ครั้งแรกที่ไชลด์ได้เจอกับดิลุคเป็นวันที่หิมะตกค่อนข้างหนัก

เนตรมารปริศนาในมือคู่นั้น เขาถูกสั่งให้ไปจับตัวโจรขโมยเนตรมารที่ก่อความเสียหายให้กับค่ายฟาทุยมากมายทั่วเทย์วัต ในตอนนั้น เอแจ็กซ์ที่ยังอายุน้อยเพิ่งถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้บริหารใหม่ ๆ ด้วยความอยากลองพลังที่ได้รับมา ไชลด์กระโจนเข้าใส่ภารกิจนี้เช่นคำท้าทายในการต่อสู้ และเขาตั้งใจจะกลับออกมาเป็นผู้ชนะ

หิมะที่บดบังทัศนียภาพรอบตัวเพียงเพิ่มพูนความตื่นเต้นจากครั้งแรกที่เปลวไฟสีดำนั้นสัมผัสกับผิวหนัง เขาหวังว่ามันจะทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ เพื่อที่ตัวเองจะได้จดจำการพบเจอครั้งนี้ได้จนกว่ามันจะจางหายไป เสียงหัวเราะดังก้องทั่วสนามประลองในขณะที่เขาค่อย ๆ กดดันร่างในผ้าคลุมทมิฬจนจนมุมที่หน้าผา

สุดท้ายแล้ว ถึงเขาจะไม่ได้แพ้ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ โจรขโมยเนตรมารนั้นรวดเร็วและเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าที่เขาคิด

ไฟสีดำปรากฏขึ้นบังวิสัยทัศน์ตอนที่ชายหนุ่มกระโดดลงไป และในตอนที่ไชลด์วิ่งไปที่ริมผาชะโงกหน้าดู เขาก็หายไปเสียแล้ว

ครั้งแรกที่ไชลด์ต่อสู้กับเขา ไชลด์ปล่อยให้เขาหลบหนีและหลุดมือไปได้ แต่ความรู้สึกตื่นเต้นระรัวทำให้เขาต้องการมากขึ้น รอคอยที่จะได้รับชัยชนะเหนือแก่หัวขโมยคนนั้น

ในระยะเวลาสองปีที่เขาคอยไล่ตามชายปริศนาผู้มาพร้อมกับดวงตาดั่งเปลวเพลิง ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ใครสักคนเป็นผู้ชนะ

ครั้งที่สองที่พวกเขาพบกันนั้นเป็นเพราะธุรกิจ ตอนนั้นดิลุคได้เลิกอาละวาดแผดเผาทุกอย่างเกี่ยวกับฟาทุยที่เขาเจอและกลับมอนด์สตัดท์มาเพื่อสืบทอดธุรกิจของตระกูลแล้ว

เมื่อไชลด์จำดวงตาคู่นั้นได้ เขาก็ท้าอีกฝ่ายประลองฝีมือในทันที

เขาต้องการตัดสินการต่อสู้ที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เขาต้องการจะรู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่พลุ่งพล่านที่ดิลุคไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะไม่ให้เขาในการประลอง

เป็นครั้งแรกที่ไชลด์ได้เห็นพลังที่แท้จริงของดิลุค พลังที่ไม่ได้มาจากเนตรมาร วิหคเพลิงบินผ่านหัวเขาไปสู่ท้องนภาเบื้องบน ความร้อนทำให้ใบมีดสร้างจากน้ำระเหยและตัวเจ้าของกระเด็นล้มลงไปด้านหลัง ในขณะที่ดิลุคไม่มีแม้แต่หยาดเหงื่อ

"ผมชนะ" เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า แทงปลายแหลมของดาบหนักในมือลงบนพื้นดิน ดวงตามองลงไปขณะที่เจ้าของเรือนผมสีส้มหัวเราะอย่างพึงพอใจ

"ก็คงงั้น สำหรับครั้งนี้น่ะนะ" ไชลด์ยืนขึ้นก่อนจะปัดดินและเถ้าถ่านออกจากเสื้อผ้า "แต่คราวหน้าผมชนะคุณแน่ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งได้ใจไปล่ะ"

ได้ยินคำประกาศสงครามอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ดิลุคเพียงกระแอมตอบชายอีกคนไป

"ฝันไปเถอะ"

เศษเสี้ยวความรู้สึกเล็ก ๆ แอบเบ่งบานในขณะที่ไชลด์สนุกกับการใช้เวลาอยู่ในเมืองแห่งอิสรภาพ คอยหาวิธีไปกวนนายท่านหนุ่มแห่ง Dawn Winery ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส

"ขอย้ำอีกครั้ง คุณมาทำอะไรที่นี่?"

ครั้งที่สามที่ได้เจอกัน ดิลุคถูกกดร่างลงบนพื้นโดยดาบบิ่นของเขาตกอยู่ข้างกายเมื่อเขาพุ่งเข้าโจมตีผู้บริหารฟาทุยโดยไม่ยั้งคิด ชายที่ถูกขับไสไล่ส่งโดยบ้านเกิดของตัวเองจากสิ่งที่ไม่ได้ทำ และออกเดินทางท่องทวีปไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

ไชลด์สังเกตได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนเลย

การเคลื่อนไหวไม่เฉียบคมเหมือนก่อน ดวงตาของเขาสูญเสียแสงไฟที่คอยผลักดันเขาไปข้างหน้ามาเสมอ ถูกหักหลังโดยสิ่งที่เขาพยายามจะปกป้อง

"ที่ไหนก็ได้..." เขากระซิบ "พาผมไปที"

ไชลด์ทำตามที่ขอมา

เขาเก็บดิลุคมาจากดินแดนปกคลุมด้วยหิมะและให้ที่อยู่ใหม่กับเขา เป็นผู้มาโปรดในยามที่ไม่เหลืออะไร

ชื่อ ดิลุค รักน์วินดร์ ถูกถอดออกจากบัญชีบุคคลไม่พึงปรารถนา ชุดเปื้อนถูกเปลี่ยนให้ใหม่ ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากที่คุ้นเคยที่เขาเคยออกตามล่า

มอนด์สตัดท์ไม่คู่ควรกับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว

ขณะที่ลมหนาวกรรโชกพัด ผู้บริหารลำดับที่สิบเอ็ดยืนเหนือทหารใหม่ที่เข้ามาอยู่ในการบังคับบัญชาของเขา ขณะที่เขาเอ่ยคำชี้แนะป่าวประกาศ

จงถวายความภักดีแด่ท่านราชินี

"จงปัดกวาดแดนเหนือนี้ราวกับลมหนาว จงแข็งแกร่งดั่งน้ำค้างแข็งพันปีของราชวัง Zapolyarny Palace จงแทรกซึมความหนาวเย็นเข้าไปในกระดูกของศัตรู..."

หลังความเงียบเข้าปกคลุมได้สักครู่เมื่อเขาพูดจบ ไชลด์ยกมือขึ้นชี้นิ้วไปทางทหารเจ้าของเรือนผมสีแดงเด่นผู้เป็นชาวต่างชาติจากหมู่คนด้านล่าง

"นายตรงนั้น"

ดวงตาไร้แววจ้องมองเขาต่อไปในขณะที่รอบตัวให้ความสนใจกับคนที่ถูกผู้บริหารเรียกเป็นการส่วนตัว

ก่อนที่ดิลุคจะได้พูดอะไร ไชลด์ก็โยนบางอย่างมาให้เขาความรู้สึกที่คุ้นเคยแล่นผ่านทหารชั้นผู้น้อยในยามที่เขาคว้ามันมาจากกลางอากาศ รู้ได้ในทันทีว่ามันคืออะไรโดยไม่จำเป็นต้องก้มลงมองดวงแก้วส่องแสงอ่อนที่ติดอยู่กับถุงมือ ถูกซ่อมแซมและปรับปรุงจนเรียบร้อย

"ขึ้นมานี่แล้วมาสู้กับฉัน"

ดิลุคทำตามที่เขาถูกสั่ง

เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมไปทั่วองค์กร เจ้าของโรงไวน์ผู้ตกอับและอดีตบุคคลไม่พึงประสงค์ตอนนี้เป็นทหารหน้าใหม่ของฟาทุยที่สามารถใช้เนตรมารได้ และยังเกือบเอาชนะผู้บริหารในการต่อสู้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะได้เห็นบ่อย ๆ ทั้งเพื่อนร่วมรุ่นและหัวหน้าของเขาให้การยอมรับในฝีมือ และชื่อดิลุคก็เริ่มได้รับความเคารพอีกครั้งหลังจากที่แปดเปื้อนดินโคลนของบ้านเกิดมา

เขาไม่ต้องการคนพวกนั้นที่ป้ายความผิดในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ พวกนั้นที่ไม่เชื่อใจเขาในยามที่เขาต้องการมันมากที่สุด และพวกเขาที่ผลักให้ดิลุคเดินไปบนหนทางแห่งความเสื่อมสลาย

"ยินดีต้อนรับสู่สเนชนายา"

และสเนชนายาก็ให้การต้อนรับดิลุคเป็นอย่างดีจากการที่เขาได้เลื่อนขั้นอย่างรวดเร็ว จากทหารใหม่กลายเป็นสายลับเพลิงภายในเวลาเพียงครึ่งปี ภารกิจของเขายากขึ้นและสำคัญขึ้นตามไปด้วย แต่ดิลุคก็สามารถสำเร็จมันได้โดยไม่มีปัญหา ทหารต่ำต้อยบัดนี้มีผู้คนอยู่ใต้บังคับบัญชาของตน

เขาถลำลึกลงไปตั้งแต่ตอนนั้น

ไชลด์อยากจะคิดว่าเขาไม่ได้เป็นคนดึงดิลุคลงมาในหลุมเหวแห่งนี้ เขาพอใจที่จะคิดว่าเขาเป็นคนช่วยดิลุคไม่ให้ตายไปโดยไร้เกียรติยศเดียวดายอยู่ที่ไหนสักแห่ง

ไชลด์นั้นก็ชื่นชอบดิลุคคนเก่า ผู้เป็นดั่งวิหคเพลิงที่ไม่เคยยอมแพ้ไม่ว่าจะเจอกับอะไรมากกว่าเช่นกัน

"นายไม่ต้องทำมันก็ได้นะ"

ร่างคลุมผ้าสีดำหันกลับไปมองที่ต้นเสียง รอยเลือดติดที่ผิวแก้มซีดเซียวเช่นเดียวกับที่มันซึมลงไปในหิมะขาวสะอาด ลูกแก้วปริศนาส่องแสงจากด้านหลังของถุงมือเขา ดิลุคยืนอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว จ้องมองร่างไร้วิญญาณที่รายล้อมรอบตัว ไม่มีใครกล้าพูดกับเขา ไม่มีใครรู้ว่าในหัวนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ยามที่เขาฟาดฟันและแผดเผาทุกอย่างโดยไม่ลังเล

ทั้งพวกพ้องและลูกน้องของเขาไม่ผิดเลยที่จะรู้สึกหวาดกลัว ดิลุคไม่เคยปฏิเสธภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นกับผู้บริสุทธิ์หรือกับคนของตัวเอง เขาก็จะทำมันอย่างไร้ที่ติเสมอ เพราะที่นี่ให้เป้าหมายใหม่ในชีวิตกับเขา

คำสั่ง

คำสั่งของไชลด์นั้นมีไว้เพื่อทำตาม คำสั่งของท่านซาริทซ่านั้นล้วนเด็ดขาด ถ้าเธอสั่งให้เขาปลิดชีพ เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของเธอ เขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมีจิตใจเป็นของตัวเองเพื่อถูกย้ำเตือนถึงเรื่องในอดีต เขายุ่งกับงานเกินไปสำหรับเรื่องพวกนั้น

ดิลุคทำงานของเขาได้ดีมาก

นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมไชลด์ถึงได้ต้องคอยเฝ้ามองเขาอยู่ตลอด ดิลุคไม่มีใครให้พึ่งพา เขาไม่ต้องการจะพึ่งพาใคร

เขาไม่อยากตายเยี่ยงหมาขี้แพ้ในดินแดนอันโหดร้ายแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงปิดกั้นตัวเองออกไปทั้งหมดโดยคิดว่ามันจะทำให้เขาแข็งแกร่ง

ดิลุคที่ไชลด์โชคดีได้รู้จักนั้นเป็นคนที่แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน เขาไม่มีวันต้องการจะฆ่าใครโดยไม่คิด คำสั่งพวกนั้นถ่วงดึงจิตใจมากกว่าที่ใครอื่น หรือแม้กระทั่งตัวดิลุคเองคิด ถึงอย่างนั้น ความสามารถของเขาในฐานะนักรบ เพชฌฆาต ในฐานะเครื่องจักรสังหารของเขา คงอีกไม่นานนักที่จะได้รับการเลื่อนขั้นให้เป็นผู้บริหาร

ถ้าเกิดว่าเขาเป็นผู้บริหาร ดิลุคจะปีนกลับขึ้นมาจากหลุมนี้ไม่ได้อีกต่อไป

"นายเก่งงานจัดการเอกสารใช่ไหม? มาเป็นเลขาของฉันซะ" มือทั้งสองข้างถูกกุมเอาไว้รวมเป็นหนึ่ง ไชลด์จ้องเข้าไปในนัยน์ตาของดิลุคยามที่เขาบีบมืออีกฝ่าย

"ถ้าการฆ่ามันมากเกินไปสำหรับนาย แบบนั้นไม่ต้องทำก็ได้ ลืมมันไปให้หมดเลย"

ไชลด์อยากที่จะคิดว่าเขาไม่ได้ทำผิดพลาดในตอนที่เขาพาดิลุคเข้ามาที่นี่

ดิลุคถูกส่งมาอยู่ในกองทหารของเขาเพราะผู้บริหารคนอื่นไม่ไว้วางใจว่าเขาจะไม่ทรยศพวกตน พวกเขาเลือกที่จะให้ไชลด์แบกรับความรับผิดชอบนี้เอาไว้คนเดียว ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าเขาอยากจะซ่อนดิลุคเอาไว้ให้พ้นจากสายตาเบื้องบน เขาก็ควรจะมีอำนาจในการทำแบบนั้น ไชลด์เป็นคนที่ให้ชีวิตใหม่กับเขา

ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไชลด์พาเขาออกห่างไปจากสเนชนายาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ยุ่งอยู่กับการจัดแจงเอกสารในขณะที่เขามาทำงานอยู่ที่เมืองอื่น เขาดึงดิลุคเอาไว้ไม่ให้มีเลือดเปื้อนมือ อยู่เคียงข้างเขาหากอีกฝ่ายไม่มีทางเลือกอื่น ผู้บริหารหนุ่มพยายามทำตัวเป็นไหล่ให้เขาพึ่งพิงอยู่เสมอ ดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอดแม้จะไม่เคยต้องการมันก็ตาม

ไชลด์สนิทกับดิลุคยิ่งกว่าใคร เขาเป็นคนที่รู้จักดิลุคดีที่สุด

วัน ๆ ที่ดิลุคติดตามเขาไปเสมอไม่ว่าจะอยู่สุดขอบไหนของเทย์วัต คอยดูเขาเวลาทำอะไรพิเรนทร์ ๆ คอยเตือนเวลามีตารางนัดขึ้นมาอาจจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่พวกเขาได้ใช้ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม เหมือนกับทุกสิ่ง ไม่มีอะไรคงอยู่ได้ตลอดไป

ไม่ว่าเขาจะพยายามหลบซ่อนมากแค่ไหน ลงทุนถึงขนาดให้ดิลุคมาเป็นเลขาส่วนตัวของตัวเอง เขาก็หลบจากสายตาปกครองกว้างไกลของท่านจักรพรรดินีไม่ได้

ไชลด์ทำได้เพียงมองอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่ผู้บริหารคนแรกปักเข็มที่บ่งบอกยศสูงสุดบนหน้าอกของดิลุค ในขณะที่พิธีดำเนินไปเรื่อย ๆ เขาทำได้เพียงแต่มองเจ้าไปในดวงตาของท่านซาริทซ่า กลั่นกรองคำตำหนิประณามไร้เสียงที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดมาก่อนแก่เทพีที่เขาเคารพรักยิ่งกว่าใคร

เชียทรูโล่

มันมีความหมายว่าโง่เง่า คนเขลา

คนเขลาที่ดิลุคเชื่อว่าตัวเองเป็นมาเสมอ คนเขลาที่เชื่อใจผู้อื่นมากเกินไป คนเขลาเพราะความรัก คนเขลาเพราะเชื่อมั่นว่าเมืองที่เขาคอยปกป้องจะเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นกันเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

ดิลุคเชื่อว่าเขาสมควรได้รับชื่อนี้ ถูกเรียกว่าเป็นคนเขลาเสมอไป เตือนใจเขาไว้เสมอว่าอย่าทำเรื่องผิดพลาดซ้ำอีก

ในตอนนี้ เขาสามารถทิ้งตัวตนเก่าทั้งหมดเอาไว้ข้างหลัง ทิ้งไปแม้กระทั่งชื่อที่ถูกให้มาในฐานะชาวมอนด์สตัดท์

ดิลุค รักน์วินดร์ไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว

ข้างหน้าของเขาคือสถานที่สุดท้ายที่เขาต้องก้าวข้ามไป ตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดกับเมืองแห่งอิสรภาพที่เขาเกิดและตายลงในฐานะผู้ปกป้อง

"ไม่เห็นต้องใจดำขนาดนั้นเลยนี่คู่หู อุตส่าห์กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าทั้งที" ไชลด์หัวเราะในลำคอขณะพูด เสียงดังพอให้คนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ยิน

เขารู้ว่ามันไม่ใช่ และมันจะไม่มีวันเป็นเช่นนั้นอีกแล้ว นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการพิสูจน์ ดวงตาสีฟ้าหม่นเหลียวหลังกลับไปมองชายที่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอยู่ คาดหวังปฏิกิริยาบางอย่างโดยอยู่ในใจ

"นี่ไม่ใช่บ้านของผม" เชียทรูโล่เถียงเสียงกร้าว

พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง

ในวันถัดมา เชียทรูโล่มาอยู่ที่สำนักงานอัศวิน บางทีแล้ว การปรากฏตัวของเขาอาจจะกระทบกระเทือนใจของกัปตันกองทหารม้าเกินกว่าที่เขาจะรับไหว ในตอนแรก เชียทรูโล่ตั้งใจจะปฏิเสธคำเชิญนั้น แต่หลังจากไชลด์บอกให้เขาไปเสียแล้วคุยกับอีกฝ่ายให้รู้เรื่อง ผู้บริหารลำดับที่สิบสองจึงตกลงที่จะฟังว่าผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นน้องชายมีอะไรจะบอก

"ฉัน... ฉันรู้แล้วนะว่าในตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น" เคยะเริ่มพูดตะกุกตะกัก สายตาหลุบลงขณะที่ความรู้สึกผิดกำลังดึงเขาให้จมลงจากภายในจิตใจ

เป็นความสะเพร่าของเขาเองที่ต้องโทษ ความมั่นใจที่มากเกินไปทำให้ไม่สังเกตเห็นถึงคนที่แอบซุ่มฟังพวกเขาอยู่ ตัวตนของดาร์กไนท์ฮีโร่นั้นไม่ควรจะถูกเปิดเผยแก่ใครทั้งนั้น

ทั้งหมดเริ่มต้นที่คดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง และอีกคดีหนึ่ง เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ อัศวินหลายคนถูกรายงานว่าหายตัวไป แล้วถูกพบเป็นศพในวันถัดมา

จากนั้น มันก็เริ่มลามไปถึงคนงานของ Dawn Winery แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนหมดความอดทนคือการตายของชาลส์ บาร์เทนเดอร์ผู้เป็นที่รักถูกพบเสียขีวิตอยู่เพียงด้านนอกร้าน

แค่แผนชั่วร้ายแผนหนึ่งโดยชายชั้นสูงที่ต้องการอำนาจ กับผู้พิพากษาที่ไม่สามารถปฏิเสธเงินใต้โต๊ะได้ ความผิดทั้งหมดก็ถูกโยนให้กับดิลุค ผู้เป็นดาร์กไนท์ฮีโร่

ดาร์กไนท์ฮีโร่ที่เป็นที่รู้กันว่าไม่ชอบกองอัศวินแห่งฟาโวนิอุส ดาร์กไนท์ฮีโร่ฆ่าคนของตัวเองที่ไปรู้ความลับของเขาเข้าแม้จะเป็นคนใกล้ชิดของตัวเอง เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาเป็นศาลเตี้ยและฆาตกรต่อเนื่อง ถึงไม่มีแม้แต่ศพเดียวที่เขาเป็นคนทำหรือหลักฐานที่เพียงพอด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็ชนะด้วยการบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับคนที่ดิลุคเป็น บิดเบือนว่าดาร์กไนท์ฮีโร่ผู้เคยเป็นผู้พิทักษ์ได้เสียสติไปแล้ว

ดาร์กไนท์ฮีโร่ ผู้ที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำจนร่างกายทรุดพยายามหาคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นภายในเมืองที่เขารัก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับคนที่เขารู้จัก

ถูกตัดสินว่ามีความผิด

ทุกอย่างมันง่ายเหลือเกิน มอนด์สตัดท์ถูกปกคลุมด้วยความกลัว พวกเขาอยากให้มันจบลงเร็ว ๆ ไม่มีใครสนใจจะมองลึกลงไปมากกว่านี้

ดิลุคกลายเป็นที่รู้จักในฐานะนายที่สังหารผู้คนของตัวเอง

"นายไม่ใช่ฆาตกร ดิลุค" เคยะพึมพำ พยายามหยุดมือที่สั่นเทาไว้

"ฉันต่างหาก"

ดิลุคไม่ได้ฆ่าใครในมอนด์สตัดท์เลย แต่เขาทำ

มือของเขาถูกมัดเอาไว้ เขาถูกชื่นชมและตบรางวัลสำหรับการเปิดโปงคดีที่ดิลุคหลบซ่อน ดันเขาเข้าไปจนมุมที่ไม่สามารถออกมาได้ แม้เขาจะพยายามพูดความจริง แต่เขาก็ทำไม่ได้ ไม่มีใครเชื่อหรอกหากเขาบอกว่าตัวเองร่วมมือกับดาร์กไนท์ฮีโร่

หลังจากที่ดิลุคหลบหนีออกจากห้องขังของตนและหายตัวไป กัปตันกองทหารม้าเริ่มทำการสอบสวนของตัวเองโดยเก็บเป็นความลับ ทั้งหมดนี่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น เขาจำเป็นต้องรู้ความจริงทั้งหมดให้ได้

และความจริงก็เป็นสิ่งที่เขาได้พบเจอ ความจริงอันเลวร้ายของคนที่อยากขึ้นสู่อำนาจโดยการกำจัดคนที่อยู่ก่อนหน้าตัวเอง งานของดิลุคเพียงกลายเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบต่อแผนของเขา เป็นแพะรับบาปชั้นดี

ดังนั้นแล้วคืนหนึ่ง เคยะแอบบุกเข้าไปในคฤหาสน์ของเขาและแทงหัวหน้าตระกูลที่หัวใจขณะที่เขากำลังนอนหลับ ในวันถัดมา เขาล่อผู้พิพากษาคนนั้นไปด้านนอกกำแพงแล้วโยนร่างไร้วิญญาณของเขาลงไปในทะเลสาบ

เคยะไม่เคยถูกจับได้ เขาไม่ทำผิดพลาดเป็นเหยื่อของความสะเพร่าแบบเดิมอีกแล้ว ไม่มีใครจำเป็นต้องรู้ว่าเขาเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยมือของตัวเอง และเขาจะอยู่กับความจริงนี้ไปจนลมหายใจสุดท้าย เก็บเป็นความลับเอาไว้จนวันตาย

"ฉันรู้ว่านายไม่มีวันให้อภัยเราหรอก แต่ถ้านายอยากกลับมา พวกเราก็ยินดีจะ..." ครั้งนี้เท่านั้น ที่เคยะรวบรวมความกล้าพอจะมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย

"พวกอัศวินนี่ไม่เคยจำเลยใช่ไหม?"

ความชิงชังแฝงอยู่ในคำพูด เชียทรูโล่แทรกเขาโดยไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น

"มันไม่สำคัญอีกแล้วว่าผมจะเป็นฆาตกรหรือไม่ หรือใครจะต้องการให้ผมโดนจับขังแล้วยึดตำแหน่งไป"

มันสายเกินไปแล้วสำหรับการไถ่บาป ผู้พิทักษ์ผู้ร่วงหล่นกลายเป็นตัวร้าย เป็นผู้บริหารลำดับที่สิบสอง ผ่านมานานปีที่เขาฆ่าคนไปมากมายกว่าที่จะนับได้เพื่อมายืนอยู่ที่นี่ในฐานะเชียทรูโล่ ผู้ที่แข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะความหวาดกลัวในการกลับมายังที่ที่ขับไล่เขาออกไป

เหตุฆาตกรรมปาหี่ไม่สำคัญกับเขาอีกต่อไปแล้ว

มันสายเกินไป

"ชื่อของผมคือเชียทรูโล่ และความภักดีทั้งหมดของผมถวายให้แก่ท่านซาริทซ่า"

เสียงของเขาเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง กัดกินลงไปถึงเบื้องลึกของหัวใจเคยะและจมมันลงสู่หุบเหวไร้ก้นบึ้ง ดวงตาของเขาว่างเปล่า และสีแดงนั้นไม่ได้เป็นสีของเพลิงร้อนแต่เป็นภาพสะท้อนของการหลั่งเลือดมากมายที่เขาผ่านมา สายตาของเขาสลักลงไปในความทรงจำของกัปตันกองทหารม้า สายตาเย็นชาขมขื่นแบบเดียวกับในฝันร้ายของเขา

"ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัว เซอร์อัลเบอริช"

เชียทรูโล่พูดกับเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังกลับไปและปิดประตูกระแทกกระทั้นลงจากข้างนอก ทิ้งชายอีกคนเอาไว้ที่เดิมอย่างเดียวดาย

ชายผู้เคยเป็นดิลุค รักน์วินดร์ได้ตัดสินใจตั้งนานแล้ว นี่เป็นเพียงแค่ด้ายเส้นสุดท้ายที่เขาต้องตัดให้ขาดเท่านั้น

"ผิดพลาดครั้งใหญ่เลยล่ะสิ" น้ำเสียงสบาย ๆ ที่คุ้นเคยดังขึ้นจากเสาใกล้ ๆ ในยามที่เขาไม่คาดคิด เคยะหันหน้ามาเจอผู้บริหารลำดับที่สิบสองยืนพิงพื้นผิวหินอ่อนเนียนอยู่ เขาซ่อนตัวเองแล้วแอบฟังเรื่องราวทั้งหมดมาโดยตลอดโดยไม่มีใครรู้ตัว

ดวงตารูปดาวหรี่ลงด้วยความระมัดระวัง เคยะจำไม่ได้ว่าเชิญอีกฝ่ายเข้ามาด้วยแม้สติจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวก็ตาม

"คุณเข้ามาที่นี่ได้ยังไง?" เขาถามขู่

"พวกเราเป็นคู่หูกันนะ กัปตัน" ไชลด์ยักไหล่ขณะที่เขาเดินมาหาเคยะ มือทั้งสองวางลงบนไหล่อีกคนและบีบมันแรงพอให้อีกคนรู้สึก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มจอมปลอมเพื่อซ่อนความไม่พอใจที่เริ่มเดือดขึ้นมาจากข้างใน

"ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ที่นั่น"

เขาจะหาทางไปอยู่ที่นั่นให้ได้

ไชลด์อยากจะตัดสินเขา ติเตียนก่นด่ากัปตันทหารม้าในความขี้ขลาดและการปฏิเสธที่จะพูดความจริงของเขา ปล่อยให้ดิลุคหลุดไปอยู่ในมือของฟาทุย แต่ทำแบบนั้นไปแล้วจะได้อะไรในเมื่อเขาเองก็หยุดไม่ให้ดิลุคกลายเป็นผู้บริหารไม่ได้

ถึงอย่างนั้น ไชลด์ก็สาบานว่าจะไม่ปล่อยให้เชียทรูโล่ไปไหน เขาจะไม่ทำผิดพลาดเช่นเดียวกับคนพวกนี้

ในตอนนั้นเอง เคยะถึงได้รู้ว่าดวงตาของทั้งสองนั้นเหมือนกันแค่ไหน

ไร้วิญญาณ

ผู้บริหารหนุ่มปล่อยมือออกจากไหล่อีกฝ่าย โบกมือให้เล็ก ๆ ยามเดินตามเชียทรูโล่ออกไปข้างนอก ผ้าคลุมที่สวมประดับแผ่นหลังปลิวไสวตามการก้าวเดิน เริงระบำกับสายลมแห่งอิสระที่ทำให้เขาหายใจไม่ออกเพียงเพราะมันอ่อนโยนเสียเหลือเกิน เขาชินชากับดินแดนโหดร้ายที่ลำดับที่สิบสองนับเป็นบ้านหลังใหม่ไปเสียแล้ว

ขณะที่ไชลด์มองเขาจากข้างหลัง ความคิดของเขานึกย้อนกลับไปถึงภาพของเชียทรูโล่ภายในอ้อมแขนของเขา สั่นไหวจากอดีตที่กลับมาหลอกหลอนตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในเมืองแห่งนี้ เขาเป็นที่จดจำ ไม่ใช่ในฐานะชายชั้นสูงผู้เป็นที่เคารพของคนทั้งเมือง แต่เป็นลูกชายที่ล้มเหลว อัศวินที่ไร้เกียรติ ฆาตกร และฟาทุยผู้ทรยศ

ทั้งหมดนั่นทำให้เขาโกรธจนข้างในเดือดดาล ชายตรงหน้านี้ไม่ต้องการใครทั้งนั้น

ไม่มีดิลุคให้พวกเขารุมทึ้งอีกต่อไป ที่ของผู้คนที่ปฏิเสธเขานั้นไม่สมควรจะได้รับรุ่งอรุณกลับไปอีกแล้ว

ไชลด์ยึดครองโลกทั้งใบได้เพื่อดิลุค และทำลายมันทั้งหมดได้เพื่อเชียทรูโล่

นี่คือความรัก

ไชลด์คิดว่านี่คือความรัก

 


 

ตอนสุดท้ายแล้วค่า ยาวมาก ปิดเรื่องแล้วทุกคน????