5 ตอน Chapter 4 Ice cold like my drink
โดย Arzianez
Chapter 4 Ice cold like my drink
“ถอดใจดีไหมวะ” ผมถามขณะกระพริบตาปริบๆมองแก้วในมือ วินาทีนี้ไม่มีอารมณ์จะดื่มมันเลยสักนิด
ยิ่งเพื่อนตัวดีและแฝดคนพี่พูดแซว ก็ยิ่งทำให้ผมเหงื่อตกมากไปกว่าเดิม
“อย่าพึ่งถอยง่ายๆดิ เทียร่าที่กูรู้จักไม่ใจเสาะแบบนี้นะ”
“เออ ยังไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงวะ”
“ก็มาร์เกซไม่อยากมีแฟน” ผมแย้งหน้ามุ่ย อาการตอนนี้เหมือนจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์พ่อหนุ่มสุดฮอตคนนี้มาก...ซึ่งก็ไม่เถียง
เพราะผมเจอคนที่ตรงสเป็คตัวเองแทบทุกอย่างครั้งแรกเลยนะ ไม่อยากให้เขาหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตาจริงๆ
“คือถ้าเป็นคนอื่นกูก็คิดว่าคงยากที่จะเปลี่ยนใจคนอย่างมันได้ แต่พอเป็นมึงปุ๊ป แม่งรู้สึกเหมือนจะทำได้ยังไงไม่รู้” แบงค์ทำหน้าครุ่นคิดขณะพูด คิ้วหนาขมวดมุ่นก่อนเจจะกล่าวเสริม
“คิดเหมือนกูเลยไอ้แบงค์ นี่น้องเทียร์เลยนะเว้ย”
“ดังนั้นเธอห้ามถอดใจ” สามเสียงเห็นพ้องต้องกันจนไม่รู้จะตอบกลับอะไรออกไป
“แล้วถ้าคุยๆกันไปแล้วเขาตอบกลับมาว่าไม่อยากมีแฟนล่ะ”
“เธอก็ตอบกลับไปเลยว่าไม่ได้อยากเป็นแฟน”
“...”
“อยากเป็นเมีย”
“....”
อา...เทียน่าไม่เคยทำให้ผมผิดหวังจริงๆ
.
.
13:57 น.
หลังจากฟังคำแนะนำที่แสนจะหฤหรรษจบพวกเราก็คุยเรื่องอื่นกันต่อจนถึงเช้า
ก่อนจะงีบคนละสามสี่ชั่วโมงแล้วแต่งตัวมามหาลัยเพื่อเข้าชมรมในช่วงบ่ายตามที่อาจารย์ได้นัดไว้
ที่นั่งสี่ตัวที่อยู่ริมสุดของห้องประชุมใหญ่เป็นที่ประจำที่พวกเรานั่งกันตลอด นักศึกษาในชมรมเริ่มทยอยกันเข้ามาเมื่ออีกนิดจะถึงเวลาเริ่มคาบ
ผมฟุบหน้าลงโต๊ะเพื่อนอนอย่างไม่ต้องสงสัย
“เทียน่ารอผมนานหรือเปล่าครับ”
“ไม่นะ ฉันพึ่งมาถึงเมื่อกี๊นี่เอง” เสียงสนทนาจากคนที่นั่งข้างๆดังแว่วข้างหูเป็นระยะ ตัวเองจึงเปลี่ยนจากการก้มหน้าเป็นเอนศีรษะซบไหล่อุ่นของพี่เทียนแทนเพราะสบายตัวกว่า
“ไหนเธอบอกคาบนี้จะไม่นอน”
“ก็ฉันง่วง”
“ขี้เซาชะมัด”
“...”
ทำไงได้ เมื่อเช้านอนไปนิดเดียวเองนี่
อาจารย์ที่ยืนอยู่หน้าห้องเริ่มพูดใส่ไมค์เมื่อถึงเวลาบ่ายสองเป็นที่เรียบร้อย
เสียงพูดคุยภายในห้องเงียบสงัดลง ทว่าก็ไม่ได้ทำให้ผมยอมเปิดเปลือกตาขึ้นมองแต่อย่างใด
จากที่ฟังคร่าวๆก็ไม่มีอะไรมากนอกจากพูดเรื่องรายละเอียดชมรมที่ต่างก็รู้ๆกันอยู่แล้ว
แล้วก็จะให้นักศึกษาคนใหม่มาแนะนำตัวแค่นั้น รู้อย่างงี้ผมกลับไปนอนต่อที่บ้านดีกว่า
เผลอผล็อยหลับอย่างจริงจังไปครู่หนึ่งก่อนจะดึงสติตัวเองกลับมาได้และตั้งใจฟังอีกครั้งเมื่อหัวข้อการพูดคุยเปลี่ยนเป็นเรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่ตัวเองอยากรู้ตั้งแต่เมื่อวาน
“เชิญนักศึกษามาแนะนำตัวที่หน้าห้องได้เลยค่ะ”
เสียงปรบมือดังทั่วทั้งห้องประชุมเมื่ออาจารย์พูดจบ ผมยังปิดเปลือกตาอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่นานก็มีมือใครสักคนมาสะกิดที่ไหล่
“เชี่ย”
“โอ้โหกูอึ้ง”
“ไอ้เทียร์ มึงตื่นขึ้นมาดูหน้านักเรียนแลกเปลี่ยนจากแบล็คฟลาวเดี๋ยวนี้เลย” ร่างทั้งร่างสั่นไหวจากแรงสะกิดจนต้องขมวดคิ้วมุ่น ผมยู่ปากขึ้นอยางขัดใจก่อนจะปฏิเสธ
“ไม่เอา”
“ถ้ามึงเห็นกูฟันธงว่าหายง่วงแน่นอนเพื่อน”
“จริงสัด”
“ตื่นขึ้นมาดูเซอร์ไพรส์ใหญ่หน่อยสิ”
ให้ตาย ปลุกพร้อมกันขนาดนี้คงหลับไม่ลงแล้วล่ะ
ผมยอมเปิดเปลือกตาขึ้นในที่สุดพร้อมหันมองคนปลุกที่ทำหน้าตื่นตระหนกกันแทบทุกคนจนรู้สึกงุนงงขึ้นมา
นักศึกษาคนอื่นๆเองก็เช่นกัน แทบทุกสายตาต่างจดจ้องไปยังเวทีที่อยู่หน้าห้องประชุมกันทุกคน ตัวเองถึงได้หันมองตามอย่างสงสัย
กลางเวทีมีอาจารย์และนักศึกษาแลกเปลี่ยนคนใหม่ยืนอยู่
และฉับพลันที่หันเหสายตามองหน้านักศึกษาคนนั้นชัดๆถึงได้ตกตะลึงขึ้นมาทันที
“แนะนำตัวได้เลยค่ะ”
“สวัสดีครับ ผมมาร์เกซ คณะวิศวกรรมยานยนต์ปีสาม จากมหาลัยแบล็คฟลาวเวอร์”
“...”
“…”
เมื่อแนะนำตัวจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นมากกว่าเดิมจนเซ็งแซ่
ผมนิ่งค้างไปกับอากาศโดยอัตโนมัติ ตกใจไม่ต่างจากคนอื่นๆเท่าไหร่นักเพราะเหมือนมาร์เกซจะเป็นที่รู้จักกันดีในมหาลัยทั้งสองอยู่แล้ว
มีแค่ผมนี่แหละมั้งที่พึ่งจะรู้จักเขาเมื่อไม่นานมานี้
“อาไทม์ใบ้ถูกจริงๆด้วย” เทียน่าพูดขึ้นในความเงียบ
“ไม่นึกว่าจะเป็นมันนะเนี่ย” แบงค์กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่เคยเห็นมาร์เกซพูดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง
“เธอยังง่วงอยู่หรือเปล่า” ร่างเล็กหันมาถามยียวน ผมส่ายหน้าไม่คิดปฏิเสธ อาการตกใจยังฉายชัดบนแววตา
“ให้ตายก็หลับไม่ลง”
ยิ่งกว่ามีคนเอาน้ำสาดใส่ตัวอีกตอนนี้
มั่นใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยว่าหลังจากนี้เขาต้องตัวติดกับมาร์ติเนซแน่ๆ เพราะอยู่คณะเดียวกัน
นั่นหมายถึงผมจะได้เจอเขาง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นกว่าเดิมไปอีก
“...”
เชี่ยเอ๊ย พูดไม่ออกเลย
“บังเอิญเกินไปแล้วมั้ง” แบงค์แซวขณะที่ฝ่ายนั้นเดินมาหาพร้อมนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ว่าง เจ้าตัวยักไหล่
“ไม่นึกเหมือนกันว่าจะได้มา”
“แต่ก็ดีแล้วเพราะกูจะได้ไม่ต้องไปหามึงที่สนามแข่งบ่อยๆ”
“มึงจะแลกเปลี่ยนที่นี่จนจบเทอมเลยหรือเปล่า” มาร์ติเนซหันไปถามเพื่อนคนสนิท
เพราะถ้าจำไม่ผิด นักศึกษาจะสามารถเลือกระยะเวลาในการมาแลกเปลี่ยนได้ด้วยตัวเอง
“ตอนแรกก็ว่าจะไม่...” น้ำเสียงฟังดูทีเล่นทีจริงขณะพูด
ผมลอบส่งสายตามองเขาเพราะรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังจ้องมองกันอยู่ ซึ่งก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
เรียวปากหนากระตุกยิ้มเพียงเสี้ยววินาทีให้กันก่อนจะกล่าวต่อ
“แต่ตอนนี้...รู้สึกอยากอยู่ที่นี่จนจบเทอมยังไงไม่รู้”
“...” เขาเหมือนจะพูดนิ่งๆ
แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงเผลอคิดไปไกลจนใจสั่น
ตาคมเปล่งประกายวาววับจนแทบละสายตาออกห่างไม่ได้ เขาคลี่ยิ้มส่งมาให้โดยที่คนอื่นไม่ทันสังเกตเห็น
และผมก็ใจกล้าพอที่จะส่งยิ้มสวยกลับไปให้เช่นกัน
ไม่ได้ชวนเขาคุยเหมือนที่เพื่อนคนอื่นๆทำ เพราะเวลานี้รู้สึกอยากเป็นผู้ฟังที่ดีมากกว่า
อา...แต่น่าภาคภูมิใจตรงไหนรู้ไหม
ทั้งๆที่ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาสักคำ สายตาคมกริบคู่นั้นดันมองกันไม่ลดละผละห่าง
ยิ่งผมทำเป็นไม่สนใจ เขาก็ยิ่งสนใจกัน
ยิ่งผมไม่หันไปมอง เขาก็ยิ่งจ้องมองราวอยากให้มองกลับ
“หึๆ”
เห็นท่าทีแบบนี้แล้ว...กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรถอดใจตั้งแต่ยังไม่เริ่มยังไงไม่รู้
จริงอยู่ที่ฟังดูยาก แต่ถ้าเขาอยากเล่นด้วยมันก็คงไม่เกินความสามารถตัวเองเท่าไหร่หรือเปล่า นี่เทียร่าทั้งคนเลยนะ
ทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาก็ไม่รู้ ต้องขอบคุณคำแนะนำจากทั้งสองเพื่อนและอีกหนึ่งแฝดเลยที่ทำผมฮึดขึ้นมากขนาดนี้
“มึงจะกลับเลยไหม” แบงค์ถามขณะที่เราทุกคนเดินออกมาจากห้องประชุมในเวลาเกือบสี่โมงเย็น
คนถูกถามส่ายหน้า
“ต้องไปหาอาจารย์ที่ตึกวิศวะ”
“งั้นก็ให้ไอ้เทียร์พาไปดิ มันคุ้นทางนั้นพอดี” หันขวับทันทีเมื่อจู่ๆก็ถูกพาดพิงถึง เพราะควรเป็นติณณ์หรือเปล่าที่คุ้นตึกนั้นมากกว่าผม
ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ได้ทักท้วงอะไรจนต้องยอมตกปากรับคำไป
“เอาสิ” ยังไงก็ไม่เสียหายอะไรอยู่แล้ว
“เดี๋ยวกูรอที่หน้ามอ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูไปส่งเอง” หันหาคนพูดอย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้ปฏิเสธ เพื่อนที่เหลือก็เดินจากไปกันหมดแล้ว เทียน่าเองก็ด้วย
ให้ตาย กะจะเอาให้ผมแย้งไม่ได้เลย
“ตามมาสิ” กอดอกบอกเขาอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินนำไปยังตึกวิศวะที่หมาย
“นายไม่เห็นบอกฉันเลยว่าจะได้มาเรียนที่นี่” ย้อนกลับไปเมื่อสามวันก่อนที่ไปดื่มด้วยกัน มาร์เกซไม่เห็นจะพูดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด ทั้งๆ ที่เราก็คุยกันสัพเพเหระไปตั้งหลายเรื่อง
“เพราะกูก็ไม่คิดว่ามึงจะอยู่ชมรมนี้เหมือนกันเลยไม่ได้บอก” ร่างหนาสาวเท้าขนาบข้างจนไหล่ชนกันเป็นระยะ
และเพราะเดินด้วยกันแค่สองต่อสองจึงทำให้คนอื่นๆที่ผ่านมาเห็นส่งสายตามองมาอย่างแปลกใจแทบทุกคน
อย่างที่บอกไปนั่นแหละว่าไม่มีใครไม่รู้จักมาร์เกซ คงจะแปลกใจกันที่เห็นเขากำลังเดินในท่วงท่าที่ดูสนิทสนมกับผมในเวลานี้ได้
“เดี๋ยวฉันรอที่ใต้ตึก”
“อืม” รับคำเสร็จมาร์เกซก็เดินขึ้นอาคารไป ผมนั่งแหมะลงบนม้านั่งพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นระหว่างรอ
อ้อ ใช่ วันนี้ผมมีนัดไปร้านเครื่องประดับด้วยนี่นา
(ว่าไงน้องเทียร์)
“วันนี้พี่บอมบ์เปิดร้านไหมครับ”
(เปิดนะ เราจะมากี่โมง)
“สักห้าโมงเย็น”
(โอเคเดี๋ยวพี่รอ)
“ได้เลยครับ” วางสายเสร็จก็เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าดังเดิม ไม่รู้เคยบอกไหมแต่ว่าเป็นร้านของพี่ชายแบงค์เอง
ของในร้านพี่บอมบ์ก็จำพวกสร้อยหรือไม่ก็กำไลที่ทำจากเงินหรือทอง ผมไปค่อนข้างบ่อยเลย นับๆดูก็เกือบทุกอาทิตย์ได้
และไม่นานนักมาร์เกซก็เดินกลับมา เขานำผมไปที่ลานจอดรถที่มีรถคันคุ้นตาจอดอยู่
“นายช่วยไปส่งฉันที่ร้านเครื่องประดับหน่อยได้ไหม”
“ร้านใคร”
“พี่บอมบ์ รู้จักหรือเปล่า” หันถามขณะคาดเข็มขัด เมื่อร่างหนาพยักหน้าผมจึงส่งยิ้มขอบคุณไปให้
“จะไปซื้ออะไร”
“กำไลข้อเท้า”
“ชอบหรอ”
“อื้อ เป็นอวัยวะส่วนที่สามสิบสามของฉันเลย” วันไหนที่ออกจากบ้านโดยไม่ได้ใส่กำไลข้อเท้าก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป จนตอนนี้กลับกลายเป็นว่าติดใส่ตลอดเวลาเสียอย่างนั้น
“จะเดินดูด้วยกันไหม”
“อืม กูว่างพอดี”
หืม? วันนี้ผมมีเพื่อนเดินด้วยแล้ว ในรอบเดือนเลยนะเนี่ยถ้าไม่นับรวมที่มากับเทียน่าครั้งก่อน
เราสองคนเดินเข้ามาในร้านในเวลาห้าโมงเย็นเป๊ะๆ มีลูกค้าเพียงไม่กี่คน และพี่บอมบ์ที่นั่งรออยู่บนโซฟาตัวหรู
ฉับพลันที่มองเห็นผมก็ส่งยิ้มทักทายกันอย่างรวดเร็ว
“พี่เตรียมนี่ไว้ให้เราด้วย”
“ขอบคุณครับ” รับแก้วน้ำผลไม้ปั่นมาดูดด้วยรอยยิ้ม
“นี่เทียร์มากับมันหรอ” พี่บอมบ์หันมองมาร์เกซที่เดินมาหยุดยืนข้างๆ
“อืม มีปัญหาอะไร” และก็เป็นมาร์เกซที่ตอบกลับมาดกวน
“ถามเฉยๆสัด เห็นปกติน้องเทียร์มาแต่กับเทียน่า”
“พอดีพี่เทียนกลับกับติณณ์ไปแล้วน่ะครับ” ผมตอบตัดบทสนทนาของคนทั้งสอง ก่อนจะขอตัวเดินมาโซนกำไลข้อเท้าเพื่อหาลายที่ตัวเองชอบ
“อยากได้แบบไหน”
“กำไลเงิน จี้ไม่ต้องใหญ่มากก็ได้” บอกมาร์เกซขณะกวาดสายตามองหาอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ตอนนี้ได้ใส่อยู่หรือเปล่า”
“อื้อ ทำไมหรอ”
“อยากเห็น”
“งั้นก็ขยับมานี่สิ” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กตรงมุมร้าน อีกฝ่ายย่อเข่าลงต่อหน้าเพื่อมองกัน
ผมจึงทำการถกชายกางเกงที่สวมอยู่ขึ้นจนปรากฏให้เห็นข้อเท้าด้านขวาขาวผ่องที่ถูกโอบล้อมด้วยกำไลสีเงินและรอยสักเล็กๆบนนั้น
“จี้งู”
“ใช่ พึ่งลองใส่ครั้งแรกเลย” มันสวยใช่ย่อยเลย แต่น่าเสียดายอยู่อย่างที่วันนี้ผมใส่กางเกงขายาวจึงทำให้ไม่มีคนเห็นเท่าไหร่นัก มาร์เกซเป็นคนแรกเลยก็ว่าได้
“…”
“มีอะไรหรือเปล่า” เห็นท่าทีที่นิ่งไปจึงอดที่จะถามไม่ได้
ตาคมจ้องมองกำไลและรอยสักสลับกันก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูด
“เทียร่า”
“ว่าไง” มาร์เกซไม่ตอบ
เขาขยับใบหน้าเข้าใกล้จนลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดรินกันเล่น
ปากหนาขยับพูดเสียงพร่า
“รู้ตัวไหมว่ามึงโคตรสวย...สวยตั้งแต่หัวยันข้อเท้า” นัยน์ตาคมเปี่ยมไปด้วยความหลงใหลวาบผ่านอย่างปิดไม่มิด
ผมกัดริมฝีปากล่างขณะกลั้นรอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อถูกชมโดยไม่ทันตั้งตัว
“ขนาดนั้นเลยหรือไง” ถามกลับเสียงหวาน ยกนิ้วขึ้นลูบสันกรามที่ขึ้นรอยเด่นชัดอย่างพออกพอใจ
“รู้สึกเหมือนจะบ้าเพราะมึงเข้าสักวัน”
“หึ” ฟังดูเหมือนพูดเล่นแต่แววตาเขากลับจริงจังจนต้องเชื่อ
“ได้คำตอบเรื่องนัดดื่มด้วยกันครั้งหน้าหรือยัง” จับมือผมลุกขึ้นยืนพลางโอบเอวไว้หละหลวม
ผมพยักหน้า
“ได้แล้ว”
“ที่ไหน”
“ที่สนามแข่ง”
“แล้วเย็นนี้ว่างไหม”
“ทำไม”
“สนใจไปขับรถเล่นกับกูที่สนามหรือเปล่า”
“น่าสนใ…”
“อ้าว มาร์เกซ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ยูคิดถึงแทบแย่”
“…”
“!”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ก็มีบุคคลที่สามเดินเข้ามาขัดจังหวะพร้อมดึงตัวร่างหนาเข้าไปหอมแก้มซ้ายขวาจนผมตกตะลึง
“!”
ให้ตายเถอะ...ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่ชื่อยูอะไรนี่เป็นหนึ่งในเด็กของมาร์เกซแน่ๆ
Shit! เจอกันไม่ถึงสี่วันคู่ควงเขาก็เริ่มโผล่หน้ามาให้เห็นแล้ว
มาร์เกซมองคนที่พึ่งเข้ามาทักก่อนจะหันกลับมามองผมแล้วทำหน้าเครียดเพียงครู่
“มีอะไร”
“ยูคิดถึงคุณ เย็นนี้ไปผับกันนะครับ”
“ไม่ว่าง”
“แต่..”
“กูไม่ว่าง”
“ชิ ก็ได้ครับ ไว้เดี๋ยวยูมาหาใหม่” ว่าจบก็สาวเท้าออกไปอย่างเย่อหยิ่ง
ผมอดไม่ได้ที่จะมองตามจนลับสายตาก่อนจะหันกลับมามองร่างสูงที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“โทษท…”
“ไม่เป็นไร” ตอบกลับโดยไม่รอให้เขาพูดจบก่อน กอดอกมองบนเล็กน้อยเพราะรู้สึกหัวเสียกับสถานการณ์เมื่อครู่เอามากๆ
“ส่วนที่ชวนไปขับรถเล่นก็ฟังดูน่าสนใจดี” ปรายยิ้มอ่านยากไปให้จนตาคมส่อแววสงสัย
ผมขยับใบหน้าเข้าใกล้จนระยะห่างเหลือเพียงคืบแล้วตอบด้วยรอยยิ้มเย็น
“…แต่ไม่มีอารมณ์ไปแล้วว่ะ”
“…”
เดินออกมาจากตรงนั้นพลางเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ไปด้วย
แม่งหัวร้อน หัวร้อนจริงๆ วันนี้มันเกือบจะดีแล้วถ้าไม่มีไอ้เด็กคนนั้นเข้ามาทักเขา
ไม่อยากนึกสภาพว่ากว่าผมจะได้เป็นแฟนเขาจริงๆ จะต้องเจออะไรแบบนี้ไปอีกกี่คนกัน
โถ่เอ๊ยมาร์เกซ นายจงโดนคนสวยเมินไปซะเถอะ!
.
.
“…” ร่างสูงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแม้เทียร่าจะเดินหนีไปได้สักพักแล้ว มือหนากำเข้าหากันแน่นก่อนจะชกอากาศอย่างหัวเสีย
“แม่งเอ๊ย!” ไม่เคยรู้สึกเกลียดคู่ควงตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย สาบานได้
สถานการณ์เมื่อครู่นั้นดีมากจนรู้สึกหัวร้อนที่มีคนเข้ามาขัดจังหวะและทำให้คนสวยชิ่งหนีไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้
“น่าสงสารว่ะ” บอมบ์ลอบขำเมื่อมาร์เกซเดินมานั่งลงโซฟาข้างๆเพื่อระงับอารมณ์คุกรุ่นในอก
“รู้จักน้องเทียร์ตั้งเมื่อไหร่” เริ่มต้นถามด้วยความอยากรู้
เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน บอมบ์ไม่เห็นจะเคยได้ยินว่ามาร์เกซควงเทียร่าอยู่
แถมน้องเทียร์เองก็ด้วย
ฝ่ายนั้นมาที่ร้านบ่อยจนเขาสนิทสนมด้วยอัตโนมัติ มาวันนี้ดันมีเพื่อนตัวเองติดสอยห้อยตามมาจนรู้สึกงุนงง
“เจอกันที่ผับเมื่อสามวันก่อน”
“วันไนท์? ”
“เปล่า”
“…”
น่าแปลก...น่าแปลกจริงๆ
กับเสืออย่างมาร์เกซน่ะเหรอจะปล่อยให้คนสวยตรงหน้าหลุดรอดไปได้
...ถ้าไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกสนใจมากเป็นพิเศษ
“กูไม่เคยเห็นมึงตามใครนานเกินสามวัน”
“…”
“และจากที่มองผิวเผิน...เทียร่าก็ตรงสเป็คมึงทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า”
“…”
หึๆ บอกสิว่ามาร์เกซไม่ได้ตกหลุมเสน่หาของเทียร่าเข้าอยู่น่ะ
_______________
ปล. ไม่ได้สปอยเลยแต่ตอนหน้ามีคีอาร์คนหล่อคนเท่เต็มตอนเลยค่า อุ๊บส์!
Comments (0)