ดิลุค รักน์วินดร์ แตกสลายไปแล้ว

ในวันสุดท้ายของการเป็นวัยรุ่น การตายของพ่อเขาได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปอย่างสิ้นเชิง ในตอนที่เขาปลดปล่อยเครปัสจากความทรมาณ หยาดฝนร่วงหล่นลงผสมกับน้ำตาที่หลั่งไหลอาบแก้มและรอยเลือดที่เปื้อนเปรอะอยู่บนมือ

ภาพของชายอายุน้อยแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจหายสิ้นเมื่อบิดาของเขาจากไป ครอบครัวของเขาพังทลายเป็นชิ้น ๆ จนกระทั่งไม่เหลืออะไรเลย

ความเชื่อใจที่มีต่ออัศวินแห่งฟาโวนิอุสสิ้นหายเมื่อพวกเขาเลือกที่จะปิดบังความจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดิลุคถูกครอบงำด้วยความโกรธแล้วโศกเศร้าจนเขาตัดสินใจลาออกเสียตรงนั้นและทอดทิ้งวิชั่นของตนไป ในเมื่อเพียงปกป้องคนที่สำคัญที่สุดเอาไว้ก็ทำไม่ได้ ตัวเขารู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะสมที่จะครอบครองมันอีกแล้ว

ในคืนเดียวกัน น้องชายของเขาที่ คนที่เชื่อใจเหมือนกับเป็นอีกครึ่งของตนสารภาพว่าโกหกเขามาโดยตลอด เขาเปิดเผยตรเองว่าเป็นคนหลอกลวง คนทรยศต่อชื่อรักน์วินดร์ที่แฝงตัวเข้ามา

หยาดฝนยังคงตกอยู่เช่นเดิมในยามที่คมดาบสัมผัสกับผิวหนังอีกฝ่าย โลหิตกระเซ็นเข้าบนเสื้อของทั้งสอง การต่อสู้นั้นจบลงก็เพียงเพราะพลังน้ำแข็งที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นเป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขาทำกันเกินไปแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น เคยะก็เก็บข้าวของของตัวเองออกจากคฤหาสน์ไปด้วยตัวเอง

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ดิลุคไม่มีทั้งเพื่อนร่วมงาน น้องชาย หรือบิดาอยู่เคียงข้าง

เด็กหนุ่มแตกสลาย และเติบโตเป็นผู้ใหญ่

 


 

เขาแตกสลายไปแล้ว

เพราะฉะนั้น เขาจะแตกสลายอีกครั้งไม่ได้

แต่เมื่อถูกผู้คนทั้งมอนด์สตัดท์ เหล่าผู้คนที่เขาคอยปกป้องในเงามืดมาตลอดหันหลังให้ ดิลุคที่ขับเคลื่อนด้วยความยุติธรรมแรงกล้า ก็ถูกเงามืดที่คิดว่ารู้จักดีกลืนกิน และแตกสลายลงไปอีกครั้ง

ในครั้งนี้ เขาตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ออกร่อนเร่เดินทางไปอย่างไร้จุดหมายอีกครั้งเหมือนที่เคยทำ

ในมือไม่มีอะไรนอกจากดาบที่บิ่นลงไปเรื่อย ๆ และวิชั่นที่ราวกับต้องคำสาป เขาท่องทวีปไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายหรือแผนการ ไร้การเตรียมตัวที่เหมาะสมสำหรับการเดินทางไกล ดิลุคแผดเผาทุกอย่างตรงหน้าจนกระทั่งเท้าเดินมาถึงดินแดนปกคลุมด้วยหิมะที่คุ้นเคย

เขาไม่สนอีกแล้วว่าตัวเองจะได้รับอนุญาตให้เข้าเมืองหรือไม่ ดิลุคไม่จำเป็นต้องสนเรื่องการทูตอะไรทั้งนั้น ต่อให้มอนด์สตัดท์จะมอดไหม้ไปก็ไม่ใช่เรื่องของเขา

"นั่นมันคุณชายแห่งมอนด์สตัดท์ไม่ใช่หรือไง" เสียงที่เขาจำได้ราง ๆ เรียกหา

"มาทำอะไรแถวนี้กัน? "

ฟาทุย

เมื่อได้ยินเสียงทัก ดาบในมือก็พลันแกว่งกวาดไปหาต้นเสียงทันทีคล้ายเป็นปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติ จากนั้นเมื่อรู้ตัวอีกที ร่างกายก็ล้มลง หลังชนเข้ากับเปลือกสีขาวบนพื้น ความหนาวเย็นซึมเข้ามาใต้ผ้าคลุมที่เขาเลิกให้ความสำคัญไปแล้ว

"ขอย้ำอีกครั้ง คุณมาทำอะไรที่นี่?"

ดวงตาสีครามหรี่ต่ำลง เขากดตัวเจ้าของเรือนผมสีแดงสดไว้ได้อย่างง่ายดายอย่างน่าประหลาด

ดิลุคไม่ได้ขัดขืนเลย

แววตาแผดเผาของเขาที่เคยเห็นมา บัดนี้เลือนหายไปจนหมดเสียแล้ว ภาพตรงหน้าเป็นของชายที่ไม่มีบ้านให้กลับ ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่ไม่ได้รักษาจากการต่อสู้ที่ผ่านมาก่อนจะมาถึงสเนชนายา เป็นภาพของชายที่น่าสมเพชเวทนา

น่าเสียดาย ไชลด์เสียดายคนเก่งแบบนี้เหลือเกิน

การเคลื่อนไหวที่ไม่เฉียบคมเหมือนก่อนที่เคยได้ประมือกัน การโจมตีที่เดาทางได้ง่ายจนไม่รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่เคยสัมผัสในคราวนั้น

จะว่าปวดใจก็ได้ แต่ไชลด์รู้สึกว่าตนต้องทำอะไรสักอย่าง หลังจากที่คุยกับทหารใต้บังคับบัญชาที่มาด้วยแล้ว ไชลด์ก็กลับมาและยื่นมือออกไปหา

"มาสเตอร์ดิลุค..."

"มอนด์สตัดท์น่ะ ไม่คู่ควรกับคุณเลยสักนิด"

 


 

"ที่ไหนก็ได้... พาผมไปที"

นั่นคือสิ่งที่ดิลุคเอ่ยพูดออกไป

เขาเหนื่อยล้าและหิวโหยจนแทบขาดสติ ความเย็นกัดผิวหนังที่ขาดการป้องกันเปลี่ยนสีปลายนิ้วเขาจนเห็นสีม่วงในขณะที่เจ้าตัวสะอึกสะอื้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาอย่างขาด ๆ หายๆ

และผู้บริหารฟาทุยลำดับที่สิบเอ็ด ทาร์ทาเลีย ก็ได้พาเขากลับไปด้วยตามที่ขอ

ชื่อ ดิลุค รักน์วินดร์ ถูกถอดออกจากบัญชีบุคคลไม่พึงปรารถนา ชุดเปราะเปื้อนเศษฝุ่นและเลือดถูกเปลี่ยนให้ใหม่ ใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากที่คุ้นเคยที่เขาเคยออกตามล่า

"ยินดีต้อนรับสู่สเนชนายา"

 


 

นั่งอยู่ในห้องประชุมคือกัปตันที่ยังเหลืออยู่ที่มอนด์สตัดท์และรักษาการผู้บัญชาการ หารือกันง่วนเรื่องจดหมายที่ถูกส่งมาเมื่อวันก่อนหน้า

'ผู้บริหารลำดับที่สิบเอ็ดและสิบสองจะมาติดต่อเจรจากับมอนด์สตัดท์ในเร็ววัน' คือสิ่งที่จดหมายบอกมา

ผู้บริหารฟาทุยนั้นนำมาแต่ปัญหา แต่การที่มีพวกเขาสองคนในเมืองนั้นทำให้มือของพวกเขาถูกมัดติดกันแน่นขึ้นไปอีก รู้แบบนั้น เหล่าอัศวินแห่งฟาโวนิอุสจึงยุ่งอยู่กับการเตรียมรับมือพวกเขาเผื่อสถานการณ์ที่ถูกผลักให้จนมุมจะมาถึง

"...ลำดับที่สิบสองงั้นเหรอ? "

หัวหน้ากองพลทหารม้า เคยะ อัลเบอริช มองเนื้อหาในจดหมายนั้นด้วยความสงสัย

 


 

รอยยิ้มยียวนปนเสน่ห์เปลี่ยนเป็นสีหน้าตกใจ อารมณ์ความรู้สึกผสมปนเปกันจนไม่รู้จะแสดงท่าทางแบบใดออกมา ดวงตาลายประหลาดเบิกโพลงเมื่อเห็นเรือนผมสีแดงเข้มในชุดฟาทุยเต็มยศก้าวลงมาจากรถม้า ชายที่ขาดการติดต่อจากเขาไปเมื่อหลายปีก่อน ที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดคิดว่าจะกลายเป็นผู้บริหารฟาทุย

"...ดิลุค?" เขาเรียกหา

แต่อีกฝ่ายเพียงเมินเขาและเดินจากไปพร้อมกับคนอื่นๆ

เคยะได้ยินเสียงหัวเราะร่าจากข้างตัวอีกฝ่าย เสียงที่ฟังดูใกล้ชิดกันเหลือเกินในขณะที่ตัวเขาอยู่ห่างขนาดนี้

"ไม่เห็นต้องใจดำขนาดนั้นเลยนี่คู่หู อุตส่าห์กลับมาเยี่ยมบ้านเก่าทั้งที"

แขนข้างหนึ่งยื่นมาพาดไหล่ของเขา ดิลุคเดาะลิ้นใส่ แต่ไม่ได้ทำอะไรกับแขนนั้นเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีประโยชน?

"นี่ไม่ใช่บ้านของผม" เขาเถียงเสียงกร้าว ดังพอที่จะให้คนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้ยิน

 


 

สายตามากมายจับจ้องอยู่ที่เขา

เส้นผมและดวงตาสีแดงสดนั้นเป็นของอดีตนายท่านแห่งโรงกลั่นที่โด่งดังที่สุดในมอนด์สตัดท์ไม่ผิดแน่ แต่สายตาพวกนั้นไม่ใช่สายตาชื่นชมอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้มองดิลุคเป็นนายน้อยผู้ภาคภูมิที่เขาเคยเป็น ที่เขาควรจะยังคงเป็นอยู่

สายตาพวกนั้นคือสายตาทิ่มแทงที่มีไว้ให้สำหรับคนทรยศ สายตาแบบเดียวกับที่เขาเคยมีให้กับชายคนนั้นที่หักหลังความเชื่อใจเขา

แต่เป้าสายตาหาได้จำเป็นต้องสนใจไม่

เชียทรูโล่มีคนมากมายที่ชื่นชมเขาในความสามารถเมื่อกลับไปสเนชนายา มอนด์สตัดท์นั้นก็เป็นเพียงเมืองเล็กกระจ้อยร่อยที่ขัดขวางแผนการของท่านราชินีที่เขาพร้อมจะทำลายได้ทุกเมื่อเพียงออกคำสั่งแค่คำเดียว

ถึงอย่างนั้น ก็ยังอึดอัดในอกเหลือเกิน

เขาแสดงอารมณ์ออกมาไม่ได้ ผู้บริหารหนุ่มปิดกั้นตัวเองจากโลกทั้งใบ ต่อให้เด็กชายผู้อ่อนต่อโลกที่เขาเคยเป็นอยากจะร้องไห้ออกมา เขาก็ทำไม่ได้ เขาไม่อยากถูกมองว่าอ่อนและเปราะบาง ง่ายที่จะทำให้แตกสลายและเข้าควบคุม

ทาร์ทาเลียอยู่กับเขา ตามเกาะแกะมาหลายปีตั้งแต่ยังไม่มีตำแหน่งอะไร ยังไม่ได้มียศเป็นผู้บริหาร นานปีที่พวกเขาเป็นคู่หูกันมา ทำไมจะไม่รู้ว่าใต้ใบหน้าตายอีกคนไม่เหมือนเดิมตั้งแต่ก้าวเข้าเขตเมือง อาจจะรู้ดีกว่าตัวอีกฝ่ายเองด้วยซ้ำ

แม้จะปฏิเสธ แต่ก็ยังไงก็ยังเป็นบ้านเก่า และเป็นบ้านเก่าที่ไม่อยากกลับมาอีกแล้ว เป็นความรู้สึกเหมือนกำลังใช้ชีวิตผ่านเหตุการณ์ที่พังโลกทั้งใบของเขาอีกครั้ง

"นายคือหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลที่สุดในสเนชนายา"

ยามที่ไม่มีใครมอง อ้อมแขนรัดโอบอีกคนไว้แน่น มือสวมถุงมือลูบไล้ผมสีชาดนั้นปลอบประโลมจิตใจ แม้ว่าเชียทรูโล่จะไม่ต้องการมันก็ตาม

"นายไม่จำเป็นต้องมีพวกเขา" ทาร์ทาเลียเอ่ยกระซิบ "ไม่จำเป็นอีกแล้ว"

 


 

"...ลุค!"

เสียงคุ้นเคยไล่ตามหลังมา

"ดิลุค!" เขาตะโกนออกมาอีกครั้ง ดึงเชียทรูโล่ออกมาจากภวังค์ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้เสียงนั่นรบกวนเขาได้

น่ารำคาญเสียจนต้องหันกลับไป

ดวงตาสีโกเมนจ้องขวางพร้อมเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ

"เซอร์อัลเบอริช หยุดเรียกผมด้วยชื่อนั้นสักที"

ไม่มีดิลุคอีกแล้ว

เขาทิ้งชื่อนั้นไปพร้อมกับอดีตที่งมงายอยู่กับความยุติธรรมที่โดนทำลายทิ้งไปสิ้น ที่นี่เป็นเพียงด้านเส้นสุดท้ายที่เขาต้องตัดให้ขาดและเป็นอิสระ

สเนชนายาไม่เชื่อในน้ำตา โลกสอนให้เขารู้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด

และ ดิลุค นั้นอ่อนแอ

ณ ที่นี้ มีเพียงผู้บริหารฟาทุยลำดับที่สิบสอง เชียทรูโล่ เท่านั้น

 


 

เรื่องนี้เคยลงในรอร.ไป เอามาใส่ไม่ให้แอคว่างรองอกออริค่ะ55555