Chapter 4 Ice cold like my drink

“ถอดใจดีไหมวะ” ผมถามขณะกระพริบตาปริบๆมองแก้วในมือ วินาทีนี้ไม่มีอารมณ์จะดื่มมันเลยสักนิด

ยิ่งเพื่อนตัวดีและแฝดคนพี่พูดแซว ก็ยิ่งทำให้ผมเหงื่อตกมากไปกว่าเดิม

“อย่าพึ่งถอยง่ายๆดิ เทียร่าที่กูรู้จักไม่ใจเสาะแบบนี้นะ”

“เออ ยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงวะ”

“ก็มาร์เกซไม่อยากมีแฟน” ผมแย้งหน้ามุ่ย อาการตอนนี้เหมือนจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์พ่อหนุ่มสุดฮอตคนนี้มาก...ซึ่งก็ไม่เถียง

เพราะผมเจอคนที่ตรงสเป็คตัวเองแทบทุกอย่างครั้งแรกเลยนะ ไม่อยากให้เขาหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาจริงๆ

“คือถ้าเป็นคนอื่นกูก็คิดว่าคงยากที่จะเปลี่ยนใจคนอย่างมันได้ แต่พอเป็นมึงปุ๊ป แม่งรู้สึกเหมือนจะทำได้ยังไงไม่รู้” แบงค์ทำหน้าครุ่นคิดขณะพูด คิ้วหนาขมวดมุ่นก่อนเจจะกล่าวเสริม

“คิดเหมือนกูเลยไอ้แบงค์ นี่น้องเทียร์เลยนะเว้ย”

“ดังนั้นเธอห้ามถอดใจ” สามเสียงเห็นพ้องต้องกันจนไม่รู้จะตอบกลับอะไรออกไป

“แล้วถ้าคุยๆกันไปแล้วเขาตอบกลับมาว่าไม่อยากมีแฟนล่ะ”

“เธอก็ตอบกลับไปเลยว่าไม่ได้อยากเป็นแฟน”

“...”

“อยากเป็นเมีย”

“....”

อา...เทียน่าไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ

.

 

.

13:57 น.

หลังจากฟังคำแนะนำที่แสนจะหฤหรรษจบพวกเราก็คุยเรื่องอื่นกันต่อจนถึงเช้า

ก่อนจะงีบคนละสามสี่ชั่วโมงแล้วแต่งตัวมามหาลัยเพื่อเข้าชมรมในช่วงบ่ายตามที่อาจารย์ได้นัดไว้

ที่นั่งสี่ตัวที่อยู่ริมสุดของห้องประชุมใหญ่เป็นที่ประจำที่พวกเรานั่งกันตลอด นักศึกษาในชมรมเริ่มทยอยกันเข้ามาเมื่ออีกนิดจะถึงเวลาเริ่มคาบ

ผมฟุบหน้าลงโต๊ะเพื่อนอนอย่างไม่ต้องสงสัย

“เทียน่ารอผมนานหรือเปล่าครับ”

“ไม่นะ ฉันพึ่งมาถึงเมื่อกี๊นี่เอง” เสียงสนทนาจากคนที่นั่งข้างๆดังแว่วข้างหูเป็นระยะ ตัวเองจึงเปลี่ยนจากการก้มหน้าเป็นเอนศีรษะซบไหล่อุ่นของพี่เทียนแทนเพราะสบายตัวกว่า

“ไหนเธอบอกคาบนี้จะไม่นอน”

“ก็ฉันง่วง”

“ขี้เซาชะมัด”

“...”

ทำไงได้ เมื่อเช้านอนไปนิดเดียวเองนี่

อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องเริ่มพูดใส่ไมค์เมื่อถึงเวลาบ่ายสองเป็นที่เรียบร้อย

เสียงพูดคุยภายในห้องเงียบสงัดลง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ผมยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมองแต่อย่างใด

จากที่ฟังคร่าวๆก็ไม่มีอะไรมากนอกจากพูดเรื่องรายละเอียดชมรมที่ต่างก็รู้ๆกันอยู่แล้ว

แล้วก็จะให้นักศึกษาคนใหม่มาแนะนำตัวแค่นั้น รู้อย่างงี้ผมกลับไปนอนต่อที่บ้านดีกว่า

 

เผลอผล็อยหลับอย่างจริงจังไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาได้และตั้งใจฟังอีกครั้งเมื่อหัวข้อการพูดคุยเปลี่ยนเป็นเรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ตัวเองอยากรู้ตั้งแต่เมื่อวาน

“เชิญนักศึกษามาแนะนำตัวที่หน้าห้องได้เลยค่ะ”

เสียงปรบมือดังทั่วทั้งห้องประชุมเมื่ออาจารย์พูดจบ ผมยังปิดเปลือกตาอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่นานก็มีมือใครสักคนมาสะกิดที่ไหล่

“เชี่ย”

“โอ้โหกูอึ้ง”

“ไอ้เทียร์ มึงตื่นขึ้นมาดูหน้านักเรียนแลกเปลี่ยนจากแบล็คฟลาวเดี๋ยวนี้เลย” ร่างทั้งร่างสั่นไหวจากแรงสะกิดจนต้องขมวดคิ้วมุ่น ผมยู่ปากขึ้นอยางขัดใจก่อนจะปฏิเสธ

“ไม่เอา”

“ถ้ามึงเห็นกูฟันธงว่าหายง่วงแน่นอนเพื่อน”

“จริงสัด”

“ตื่นขึ้นมาดูเซอร์ไพรส์ใหญ่หน่อยสิ”

ให้ตาย ปลุกพร้อมกันขนาดนี้คงหลับไม่ลงแล้วล่ะ

ผมยอมเปิดเปลือกตาขึ้นในที่สุดพร้อมหันมองคนปลุกที่ทำหน้าตื่นตระหนกกันแทบทุกคนจนรู้สึกงุนงงขึ้นมา

นักศึกษาคนอื่นๆเองก็เช่นกัน แทบทุกสายตาต่างจดจ้องไปยังเวทีที่อยู่หน้าห้องประชุมกันทุกคน ตัวเองถึงได้หันมองตามอย่างสงสัย

กลางเวทีมีอาจารย์และนักศึกษาแลกเปลี่ยนคนใหม่ยืนอยู่

และฉับพลันที่หันเหสายตามองหน้านักศึกษาคนนั้นชัดๆถึงได้ตกตะลึงขึ้นมาทันที

“แนะนำตัวได้เลยค่ะ”

“สวัสดีครับ ผมมาร์เกซ คณะวิศวกรรมยานยนต์ปีสาม จากมหาลัยแบล็คฟลาวเวอร์”

“...”

“…”

เมื่อแนะนำตัวจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมากกว่าเดิมจนเซ็งแซ่

ผมนิ่งค้างไปกับอากาศโดยอัตโนมัติ ตกใจไม่ต่างจากคนอื่นๆเท่าไหร่นักเพราะเหมือนมาร์เกซจะเป็นที่รู้จักกันดีในมหาลัยทั้งสองอยู่แล้ว

มีแค่ผมนี่แหละมั้งที่พึ่งจะรู้จักเขาเมื่อไม่นานมานี้

“อาไทม์ใบ้ถูกจริงๆด้วย” เทียน่าพูดขึ้นในความเงียบ

“ไม่นึกว่าจะเป็นมันนะเนี่ย” แบงค์กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่เคยเห็นมาร์เกซพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง

“เธอยังง่วงอยู่หรือเปล่า” ร่างเล็กหันมาถามยียวน ผมส่ายหน้าไม่คิดปฏิเสธ อาการตกใจยังฉายชัดบนแววตา

“ให้ตายก็หลับไม่ลง”

ยิ่งกว่ามีคนเอาน้ำสาดใส่ตัวอีกตอนนี้

มั่นใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยว่าหลังจากนี้เขาต้องตัวติดกับมาร์ติเนซแน่ๆ เพราะอยู่คณะเดียวกัน

นั่นหมายถึงผมจะได้เจอเขาง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าเดิมไปอีก

“...”

เชี่ยเอ๊ย พูดไม่ออกเลย

“บังเอิญเกินไปแล้วมั้ง” แบงค์แซวขณะที่ฝ่ายนั้นเดินมาหาพร้อมนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่าง เจ้าตัวยักไหล่

“ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้มา”

“แต่ก็ดีแล้วเพราะกูจะได้ไม่ต้องไปหามึงที่สนามแข่งบ่อยๆ”

“มึงจะแลกเปลี่ยนที่นี่จนจบเทอมเลยหรือเปล่า” มาร์ติเนซหันไปถามเพื่อนคนสนิท

เพราะถ้าจำไม่ผิด นักศึกษาจะสามารถเลือกระยะเวลาในการมาแลกเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง

“ตอนแรกก็ว่าจะไม่...” น้ำเสียงฟังดูทีเล่นทีจริงขณะพูด

ผมลอบส่งสายตามองเขาเพราะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังจ้องมองกันอยู่ ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ

เรียวปากหนากระตุกยิ้มเพียงเสี้ยววินาทีให้กันก่อนจะกล่าวต่อ

“แต่ตอนนี้...รู้สึกอยากอยู่ที่นี่จนจบเทอมยังไงไม่รู้”

“...” เขาเหมือนจะพูดนิ่งๆ

แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเผลอคิดไปไกลจนใจสั่น

ตาคมเปล่งประกายวาววับจนแทบละสายตาออกห่างไม่ได้ เขาคลี่ยิ้มส่งมาให้โดยที่คนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น

และผมก็ใจกล้าพอที่จะส่งยิ้มสวยกลับไปให้เช่นกัน

ไม่ได้ชวนเขาคุยเหมือนที่เพื่อนคนอื่นๆทำ เพราะเวลานี้รู้สึกอยากเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า

อา...แต่น่าภาคภูมิใจตรงไหนรู้ไหม

ทั้งๆที่ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ สายตาคมกริบคู่นั้นดันมองกันไม่ลดละผละห่าง

ยิ่งผมทำเป็นไม่สนใจ เขาก็ยิ่งสนใจกัน

ยิ่งผมไม่หันไปมอง เขาก็ยิ่งจ้องมองราวอยากให้มองกลับ

“หึๆ”

เห็นท่าทีแบบนี้แล้ว...กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรถอดใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มยังไงไม่รู้

จริงอยู่ที่ฟังดูยาก แต่ถ้าเขาอยากเล่นด้วยมันก็คงไม่เกินความสามารถตัวเองเท่าไหร่หรือเปล่า นี่เทียร่าทั้งคนเลยนะ

ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาก็ไม่รู้ ต้องขอบคุณคำแนะนำจากทั้งสองเพื่อนและอีกหนึ่งแฝดเลยที่ทำผมฮึดขึ้นมากขนาดนี้

“มึงจะกลับเลยไหม” แบงค์ถามขณะที่เราทุกคนเดินออกมาจากห้องประชุมในเวลาเกือบสี่โมงเย็น

คนถูกถามส่ายหน้า

“ต้องไปหาอาจารย์ที่ตึกวิศวะ”

“งั้นก็ให้ไอ้เทียร์พาไปดิ มันคุ้นทางนั้นพอดี” หันขวับทันทีเมื่อจู่ๆก็ถูกพาดพิงถึง เพราะควรเป็นติณณ์หรือเปล่าที่คุ้นตึกนั้นมากกว่าผม

ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ได้ทักท้วงอะไรจนต้องยอมตกปากรับคำไป

“เอาสิ” ยังไงก็ไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว

“เดี๋ยวกูรอที่หน้ามอ”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปส่งเอง” หันหาคนพูดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ปฏิเสธ เพื่อนที่เหลือก็เดินจากไปกันหมดแล้ว เทียน่าเองก็ด้วย

ให้ตาย กะจะเอาให้ผมแย้งไม่ได้เลย

“ตามมาสิ” กอดอกบอกเขาอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินนำไปยังตึกวิศวะที่หมาย

“นายไม่เห็นบอกฉันเลยว่าจะได้มาเรียนที่นี่” ย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อนที่ไปดื่มด้วยกัน มาร์เกซไม่เห็นจะพูดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด ทั้งๆ ที่เราก็คุยกันสัพเพเหระไปตั้งหลายเรื่อง

“เพราะกูก็ไม่คิดว่ามึงจะอยู่ชมรมนี้เหมือนกันเลยไม่ได้บอก” ร่างหนาสาวเท้าขนาบข้างจนไหล่ชนกันเป็นระยะ

และเพราะเดินด้วยกันแค่สองต่อสองจึงทำให้คนอื่นๆที่ผ่านมาเห็นส่งสายตามองมาอย่างแปลกใจแทบทุกคน

อย่างที่บอกไปนั่นแหละว่าไม่มีใครไม่รู้จักมาร์เกซ คงจะแปลกใจกันที่เห็นเขากำลังเดินในท่วงท่าที่ดูสนิทสนมกับผมในเวลานี้ได้

“เดี๋ยวฉันรอที่ใต้ตึก”

“อืม” รับคำเสร็จมาร์เกซก็เดินขึ้นอาคารไป ผมนั่งแหมะลงบนม้านั่งพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นระหว่างรอ

อ้อ ใช่ วันนี้ผมมีนัดไปร้านเครื่องประดับด้วยนี่นา

(ว่าไงน้องเทียร์)

“วันนี้พี่บอมบ์เปิดร้านไหมครับ”

(เปิดนะ เราจะมากี่โมง)

“สักห้าโมงเย็น”

(โอเคเดี๋ยวพี่รอ)

“ได้เลยครับ” วางสายเสร็จก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าดังเดิม ไม่รู้เคยบอกไหมแต่ว่าเป็นร้านของพี่ชายแบงค์เอง

ของในร้านพี่บอมบ์ก็จำพวกสร้อยหรือไม่ก็กำไลที่ทำจากเงินหรือทอง ผมไปค่อนข้างบ่อยเลย นับๆดูก็เกือบทุกอาทิตย์ได้

และไม่นานนักมาร์เกซก็เดินกลับมา เขานำผมไปที่ลานจอดรถที่มีรถคันคุ้นตาจอดอยู่

“นายช่วยไปส่งฉันที่ร้านเครื่องประดับหน่อยได้ไหม”

“ร้านใคร”

“พี่บอมบ์ รู้จักหรือเปล่า” หันถามขณะคาดเข็มขัด เมื่อร่างหนาพยักหน้าผมจึงส่งยิ้มขอบคุณไปให้

“จะไปซื้ออะไร”

“กำไลข้อเท้า”

“ชอบหรอ”

“อื้อ เป็นอวัยวะส่วนที่สามสิบสามของฉันเลย” วันไหนที่ออกจากบ้านโดยไม่ได้ใส่กำไลข้อเท้าก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป จนตอนนี้กลับกลายเป็นว่าติดใส่ตลอดเวลาเสียอย่างนั้น

“จะเดินดูด้วยกันไหม”

“อืม กูว่างพอดี”

หืม? วันนี้ผมมีเพื่อนเดินด้วยแล้ว ในรอบเดือนเลยนะเนี่ยถ้าไม่นับรวมที่มากับเทียน่าครั้งก่อน

เราสองคนเดินเข้ามาในร้านในเวลาห้าโมงเย็นเป๊ะๆ มีลูกค้าเพียงไม่กี่คน และพี่บอมบ์ที่นั่งรออยู่บนโซฟาตัวหรู

ฉับพลันที่มองเห็นผมก็ส่งยิ้มทักทายกันอย่างรวดเร็ว

“พี่เตรียมนี่ไว้ให้เราด้วย”

“ขอบคุณครับ” รับแก้วน้ำผลไม้ปั่นมาดูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่เทียร์มากับมันหรอ” พี่บอมบ์หันมองมาร์เกซที่เดินมาหยุดยืนข้างๆ

“อืม มีปัญหาอะไร” และก็เป็นมาร์เกซที่ตอบกลับมาดกวน

“ถามเฉยๆสัด เห็นปกติน้องเทียร์มาแต่กับเทียน่า”

“พอดีพี่เทียนกลับกับติณณ์ไปแล้วน่ะครับ” ผมตอบตัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ก่อนจะขอตัวเดินมาโซนกำไลข้อเท้าเพื่อหาลายที่ตัวเองชอบ

“อยากได้แบบไหน”

“กำไลเงิน จี้ไม่ต้องใหญ่มากก็ได้” บอกมาร์เกซขณะกวาดสายตามองหาอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ตอนนี้ได้ใส่อยู่หรือเปล่า”

“อื้อ ทำไมหรอ”

“อยากเห็น”

“งั้นก็ขยับมานี่สิ” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กตรงมุมร้าน อีกฝ่ายย่อเข่าลงต่อหน้าเพื่อมองกัน

ผมจึงทำการถกชายกางเกงที่สวมอยู่ขึ้นจนปรากฏให้เห็นข้อเท้าด้านขวาขาวผ่องที่ถูกโอบล้อมด้วยกำไลสีเงินและรอยสักเล็กๆบนนั้น

“จี้งู”

“ใช่ พึ่งลองใส่ครั้งแรกเลย” มันสวยใช่ย่อยเลย แต่น่าเสียดายอยู่อย่างที่วันนี้ผมใส่กางเกงขายาวจึงทำให้ไม่มีคนเห็นเท่าไหร่นัก มาร์เกซเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้

“…”

“มีอะไรหรือเปล่า” เห็นท่าทีที่นิ่งไปจึงอดที่จะถามไม่ได้

ตาคมจ้องมองกำไลและรอยสักสลับกันก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูด

“เทียร่า”

“ว่าไง” มาร์เกซไม่ตอบ

เขาขยับใบหน้าเข้าใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดรินกันเล่น

ปากหนาขยับพูดเสียงพร่า

“รู้ตัวไหมว่ามึงโคตรสวย...สวยตั้งแต่หัวยันข้อเท้า” นัยน์ตาคมเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลวาบผ่านอย่างปิดไม่มิด

ผมกัดริมฝีปากล่างขณะกลั้นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อถูกชมโดยไม่ทันตั้งตัว

“ขนาดนั้นเลยหรือไง” ถามกลับเสียงหวาน ยกนิ้วขึ้นลูบสันกรามที่ขึ้นรอยเด่นชัดอย่างพออกพอใจ

“รู้สึกเหมือนจะบ้าเพราะมึงเข้าสักวัน”

“หึ” ฟังดูเหมือนพูดเล่นแต่แววตาเขากลับจริงจังจนต้องเชื่อ

“ได้คำตอบเรื่องนัดดื่มด้วยกันครั้งหน้าหรือยัง” จับมือผมลุกขึ้นยืนพลางโอบเอวไว้หละหลวม

ผมพยักหน้า

“ได้แล้ว”

“ที่ไหน”

“ที่สนามแข่ง”

“แล้วเย็นนี้ว่างไหม”

“ทำไม”

“สนใจไปขับรถเล่นกับกูที่สนามหรือเปล่า”

“น่าสนใ…”

“อ้าว มาร์เกซ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ยูคิดถึงแทบแย่”

“…”

“!”

ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีบุคคลที่สามเดินเข้ามาขัดจังหวะพร้อมดึงตัวร่างหนาเข้าไปหอมแก้มซ้ายขวาจนผมตกตะลึง

“!”

ให้ตายเถอะ...ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่ชื่อยูอะไรนี่เป็นหนึ่งในเด็กของมาร์เกซแน่ๆ

Shit! เจอกันไม่ถึงสี่วันคู่ควงเขาก็เริ่มโผล่หน้ามาให้เห็นแล้ว

มาร์เกซมองคนที่พึ่งเข้ามาทักก่อนจะหันกลับมามองผมแล้วทำหน้าเครียดเพียงครู่

“มีอะไร”

“ยูคิดถึงคุณ เย็นนี้ไปผับกันนะครับ”

“ไม่ว่าง”

“แต่..”

“กูไม่ว่าง”

“ชิ ก็ได้ครับ ไว้เดี๋ยวยูมาหาใหม่” ว่าจบก็สาวเท้าออกไปอย่างเย่อหยิ่ง

ผมอดไม่ได้ที่จะมองตามจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมามองร่างสูงที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“โทษท…”

“ไม่เป็นไร” ตอบกลับโดยไม่รอให้เขาพูดจบก่อน กอดอกมองบนเล็กน้อยเพราะรู้สึกหัวเสียกับสถานการณ์เมื่อครู่เอามากๆ

“ส่วนที่ชวนไปขับรถเล่นก็ฟังดูน่าสนใจดี” ปรายยิ้มอ่านยากไปให้จนตาคมส่อแววสงสัย

ผมขยับใบหน้าเข้าใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงคืบแล้วตอบด้วยรอยยิ้มเย็น

“…แต่ไม่มีอารมณ์ไปแล้วว่ะ”

“…”

เดินออกมาจากตรงนั้นพลางเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ไปด้วย

แม่งหัวร้อน หัวร้อนจริงๆ วันนี้มันเกือบจะดีแล้วถ้าไม่มีไอ้เด็กคนนั้นเข้ามาทักเขา

ไม่อยากนึกสภาพว่ากว่าผมจะได้เป็นแฟนเขาจริงๆ จะต้องเจออะไรแบบนี้ไปอีกกี่คนกัน

โถ่เอ๊ยมาร์เกซ นายจงโดนคนสวยเมินไปซะเถอะ!

.

 

.

“…” ร่างสูงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้เทียร่าจะเดินหนีไปได้สักพักแล้ว มือหนากำเข้าหากันแน่นก่อนจะชกอากาศอย่างหัวเสีย

“แม่งเอ๊ย!” ไม่เคยรู้สึกเกลียดคู่ควงตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย สาบานได้

สถานการณ์เมื่อครู่นั้นดีมากจนรู้สึกหัวร้อนที่มีคนเข้ามาขัดจังหวะและทำให้คนสวยชิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้

“น่าสงสารว่ะ” บอมบ์ลอบขำเมื่อมาร์เกซเดินมานั่งลงโซฟาข้างๆเพื่อระงับอารมณ์คุกรุ่นในอก

“รู้จักน้องเทียร์ตั้งเมื่อไหร่” เริ่มต้นถามด้วยความอยากรู้

เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน บอมบ์ไม่เห็นจะเคยได้ยินว่ามาร์เกซควงเทียร่าอยู่

แถมน้องเทียร์เองก็ด้วย

ฝ่ายนั้นมาที่ร้านบ่อยจนเขาสนิทสนมด้วยอัตโนมัติ มาวันนี้ดันมีเพื่อนตัวเองติดสอยห้อยตามมาจนรู้สึกงุนงง

“เจอกันที่ผับเมื่อสามวันก่อน”

“วันไนท์? ”

“เปล่า”

“…”

น่าแปลก...น่าแปลกจริงๆ

กับเสืออย่างมาร์เกซน่ะเหรอจะปล่อยให้คนสวยตรงหน้าหลุดรอดไปได้

...ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกสนใจมากเป็นพิเศษ

“กูไม่เคยเห็นมึงตามใครนานเกินสามวัน”

“…”

“และจากที่มองผิวเผิน...เทียร่าก็ตรงสเป็คมึงทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า”

“…”

หึๆ บอกสิว่ามาร์เกซไม่ได้ตกหลุมเสน่หาของเทียร่าเข้าอยู่น่ะ

 

 

_______________

ปล. ไม่ได้สปอยเลยแต่ตอนหน้ามีคีอาร์คนหล่อคนเท่เต็มตอนเลยค่า อุ๊บส์!