ตอนที่ 5 

Again?

 

05.00 น.

ณ ห้องประชุมทีมบริหารเครือข่ายภาคี

 

“ตอนนี้คุโระกับชิโระกำลังเตรียมตัวอยู่ เราจะให้ย้ายเด็กปี 1 ภาคีสนับสนุนก่อน จากนั้นเป็นภาคีสืบสวน และภาคีจู่โจมตามลำดับนะ”

ซิลเวียร์ประธานภาคีสนับสนุนอธิบายลำดับของการย้ายเหล่านักเรียนปี 1 ไปยังหอคอยกลางในพิธีวันแรกเข้า

 

“ขอให้ทุกภาคีเตรียมน้องให้พร้อมก่อน 05.30 น. ด้วยนะคะ”

“ตอนนี้ทางภาคีสืบสวนได้นำรุ่นพี่ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเตรียมงาน ขึ้นอัฒจันทร์เรียบร้อยแล้วนะ”

ซิลล์ เลขาประจำภาคีสืบสวนกล่าวรายงานในการประชุม

 

“ทางภาคีจู่โจมก็เรียบร้อยเช่นกันค่ะ”

“ทีมสนับสนุนตอนนี้ยังขึ้นไม่ครบค่ะ ได้ยินว่ากำลังดำเนินการอยู่ค่ะ”

แจซองนั่งฟังความคืบหน้าของงานพิธีแรกเข้าอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ทุกคนในทีมบริหารกำลังนั่งประชุมเกี่ยวกับแผนงานต่าง ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงชั่วโมง บรรยากาศไม่ได้ตึงเครียดใด ๆ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในบรรยากาศที่จะเล่นได้เช่นกัน เนื่องจากความคาดหวังต่องานนี้ค่อนข้างสูง การสร้างแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้าให้กับเหล่าสมาชิกหน้าใหม่ ก่อนที่จะเริ่มเข้าเรียนนั้นสำคัญต่อการดำเนินชีวิตในสถาบันแห่งนี้มาก เพราะเหล่าผู้มีเวทมนตร์ที่เหนือกว่าคนอื่น มักจะมีความกระหายสิ่งต่าง ๆ อย่างแรงกล้ามากกว่าผู้อื่นเช่นกัน หากมีจิตใจที่บิดเบี้ยวไปสักนิดละก็อาจจะเกิดปัญหาใหญ่ตามมาทีหลังได้ นอกจากนั้นงานนี้ยังเป็นงานที่มีการเชิญพวกเบื้องบน ชนชั้นสูง และฝ่ายปฏิบัติการให้เข้าร่วมด้วย ความกดดันต่าง ๆ จึงถาโถมมาให้กับเหล่าทีมบริหารจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน เตรียมงานกันมาเกือบจะอาทิตย์ได้ ซึ่งรวมระยะเวลาในการเตรียมงานนี้ก็มากกว่า 2 เดือนเข้าไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็เชื่อว่างานในวันนี้จะต้องเป็นที่ประทับใจของเหล่าสมาชิกใหม่อย่างแน่นอน และจะไม่มีปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น

 

“แจซอง วันนี้นายเซตผมมาด้วยสินะ ดูดีเลยนี่”

“พี่บอกว่า ‘ดูดีเลยนี่’ หรอครับ? ฮ่าฮ่า ผมดูดีอยู่เสมอนั้นแหละ”

มอลโรหญิงสาวรุ่นพี่ที่ดำรงตำแหน่งเลขาภาคีจู่โจมกล่าวแซวแจซอง ที่วันนี้จะต้องใส่ชุดพิธีการแบบเต็มยศ และไหนจะต้องเซตผมขึ้นอีก อาจจะดูหลงตัวเองในการที่จะว่าตนเองนั้นดูดีอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงคำพูดนั้นแทบจะถือได้ว่าน้อยกว่าจริงอยู่มาก ทุกคนในสถาบันรู้ดีว่าแจซอง แทบจะมีหน้าตาเป็นอาวุธอีกหนึ่งอย่างเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากความสูงที่สูงถึง 187 เซนติเมตร หุ่น และกล้ามเนื้อกำลังดูดี ดวงตากลมโตสีฟ้าเข้มอ่อนไล่ระดับกันอย่างสวยงาม คิ้วเรียวที่มักจะเชิดขึ้น เสริมกับริมฝีปากหนาบางกำลังดีที่เจ้าตัวมักจะมีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้าอยู่เสมอ ไหนจะไฝเจ้าเสน่ห์ที่แต่งแต้มไว้ที่ริมฝีปากล่างด้านขวา ไม่ใช้เพียงแค่หน้าตาหล่อเกินมนุษย์มนาไปหลายขุม ในเรื่องความสามารถของเจ้าตัวก็เป็นที่เลื่องลือเช่นกัน ระดับ A+ ในทุกแขนง จะมีข้อเสียอย่างเดียวที่ทำให้เขาพลาดตำแหน่งประธานไป คือ ความเจ้าอารมณ์ของตนเอง แต่ยังไงเขาก็เชื่อว่า "เอิล" เหมาะสมกับตำแหน่งประธานมากกว่าเขาอย่างแน่นอน



 

“ลำดับทุกอย่างคงจำกันได้ขึ้นใจกันหมดแล้วเนอะ ตอนที่จบพิธีอย่าลืมนะ อยู่นิ่ง ๆ เดี๋ยวคุโระกับชิโระจะพาเราเข้ามาเอง”

“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยนะ แค่เดินเข้ามาเฉย ๆ ไม่เห็นมันจะเป็นอะไรเลย”

ซาซายะ ประธานภาคีสืบสวนกล่าวขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

“ก็บอกไปแล้วไงว่า เพื่อความเท่ไง~ คิดดูสิวันนี้เป็นวันเปิดตัวของพวกเรานะ ต้องทำให้เด็กมันดูหน่อย…เราตกลงกันไว้แล้วนี้!"

เอิลประธานภาคีจู่โจมตอบรัว ๆ ด้วยแววตาตื่นเต้น ทำท่าทางประกอบเหตุผลที่เขาเอ่ย ทำให้คนอื่น ๆ โอนเอนตามเหตุผลนั้น หรือโอนเอนกับท่าทีน่ารักขี้อ้อนนั้นก็ไม่รู้

 

“ฮ่ะๆ!”

แจซองหัวเราะออกมากับความเล่นใหญ่ของเพื่อนของตน

 

“ใช่ไหมล่ะ แจซอง นายก็เห็นด้วยใช่ไหม”

“ครับ ๆ”

“ก็ตามนั้นแหละ”

ซิลเวียร์ประธานภาคีสนับสนุนกล่าวเสริม พร้อมกับทุกคนก็พยักหน้าไปตาม ๆ กัน

 

“ชิ! เอาเถอะ น่าจะใกล้ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ”

เมื่อซาซายะเห็นว่าตนไม่มีทางสู้เสียงข้างมากได้จึงเปลี่ยนเรื่อง และลุกยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวสำหรับพิธีที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีก 10 นาที เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันลุกขึ้นแล้วเดินตาม ๆ กันออกมา




 

11.20 น.

“…ตอนนี้พิธีก็ได้จบลงเรียบร้อย สำหรับผ้าคลุมเมื่อน้องผ่านทางประตูกลับไปจะมีเสื้อคลุมโผล่ออกมาเองนะครับ แยกย้ายได้ครับ”

 

ฟึ่บ!

เมื่อเอิลกล่าวต้อนรับเหล่าสมาชิกน้องใหม่จบลง พวกเขาก็ถูกเทเลพอร์ตกลับเข้ามา ณ ห้องประชุมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว




 

“อึก! จะอ้วกอุ๊ป!”

เสียงของหนึ่งในสมาชิกทีมบริหารเอ่ยขึ้นพร้อมกับวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“อึก…เข้าใจคุโระชิโระหน่อยเถอะ วันนี้เจ้าสองคนนั้นใช้พลังไปเยอะแล้ว รอบนี้เลยโคลงเคลงกว่าปกติหน่อย”

ซิลเวียร์เอ่ยขึ้นด้วยหน้าตาที่พะอืดพะอมเต็มที



 

“อืม แต่ก็ต้องขอบคุณเจ้าสองคนนั้นมาก ช่วยงานได้เยอะเลย”

“งานวันนี้ก็เรียบร้อยดีมาก ขอบคุณทุก ๆ คนที่พยายามกันอย่างหนัก”

“ก็เต็มที่กันมากจริง ๆ นั้นแหละ”

แจซองกล่าวขึ้นพร้อมกับค่อยถอดพวกผ้าคลุมต่าง ๆ ออก ด้วยความอึดอัดพร้อมกับเดินไปอีกห้องเพื่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเอง




 

“งั้นวันนี้แยกย้ายกันก่อน เดี๋ยวค่อยคุยสรุปงานวันพรุ่งนี้ละกัน โอเคนะ”

“รับทราบ~”

ทุกคนขานรับกันแล้วจึงค่อย ๆ แยกย้าย ถือว่าโชคดีที่รอบการดำรงตำแหน่งทีมบริหารของพวกเขาทุกคน มีสมาชิกที่กลมเกลียวกัน เมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเคยได้ยินมาว่ามีทีมบริหารที่ไม่ลงรอยกันขนาดที่แทบถ้าแทงกันคงแทงไปแล้ว ได้ยินเหตุผลมาว่าเพราะแบ่งผลประโยชน์เบื้องหลังกันไม่ลงตัว แถมยังมักจะโต้แย้ง เสียดสีกันไปมา เพราะความคิดที่ไม่ลงรอยกันอยู่เสมอ และบรรยากาศก็ยิ่งแย่ลงขึ้นไปอีกในช่วงที่ต้องเตรียมงาน อาจเพราะพักผ่อนน้อยยิ่งทำให้อารมณ์บูดกันเข้าไปอีก จนในปีนั้นต้องยุบทีมบริหารลงแล้วให้ฝ่ายปฏิบัติเข้ามาดูแลแทนจนหมดปีการศึกษานั้น ถึงได้แต่งตั้งทีมใหม่กันขึ้นมา




 

“แจซอง! เดี๋ยวไปตรงประตูหอคอยด้วยกันหน่อยดิ”

“ไปทำไมอะ”

ในขณะที่แจซองกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า และคิดอะไรไปเพลิน ๆ เอิลก็เดินเข้ามาในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับเอ่ยชวนเขาไปยังประตูหอคอยกลาง




 

“มีนัดนิดหน่อยอะ"

"นัดอะไร?"

"อ่า มีนัดกับพี่ซาซายะนิดหน่อยที่ประตูทางเข้าของภาคีสืบสวนอะ”

“ฮ่ะฮ่ะ ทำไมไม่ไปคนเดียวล่ะ”  แจซองเอ่ยทีเล่นทีจริง เพราะอยากจะแซวความสัมพันธ์ของเหล่าประธานของภาคีทั้งสอง

“เอาหน่าไปด้วยกันหน่อย!”

“เออๆ”

ตอนนี้เขากำลังยืนรอเอิลเพื่อนของตนที่บอกว่ามีธุระกับพี่ซาซายะ ที่ประตูทางเข้าภาคีสืบสวนของหอคอยกลาง เขายืนพิงต้นไม้มองวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ไปเรื่อย ไม่รู้ว่าทั้งสองนั้นไปสานสัมพันธ์กันเมื่อไหร่ ถ้าฝั่งเพื่อนเขา ตัวเขาเองก็พอจะดูออกอยู่ว่าเอิลแอบชอบรุ่นพี่ประธานภาคีสืบสวนมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว แต่ว่าฝั่งพี่ซาซายะนี้สิไม่รู้ไปแพ้ลูกอ้อนอันไหนของเพื่อนเขากัน ถึงความสัมพันธ์ในปัจจุบันถึงได้มีการแอบนัดเจอกันอยู่บ่อย ๆ คิดแล้วก็เหลือเชื่อ

ฟึ่บ!

ในขณะที่แจซองกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ จู่ ๆ ก็มีเด็กปี 1 คนนึงโผล่ออกมาจากทางเข้าพร้อมกับผ้าคลุมที่ปรากฏขึ้นบนบ่าของเด็กคนนั้น เด็กตรงหน้ามีท่าทีเฉยเมินอย่างเห็นได้ชัด แจซองค่อย ๆ สำรวจไปที่รุ่นน้องตัวเล็กคนนั้นที่ไม่มีท่าทีจะเห็นเขาที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ด้านหลัง เยื้องกับตนเลยสักนิด คนตัวเล็กตรงหน้ามีเส้นผมสีแดงอมส้ม หูเล็กแหลม น่าจะเป็นครึ่งมนุษย์อมนุษย์หรือเปล่านะ? ไม่ใช่เอลฟ์…พรายเหรอ? หางตาชี้ขึ้นดวงตากลมโตสีเดียวกับเส้นผม จมูกเล็กรั้นเชิดขึ้น รับกับริมฝีปากบางที่ไม่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เลย

แต่เดี๋ยวก่อนเวลานี้นักเรียนปี 1 น่าจะยังไม่ออกมากันสิ ถึงงานจะเลิกแล้ว แต่ก็จะมีการพูดคุยนัดหมายต่าง ๆ กันอยู่ดี ไหนกว่าจะเดินออกมาจากหอคอยกลางได้อีก เจ้าเด็กนี้มาอยู่ตรงนี้ได้ไงกันเนี่ย? จะรีบไปไหนขนาดนั้น? หรืองานวันนี้ไม่ประทับใจรุ่นน้องตรงหน้าเหรอ?




 

“เจ้าหนู จะรีบไปไหนล่ะ”

ด้วยความอยากรู้ของแจซอง จึงเอ่ยถามรุ่นน้องตรงหน้าขึ้น คนตรงหน้าสะดุ้งตัวเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองที่แจซองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“…มันไม่ใช่เรื่องของพี่นะครับ”

“ห๊ะ?!”

สองคิ้วของเขาขมวดยุ่งเหยิง ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรตอบกลับไป รุ่นน้องตรงหน้าก็หายวับไปกับตา สมองของแจซองตอนนี้กำลังสับสนเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องของเขางั้นเหรอ? เมื่อเขาประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ได้ว่า ได้ถูกรุ่นน้องด่าว่า ‘อย่าเสือก’ นี้หน่า อารมณ์โมโหแทบจะปะทุออกมา ไอเด็กเวรนี้…

 

 

“แจซอง! ไปเถอะ”

“อืม”

“เป็นไรอะ?”

เอิลที่ทำธุระของตนเองเสร็จ ก็วิ่งออกมาคล้องคอแจซองอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อเห็นว่าเขามีท่าทีนิ่งเงียบกว่าปกติ จึงเอ่ยถามออกมา

“เปล่า ธุระเสร็จแล้วรึไง?”

“เรียบร้อย หิวยัง?แต่ฉันว่าจะไปดูความเรียบร้อยของภาคีเราอีกนิดหน่อยว่ะ”

“ยัง…ไปดิ”

แต่ไม่เป็นไรยังไงเขาก็ยังมีโอกาสได้เจอรุ่นน้องคนนั้นอีกแน่นอน เพราะสถาบันอิโอเนีย เน้นเรื่องการทำงานกันเป็นทีม ไม่นานต้องเจอกันแน่นอน เพราะเขาจำหน้าของไอเด็กเวรนี้ ได้แทบจะฝังลึกเข้าไปในสมองของเขาแล้ว



 

.

.

.

 

14.00 น.

“เฮ้อ~เสร็จแล้วปะ?”

“เสร็จแล้ว”

“เชี่ย!! เยอะชิปหายเลย”

“นั้นดิไหนอาจารย์ว่านิดเดียว หลอกกันชัด ๆ”

ตอนนี้แจซอง และแก๊งเพื่อน ๆ ปีสามของเขากำลังอยู่ที่ตึกเรียน เนื่องจากอาจารย์วิชาอุปกรณ์วิเศษ ได้ไหว้ให้พวกเขามาช่วยขนเจ้าพวกอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ประกอบการเรียนการสอนที่จะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้




 

“เบื่อว่ะ”  แจซองกล่าวออกมาอย่างเซ็ง ๆ ไม่รู้ทำไมแต่เขารู้สึกว่าวันนี้ช่างยาวนาน ไม่จบวันเสียที

“เล่นลานน้ำแข็งปะ?”  เพื่อนในกลุ่มคนนึงเอ่ยแสดงความเห็นการละเล่นประจำกลุ่มขึ้น 

“ไม่เอาอะ...ไม่อยากเล่น”  แจซองปฏิเสธด้วยท่าทีเบื่อหน่ายเหมือนเดิม

“แน่ดิ...ก็ไอแจซองแม่งกาก สร้างแต่ทางตรงง่าย ๆ ไม่เบื่อก็แปลกละ”

“เออ แม่งน่าเบื่อ” เพื่อนคนนึงกล่าวเสริม

“ห๊ะ?!”

แจซองถามเสียงหลง น้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มครุกกรุ่น ซึ่งเพื่อน ๆ ในกลุ่มก็รู้ดีถึงความเจ้าอารมณ์ของแจซองจึงช่วยกันเอ่ยเสริมทัพ เพื่อให้แจซองทำในสิ่งที่พวกตนต้องการ

 

“ตามนั้นอะกาก น่าเบื่อ~”

“จริง”

"เขาถึงบอกไง ใจกาก...อย่าปากเก่ง"

“ก็มาลองใหม่ดิ!”

“เห้ยยย!!!”

ยิ่งสำหรับวันนี้ที่แจซองสะสมความหงุดหงิดมาตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยง อารมณ์จึงถูกจุดติดง่ายกว่าปกติ แจซองสร้างเส้นทางน้ำแข็งใต้เท้าของเพื่อน ๆ ในกลุ่มทุกคนอย่างฉับพลัน ไม่รอให้ทุกคนเตรียมตัว จึงทำให้ทุกคนแทบล้มทั้งยืน เพราะความลื่นที่ไม่ทันได้เตรียมใจ นอกจากนั้นแจซองยังไม่สร้างให้ด้านบนแข็งตัวแบบปกติ แต่กับทำให้มันถูกละลายนิดหน่อย เพิ่มความลื่นเข้าไปเป็นสองเท่า



 

“ไหน โชว์ท่ายากให้กูดูหน่อยดิ้!”

“กรี๊ดดดด!!”

แจซองว่าพร้อมกับสร้างทางไปด้านหน้าลาดชันลงไป เพื่อบังคับให้เพื่อนทุกคนที่กวนอารมณ์ของเขาเมื่อสักครู่ไถลไปด้านหน้าตามเส้นทางที่เขาได้สร้างขึ้น เขาสร้างให้ทางน้ำแข็งนั้นคดเคี้ยวไปมา เพิ่มความหน้าหวาดเสียว ตอนนี้ทั้ง 6 คน กำลังไถลไปด้านกับทางน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว มีแค่แจซองเท่านั้นที่ยังคงยืนกอดอกได้อย่างมั่นคง




 

“ว๊ากกกก!!!! กรี๊ดด”

“ฮ่าฮ่าๆๆ!!”

ในขณะที่เพื่อน ๆ ของเขากำลังกรี๊ดกันอย่างหวาดกลัว แจซองกลับหัวเราะราวกับคนบ้า เหมือนกับความโกรธที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยมาตลอดตั้งแต่เที่ยงนี้ ถูกระบายออกมากับการละเล่นของพวกตน เขาพาเพื่อน ๆ ไถลไปตามทางเรื่อย ๆ จนตอนนี้มาโผล่ที่สระน้ำด้านหลังตึกเรียน เมื่อเห็นว่าตรงนี้เป็นทางที่ค่อนข้างโล่งกว่าก่อนหน้านี้จึงยิ่งเพิ่มความเร็วมากขึ้นไปอีก




 

“เห้ยๆๆๆ!!! แจซองอย่ารีบดิวะ ว๊ากกกก”

“ฮ่าฮ่าฮ่าๆๆ”

“กรี๊ดดดด นายอย่าดันฉันสิ โถ่เอ้ย จะล้มอยู่แล้ว”

“พวกแกขอให้ทำเองนะเว้ย!!! เร็ว ๆ ดิ ฮ่าฮ่าฮ่า”

“แม่งเอ้ยยย!!!! หยุดก่อนดิ้ ๆ”

“หู้ววววว!!!! ฮ่าๆๆๆ”

ตอนนี้แจซองเริ่มผ่อนคลายไปกับการที่ได้แกล้งเพื่อน ๆ จึงสร้างทางน้ำแข็งของเขาให้สูงขึ้นไปเหมือนกับกำลังไต่ขึ้นหน้าผา แล้วทำทางลงที่ลาดชันเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้เพื่อนของเขามากขึ้นไปอีกขั้น เมื่อไถลลงแล้วจึงสร้างโค้งหักศอกวนเลี้ยวกลับไปกลับมา

“แจซอง ไอบ้าจะวนกลับไปกลับมาทำเหี้ยไรวะ ไอเชี่ยยย!!!”

"แหวะ จะอ้วก!!!”

“ฮ่าๆๆ เมื่อกี้ยังบอกว่ากระจอกอยู่เลยนี่!!”

เขาพาเพื่อน ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ และวนไป วนมาจนทุกคนเริ่มมีท่าทีเหมือนจะสำรอกอาหารเที่ยงกันออกมาเต็มทีแล้ว

 

“กรี๊ดดดด!!!!”

“ฉันขอโทษๆ!!”

“อย่าทำอะไรบ้า ๆ ถ้าพวกฉันตกลงมาคอหักตายล่ะ!”

“เรื่องของแกสิ”

“ว๊ากกกกกก/กรี๊ดดด!!!”



 

“เห้ย!!! ถึงสระน้ำพอดีเลยว่ะ อยากลองดูหน่อยไหม?!”

“ไม่เอาาา!!!”

เมื่อพาเพื่อนขึ้นลง วนไปมาจนพอใจแล้วก็เหลือบไปเห็นสระน้ำใหญ่พอดี เห็นดังนั้นก็ตั้งใจว่าจะพาเพื่อนของตนลงไปเล่นในน้ำกันสักหน่อย แจซองจึงเตรียมจะสร้างทางโค้งเปลี่ยนเส้นทางลงไปยังสระน้ำ



 

‘พี่ครับช่วยเงียบหน่อยครับ มันรบกวนผม’

ทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงกระซิบขึ้นที่ข้างหูของเขา แจซองสะดุ้งตัวโหยง เพราะเสียงกระซิบนั้นชัดเจนมาก และเขามั่นใจว่าไม่ใช่เสียงของเพื่อนคนใดคนนึงของเขาแน่นอน แจซองจึงมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่มาของเสียง เขามองซ้าย มองขวาแต่กลับไม่เจออะไร ผีเหรอ?!แต่เขาก็รู้สึกเหมือนเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน จนเขากลับหลังหันเพื่อมองไปทางด้านอีกฝั่ง ก็สอดประสานเข้ากับสายตาสีแดงอมส้มที่กำลังจ้องมาที่เขาอยู่ ไอ้เด็กเวรนั้นนี้ เด็กคนนั้นผงกหน้าลงให้เขาเล็ก ๆ แล้วเบือนสายตากลับไปมองที่หนังสือของตนเองเหมือนเดิม จำเขาไม่ได้งั้นเหรอ? เด็กคนนั้นกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นหลิวใหญ่ เขาถูกล้อมรอบไปด้วยกิ่งของต้นหลิวที่พลิ้วไหวไปตามลม เส้นผมสีเดียวกับตาของเด็กคนนั้นค่อย ๆ ปลิวพัดไปตามลมน้อย ๆ แสงแดดบาง ๆ ถูกกิ่งของต้นหลิวที่บดบังเพียงแค่บางส่วน สาดส่องไปที่คนตัวเล็กใต้ต้นหลิว

‘พี่ครับช่วยเงียบหน่อยครับ มันรบกวนผม’

อยู่ดี ๆ เสียงกระซิบที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ก็ดังก้องทวนขึ้นมาในหูของเขาอีกครั้ง...




 

“แจซอง? มึงเป็นไรอะ ร้อนอ๋อ?”

เพื่อนคนนึงเอ่ยถามขึ้น เมื่อเห็นท่าทีแปลก ๆ ของแจซอง ที่อยู่ ๆ ก็หยุดการกลั่นแกล้งโดยฉับพลัน แล้วมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนคนเจอผี แล้วไหนจะตอนนี้อีกที่ใบหน้าของแจซองก็ขึ้นสีแดงไปทั่วใบหน้า และลามไปจนถึงใบหู

“ปะ เปล่า มึงกูลืมว่ามีธุระว่ะ ลิเดียมึงวาปกูกลับหอหน่อยดิ”

แจซองหันไปวานเพื่อนในกลุ่มที่มีพลังเทเลพอร์ตอีกคนหนึ่ง ลิเดียเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มของแจซอง เธอมีพลังเทเลพอร์ต และความเร็วแสง นอกจากนั้นยังมีพลังกำลังมหาศาล จึงทำให้เธอเป็นระดับทอปของรุ่นเช่นกัน

 

“อ๋อ เออ ๆ รีบไป”

เธอตอบตกลงพร้อมกับยื่นมือไปทางแจซอง ทันใดนั้นแจซองก็หายไปแวบไปทันที



 

“วันนี้แจซองแม่งแปลก ๆ เนอะ”

“เหนื่อยแหละมั้ง”

“พวกเราก็ไปกันเถอะ”

“มึงแล้วไมไม่วาปกลับไปพร้อมกันเลยวะ?”

“เออลืม!!”

 

.

.

.



 

เมื่อแจซองถูกวาปกลับมาที่หน้าหอพักภาคีจู่โจมของเขา เขาก็รีบวิ่งขึ้นไปยังห้องของตนเองทันที เมื่อถึงห้องของตนเองเรียบร้อย เขาจัดการล๊อคประตูต่าง ๆ ให้เรียบร้อย นั่งลงบนเตียง พร้อมกับค่อยปลดกางเกงของตนลง แล้วจับไปยังแก่นกายใต้กางเกงที่แข็งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อกี้ จนเขาแทบจะกระอักตายกว่าจะมาถึงห้องของตน แจซองใช้มือจับไปที่แก่นกายร้อนของตนอย่างรีบร้อน แล้วชักขึ้นชักลงอย่างรวดเร็ว

“อึก เชี่ย…แม่งเอ้ย”

แต่ชักไปเท่าไหร่ก็ไม่มีท่าทีที่ความกำหนัดของเขาจะลดลงเลย

‘พี่ครับ’

เสียงของเด็กที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นมาในหัว เสียงดังชัดเจนก้องกังวานไปทั่วในหัวของเขา พร้อมกับความรู้สึกที่ร้อนรุ่มมากกว่าเดิม แจซองจึงถือโอกาสนี้เพิ่มความเร็วในการชักแก่นกายของตน เขาพยายามไม่นึกถึงใบหน้าเล็กที่มากวนใจเขา แต่ยิ่งพยายามไม่คิดก็เหมือนเป็นตอกย้ำ ใบหน้าร่างเล็กชัดเจนขึ้น เขาอยากรีบทำให้จบ ๆ จึงลองคิดถึงตอนที่ตนค่อย ๆ ใช้ลิ้นร้อนแลบเลียใบหูเล็กแหลม มือปัดป่ายบีบไปทั่วเรือนร่างเล็กบาง มือของเขาค่อย ๆ เลื้อยเข้าไปใต้ผ้าคลุมสีน้ำตาลนั้น ปัดป่ายบีบเค้นที่อกบาง พร้อมกับบดจูบปากบางเล็ก ๆ นั้น ทันใดตัวของแจซองก็กระตุกพร้อมกับปล่อยน้ำกามแห่งความอัดอั้นออกมา แจซองหอบหายใจ ใบหน้าขึ้นสีแดงจากอุณหภูมิในร่างกายที่สูงกว่าปกติ

‘แม่งเอ้ย…’





 

.

.

.

 

17.30 น.

พอเขาได้ปลดปล่อยความใคร่ออกจึงรู้สึกสบายตัวขึ้นบ้าง ความหงุดหงิดต่าง ๆ ก็พลันหายไปเช่นกัน แต่พอลองนึกถึงเรื่องที่ทำลงไป ความอับอายก็วาบขึ้นมาแทนที่ทันที เขาได้ทำเรื่องน่าอายกับรุ่นน้องที่เคยคุยกันไม่ถึงสามประโยคด้วยซ้ำ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเป็นที่สุด อาจเป็นเพราะจากการเตรียมงานพิธีแรกเข้ามาตลอด เกือบสองเดือนที่เขาแทบไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย ปกติเดือนนึงเขาต้องได้ทำเรื่องอย่างว่าสัก 3-4 ครั้งเสียด้วยซ้ำ ต้องเป็นเพราะอัดอั้นมานานแน่นอน ถึงทำให้เขาดันหวั่นไหวกับแค่เสียงกระซิบของเด็กคนนั้น มันก็เท่านั้นแหละ....เขาควรเลิกคิดเรื่องนี้แล้วไปหานัดสักครั้งดีกว่า

วันนี้เขาเป็นเวรในการเฝ้าที่ด้านหลังของภาคีจู่โจม ตอนนี้แจซองจึงกำลังเดินตรวจตราตามบริเวณที่ตนรับผิดชอบ เมื่อเขากำลังจะเลี้ยวเข้าไปที่หลังตึกของภาคีจู่โจม ภาพอุจาดตาของคนสองคน คนนึงกำลังใช้ปากกอบกุมแก่นกายร้อนของอีกคนอย่างดุเดือด ฮ่ะ ๆ ไอเจ้าพวกนี้มันช่างกล้ากันจริง ๆ ถึงตรงนี้มันจะค่อนข้างเปลี่ยว แต่การ outdoor แบบนี้ มันก็ค่อนข้างจะต้องใจกล้าหน้าด้านมากพอควร แต่มันก็ออกจะสร้างความตื่นเต้นได้ไม่น้อยสินะ

 

‘อื้อ~ พี่ครับ พอเถอะนะครับ เดี๋ยวมีคนเห็นเข้า’

อยู่ดี ๆ เสียงของเด็กคนนั้นก็ก้องขึ้นมาในหัวของเขาอีกแล้ว แถมยังเป็นประโยคที่สุดแสนจะ… แจซองเอามือปิดปากตนเองอย่างขลาดเขิน เพราะในตอนนี้เขารู้ได้เลยว่าหน้าของต้องแทบจะเหมือนมะเขือเทศแล้วอย่างแน่นอน รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างกาย เขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ ๆ หากคนตัวเล็กมารู้ว่าเขามีความคิดคุกคามร่างเล็กขนาดนี้ ไม่พ้นถูกหาว่าเป็นโรคจิตอย่างแน่นอน ตอนนี้เขากลับไปพักก่อนดีกว่า เขาก็ไม่นึกอยากจะเข้าขัดการร่วมรักของใครอยู่แล้ว แจซองตบข้างแก้มตนเองทั้งสองข้างเบา ๆ เพื่อเรียกสติ แล้วเดินกลับไปตามทางที่ตนผ่านมา เมื่อเขากำลังเดินหันหลังกลับ เขาก็พบกับเจ้าเด็กที่เป็นเจ้าของผมสีแดงอมส้มนั้น เจ้าของเสียงที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจมาตั้งแต่เช้า กำลังเดินไปทางเดียวกับที่เขากำลังไปมาก่อนหน้านี้ แจซองรีบหลบตัวเองไปในพุ่มไม้ เพื่อซ่อนตัวไม่ให้เด็กคนนั้นเจอเข้า แอบมองว่าเด็กคนนั้นกำลังจะไปไหน....!!แต่ซ่อนได้ไม่นาน แจซองก็ต้องรีบออกจากที่ซ่อนเพื่อวิ่งเข้าไปปิดตาเจ้าเด็กตรงหน้าเขา ก่อนที่จะเห็นอะไรแล้วใจแตกขึ้นมา เขาวิ่งไปด้านหลังของเด็กคนนั้นพร้อมกับโอบมือไปด้านหน้า ใช้มือใหญ่ของตนปิดเข้าที่ตาทั้งสองข้าง มืออีกข้างก็โอบล๊อกตัวของคนตรงหน้าไม่ให้ก้าวเดินต่อไป จากระยะตรงนี้ยังคงไม่ได้มองเห็นอะไร

“เด็กน้อยฉันว่านายควรไปใช้เส้นทางอื่นก่อนดีกว่านะ จะไปไหนล่ะ ไม่ใช่ภาคีจู่โจมด้วยนี้”

“ผมแค่จะไปสวนพักผ่อน”

“อ๋อ งั้นไปทางนี้นะ”

เมื่อแจซองรู้ถึงเหตุผลที่คนตัวเล็กตรงหน้าเป้าหมายที่ทำให้คนตรงหน้ามาป้วนเปี้ยนแถวนี้ได้ แจซองก็บังคับคนตรงหน้าพาเดินหลังกลับไปอีกทาง แต่เขาแอบเกิดความไม่เข้าใจว่าทำไมคนตรงหน้าถึงไม่ใช่เส้นทางปกติ และเลือกทางที่คนปกติเขาไม่มากัน หรือเป็นเด็กที่เพื่อนไม่คบนะ เพราะตั้งแต่ที่เขาพบเจอกับเด็กคนนี้มาก็ไม่เคยเห็นจะมีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ สักคน แถมตอนที่เจอที่ประตูภาคีก็รีบออกจากพิธี โถ่~เด็กน้อยไม่มีเพื่อนนี้เอง ถึงได้มาใส่อารมณ์กับเขา

“ปล่อยนะครับ”

เมื่อถูกใครไม่รู้มาบังคับให้เปลี่ยนเส้นทาง คนตัวเล็กตรงหน้าจึงขัดขืน พร้อมกับพยายามดึงมือของแจซองออก แต่ไม่มีอะไรเกิด ไม่รู้ว่าเพราะขนาดตัวที่แตกต่างกันมากหรือเปล่า เด็กคนนี้จึงแทบจะจมเข้าไปในร่างของเขา

 

“คุณเป็นใครน่ะ ปล่อยผมนะ” คนตัวเล็กด้านหน้ายังคงพยายามขืนตัว และดิ้นหนี

 

ฟึ่บ

เมื่อถึงที่ที่คิดว่าปลอดภัยจากคู่นักรักชอบความหวือหวาแล้ว แจซองจึงปล่อยให้คนตรงหน้าได้เป็นอิสระ เมื่อคนตัวเล็กหลุดออก ก็รีบหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึงทันที เห็นดังนั้นแจซองจึงยิ้มให้คนตรงหน้าไปหนึ่งที

 

“…”

“อันยอง เด็กน้อย นายคือคนที่มากระซิบบอกให้ฉันเงียบที่สระน้ำใช่มั้ย พลังของนายเหรอ ทำได้ไงน่ะ”

เขาถามคนตรงหน้า ความจริงก็ไม่ใช่ประโยคคำถามสักเท่าไหร่ เพราะเขาก็มั่นใจว่าเป็นคนเดียวกับที่สระน้ำแน่นอน

 

“…”

แต่ไม่มีคำตอบใด ๆ หลุดออกมาจากคนตรงหน้าสักนิด มีเพียงใบหน้าเรียบตึงนิ่งเฉยเท่านั้น ที่เขาได้รับกลับมา เหอะ!

 

“เป็นใบ้เหรอเจ้าหนู?”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณนะครับ”

แจซองถามคนด้วยอารมณ์ที่แอบครุกกรุ่นเล็ก ๆ ในจิตใจ ที่เขาพูดดีด้วยก็เพราะสงสารที่เพื่อนไม่คบเท่านั้น อย่าทำเป็นได้ใจไปหน่อยเลย แต่เมื่อเด็กคนนั้นได้ยินเขาถามแบบนั้นก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย พร้อมกับพูดประโยคที่เขาได้รับมาแล้วเมื่อตอนเช้า คนตรงหน้าไม่สาวความอะไรต่อพร้อมกับเดินไปด้านหน้า แล้วมองทางซ้ายขวา น่าจะกำลังสับสนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

 

“ถ้านายจะไปที่สวน นายเดินออกแยกไปทางนี้ ตรงไปเรื่อย ๆ จะเห็นประตูหลังของสวน แต่มันเข้าไม่ได้นะ นายต้องอ้อมไปตรงทางสนามฝึก มันจะมีตรอกเล็ก ๆ ทางเข้าอยู่ซ้ายมือ เข้าใจรึเปล่า?”

แต่เขาก็ไม่ใช่รุ่นพี่ใจร้ายที่รังแกเด็กปี 1 เขาจึงตัดสินใจบอกเส้นทางเหล่านั้นให้กับคนตรงหน้าไป พร้อมกับที่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้กับคนตรงหน้ามากขึ้น




 

“ขอบคุณครับ”

เด็กคนนั้นกล่าวขอบคุณ แต่ไม่ยักจะหันมาขอบคุณให้มันดี ๆ ไม่มีมารยาทเอาซะเลย ภาคีสืบสวนเขาสอนมารยาทกันแบบนี้เหรอ สงสัยคงได้เสนอประชุมเรื่องการอบรมมารยาทสักหน่อยแล้วล่ะมั้ง

 

“นี้เจ้าหนูรู้รึเปล่า ว่าทำไมฉันถึงพานายออกมาทางนี้?”

“…”

เมื่อเขาถามขึ้น คนตรงหน้าก็หันมามองเขาอย่างรวดเร็วดังคาด

 

“เขาอม*วยกันอยู่น่ะ”

เมื่อแจซองพูดพร้อมทำท่าประกอบจบ ใบหน้าของเด็กตรงหน้าก็ขึ้นเป็นสีแดงลามไปทั่วทันที ไม่รู้เป็นเพราะความโกรธ หรือความอายกันแน่

“ฮ่ะ”

เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาจากเด็กน้อยตรงหน้าก็ถึงกับตาโต แล้วยกยิ้มขึ้นส่งให้คนตรงหน้าไปหนึ่งที เมื่อคนตรงหน้าเห็นเขายิ้มให้ก็เหมือนกับกำลังจะสำลักอะไรสักอย่าง

 

ฟึ่บ!

เหมือนกับเมื่อเช้าเด็กตรงหน้าก็หายไปจากสายตาเขาอีกแล้ว เด็กคนนี้มีพลังอะไรกันนะ? อยู่ภาคีสืบสวน เดี๋ยวเขาค่อยฝากเอิลไปถามซาซายะเอาก็ได้ ช่างเถอะเดี๋ยวเขาก็รู้เองนั้นแหละ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแปลก ๆ แจซองจึงเดินเตะลมกลับไปที่ป้อมของตนเองอย่างอารมณ์ดี




 

.

.

.




 

08.05 น.

ยังไม่ได้พักผ่อนเต็มที่สักเท่าไหร่เลยเขาก็ต้องเข้าสู่ช่วงชั้นปีที่ 2 เสียแล้ว ตอนนี้แจซองกำลังเดินอยู่บนโถงทางเดินของตึกเรียนชั้นที่ 5 เนื่องจากวันนี้เขาไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียนสักเท่าไหร่เลย จึงขออนุญาตอาจารย์ประจำวิชาการจัดการกองกำลัง ออกมาเดินรับลมเสียหน่อย ยังไม่ทันเดินถึงไหน ตรงหน้าเขาก็ปรากฏรุ่นน้องร่างบางเจ้าของเส้นผมสีแดงอมส้ม อีกแล้ว? ทำไมเด็กคนนี้ถึงปรากฏไปในทุก ๆ ที่ที่เขาไปเลยนะ

“…”

มองอะไรอยู่น่ะ? เด็กคนนั้นกำลังยืนเท้าที่สันหน้าต่างมองอะไรสักอย่างด้านล่างของตึกเรียน แจซองจึงมองลงไปตามที่ร่างบางตรงหน้ากำลังมองอยู่เช่นกัน อ๋อ การทดสอบสมรรถภาพของเหล่าเด็กปี 1 ของภาคีสนับสนุนนี้เอง มีเพื่อนอยู่เหรอ? นิสัยแบบนี้มีเพื่อนกับเขาด้วยเหรอห๊ะ? เขายืนมองเด็กน้องตรงหน้าสักพักก่อนจะคิดอะไรบางอย่างได้




 

ผลัก!

เขาผลักเด็กน้อยตรงหน้าอย่างรุนแรง จนเด็กคนนั้นถลาออกจากหน้าต่างไป ฮ่าฮ่า! เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยที่เขาออกแรงผลักกำลังจะร่วงหล่นสู่พื้นก็จับที่เสื้อคลุมของเด็กคนนั้น กระชากแรง ๆ ให้เด็กน้อยไปตกลงสู่อ้อมแขนของเขา ไม่ใช่ตกจากตึกตายไปเสียก่อน แขนแกร่งล๊อกร่างเล็กตรงหน้าไว้ ไม่ให้ขยับเขยื้อนไปไหน เด็กตรงหน้ามีสีหน้าที่กำลังเสียขวัญเป็นอย่างมาก มองมายังเขาด้วยท่าทางตกใจ แต่ไม่นานคิ้วเล็ก ๆ นั้นก็ขมวดมุ่นจนแทบจะเป็นปม เขาจึงยิ้มให้เด็กน้อยตรงหน้าไปอย่างเป็นมิตร



 

“ขอโทษที พอดีมือมันลื่นน่ะ”

“…”

แจซองกล่าวขอโทษที่ต่อให้เป็นใคร ก็คงไม่เชื่อว่านี้เป็นการขอโทษที่ออกมาจากใจ

 

“ทำแบบนี้ทำไมครับ?”

เด็กน้อยตรงหน้าถามด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว พร้อมกับพยายามขืนตัวจากอ้อมแขนของเขา ตัวเล็กมาก ๆ เลยแฮะ แรงก็ไม่ค่อยจะมี จะไปสู้อะไรใครเขาได้ นี้ทดสอบสมรรถภาพผ่านแล้วเหรอ อ๋อ ภาคีสืบสวนทดสอบพรุ่งนี้นี้หน่า แจซองเพิ่มแรงล๊อคคนตรงหน้ามากขึ้น อยู่นิ่ง ๆ เถอะ





 

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันแค่แกล้งหยอกเล่นเอง”

เมื่อเห็นคิ้วเด็กน้อยตรงหน้าขมวดมุ่น ก็แอบอยากมองเห็นสีหน้าอื่น ๆ ของคนตรงหน้าดูบ้าง จึงเอื้อมมือของตน เอานิ้วชี้ไปจิ้มที่ระหว่างหัวคิ้วเล็ก ๆ นั้น

“ปล่อยครับ” เด็กน้อยตรงหน้าเอ่ยถามเสียงแข็ง

“ฉันชื่อแจซองนะ จอง แจซอง…”

 

พรึ่บ!

“อ่าวเฮ้ย! อีกแล้วเหรอวะ!”

แม่งเอ้ย! อีกแล้ว ไม่ทันที่จะคุยกันรู้เรื่องเด็กตรงหน้าก็หายตัวไปอีกแล้ว ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้หนีเขานัก ถ้าเป็นเรื่องที่เขาแกล้งเขาก็พอเข้าใจได้ แต่เด็กคนนี้หนีเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเจอกันด้วยซ้ำ เขาไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย…





 

10.00 น.

“แจซอง วันนี้มึงเป็นบรรณารักษ์ใช่ปะ?”

เอิลถามแจซองที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กัน ในห้องเรียนวิชาอุปกรณ์วิเศษ วันนี้เนื่องจากเป็นคาบแรก อาจารย์จึงแค่แนะนำว่าวิชานี้จะเรียนอะไรบ้าง แล้วแนะนำข้อมูลอุปกรณ์ต่าง ๆ

 

“เออ ขี้เกียจว่ะ ไปแทนให้หน่อยดิ”

แจซองกล่าวพร้อมกับทำท่าบิดขี้เกียจ เหยียดแขน แล้วฟุ่บลงไปบนโต๊ะเรียนของเขา

 

“อะไร? มึงเป็นอะไรตั้งแต่เมื่อวานละนะ ไอพวกนี้มาเล่าให้กูฟังว่ามึงทำตัวแปลก ๆ”

“ยุ่งจริง”

แจซองบอกปัดอย่างรำคาญ

 

“หงุดหงิดกว่าปกติอีกนะ อยากให้คนอื่นมาเห็นมุมนี้มึงจริง ๆ”

“ไม่ไปก็บอกไม่ไป แค่นี้จบ”

แจซองกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน เอามือทั้งสองข้างตนสอดประสานกันไปวางไว้ที่ท้ายของตนด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้

 

“เหอะ! ไอนี้”

แจซองเดินออกไปจากห้องเรียน ไม่รอเอิลเพื่อนของตนแต่อย่างใด ก้าวเดินไปยังห้องสมุดที่วันนี้ตนมีหน้าที่ในการไปเป็นบรรณารักษ์แทนอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีธุระต้องออกไปข้างนอกอยู่เสมอ จะให้ศิษย์รักอย่างเขาปฏิเสธ ก็คงจะทำให้อาจารย์ผิดหวังไม่น้อย จึงต้องยอมรับมาอย่างจนใจ จากภายนอกที่ดูยิ้มแย้มของเขา ถ้าไม่สนิทหรือเป็นเพื่อนในกลุ่มคงคิดว่าเขาเป็นพวกอัธยาศัยดีเป็นอย่างแน่นอน แต่ความจริงจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เพราะเขาก็ถือเป็นหนุ่มเจ้าสำราญพอตัว เพียงแต่เขาแค่มีอารมณ์ที่รุนแรงกว่าคนอื่นอยู่สักหน่อย และขี้หงุดหงิดเป็นอย่างมาก แต่เนื่องด้วยภาพลักษณ์ และตำแหน่งต่าง ๆ จึงทำให้เขาต้องเก็บงำนิสัยตรงนี้ไว้อย่างมิดชิด เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรสักเท่าไหร่หรอก




 

-ห้องสมุด-

“แจซองขอบคุณเธอมาก ๆ นะ ถ้าไม่ได้เธอ อาจารย์แย่แน่ ๆ เลย คงจะรู้ระบบอยู่แล้วเนอะ ฝากด้วยล่ะ อาจารย์ไปก่อนนะ”

อาจารย์ห้องบรรณารักษ์เมื่อเห็นหน้าเขาก็รีบหยิบกระเป๋าของตนเดินเข้ามาขอบคุณแจซองอย่างลวก ๆ แล้วรีบออกไปในทันที แจซองได้เพียงยิ้มให้กับอาจารย์อย่างเป็นมิตรแบบทุกครั้ง ฮ่ะๆ จะไม่รู้ระบบได้ยังไงล่ะ เขาแทบมาทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์แทนอาจารย์ เดือนละ 4-5 ครั้งด้วยซ้ำ ๆ แจซองค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งของตน แล้วค่อย ๆ หยิบหนังสือจดรายชื่อขึ้นมา เช็กข้อมูลอะไรนิดหน่อย ก่อนจะทำนู้นนั้นนี้ไปตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย ตอนนี้ผ่านไป 15 นาทีได้แล้ว ตอนนี้เขากำลังจัดหมวดหมู่หนังสือของคนที่มาคืนหนังสืออยู่อย่างคล่องแคล่ว




 

ตึก

สงสัยจะมีคนมายืมหนังสือ เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลังของตน จึงหันกลับไปมอง แต่แล้วเมื่อหันหลังไป ภาพของรุ่นน้องร่างบางที่เขาพึ่งจะหงุดหงิดไปไม่ทันหาย กลับโผล่ขึ้นตรงหน้าของเขาอีกแล้ว ราวกับถูกจัดฉากไว้




 

“เจ้าหนูยืมหนังสือเหรอ?”

เขาเอ่ยถามด้วยท่าทีปกติ ราวกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน




 

“ครับ”

เด็กตรงหน้าก็ตอบเขากับมาด้วยท่าทีปกติเช่นกัน หรือว่าแค่ไม่ชอบที่เขาแกล้ง แต่เอาจริง ๆ ที่เขาทำ ก็ไม่ใช่ไม่มีมูลเหตุสักหน่อย เด็กคนนี้ปากดีกับเขาก่อนเอง เขาก็แค่สนองคืนในรูปแบบของเขาก็เท่านั้น




 

“อ๋อ เขียนชื่อ ภาคี และชั้นปีตรงนี้ แล้วก็ด้านหลังของหนังสือได้เลยนะ”

เด็กตรงหน้าเขียนชื่อของตนลงตามตำแหน่งที่เขาบอก ‘เซน’ งั้นเหรอ? อย่างน้อยเขาก็รู้ข้อมูลของคนตรงหน้าบ้างแล้ว ตอนปกติก็ไม่ได้ดูเป็นคนที่เลวร้ายนี้นา แต่เด็กคนนี้คงไม่มีเพื่อนจริง ๆ สินะ อยู่คนเดียวอีกแล้ว…





 

“ขอหนังสือด้วยครับผม”

แจซองขอหนังสือจากเด็กตรงหน้า พร้อมกับกรอกข้อมูลต่าง ๆ ตามระบบ ค่ำคืนของหญิงสาว ณ กรุงโรม… ฮ่าฮ่า อ๋อ ชอบอ่านหนังสือวรรณกรรมแบบนี้งั้นเหรอ เล่มนี้เขาก็อ่านจบแล้วเช่นกัน ถึงหน้าปกจะเหมือนพวกนิยายโรมานซ์ติดเรท แต่ภายในนั้นประกอบไปด้วยคดีสยองขวัญ และน่าสงสัยมากมาย เด็กคนนี้ก็น่าจะใช่ย่อยเท่าไหร่หรอกถึงได้หยิบเล่มนี้มาอ่าน เขาจะชอบเรื่องแบบนี้ไหมนะ




 

“สำหรับหมวดวรรณกรรม นายจะต้องเอามาคืนภายใน 1 สัปดาห์นะ”

เมื่อดำเนินการตามระบบยืมหนังสือเรียบร้อยแล้ว ก็ส่งหนังสือคืนให้กับคนตรงหน้า


 

กึก!

คนตรงหน้ายื่นมารับหนังสือไป แต่เขาไม่ได้ปล่อยคืนให้กับเด็กน้อยตรงหน้าง่าย ๆ หรอก พี่ขอดูอะไรสักหน่อยนะ เขาเพิ่มแรงในการจับยึดหนังสือไว้ พร้อมกับสายตาก็มองหน้าคนตรงหน้า ส่งยิ้มที่เป็นมิตรให้เหมือนกับทุกครั้ง แต่คนตรงหน้ากับขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งใส่เขาเหมือนทุกทีเช่นกัน

“ตอนจบน่ะ ตัวเอกเป็นตัวร้ายซะเองนะครับ…น้องเซน” 

 

ฟึ่บ ตุบ!

“อ๊ะ!”

เมื่อเขาพูดจบก็ปล่อยมือจากหนังสืออย่างฉับพลัน ก็แค่หวังจะให้คนตรงหน้าเซนิดหน่อย แต่เขาคงจะกะจังหวะไม่ดี เพราะทันทีที่เขาปล่อยมือคนตรงหน้าก็เซถอยหลังหงายหลังไปกับพื้นทันที ชิปหายแล้ว เขาสาบานว่า เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะแกล้งคนตรงหน้าให้เจ็บตัวสักนิด





 

“เจ้าหนู ฉันขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

แจซองรีบกล่าวขอโทษอย่างรวดเร็ว ขาก็ก้าวออกมาจากโต๊ะอย่างอัตโนมัติเมื่อเห็นคนตรงหน้าเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เขาเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ของคนตรงหน้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปถึงใบหูเล็กแหมอีกครั้ง




 

“ไม่ต้องมายุ่งครับ”

เด็กตรงหน้ารีบลุก เดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ไม่ให้โอกาสให้เขาได้ช่วยเหลือใด ๆ สักนิด จะตะโกนหรือวิ่งตามไปก็ไม่ได้ เขาไม่ควรเสียงดังในห้องสมุด…แม่งเอ้ย! แจซองได้แต่เก็บความหัวเสียไว้ภายใน เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหัวเสียได้ขนาดนี้ อารมณ์ที่เขารู้สึกว่าอ่อนไหวอยู่แล้ว กลับยิ่งอ่อนไหวเข้าไปอีก เมื่อพบเจอกับเด็กตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าเขาโกรธที่เด็กคนนี้ไม่เคยรอให้เขาได้พูดจบสักประโยค โกรธที่เด็กคนนี้ด่าเขาว่าอย่าเสือก หรือโกรธที่ตัวเองไม่สามารถตอบกลับคำว่าไม่ต้องมายุ่งของเด็กคนนี้ได้เลย เขาสับสนว่าทำไมถึงจะต้องเข้าไปยุ่งกับเด็กนี้ทุกครั้งที่พบเจอ เขาสามารถเดินผ่านเด็กคนนี้ไปได้โดยทำเป็นไม่สนใจเลยก็ได้ แต่พอเขาเข้าหาเด็กคนนี้ก็กลับรู้สึกผิดหวังกับปฏิกิริยาที่ได้รับทุกครั้ง ทั้งจำเขาไม่ได้ และมักจะห้ามไม่ให้เขาเข้าไปยุ่งอยู่เรื่อย แจซองได้แต่เดินกลับไปยังที่นั่งของตนเอง พร้อมกับเท้าคางแล้วพิจารณาอยู่กับความคิดของตนเองอยู่อย่างนั้น…





 

.

 

.

 

.

 

.

 

07.16 น.

หลังจากที่เขาทำน้องเซนล้มหงายหลังในห้องสมุด แจซองก็ไม่ได้เจอเด็กคนนั้นอีกเลยเป็นเวลา 1 วัน มันก็ดีที่เขาได้ลองไม่เจอเด็กคนนั้นดูบ้าง ก็ไม่ยักเห็นจะเป็นอะไรเท่าไหร่นี่นา ก่อนหน้านี้เขาอาจจะแปลก ๆ ไปเพราะโหมงานหนัก ตอนนี้แจซองก็กำลังจะเดินทางกลับหอพักของตนจากการฝึกต่อสู้ระยะประชิดในลานฝึกมา

“แฮ่ก ๆ”

“เซน มายืดกล้ามเนื้อก่อน”

เขาเห็นรุ่นน้องที่ไม่ได้เจอกันตั้ง 1 วันเต็ม มาปรากฏที่ตรงหน้าเขาราวกับเส้นที่ถูกขีดไว้ อีกแล้ว? แต่น่าแปลกใจตรงที่ว่าข้างกายของเด็กคนนั้นไม่ได้ว่างเหมือนปกติ แต่มีเด็กชายหัวทองที่เปียเส้นเล็กถักไว้ด้านหน้า เพื่อนสนิทเหรอ? เขาเห็นเด็กหัวทองคนนั้นกล่าวเรียกเซนที่ยืนหอบเท้าแขนอยู่ที่ต้นไม้ ให้ไปยืดกล้ามเนื้อด้วยกัน

 

ผลั่ก!

“อ๊ะ!”

“ว่าไงเจ้าหนู มาออกกำลังกายตอนเช้าด้วยเหรอ มาเดี๋ยวฉันช่วยยืดหลังให้”

“ปล่อยนะ!” / “รุ่นพี่ครับ? ช่วยปล่อยเขาด้วยครับ ทำแบบนี้มันอันตรายนะครับ”

“เพื่อนของน้องเซน? จะไม่แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยเหรอ?”

“ทะ…” / “สวัสดีครับรุ่นพี่แจซอง ผมชื่ออาร์กัสครับ ชั้นปีที่ 1 ภาคีสนับสนุน”

“อ๋า รู้จักฉันด้วยเหรอ”

“ดะ…” / “ไม่มีใครไม่รู้จักรุ่นพี่หรอกครับ”

“อ๋าา ยินดีที่ได้รู้จักละกันนะ”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ”

“อะ…” / “สนิทกับน้องเซนเหรอ ฉันพึ่งรู้จักกับเซนได้ไม่นานน่ะ แต่ก็อยากจะทำความรู้จักให้มากขึ้น ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”

“นะ…!” / “งั้นเหรอครับ แต่ขอโทษทีนะครับ ผมกับเซนมีธุระต้องรีบไปจัดการต่อ ขออนุญาตไปก่อนนะครับ”

“ตรงนี้มันชักจะหนาวเกินไปแล้ว ไปที่อื่นกันเถอะ…ขอตัวครับรุ่นพี่”

“…”

“ฮ่ะ เหอะ!”

 

ติดตามตอนต่อไป...