“เดี๋ยวมานะ” หญิงสาวร่างเล็กที่เคยนั่งอยู่บนโซฟาตัวสีน้ำตาลในมุมหนึ่งของร้านอาหารกึ่งบาร์ ทำท่าจะลุกขึ้นยืนและเตรียมมุ่งตรงไปหาใครบางคนที่เจ้าตัวเหลือบมองเห็นมาพักใหญ่ โดยไม่ลืมหันมาบอกกล่าวกับเพื่อนสนิทอีกสองคนที่กำลังนั่งทำหน้ามึนงงไม่เข้าใจสถานการณ์อยู่ในขณะนี้

          “ไปไหนเพียว” เลิฟรีบถามและยื่นมือไปรั้งร่างของเพื่อนสาวเอาไว้ทันท่วงที มนุษย์ตัวจิ๋วที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจึงต้องทิ้งกายลงนั่งในตำแหน่งเดิม ไม่มีโอกาสได้ก้าวเดินห่างไปไหน

          “พี่แอร์”

          “อยู่ที่นี่เหรอ” ดิวผู้เป็นเจ้าของใบหน้าสวยหวานเอ่ยถามด้วยสายตาเป็นกังวล เพียงได้ยินว่าเพียวกำลังจะไปหาใคร เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ลึก ๆ แล้วไม่ได้อยากให้ทั้งสองคนมาเจอกันเสียเท่าไร แต่เพื่อนสนิทดันไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย อย่างในเวลานี้แม้ตัวจะนั่งอยู่ด้วยกันแต่ใจของเพียวกลับลอยลิ่วไปถึงตำแหน่งที่แอร์นั่งอยู่เรียบร้อยแล้ว

          “เมื่อกี้เห็นนั่งอยู่กับผู้หญิงอีกคน แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวเลยจะไปทักสักหน่อย” ปากก็ขยับบอกกล่าวไปเรื่อย ๆ ส่วนสายตาคู่สวยนั้นจ้องมองร่างเล็กของอดีตคนรัก ผู้ที่ยังมีอิทธิพลต่อหัวใจไม่เคยเปลี่ยน

          “เจอก็จะไปทักอยู่นั่นแหละ เมื่อไรจะตัดขาดได้สักที”

          “อย่าเพิ่งด่า” เรื่องนี้ดิวพูดจนปากเปียกปากแฉะ แต่เพียวก็ยังมีพฤติกรรมที่ทำให้อีกฝ่ายต้องต่อว่ากันอยู่เรื่อย ๆ

          “คนไม่มีสามีทำไมแกไม่รักวะเพียว”

          “ฉันรักเขาก่อนจะมีสามี”

          “แล้วยังไง” นั่งเงียบฟังทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันอยู่สักพัก เลิฟที่มีนิสัยพูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบก็เอ่ยขึ้นมา และแน่นอนว่าสามารถยุติการส่งเสียงถกเถียงระหว่างเพียวกับดิวได้ในทันที

          “ก็มันตัดไม่ได้” คนถูกทิ้งยอมรับสารภาพด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมกับแสดงสีหน้าหมองหม่นลง เห็นแบบนั้นแล้วจากที่เคยพยายามขัดไม่ยอมให้ไป ก็จำต้องใจอ่อนและยอมปล่อยเพียวทำสิ่งที่อยากทำ

          “ตามใจ ถือว่าเตือนแล้วนะ” เลิฟทั้งสงสารและอยากต่อว่าในเวลาเดียวกัน เพียวจมปลักอยู่กับพี่สาวคนนั้นมาเป็นแรมปีไม่ยอมขยับไปไหน แม้ไม่ฟูมฟายเหมือนตอนที่อีกฝ่ายแต่งงานใหม่ ๆ แต่ก็สัมผัสได้ว่าสภาพไม่ได้ดีขึ้นมากมายนัก เธอยังคงวกวนอยู่กับคนที่ตัวเองรักจนหมดหัวใจ ไม่มองหาคนใหม่ ไม่คิดจะเริ่มต้นราวกับกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่าง ซึ่งหากมองในมุมคนนอกอย่างเธอแล้วนั้น ช่างเป็นการรอคอยที่แสนสิ้นหวัง หญิงสาวนามสกุลดังที่จดทะเบียนสมรสพร้อมกับจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะหลุดพ้นจากพันธะอันเหนียวแน่นของสองตระกูลได้ ต่อให้รับรู้ว่าแอร์ คนรักเก่าของเพียวไม่ได้เต็มใจกับตำแหน่งภรรยาของนักธุรกิจหนุ่มคนนั้น แต่ความจำเป็นและปัจจัยอีกหลายอย่างก็ยังคงรัดตัวให้ไม่สามารถดิ้นไปไหนได้ ดังนั้นหากเพียวยังวาดหวัง เธอคิดว่าบางทีเจ้าตัวอาจจะผิดหวังในท้ายที่สุด

           “แค่ไปทักทาย”

           “ถามจริงนะเพียว แกแอบแซ่บกับเมียชาวบ้านเหรอ” เหมือนดิวได้หยิบยกสิ่งที่เลิฟสงสัยมาตลอดไปถาม เธอกลัวเหลือเกินว่าเพียวจะทำอะไรตามใจจนไม่สนว่าอีกฝ่ายนั้นมีเจ้าของที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

           “ไม่ได้ทำอะไรแบบนั้น”

           “ล่าสุดเมื่อไร”

           “อาทิตย์ที่แล้ว”

           “เอ่อ...” ดิวยกมือขึ้นมากุมศีรษะทันทีที่ได้รับคำตอบ อาทิตย์ที่แล้วหมายถึงเมื่อเจ็ดวันก่อน ซึ่งมันไม่ได้เนิ่นนานเลยแม้สักนิด ในขณะเดียวกันเลิฟเองก็ค่อย ๆ เอนแผ่นหลังพิงพนักโซฟาด้วยความรู้สึกอ่อนแรง

           “นอนเฉย ๆ ดิว ไม่ได้ทำอย่างอื่น”

           “มันไม่ถูกต้องนะ”

           “ก็เต็มที่แล้ว” เพียวยอมรับอย่างหมดสภาพว่าการต่อต้านความรู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจ มันยากลำบากจนเธอแทบหมดเรี่ยวแรง

           “เออ โตแล้ว ทำอะไรก็ทำเถอะ แล้วจะกลับมานี่อีกไหม”

           “ถ้าหายไปนานก็ไม่ต้องรอ”

 

           ร่างบอบบางเดินฝ่าผู้คนสวนทางไปมาจนถึงจุดหมายที่เพ่งเล็งเอาไว้ เมื่อคนโตกว่าหันมาเห็นใบหน้าของอดีตคนรัก เจ้าตัวก็ยกยิ้มกว้างเป็นธรรมชาติราวกับว่าบังเอิญพบเจอเพื่อนหรือคนรู้จักทั่วไปอย่างไรอย่างนั้น

           “มากับใครเหรอคะ สวยจัง” เพียวเป็นฝ่ายถามออกไปก่อน พร้อมทั้งยังส่งสายตาเป็นประกายจนอีกฝ่ายต้องค้อนมองในที่สุด

           “คนนี้พี่ขอ”

           “เพียวยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ไหล่เล็กไหวขึ้นลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำร้องขอจากใครอีกคน แอร์รู้ดีว่าเพียวไม่ได้สนใจคนที่เพิ่งกล่าวชื่นชมว่าสวยไปเมื่อครู่แม้สักนิด แต่เจ้าตัวก็ยังทำเหมือนว่าอีกฝ่ายอยากทำความรู้จักคนอื่นอยู่เรื่อย ทั้งที่ลึก ๆ แล้วรับรู้มาตลอดว่าเจ้าเด็กตรงหน้า ยังไม่สามารถก้าวผ่านเรื่องราวในอดีตไปได้

           “ดักไว้ก่อน มากับใครคะเพียว”

           “เพื่อนค่ะ”

           “นั่งด้วยกันไหม”

           “เพียวจีบนะเด็กพี่แอร์น่ะ”

           “น้องค่ะ ไม่ใช่เด็กพี่” คนโตกว่าหัวเราะพลางคลอนศีรษะไปมา อีกทั้งยังกล่าวปฏิเสธเรื่องที่เพียวเข้าใจผิดคิดว่าตนเองหนีสามีมาควงเด็กสาวสังสรรค์ในยามค่ำคืน

           “ไม่เห็นรู้เลยว่ามีน้อง” แอร์ไม่มีน้องสาว ทำไมคนรักเก่าอย่างเธอจะไม่รู้ แต่ที่ยังถามไปเช่นนั้นก็เพื่อต้องการได้ยินคำอธิบายขยายความให้กระจ่างขึ้นว่า สถานะน้องสาวที่เพิ่งบอก หมายถึงน้องแบบไหนและน้องของใคร

           “เพิ่งมีเมื่อกี้”

           “ยังไงนะ”

           “น้องสาวจริง ๆ” แอร์ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลตามนิสัย ในขณะเดียวกันก็ส่งยิ้มใจดีให้เหมือนกับที่เคยมีอยู่ตลอดมา

           “น้องก็น้อง แล้วให้นั่งด้วยได้แน่เหรอคะ”

           “ได้ ถ้าไม่ได้มาอ่อยน้องพี่”

           “เพียวเคยทำอะไรแบบนั้นต่อหน้าพี่ที่ไหน”

           “ไว้ใจไม่ได้หรอก” หญิงสาวร่างเล็กย่นจมูกใส่เรียกรอยยิ้มสวยจากคนมองได้ในทันที ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เพียวมักเผลอไผลเอ็นดูอยู่ทุกครั้ง เธอเป็นแบบนี้มาตลอดและปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่

           “คนที่บ้านไม่ว่าเหรอคะ ออกมาเที่ยวดึกดื่น”

           “พี่แต่งงานนะ ไม่ได้โดนจับขังคุก”

           “ไม่รู้ ก็เห็นปกติหวงจะตาย เหมือนหมาหวงกระดูก” คนปากร้ายต่อว่าสามีหนุ่มนามสกุลดังของอีกฝ่ายพลางทำหน้ายี้เสียเต็มประดา ซึ่งท่าทีเหล่านั้นส่งผลให้แอร์ต้องขมวดคิ้วและส่งเสียงดุเล็กน้อย

           “ตีได้เลยไหมเนี่ย ไปว่าเขา”

           “เฮอะ”

           “ไม่ได้ปกป้องค่ะ ไม่ต้องมาทำหน้าบึ้งเลย”

           “กลับด้วยได้ไหม” เพียวเปลี่ยนไปถามเกี่ยวกับแผนการในค่ำคืนนี้ เนื่องจากไม่อยากพาดพิงคนที่บ้านของพี่สาวตรงหน้านัก ยิ่งพาดพิงก็ยิ่งทำให้นึกถึง และเมื่อนึกถึงบ่อยครั้งเพียงใด เธอยิ่งรู้สึกเจ็บปวด

           “วันนี้ไม่ได้ มีน้อง”

           “ไม่มีน้องพี่ก็ไม่กลับด้วย” ตัดพ้อจนแอร์นึกอยากดึงเข้ามากอด แต่การกระทำเหล่านั้นมันเกิดขึ้นได้แค่ในความคิดเพียงเท่านั้น เธอไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ทั้งหมด การแวะเวียนไปหาเพียวและไม่ยอมตัดขาดนั่นก็ถือเป็นการทำร้ายน้องมากพอแล้ว

           “เพิ่งไปหาอาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ”

           “คิดถึง” คิดถึงอยู่เสมอ นั่นคือความจริงในใจทั้งหมดของเพียว หากแต่เจ้าตัวก็เลือกพูดไปเพียงบางส่วนเท่านั้น

           “ไปบ่อยไม่ได้”

           “สามีหวง” เอาแต่พูดถึงเขาคนนั้น ทั้งที่มันทำให้รู้สึกย่ำแย่เสียทุกครั้ง เพียวเหมือนคนเสพติดความเจ็บปวด แม้ความจริงเรื่องที่ว่าแอร์มีเจ้าของแล้วจะเหมือนมีดคอยกรีดสร้างบาดแผลอย่างไร แต่เธอก็ยังคงคอยคว้ามีดดังกล่าวมาทำร้ายตัวเองอยู่เสมอ

           “ย้ำจังนะเด็กคนนี้”

           “น่าเบื่อ”

           “ทำหน้าดี ๆ หน่อย ลอฟต์มาแล้ว” มือนุ่มยื่นไปแตะไหล่ของเด็กหน้างอเบา ๆ เมื่อสายตาเหลือบมองไปเห็นน้องสาวที่ออกมาด้วยกันในค่ำคืนนี้ กำลังเดินฝ่าผู้คนหลังจากหายไปเข้าห้องน้ำเมื่อสิบนาทีก่อน

           “ลอฟต์ไหน”

           “น้องสาวพี่ไงคะ เพิ่งกลับมาจากต่างจังหวัด” ได้บอกกล่าวเพียงแค่นั้น ร่างของคนถูกกล่าวถึงก็ขยับเข้ามานั่งในตำแหน่งเดิมและสายตาแห่งความสงสัยก็ฉายชัด แต่ลอฟต์ไม่ได้เอ่ยปากถามสิ่งใดออกมา เธอเพียงส่งยิ้มเป็นมิตรให้คนแปลกหน้าพร้อมหันไปตอบคำถามพี่สาวตัวเล็กที่เพิ่งถามไถ่กันเมื่อครู่

           “ห้องน้ำคนเยอะไหมคะ”

           “เยอะค่ะ ต่อคิวยาวเลย” ได้ยินคำตอบแล้วแอร์ก็พยักหน้ารับเชื่องช้า และก่อนที่แววตาสงสัยของลอฟต์จะชัดเจนมากไปกว่านี้ คนโตกว่าจึงคิดว่าควรแนะนำหญิงสาวที่นั่งทำหน้าเรียบเฉยให้ได้รู้จักเสียที

           “นี่เพียวค่ะ เพื่อนรุ่นน้องพี่เอง นี่ลอฟต์ น้องสาวแลมป์” เธอลดระดับเสียงลงอัตโนมัติยามกล่าวถึงสถานะของเพียวที่เพิ่งเสกขึ้นมาเมื่อครู่ และจำต้องปรับเสียงให้เบาลงอีกครั้งเมื่อต้องบอกว่าลอฟต์คือน้องสาวของใคร

           “อ๋อ น้องสามี สวัสดีค่ะลอฟต์” เพียวฉีกยิ้มพลางกล่าวทักทายอย่างไหลลื่น ไม่แสดงอาการผิดแปลกใด ๆ ออกไปให้เห็น บทบาทของเพื่อนรุ่นน้องถูกสวมอย่างแนบเนียน หากแต่ภายในใจกลับทุกข์ทรมานจนแทบอยากร้องไห้เสียเดี๋ยวนั้น

           “สวัสดีค่ะพี่เพียว”