรากฏขึ้นท่ามกลางใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา มนตร์วิเศษของพี่ชายคงจะได้ผลแล้ว ตอนนี้เคเลยรู้สึกดีขึ้นมาก ขนาดที่รีบออกจากบ้านเพื่อไปซื้อวัตถุดิบตั้งโต๊ะตามที่อีกฝ่ายชวน
โดยไม่รู้เลยว่าสัญญานั่นมันจะไม่เกิดขึ้น
______________________
พรึ่บ
...
พรึ่บ
“อึก”
“ภ..ม ภี.. ภีม”
เฮือก
“เป็นอะไรไป ค่อย ๆ หายใจ”
เสียงใครบางคนเรียกดังใกล้ใบหู ลมหายใจหอบถี่เหงื่อแตกพลั่ก สีเขียวมิ้นต์เข้ามาในระยะการมองเห็น ผมกะพริบตาปรับภาพที่พร่าเบลอให้คมชัด พบว่าคิวกำลังเขย่าตัวผมด้วยใบหน้าตื่นตกใจ
“ไม่..เป็นไร โอเคแล้ว”
“กินยาไหม”
ผมขยุ้มผมตัวเองพลางใช้อีกมือโบกปฏิเสธ อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
อาทิตย์ที่สามผ่านไปไวเหมือนโกหกกับการมาค้างคืนห้องเพื่อน แน่นอนว่างานกลุ่มเสร็จสิ้นไปนานแล้ว เวลาที่เหลือเป็นการปรับตัวของผมโดยมีคิวเป็นเลขานุการจัดแจงให้คนเกือบติดโปรตามการเรียนก่อนช่วงมรสุมสอบไฟนอลให้ทัน
“เมื่อกี้ได้เปิดชีตอ่านหรือเปล่า”
“ก็เปิดนะ ที่ลินสรุปมาให้ นายก็รีบเข้าไปดูเถอะ เดี๋ยวไฟล์หมดอายุไปก่อน”
หมายถึงเสียงพลิกกระดาษต่างหาก ผมนวดขมับที่ปวดตุบ ๆ ตั้งแต่เมื่อกี้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด ช่วงนี้ฝันแต่เรื่องแปลก ๆ ซะจนสะดุ้งตื่นแทบทุกคืน ทั้งที่ครั้งนี้มั่นใจว่าไม่ได้ฝันแล้วแท้ ๆ เพราะได้ยินแต่เสียง ดังมากเสียจนคิดว่าใครมาแกล้งอยู่ข้างหู แต่พอหันไปคาดคั้นจะเอาคำตอบ ก็สบกับนัยน์ตาไร้ซึ่งความโป้ปดนั่น ผมจะทำไงได้นอกจากยอมละทิ้งความสนใจเสียงเจ้าปัญหานั่นไป
คิวเป็นผู้ชายที่หน้าตาดี ผมสีมิ้นต์และมีรอยสักผีเสื้อสวย ๆ ที่ฝ่ามือ รูปลักษณ์ตัวเล็ก ความสูงน้อยกว่าผมนิดหน่อยแต่หุ่นค่อนข้างหนาเพราะชอบออกกำลังกาย เขาเป็นคนไม่พูดมาก นิสัยค่อนข้างดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น อาจเป็นเพราะตัวเองมีน้องชายล่ะมั้งเลยดูแลคนอื่นเหมือนเป็นน้องชายไปด้วย
ใช่ หมายถึงผมนั่นแหละ
เลขานุการที่จ้ำจี้จ้ำไชให้คนความจำเสื่อมเรียนหนังสือภายใน 1 อาทิตย์ และลงคอร์สเตรียมสอบไฟนอลอีก 1 อาทิตย์ ผมวิ่งวุ่นหัวฟูทั้งทำงาน (ที่คนอื่นมีเวลา 1 เทอมแต่ผมมีเวลา 1 วัน) ทั้งสอบ (ที่คนอื่นเรียน 1 เทอมแต่ก็มาวันไนท์มิราเคิลเหมือนกัน) วันเวลาที่ผ่านมาทุกทรมานยากจะเอื้อนเอ่ย ในที่สุดพรุ่งนี้ก็เป็นการสอบตัวสุดท้ายสักที
แน่นอนว่าวิชาที่ผ่านมาเน้นเขียนตอบไม่เน้นถูกต้อง
“จะกลับบ้านหรอ”
ผมกวาดตามองในห้องที่สะอาดสะอ้านและเจอกระเป๋าเดินทาง 1 ใบวางอยู่ตรงประตู
“พรุ่งนี้มันสอบแบบโอเพ่นบุ๊กส่งเป็นไฟล์ กลับบ้านวันนี้ก็ไม่เสียหายอะไร” คิวพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบคางพลางพยักหน้าหงึก ๆ “แถมอยู่คนเดียวน่าจะมีสมาธิมากกว่าด้วย”
“เชิญครับ” ผมผายมือไปทางประตูทีเล่นทีจริง “ก่อนไปรบกวนโอนห้องนี้เป็นทรัพย์สินของนายภัทรบุตร อติมานด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
“ไอบ้า”
ผมขำกลิ้ง
สามอาทิตย์ทำให้ผมมีเบอร์โทรศัพท์ของคิวและลินอยู่ในรายชื่อติดต่อ เด็กสาวผมทองมีกลุ่มของตัวเองอยู่แล้วจึงไม่ได้เจอกันบ่อยนักแต่การพูดคุยก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทว่ากับคิวเราเข้ากันได้ดีกว่ามาก นอกเหนือจากความเป็นผู้ชายก็คงเป็น ‘ฟอร์ค’ เหมือนกันล่ะมั้ง
เพราะเข้าใจความเจ็บปวดของการสูญเสียรสชาติดี
มันไม่ง่ายเลยสำหรับผมที่จู่ ๆ อาจจะเมื่อวานด้วยซ้ำที่ยังกินอาหารได้อย่างเอร็ดอร่อย ยังจำรสหวานที่ติดอยู่ตรงปลาย หรือรสขมพร่าตรงโคนลิ้น
ผมเลยรู้สึกดีขึ้นเมื่อมีเพื่อนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
แน่นอนว่า ‘เค้ก’ ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอย่างที่ผมเคยอิจฉา
ที่ลินไม่ค่อยสุงสิงกับเราทั้งคู่สาเหตุอาจเป็นเพราะเธอเป็นเค้ก เด็กสาวมักจะอยู่กับกลุ่มเค้กเป็นประจำ ไปไหนก็ไปด้วยกัน ยกตามกันไปเป็นขบวน แรก ๆ ผมมองว่ามันน่าหงุดหงิด แต่คิวแย้งว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะลินหรือเค้กคนอื่น ๆ มีประสบการณ์โดนคุกคามไปจนทำร้ายร่างกายมาแล้วอย่างต่ำคนละหนึ่งครั้ง
ฟอร์คบางคนมองเค้กเป็นขนมที่คอยเติมเต็มประสาทสัมผัสของลิ้น
ฟังมาจนถึงตรงนี้ผมก็หายใจไม่ทั่วท้อง
‘ยุคล่าฟอร์ค’ คำศัพท์ที่เคยได้ยินจากปากเจ้าของร้านขนมผมสีทอง ผมเพิ่งจะมาเข้าใจตอนนี้ว่าทำไมฟอร์คถึงเป็นตัวปัญหา ทำไมเขาถึงใส่ใจกับการปกปิดตัวตนของผม ณ ตอนนั้น
กลิ่นหอมหวานจะติดตัวเค้กทุกคน แต่ต่างคนต่างมีกลิ่นและรสชาติแตกต่างออกไป บ้างเป็นวานิลา บ้างเป็นช็อกโกแลต ส่วนกลิ่นสตรอว์เบอร์รีที่ลอยแตะจมูกในร้านของคนผมทองทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ทันจะได้สั่งอะไรก็คงเพราะเจ้าของร้านเป็นเค้กที่มีกลิ่นสตรอว์เบอร์รีนั่นเอง
น้องชายของคิวก็เป็นเค้ก อายุห่างกันไม่มากนัก เพราะความคุ้นเคยดีเจ้าตัวเลยถือโอกาสอธิบายความเจ็บปวดของฝ่ายนั้นให้ผมเข้าใจได้กระจ่างขึ้น ผมเคยปากเสียหลุดถามไปว่า ‘นายเคยอยากกินน้องตัวเองไหม’ ยังไม่ทันจบคำว่าไหม คิวก็มองผมด้วยหางตาเหมือนกับกำลังมองขยะเปียก รู้สึกผิดแทบไม่ทันจนต้องก้มขอโทษเป็นร้อย ๆ ที
คิวบอกว่าฟอร์คที่คุกคามคนอื่นเป็นแค่ขยะที่รีไซเคิลไม่ได้
ถ้าเปรียบแบบเห็นภาพ หากให้เค้กเป็นลูกอมแท่งหนึ่ง เป็นลูกอมหวานที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมี แต่มันอยู่ในมือของคนอื่น คิวถามว่าผมอยากจะแย่งมากินไหม
แน่นอนว่าไม่
คิวอธิบายว่าเพราะมันไม่ใช่ของที่สมควรกินตั้งแต่แรก ดังนั้นความสัมพันธ์ของเขากับน้องชายก็มีเพียงบทบาทของพี่ชายและน้องชาย แม้จะหวานจนน้ำลายสอ แต่ของที่ไม่สมควรกินก็คือไม่สมควรกิน ทว่าโลกนี้มันมีคนบ้าที่รั้นจะกินให้ได้ บทสรุปจึงกลายเป็นเค้กทุกคนต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง
ผมพยักหน้า
“พยักหน้าทำไม ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย” คิวขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น สายตามองเหมือนผมกำลังใช้ตะเกียบคีบน้ำเปล่า
“แค่นึกอะไรอยู่ในหัว ช่างเถอะ” ผมบอกปัด “ถ้านายกลับฉันก็คงกลับด้วย นอนเอกเขนกในห้องโดยที่เจ้าของไม่อยู่ก็แปลก ๆ ไปหน่อย”
“บ้านอยู่ละแวกเดียวกันก็ว่าจะชวนกลับอยู่แล้ว”
“อ่อ”
พลั่ก
ฝ่ามือหนาตีเข้าที่กลางหลังผมแบบไม่ทันตั้งตัว ศีรษะหันขวับรีบมองตัวต้นเหตุที่ยิ้มตาหยีอยู่ข้าง ๆ
“ทำหน้าจ๋อยเหมือนจะไม่ได้เจอกันแล้ว ไม่คิดเลยนะว่าคนที่เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใครจนฉันก็แอบกลัวบรรยากาศแบบนั้นจะกลายเป็นคนติดเพื่อนได้ด้วย”
“ก็ฉันไม่ใช่ภีมไง”
“พูดแบบนี้อีกแล้ว อย่ามาตลกหน่อยเลย” คิวหัวเราะพลางตบหลังผมไปพลาง
ถึงจะเหนื่อยใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร ตรงกันข้าม ตอนนี้กลับสบายใจเหมือนกำลังพักเบรก บรรยากาศเอย ความสัมพันธ์เอย ถ้านี่เป็นโลกในนิยายจริง คงอยู่ในช่วงที่ไทม์ไลน์ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว หรือไม่ก็เป็นช่วงที่ให้ผูกพันกับตัวละครก่อนจะปล่อยระเบิดตู้มให้นักอ่านเสียน้ำตาเล่น
ว่าไปนั่น
นิยายรักที่ก็ไม่รู้ว่าผมเป็นตัวละครของเอกหรือเปล่าจะไปมีเรื่องแบบนั้นได้ยัง
แต่ถ้าเป็นตัวประกอบก็ไม่แน่ นักเขียนมักใจร้ายกับพวกตัวประกอบทุกคน ทั้งเรื่องชื่อที่ตั้งแบบลวก ๆ ภูมิหลังเจ้าปัญหาหรือจุดจบที่พูดถึงแค่บรรทัดเดียวจากทั้งเล่ม น่าสงสารหน่อยก็เปิดมาเป็นศพแล้วในนิยายสืบสวน
น่าสงสารจริง ๆ
ถามว่าผมรู้ได้ยังไง
นั่นสิ รู้ได้ยังไงนะ ...
ช่างเถอะ ถ้าไม่อยู่ในนิยายสืบสวนผมก็ไม่กลัวอะไรแล้วว่าจะเป็นตัวละครเอกหรือแค่ตัวประกอบฉาก
สองสหายกระเตงสัมภาระเตรียมการบ้าน การโบกแท็กซี่โดยหารครึ่งกับเพื่อนนั้นดีไปอีกแบบ ผมลงคนแรกเพราะอะพาร์ตเมนต์ของคิวต้องขับต่อไปอีกหน่อย เราแยกกันตอนที่พระอาทิตย์กำลังลาขอบฟ้า นาฬิกาดิจิตอลในโทรศัพท์บอกเวลาสิบแปดนาฬิกา กระเป๋าเป้สีดำกดไหล่ผมตามน้ำหนัก ลมเย็นพัดโชยจนเส้นผมยุ่งเหยิง ผมจับให้มันเข้าที่พลางคิดว่าความยาวของมันออกจะเกะกะตาอยู่ไม่ใช่น้อย
ก่อนสองขาจะก้าวเข้าตึกก็พบเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งยอง ๆ ขีดเขียนเล่นอะไรสักอย่างบนพื้น ตอนแรกก็ว่าจะไม่สนใจแล้ว แต่ใบหน้าที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อนก็สั่งให้สมองทำในสิ่งตรงกันข้าม
“ก้อง?”
เด็กน้อยเงยหน้ามองตาแป๋ว เขายืนขึ้น มือเปื้อนดินยังคงจับกิ่งไม้แห้งที่ใช้เล่นไม่ห่างตัว สองขาป้อมเดินมาหยุดตรงหน้าผู้ใหญ่อย่างผม
“เอ่อ.. เจอส้มจิ๋วหรือยัง” ไม่รู้จะชวนคุยอะไร เลยยกเรื่องที่ค้างคาเมื่อครึ่งเดือนก่อนมาถาม แน่นอนว่าผมเป็นห่วงแมวเหมียว เพราะตั้งแต่นั้นก็ไม่มีสายเข้าจากคุณตำรวจตัวใหญ่คนนั้นเลย
เด็กชายก้องส่ายศีรษะ ใบหน้าฉายแววเศร้า
“ส้มจิ๋วไม่กลับมาแล้ว คุณแม่บอกแบบนั้น” ดวงตาไร้เดียงสามาพร้อมกับคำพูดไร้เดียงสา “ตอนกลางคืนมีคุณตำรวจมาที่บ้าน พูดอะไรกันก็ไม่รู้ แต่พี่เก๋น่าจะเข้าใจ พี่เก๋ร้องไห้ทั้งคืนจนก้องนอนไม่ได้เลย ..ส้มจิ๋วไปทำอะไรมานะถึงโดนตำรวจจับ” ประโยคหลังพึมพำเบา ๆ เหมือนพูดกับตัวเอง
“อ่า”
“แต่ ๆ ตอนนี้พี่เก๋ยิ้มแล้วนะ เพราะก้องไปเล่นด้วย”
ผมลูบหัวเอ็นดูเด็กที่ยิ้มกว้างจนโหนกแก้มดันให้ตาเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ “ดีแล้ว”
“แล้วพี่เป็นใครหรอครับ?”
มือชะงักค้างกลางอากาศ ผมหน้าเจื่อนไปนิดแต่ก็ตอบคำถามไป “พี่ภีมไง คนที่ก้องแอบไปเล่นในห้องตอนที่พี่ไม่อยู่”
“ไม่ใช่นะ”
“...”
“ผมเห็น”
“เห็น?”
เด็กน้อยพยักหน้าช้า ๆ “พี่ภีมฆ่าแมวพวกนั้นกับมือ แต่พี่ไม่ใช่พี่ภีมนะ พี่เป็นใครอะ”
เฮือก
ฝันแปลก ๆ อีกแล้ว..
ผมหอบหายใจถี่บนเตียง เหงื่อผุดตามผิวหนังเล็กน้อยก่อนจะโดนความเย็นพัดจนแห้ง ฝ่ามือจับกุมหัวใจที่กำลังเต้นระรัว ใบหน้าของก้องในความฝันนิ่งสนิทไม่สมกับที่เป็นเด็กซุกซนทำเอาขนลุกขนพองไม่ใช่น้อย
ที่จริงบทสนทนาหยุดตั้งแต่ที่ผมลูบศีรษะของเขาและเดินไขกุญแจเข้าห้องมา ตั้งใจว่าจะนอนเล่นพักผ่อนแล้วค่อยไปหาอะไรกินแต่ก็หลับไปเสียดื้อ ๆ ในฝันที่ถูกตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึกนั่นทำเอาผมรู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย
ผีหลอก ผีอำ ผีตากผ้าอ้อม?
ผมถอนหายใจ จะหลับต่อก็ไม่กล้า จะออกไปข้างนอกก็มืดแล้ว ลังเลอยู่ไม่กี่นาทีก็ตัดสินใจคลุมโปงนอนต่อ ข้าวเย็นที่กินยังไงก็ไม่มีรสชาติสู้ไปเจอผียังน่าสนุกมากกว่า
นิยายโรแมนติกมันไม่น่าเล่นมุกซ้ำสองรอบหรอก
คิดว่านะ
tbc
ลักสร้อย (กลอน) ก. แอบร้องไห้.
razi; - แต่ตุ้งแช่มี 3 จังหวะนะภีม..
Comments (0)