Chapter 3 Drive me crazy

“เล่ามาสิ”

“จะให้เริ่มเล่าเรื่องไหนก่อน”

“ก็ตั้งแต่ที่เดินออกจากผับ”

“…”

“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้” ดวงตาสวยจ้องเขม็งพร้อมหยิบป๊อปคอร์นเข้าปาก เทียน่านั่งขัดสมาธิหลังพิงหัวเตียงเพื่อรอฟังผมเล่า

“ก็...ไปดื่มด้วยกันต่อที่ทะเลสาบข้างสนามตรงชานเมือง แล้วก็คุยกันไปเรื่อยเปื่อยจนได้รู้ว่าเขาเรียนที่แบล็คฟลาว ปีสาม แล้วเขาก็เป็นนักแข่งซุปเปอร์คาร์มือหนึ่งของแก๊งติณณ์”

“อ้อ เรื่องนี้ฉันก็พึ่งรู้เมื่อไม่นานนี้เหมือนกัน”

“นั่นแหละ แล้วก็แลกเบอร์กันไว้ ก่อนกลับเขาก็นัดไปดื่มด้วยกันอีกทีอาทิตย์หน้า”

“แล้วไงต่อ”

“ก็เท่านี้แหละ จบแล้ว” ผมยักไหล่แล้วหยิบป๊อปคอร์นในมือพี่เข้าปากบ้าง

“ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ฉันหมายถึงเธอได้ไปต่อกับมาร์เกซเรื่องอย่างว่าหรือเปล่า”

“ใจเย็นๆ ฉันพึ่งเจอเขาไม่ถึงวันเองนะ”

“ก็รู้ แต่คิดว่าจะชอบกันแบบวันไนท์ไง”

“จริงๆ เขาก็ชวน แต่ฉันปฏิเสธไป”

“ทำไม” คนถามทำหน้าสงสัยสุดฤทธิ์

“เพราะฉันรู้สึกถูกใจเขามากจนไม่อยากให้มันจบแค่วันไนท์สแตนด์ไง:) ”

“...”

“พูดจริงๆ นะ” เห็นเทียน่าทำหน้าเหมือนไม่เชื่อเลยย้ำอีกรอบให้ได้มั่นใจ

ผมชอบเขาจริงๆ ชอบแบบชอบเลย เขาตรงสเป็คผมทุกอย่างไม่ว่าเป็นจะเรื่องหน้าตา อายุ หรือแม้แต่งานหลักของเขาอย่างนักแข่งรถ

“เป็นเจ้าของสนามตรงชานเมืองด้วย” ข้อนี้ผมว้าวเลย ใครจะไปคิดกันล่ะว่าสนามที่ไปบ่อยยิ่งกว่าบ้านตัวเองจะเป็นสนามเขา

“ให้ตายสิเทียร่า” ร่างเล็กอุทานก่อนจะทำหน้าเครียดขึ้นมา

“อะไร”

“เธอรู้ไหมว่ามาร์เกซเขาโคตรของโคตรเพลย์บอยเลยนะ” น้ำเสียงดูเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมก่อนจะกล่าวต่อ

“ถึงขนาดที่ฉันกลับมานั่งถามกับตัวเองว่าจะมีใครสามารถหยุดเขาได้ไหม คิดดูละกันว่าหนักขั้นไหน”

“…”

“แล้ววันนี้เธอก็มาบอกว่าเธอชอบเขา พระเจ้า สาบานสิว่าฟ้าไม่ได้เล่นตลกกับพวกเราอยู่น่ะ”

“…”

ให้ตายเถอะ นี่มันอะไรกันวะ

ผมแทบจะกุมขมับตัวเองเมื่อฟังพี่พูดจบ สีหน้าเคร่งเครียดเกิดขึ้นกับเราทั้งสองอย่างไม่อาจปกปิด

นั่งมองตากันไปมาโดยไม่มีใครพูดอะไรจนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก

“ฉันเครียด”

“ฉันก็เครียด”

“กลับใจตอนนี้ทันไหมวะ”

“เขาตรงสเป็คเธอขนาดนั้นคิดว่าตัวเองจะกลับใจไหวไหมล่ะ”

“ก็...ไม่”

“เฮ้อ จริงๆ เลย” เทียน่าถอนหายใจเครือ

“ทำยังไงดี”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“ง่ะ” ผมยู่ปาก

“แต่เอาตรงๆ ฉันก็ไม่ค่อยรู้จักนิสัยใจคอจริงๆ เขาเท่าไหร่ ของแบบนี้ต้องไปถามแบงค์”

“หืม? แบงค์สนิทกับมาร์เกซหรอ”

“อื้อ เห็นพักหลังๆ มาขับรถที่สนามด้วยกันบ่อยมาก น่าจะสนิทกันพอตัวเลย”

“งั้นพรุ่งนี้ไปเพนท์เฮ้าส์แบงค์กัน!”

“เอาจริงหรอ”

“จริงสิ ช้ากว่านี้ฉันได้เครียดจนปวดหัวตายก่อนแน่ๆ”

“หึๆ ก็ได้”

“ขอบใจ” ผมคลี่ยิ้มก่อนจะโน้มตัวลงนอนซบตักอุ่นอย่างวิสาสะ ไม่มีเสียงท้วงห้ามนอกจากนิ้วเรียวที่ลูบกลุ่มผมกันไปมา

“เธอนี่น้า ชอบใครไม่ชอบดันไปชอบมาร์เกซ” เสียงใสกล่าวด้วยความสงสารปนเอ็นดู

“ก็ใครจะไปรู้เล่า” ผมบ่นกระเง้ากระงอด ถ้ารู้คงไม่ชอบเขาตั้งแต่แรกหรอก ชิ

“รอฟังกับแบงค์พรุ่งนี้ เธออาจจะมีหวังขึ้นมาก็ได้” พูดไปก็ลอบขำไป ผมแยกเขี้ยวใส่พี่ไปทีหนึ่งพร้อมเอี้ยวตัวหยิบป๊อปคอร์นเข้าปากอีกฝ่าย

“กินไปไม่ต้องพูด”

“แบร่”

“พี่เทียน!”

แกล้งกันอยู่ได้ เทียร่าจะงอนแล้วนะ!

.

.

.

มหาวิทยาลัยเรดฟลาวเวอร์

“ไอ้เทียร์มึงดูนี่”

“ไม่ดู จะนอน”

“สัด กูอุตส่าจะอวดกุญแจรถคันใหม่”

“ซื้ออีกแล้วหรอ” ศีรษะเล็กชะโงกขึ้นมองแบงค์ที่นั่งค้ำคางด้วยใบหน้าตายสุดขีด

ผมคว้ากุญแจรถมาดูยี่ห้อที่สลักไว้แล้วพบว่าเป็นแลมโบกินี่...อีกแล้ว

“คันที่เท่าไหร่แล้ว”

“หก”

“ขยันซื้อเนอะ”

“ก็ของมันต้องมีนี่หว่า” ร่างสูงตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ หันไปหาเจกับเทียน่าที่เก็บของเข้ากระเป๋ากันอยู่เมื่อจบการเรียนการสอนในคาบบ่ายเป็นที่เรียบร้อย

“กินข้าวร้านไหนดี”

“ติณณ์ชวนไปกินร้านอาหารเกาหลีข้างๆ มอ ไปกันไหม” เทียน่าถามขณะที่เราทั้งสี่คนเดินออกจากห้องเรียนในเวลาบ่ายโมงกว่า ผมพยักหน้า

“ร้านนั้นก็ได้”

“โอเค กูด้วย”

“กูด้วยคน” เมื่อตกลงกันได้จึงพากันนั่งรถไปร้านที่หมาย ผมนั่งกับเจและแบงค์แค่สามคน ส่วนเทียน่านั่งรถติณณ์

แทบเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่มาร์ติเนซจะมาทานมื้อเที่ยงหรือแวะมานั่งด้วยตอนอยู่มหาลัยเพราะมาหาพี่เทียน สองคนนี้ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เลยก็ว่าได้

“เออว่าแต่พวกมึงรู้หรือยังว่าพรุ่งนี้ชมรมเขานัดรวมกันที่ห้องประชุมใหญ่”

“กี่โมงอะ”

“บ่ายสองมั้ง”

“ขี้เกียจเข้า” ผมบ่นขณะคีบไก่ทอดเข้าปาก จะหาว่าขี้เซาก็ได้แต่เวลาบ่ายๆ เป็นอะไรที่โคตรง่วงเลย

“เหมือนจะพูดเรื่องนักศึกษาที่มาแลกเปลี่ยนที่มหาลัยมั้งครับ” มาร์ติเนซบอกเสียงเรียบ

“จากแบล็คฟลาวน่ะหรอ”

“ครับ” ฟังดูน่าสนใจใช่ย่อยเลย แบบนี้ค่อยมีแรงเข้าชมรมหน่อย

 

Rrrrrrrrr

 

ผมละตะเกียบในมือมาหยิบโทรศัพทในกระเป๋ากางเกงเมื่อสายเรียกเข้าดังขึ้น

หน้าจอปรากฏชื่อไทเมอร์ อาสุดที่รักของผมและพี่เทียนจึงรีบกดรับพร้อมเปิดสปีกเกอร์โฟนทันที

“ครับอาไทม์”

(เรากับพี่กลับถึงบ้านหรือยัง)

“ยังครับ แวะทานข้าวกันอยู่”

(อาโทรมาบอกว่าเย็นนี้อาจจะไม่ได้ไปทานมื้อเย็นที่บ้านด้วยแล้ว)

“ทำไมล่ะครับ” เป็นพี่เทียนที่หันมาถาม

(อาต้องอยู่เคลียร์เอกสารที่มหาลัยต่อให้เสร็จ ไหนจะเรื่องนักศึกษาแลกเปลี่ยนที่จะไปเรียนเรดฟลาวอีก ขอโทษทีนะหลาน)

“ไม่เป็นไรครับ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ อาว่างใช่ไหม”

(ว่างครับ)

“ดีเลย แต่เทียร์มีเรื่องถามอยู่อย่าง” ผมคลี่ยิ้มขณะพูดแม้ปลายสายจะมองไม่เห็นก็ตามที

(เรื่องอะไร)

“อาให้ใครมาเรียนแลกเปลี่ยนที่เรดฟลาวในเทอมนี้หรอ”

(คิดจะใช่อภิสิทธิ์ความเป็นอาหลานถามความลับกันหรือไง)

“ใช่แล้ว” ผมขำออกมาน้อยๆ คนอื่นบนโต๊ะก็เช่นกัน พวกเราต่างอยากรู้กันทั้งหมดจึงได้รอฟังกันเงียบๆ

(บอกชื่อไม่ได้ แต่ว่าเป็นผู้ชาย)

“เดาง่ายที่ไหนล่ะครับ” บอกมาแค่นี้อาไทม์คิดจะแกล้งกันหรือไง เกือบเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของนักเรียนแบล็คฟลาวต่างเป็นผู้ชายทั้งหมดเลยนะ

เดาไม่ออกเลยให้ตายเถอะ

(อามั่นใจว่าพวกเราทุกคนต้องรู้จักแน่นอน เหมือนเขาจะโดดเด่นพอตัวเลยมั้ง)

“ก็ยังเดาไม่ได้อยู่ดี”

(หึๆ ไว้ลุ้นพรุ่งนี้แล้วกันนะหลาน)

“ชิ ก็ได้ครับ” แม้จะอยากถามต่อแต่ก็ยอมตกปากรับคำโดยง่าย อาตัดสายไปถึงได้หันกลับมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าต่อเหมือนเดิม

“ใครวะที่เราทุกคนต้องรู้จัก” แบงค์ทำหน้าสงสัย ผมเองก็พลอยสงสัยตามไปด้วย

แสดงว่าต้องเป็นคนดังพอตัวเลยนะเนี่ยอาถึงได้ใบ้อย่างมั่นใจขนาดนี้

“ผมรู้นะว่าเป็นใคร”

“จริงหรอ” เป็นเทียน่าที่หันไปหาแฟนตัวเองฉับไว ใบหน้าคมคายพยักรับ

“ที่อาคุณใบ้มาก็ถูกหมดทุกอย่าง พวกเราทุกคนรู้จักแน่นอน”

“ใครวะ”

“บอกชื่อมาเลยได้ไหม”

“ฉันอยากรู้จะจนบ้าแล้วเอาดีๆ”

“หึๆ ไว้รอลุ้นกันพรุ่งนี้ดีกว่าครับ”

“ติณณ์!”

...โดนแกงอีกจนได้ นี่มันวันอะไรของเทียร่าก็ไม่รู้ ฮื่อ

.

 

.

22:23 น.

“จะแดกอะไร”

“เบียร์” เทียน่า

“เหล้าเข้มๆ” เจ

“ไวน์แดง” แล้วก็ผม

ตอนนี้สี่ทุ่มครึ่งแล้ว หลังจากที่กลับจากร้านอาหารพวกเราก็พากันย้ายสังขารมาตั้งก๊กกันที่เพนท์เฮ้าส์แบงค์ตามที่ได้พูดไว้

ยกเว้นติณณ์ที่เขาต้องกลับไปทำงานต่อที่สนามแข่ง

“จะบอกกูได้หรือยังว่าทำไมพวกมึงถึงมาค้างบ้านกูวันนี้” แบงค์ยื่นเครื่องดื่มมาให้แล้วนั่งลงมองหน้าผมกับเทียน่าสลับกันไปมา ไม่คิดจะถามเจเพราะฝ่ายนั้นค้างด้วยกันแทบทุกวันอยู่แล้ว

“ก็ไม่มีอะไร” ผมยักไหล่ขณะรินไวน์ลงแก้ว

“มีเรื่องจะถามอยู่เรื่องหนึ่ง”

“เรื่องอะไร”

“สนิทกับคนที่ชื่อมาร์เกซไหม”

“ก็พอตัว ทำไมวะ” ใบหน้าหล่อเหลาหันมาถามก่อนจะหรี่ตาลง อย่างสงสัย

“ช่วยเล่าเรื่องเขาให้ฟังหน่อยได้ไหม”

“หมายถึง...”

“เฉพาะเรื่องนิสัย” เป็นเทียน่าที่พูดสมทบด้วยรอยยิ้ม ฉับพลันสองสายตามองกันราวจะสื่อสารอะไรบางอย่างโดยที่ผมเดาไม่ได้

“โอเคได้เลยเพื่อน”

“ว่ามา” จิบไวน์รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“อย่างแรกคือมันเป็นคนเจ้าชู้ อ่า...ไม่สิ เรียกว่าเพลย์บอยมากกว่า”

“อืม อันนี้รู้แล้ว” เทียน่าก็พูด ซ้ำแบงค์ก็ยังจะพูดอีก เชื่อแล้วล่ะว่าเป็นเรื่องจริง

“พูดไงดีวะ มันไม่ได้ไปทั่วนะ คือคู่ควงมันแต่ละคนก็เป็นคนที่รู้จักกันดีในระดับหนึ่งแล้วทั้งนั้น”

“เขาแพรวพราว” เทียน่าพูดเสริม

“เออใช่ๆ เป็นคนที่โคตรแพรวพราว เอาง่ายๆ คือต่อให้มันนั่งเฉยๆ ก็ทำคนอื่นหวั่นไหวได้แล้วอะ”

“แต่มันมีประเด็นหนึ่งที่สำคัญกว่าเรื่องความแพรวพราวของเขา” แฝดคนพี่หันมองแบงค์และผมขณะพูด

“มีคำหนึ่งที่เขามักจะย้ำนักย้ำหนาจนจำได้ขึ้นใจ”

“อะไร”

“...มาร์เกซไม่อยากมีแฟน” เสียงสองเสียงประสานกันจนได้ยินเต็มสองหู

แก้วไวน์ในมือชะงักกึกกลางอากาศเมื่อฟังจบ เผลอแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาอย่างไม่อาจกลั้น

ชิบหาย...นี่นอกจากผมจะชอบคนแพรวพราวเจ้าชู้แล้วผมยังชอบคนที่ไม่อยากแฟนอีกหรอเนี่ย...

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ” เจหันมาถาม

“อย่าบอกนะไอ้เทียร์ว่ามึงชอบมัน”

“อืม” ตอบไปอย่างไม่คิดปฏิเสธ ฉับพลันภายในห้องเงียบกริบจนได้ยินเสียงแอร์

“เชี่ยเทียร์”

“มึงจริงจังปะเนี่ย”

“จริงจังสิ” หน้าผมตอนนี้ดูเหมือนกำลังพูดเล่นอยู่หรือไง เครียดจนเหงื่อเกาะขมับขนาดนี้แล้ว

“สงสารว่ะ” แบงค์ว่าขำๆ พร้อมใช้มือขยี้หัวผมจนกระเซอะกระเซิง

“เอาแล้วครับ งานยากมึงแล้วครับน้องเทียร่า” เจพูดด้วยรอยยิ้ม

“จะเปลี่ยนใจพ่อหนุ่มสุดหล่อสุดรวยคนนี้ได้ไหมน้า” แบงค์ทำหน้ายียวน

“หรือจะได้แค่วันไนท์แล้วก็จบปิ๊ง” เทียน่าเปล่งเสียงขำ

“หงึ!”

...จะโทษตัวเองที่ไปชอบมาร์เกซ หรือจะโทษมาร์เกซที่ทำตัวแพรวพราวจนผมตกหลุมพรางดีล่ะ

 

______________

เจอกันตอนหน้าค่ะ

รักคุณนักอ่านตะเหมออ

?