11 ตอน CHAPTER 10 :: I'm done with you |Re-write|
โดย โชวาเฮ (showahae)
10
I’m done with you
ปึก!
เลียมปิดประตูห้องน้ำด้วยตัวสั่นเทิ้ม หายใจเข้าออกรัวแรง เขายังไม่หายตื่นตระหนกจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ฝ่ามือทั้งสองข้างกำขยุ้มชายเสื้อกล้ามเปียกชื้นไว้แน่น หยดน้ำจากตัวไหลดิ่งลงพื้นจนแฉะเป็นวงกว้าง เสื้อสีขาวตัวบางแนบไปกับร่างกายจนแทบเห็นผิวเนื้อภายใน ท่อนล่างก็เช่นกัน
เขาถูกทำบัดสีบัดเถลิงทั้งๆ ที่อยู่ในสภาพแบบนี้
อายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี นัยน์ตาหลุกหลิกเหลือบมองส่วนนูนเด่นที่กำลังดุนดันเนื้อผ้าออกมาจากบ็อกเซอร์บรีฟของตน เขาอยากจะบ้า!
คนวิกลจริตบ้ากามได้ปลดปล่อยสมใจหมาย แต่เขาไม่ ยังคงค้างเติ่งถูกทิ้งไว้กลางทาง กลีบปากบวมช้ำถูกเจ้าของมันกัดให้ห้อเลือดอีกครั้งอย่างกำลังชั่งใจ ความผิดชอบชั่วดีในจิตใต้สำนึกร้องตะโกนว่าตนไม่ควรยอมจำนน ทว่ามือสั่นๆ กลับเคลื่อนไหว หมายจะไปจัดการตัวเองให้หายค้างคา แต่ยังไม่ทันได้ลงมือก็รีบชักกลับ ส่ายหัวปฏิเสธอารมณ์ชั่ววูบ
เขาไม่อยากรู้สึกอะไรแบบนี้เพราะคนอย่างเจย์เดน!
ท้ายที่สุดเลียมก็ตัดสินใจแช่ตัวเองลงในอ่างอาบน้ำเย็นเฉียบ คิดไว้ว่ามันคงช่วยให้สงบลงได้บ้าง ทั้งๆ ที่อากาศหนาวจัดแต่เขากลับต้องอาบน้ำถึงสองครั้งสองหนในเวลาไล่เลี่ยกัน
“บ้าเอ๊ย”
วันต่อมา
“ผมไปได้รึยัง มีเรียนบ่าย”
ขณะพูดปากก็หาวหวอดๆ ใบหน้าซีดขาวปรากฎรอยดำคล้ำใต้ขอบตาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอน
เลียมหวาดระแวง...ยามเคลิ้มใกล้จะหลับเป็นต้องสะดุ้งตื่นเพื่อเช็ครอบตัวให้แน่ใจอีกที กลายเป็นว่าเขาได้นอนหลับสนิทจริงๆ แค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น
คนถูกถามยังคงนิ่งเงียบ สายตามองจ้องคนบนโซฟาตาไม่กะพริบขณะที่มือกำลังยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ทรงผมชี้ฟูยุ่งเหยิงกับหน้าตายับยู่ คอเสื้อกว้างคว้านลึกเพราะขนาดใหญ่กว่าตัวคนใส่หลายเท่าทำให้มันดูยืดย้วยแทบมากองรวมกันที่หัวไหล่ รวมๆ แล้วภาพนี้ทำให้เจย์เดนรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย
ขนาดไม่ได้ตั้งใจและเพิ่งตื่นนอน เด็กคนนี้ก็ยังดูเซ็กซี่อยู่ดี...
“ตกลงว่าไงเล่า”
คนถามเริ่มฉายแววความไม่พอใจผ่านน้ำเสียง ตาคมซึ่งจับจ้องหัวไหล่ที่เต็มไปด้วยรอยจ้ำช้ำหลายจุดจึงเบนสายตาออกมา
“ก็ไปสิ”
สิ้นคำอนุญาตเลียมก็แทบกระโดดดีใจจนตัวลอย เรี่ยวแรงที่เคยหดหายมันรู้สึกกลับมาฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง เขารีบวิ่งหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเอง ซึ่งเจย์เดนก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก พลันข้อความในมือถือก็ปรากฎขึ้นบนจอเพียงการสั่นเตือนแค่ครั้งเดียว
ACE
‘ผมเห็นนะว่าคุณอยู่ในห้องน้ำกับเลียม มาคุยกันหน่อยสิ’
เจย์เดนมองข้อความนั้นด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะตัดสินใจส่งสถานที่และเวลานัดหมายตอบกลับไป ในเมื่อตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องเล่นละครอะไรอีกต่อไปแล้ว ข้อมูลที่ต้องการสืบหาเขาก็ได้มันมาเกือบจะทั้งหมด หน้าที่ที่เขากำลังทำอยู่ก็จะเสร็จสิ้นในอีกไม่ช้า
มันคงใกล้ถึงเวลาที่เขาจะต้องกระชากหน้ากากของเอซให้เลียมได้รับรู้แล้ว!
ฉึก!
“อ๊าก!!!”
ของมีคมวาววับถูกปักเข้าที่หน้าขาของคนบนเก้าอี้จนเลือดพุ่งกระฉูด ของเหลวสีแดงฉานไหลเจิ่งนองลงพื้นกระเบื้องสีขาว
ชายวัยกลางคนถูกมัดติดเก้าอี้จนแทบกระดิกตัวไม่ได้ เขากัดฟันข่มความเจ็บปวด เงยหน้ามองคนกระทำการเหี้ยมโหดด้วยสายตาผิดหวัง ความเชื่อใจที่ถูกทรยศหักหลัง เขาไม่มีวันลืม
ถึงแม้ต้องตาย แต่เขาจะไม่มีวันลืม!
“เบ็ทตี้ก็รู้?”
สายตาเย็นชาเสมองหญิงอายุไล่เลี่ยกันกับเหยื่ออย่างมุ่งร้าย ซึ่งขณะนี้เธอกำลังนอนหอบหายใจรวยรินอยู่บนพื้นท่ามกลางกองเลือด พยายามเอื้อมหามือถือที่กำลังแผดเสียงเรียกเข้า
สายจากลูกชายคนเดียวของเธอ...เลียม
มือเปื้อนเลือดซึ่งกำลังสั่นระริกเอื้อมจนสุดความยาวแขน อีกแค่นิดเดียวปลายนิ้วของเธอก็จะแตะโดนมัน...อีกนิดเดียวเท่านั้น
ทว่าความหวังที่กำลังฉายแสงกลับถูกดับลงด้วยปลายรองเท้าผ้าใบรูปทรงทันสมัย มันเตะตวัดให้มือถือไถลออกห่างจากเธอไปไกล น้ำตาไหลพรั่งพรูไม่ขาดสายเมื่อรู้สึกถึงเงามัจจุราช ความตายนั้นไม่กลัว แต่ก่อนตายเธออยากแน่ใจว่าลูกชายจะปลอดภัย
อยากบอกเหลือเกินว่าอย่ากลับบ้าน...อย่ากลับมาเด็ดขาด!
และอย่าไว้ใจใคร ในชีวิตนี้ไม่เหลือใครที่ไว้ใจได้อีกแล้ว
“ยะ อย่าทำเมียฉัน เธอไม่รู้! ไม่รู้อะไรเลย! ฉันรู้ รู้คนเดียว!”
คนจนตรอกตะโกนพูดซ้ำๆ จนเสียงแทบแหบแห้งเมื่อเห็นเค้าลางแห่งความเลวร้าย น้ำตาปริ่มจนเอ่อคลอไหลอาบแก้ม หัวใจปวดหนึบราวกับจะแหลกสลาย
‘ดีแลน มาตินเนส’ ชายอายุคราวพ่อยอมก้มหัวให้คนอายุคราวลูกอย่างไร้สิ้นซึ่งศักดิ์ศรี
จะแล่เนื้อเถือหนัง จะทำอะไรเขายอมทั้งนั้น แต่อย่าทำผู้หญิงที่เขารักจนหมดหัวใจ
ได้เห็น ได้มอง ได้ยิน แต่กลับทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากรับรู้ความเป็นไป
“เห็นหน้ากันแล้ว คงปล่อยไปไม่ได้”
ฉัวะ!
ปลายมีดสีเงินเชือดเฉือนผ่าคอหอยของคนที่กำลังตะเกียกตะกายไขว่คว้าหามือถือรวดเดียวจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นห้อง ดวงตาฉ่ำน้ำเบิกค้าง ร่างกายกระตุกเกร็งไปทั้งตัวเพราะความเจ็บเกินรับไหว
ทว่ามือซึ่งกำลังสั่นระริกยังคงเอื้อมหามือถืออย่างน่าเวทนา เธอรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายจนปลายนิ้วแตะโดนมันเข้า พลันทุกอย่างแน่นิ่ง เลือดข้นสีสดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์ไม่ขาดสาย ดวงตาไร้ชีวิตยังคงเปิดมองไปที่มือถือเครื่องเดิม
ทว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ยินเสียงลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย
“ไม่!!! เบ็ทตี้! ไม่!!! ไอ้ระยำชาติหมา!!! ไอ้เลว!!!”
ความตายของภรรยาทำให้ดีแลนบ้าคลั่ง ร่างกายเซถลาพุ่งเข้าหาร่างไร้วิญญาณจนเก้าอี้โถมล้มลง ปากแห้งผากสั่นระริก ร่ำร้องเรียกหาชีวิตในร่างกายที่เริ่มเย็นขึ้นทุกขณะ เขาร้องไห้ ลืมสิ้นซึ่งความเจ็บทางกาย โลกทั้งใบพังทลายลงต่อหน้าต่อตา
เจ็บ...เจ็บจนเหมือนจะขาดใจ เขาผิดเอง เรื่องทั้งหมดมันเป็นความผิดของเขาเอง!
“ฉันจะส่งแกไปอยู่กับเบ็ทตี้เอง”
ฝ่ามือใหญ่จิกดึงเส้นผมของเหยื่อรายสุดท้ายให้เงยหน้าขึ้นอย่างไม่ผ่อนแรง สายตาเคียดแค้นฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตามองสบกับเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตัวสั่นเทิ้มไปด้วยความโกรธแค้นที่มีมากจนไม่อาจปกปิดไว้ได้มิด
ฉึก!
“อึก...กะ แก...”
มีดเล่มเดียวกันกับที่คร่าชีวิตภรรยาเขาไปถูกเสียบจนมิดด้ามเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายซึ่งเป็นจุดตาย...ขั้วหัวใจ
เลือดกระอักไหลทะลักออกจากปาก แต่สายตายังคงจ้องมองคนกระทำอย่างไม่ลดละ ราวกับจะใช้มันสาปส่งจนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย ความทรมานทุกกระแสที่แล่นปรี่มาตามเส้นประสาททำให้ร้าวรานทุกครั้งที่หายใจ จวบจนกระทั่งไม่เหลือแม้แต่แรงจะกระดิกนิ้ว
สองสามีภรรยานอนตายตาไม่หลับ ดวงตาไร้แววเบิกค้างอย่างน่าหวาดหวั่น
ความห่วงยังผูกพันธะ เปลือกตาทั้งสองไม่ยอมปิด ห่วงลูกชายคนเดียวของพวกเขา...
บิ๊กไบค์คันงามแล่นฉิวบนท้องถนนอย่างไหลลื่น เลียมตั้งใจว่าจะไปเข้าเรียนก่อนแล้วค่อยตรงกลับบ้านทีเดียว ขณะจอดรถติดไฟแดง หน้าจอทีวีขนาดใหญ่ย่านไทม์แสควว์กำลังฉายข่าวฆาตกรรมกลางบ้าน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างเมื่อเห็นรูปของชายหญิงผู้เคราะห์ร้ายเด่นหรา พร้อมทั้งชื่อที่ถูกฉายชัดอยู่บนจอแก้ว
ดีแลน...อลิซาเบธ...
นั่นมันชื่อพ่อแม่เขา!
ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง หัวสมองรับรู้แต่จิตใจเบื้องลึกกลับปฏิเสธที่จะเชื่อ มือเคลื่อนไปบิดคันแร่งอย่างไร้ความคิด ไม่สนแม้กระทั่งเสียงบีบแตรกับเสียงด่าทอดังระนาวที่เขาทำผิดกฎจราจรด้วยการฝ่าไฟแดง รถบางคันเหยียบเบรกจนแทบเกิดอุบัติเหตุ แต่นาทีนี้เลียมไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องพวกนั้น
เขาต้องไปให้เร็วที่สุด เขาต้องกลับบ้าน!
ใช้เวลาเพียงไม่นานเลียมก็มาถึงจุดเกิดเหตุ หรือก็คือบ้านของเขา ขายาววาดลงจากบิ๊กไบค์คันโปรดด้วยแววตาเลื่อนลอย
ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่เขาต้องถอดหมวกกันน็อก ผู้คนมากมายกำลังยืนออกันอยู่นอกเขตเทปกั้นสีเหลือง แสงวูบวาบจากไซเรนรถตำรวจกระแทกเข้าตาจนแทบลืมไม่ขึ้น เหมือนโลกหยุดหมุนชั่วขณะ สองหูอื้ออึง ได้ยินเสียงแต่ไม่ได้ศัพท์ จับใจความไม่ได้ สองขาก้าวตรงไปยังตัวบ้าน สองมือดึงกระชากเทปกั้นเยี่ยงคนคลั่ง
“เข้าไปไม่ได้นะครับคุณ!”
ตำรวจประจำเมืองตรงเข้ามาห้าม แต่ก็ถูกผลักไสรุนแรง ร้อนให้ต้องใช้กำลัง เขาต้องทำตามหน้าที่ นั่นคือการจับกุมผู้ที่เข้ามาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
แต่ชั่ววินาทีที่ได้สบเข้ากับดวงตาของคนสูญเสียผ่านกระจกบานใสของหมวกกันน็อกตำรวจถึงกับชะงักงัน ‘เฮนรี่’ จึงเลือกที่จะถอย
เด็กคนนี้กำลังเสียใจจนไร้สติ แม้แต่หมวกกันน็อกเขายังลืมถอด
“พ่อ...แม่...”
เสียงสั่นเครือร้องเรียกหาบุพการี น้ำใสๆ เอ่อคลอเต็มหน่วย ทว่าเลียมยังทำใจดีสู้เสือ เขาพยายามกักกลั้นมันไว้อย่างเต็มที่ หลอกตัวเองอยู่ทุกวินาทีว่าทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องจริง ทั้งๆ ที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
ไม่เคย...เลียมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอและอ่อนแรงเท่าครั้งนี้มาก่อน
ทั้งชีวิตเขามีแค่พ่อกับแม่ มีแค่พวกท่านเท่านั้น
รอยเลือดเกรอะกรังกับข้าวของกระจัดกระจายภายในบ้านทำให้ใจวูบโหวง สายตากวาดมองทุกร่องรอยราวกับจะจารึกมันไว้ในหัวใจ ความรุ่มร้อนสุมในอกขึ้นมาเมื่อนึกถึงความทุกข์ทรมานที่พ่อกับแม่ของเขาต้องพบเจอ สองมือจิกกำเข้าหากันแน่น ความรู้สึกตีรวนอยู่ในอกจนแทบทนไม่ไหว
จนกระทั่งร่างสองร่างซึ่งถูกผ้าสีขาวพาดคลุมปกปิดเข้ามาอยู่ในกรอบสายตา สองเท้าเคลื่อนเข้าหา มือสั่นเทาเอื้อมไปช้าๆ จนถึงตอนนี้เลียมก็ยังไม่อยากเชื่อ ว่าบุพการีของเขาได้จากไปอย่างไม่หวนกลับ
พรึ่บ!
แต่แล้วความจริงก็ปรากฏ เลียมถอดหมวกกันน็อกเชื่องช้า สองมือยกขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงร้องที่อาจดังทะลุออกมาให้ได้ยิน สะอื้นหอบตัวโยนทว่าไร้เสียง โลกทั้งใบของเขาพังครืนลงในพริบตา สภาพศพทำให้เขาปวดใจจนเหมือนจะตาย ยิ่งคิดไปว่าพวกท่านต้องทรมานแค่ไหนเขาก็ยิ่งเสียใจ
หากแค่เมื่อคืนเขากลับบ้าน...ถ้าเขากลับบ้านล่ะก็...
ร่างกายเสียการทรงตัวจนทรุดไปกองกับพื้น ปากสั่นเทาอยากเอื้อนเอ่ยเรียกหาพวกท่าน แต่กลับไม่มีซึ่งเศษเสี้ยวของเสียงหลุดรอดออกมาให้ได้ยิน เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวพลันรู้สึกเหมือนถูกกระชากลงขุมนรกที่ลึกที่สุด
นรกที่เรียกว่าการสูญเสีย
สายตาฉ่ำน้ำหันหนีภาพตรงหน้าเมื่อทนมองไม่ไหว ทว่ากลับพบอะไรบางอย่างที่ทำให้สมองพร่าเบลอไปชั่วขณะ ตื้อตันจนคิดอะไรไม่ออก
ผ้าเช็ดหน้าสีดำผืนนั้น...มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!?
กลิ่นไอหอมกรุ่นของกาแฟดำในแก้วกระเบื้องเคลือบตรงหน้าไม่ได้ทำให้คนสีหน้าตายซากรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด ดวงตาเลื่อนลอยเหม่อมองออกไปนอกกระจกร้านคาเฟ่แห่งนี้อย่างคนหมดอาลัยตายอยาก มือบนตักกำผ้าเช็ดหน้าที่เก็บมาจากที่เกิดเหตุไว้แน่น ขยำขยี้จนมันยับยู่ตามความรู้สึกที่กำลังกราดเกรี้ยวอยู่ภายใน
มันเป็นของเจย์เดน เขาจำไม่ผิดแน่!
“ผมต้องสอบปากคำคุณเบื้องต้น รบกวนขอความร่วมมือด้วยนะครับ”
เฮนรี่ ชายในชุดเครื่องแบบทางการนั่งอยู่ตรงข้ามกันกับเลียม เขาเปิดเอกสารอ่านข้อมูลและรายละเอียดที่เก็บได้ในแฟ้มข้อมูล แม้จะยังไม่ปิดคดีแต่รูปการก็ชวนให้สันนิษฐานคร่าวๆ ว่าเป็นการฆาตกรรมเพื่อปล้นชิงทรัพย์ เนื่องจากข้าวของมีค่าล้วนหายไปจนแทบไม่เหลือ อีกทั้งภายในบ้านยังเละเทะกระจัดกระจาย แสดงถึงการรื้อค้นอย่างรีบร้อน ซึ่งเลียมได้เซ็นอนุญาตคำขอการชันสูตรศพอย่างละเอียดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือก็เพียงรอผลและสอบปากคำอีกฝ่าย
“เมื่อคืนคุณไม่ได้กลับบ้าน บอกผมได้ไหมว่าคุณไปไหนมา”
เฮนรี่เปิดปากถามเพื่อต้องการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม โดยไม่รู้เลยว่าคำถามนี้จี้ใจดำเลียมเข้าอย่างจัง
หากเมื่อคืนเขากลับบ้าน...
“ถ้าผมบอกคุณว่ามันไม่ใช่การฆ่าเพื่อปล้น และผมรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือใคร คุณจะทำยังไงครับคุณตำรวจ?”
กระแสเสียงเย็นชามาพร้อมกับแววตาเหี้ยมเกรียม เฮนรี่คิ้วกระตุกเมื่อเห็นสีหน้าโกรธแค้นจากเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เลียมพูดมันจริงเท็จแค่ไหน แต่ดูจากลักษณะท่าทางของอีกฝ่ายแล้ว...ลองฟังสักหน่อยคงไม่เสียหาย
“คุณรู้อะไร เลียม”
“ผมแอบเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาจากที่บ้าน และผมรู้จักเจ้าของของมันด้วย”
เลียมโยนผ้าเช็ดหน้าในมือลงตรงกลางโต๊ะให้นายตำรวจหนุ่มได้ประจักษ์แก่สายตา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนพลันเบิกกว้างด้วยความคาดไม่ถึง
ผ้าเช็ดหน้าสีดำสนิท มีรูปดอกกุหลาบซึ่งถูกปักด้วยด้ายแดงทำมืออยู่ตรงมุมผ้า มันคือผ้าเช็ดหน้าแบบเดียวกันกับที่เฮนรี่เฝ้าตามหาเจ้าของ คดีที่เกี่ยวข้องกับมันถูกเขาตามสืบยังปิดไม่ลงสักคดี ไม่มีสิ่งใดสาวถึงตัวฆาตกรต่อเนื่องคนนี้ได้เลย
ทว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากลับบอกเขาว่ารู้จักกับเจ้าของของมัน
“ใคร...เจ้าของของมันคือใคร”
ราวกับความตื่นเต้นกำลังพุ่งขึ้นสูงจนควบคุมไม่อยู่ เฮนรี่แทบกลั้นหายใจขณะมองกลีบปากคนตรงหน้าที่ทำท่าจะขยับพูด ลุ้นทุกวินาทีที่รอคอยให้เลียมบอกเบาะแสแก่เขา เหมือนกับชั่วขณะนั้นเวลาเดินช้าจนน่าใจหาย
“...เจย์เดน”
เฮนรี่ไม่รอช้าที่จะบันทึกชื่อผู้ต้องสงสัยลงในลิสต์ เขาสอบปากคำเลียมอีกสักพักจึงรีบไปดำเนินการขออนุมัติจากเบื้องบนเพื่อตรวจสอบเจย์เดน ซึ่งนั่นทำให้เจ้าของดวงตาแดงก่ำแค่นยิ้มร้าย
คราวนี้เลียมจะไม่ยอมอีกต่อไป พอกันที เขาจะไม่ทนอีกแล้ว ครั้งนี้มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่เขาจะยอมปิดปากเงียบและเล่นไปตามน้ำกับคนโหดเหี้ยม ตายเป็นตาย ตอนนี้เขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว แม้ชีวิตเขาก็ยอมแลก แต่ก่อนตายเขาต้องลากตัวเจย์เดนออกมารับโทษให้ได้
ให้สาสมกับที่ฝ่ายนั้นพรากสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตเขาไป!
“คุณมีอะไรจะพูดกับผม?”
ใบหน้ายิ้มแย้มมาพร้อมกับน้ำเสียงเริงร่า หน้ากากปั้นยิ้มถูกเจย์เดนหยิบมาสวมใส่อีกครั้ง แสร้งทำทีเป็นเอียงคอมองคนที่นัดเขาออกมาราวกับจะหยอกเย้า ซึ่งในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้มันจะถูกแทนที่ด้วยความจริงอันน่าสะพรึง
“จริงๆ ผมไม่ได้จะคุยกับคุณเรื่องเลียมหรอก แต่ผมมีอะไรบางอย่างอยากจะถาม”
“อือฮึ~ ถามมาสิ”
เจ้าของสีหน้ายียวนเท้าคางมองหนุ่มแว่นที่นั่งอยู่ข้างกัน บาร์ใต้ดินแห่งนี้เงียบสงบไร้ลูกค้าคนอื่นรบกวน นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว จะมีก็เพียงบาร์เทนเดอร์ชายวัยสามสิบต้นๆ ซึ่งกำลังยืนเช็ดแก้วอยู่หลังเคาน์เตอร์ก็เท่านั้น
แน่ล่ะ ก็เอซใช้เงินซื้อความเป็นส่วนตัวไว้นี่นะ
“คุณเข้าหาผมเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงใช่หรือเปล่า”
แววตาคมกล้าภายใต้เลนส์แว่นสีใสมองสบกับเจย์เดน มันแฝงไว้ด้วยความดุดันแข็งกร้าวอยู่ในที ซึ่งผิดไปจากบุคลิกยามปกติของเจ้าตัวลิบลับ บรรยากาศรอบกายที่แผ่ออกมาก็ต่างไปจากทุกครั้ง
มุมปากสีเรื่อลอบยกยิ้มเย็นชืด...ธาตุแท้กำลังจะเผยแล้วสิ
“นั่นสิ มีหรือไม่มีกันน้า~” มือใหญ่วนแก้วบรั่นดีในมือไปมาพลางกลั้วหัวเราะ สายตาหลุบมองลงต่ำ หยุดอยู่ที่รองเท้าของใครอีกคน
“กลิ่นคาวมันแรงจริงๆ ดูท่าทางคุณจะรีบไปหรือเปล่าเอซ”
สิ้นประโยคกำกวมที่แฝงความนัยให้รับรู้กันแค่สองคน บรรยากาศที่ดูเหมือนจะสบายๆ ในคราแรกกลับมึนตึงขึ้นมาชั่วขณะ รอยยิ้มที่เคยปรากฎบนใบหน้าเลือนหาย มีเพียงแววตาลึกล้ำยากเกินหยั่งถึง คนมองถึงกับต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความรู้สึกชวนขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
จู่ๆ เอซก็รู้สึกกลัวคนข้างกายขึ้นมาเสียดื้อๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าหาเขาเพื่ออะไร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญกับความน่าขนหัวลุกของเจย์เดน
เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหนอนเน่าธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง แต่ดูท่าแล้วเขาคิดผิด เจย์เดนอันตราย ไหนจะยังคำพูดที่ฟังดูรู้เท่าทันไปเสียทุกเรื่องนั่นอีก
เขาพลาดเสียแล้ว
“เอซ เชมเบอร์ลิน ยินดีที่ได้รู้จัก”
!!!
แค่คำว่า ‘เชมเบอร์ลิน’ ที่หลุดออกมาจากปากของคนตรงหน้าทำให้หนุ่มแว่นใบ้กินกะทันหัน รู้ซึ้งทันทีทันใดว่าฝ่ายนั้นบรรลุจุดประสงค์ในการเข้าหาเขาแล้ว ด้วยระยะเวลาเพียงแค่เดือนเศษ เจย์เดนก็ล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาเข้าแล้ว
อันตราย...คนๆ นี้อันตรายเกินไปแล้ว!
“พูดอะไร”
เอซแสร้งตีหน้ามึน เขารีบปรับสีหน้าที่ดูตื่นตกใจในทีแรกให้กลับมาเรียบเฉยดังเดิม มือสะบัดโบกให้สัญญาณบาร์เทนเดอร์เป็นเชิงว่าเขาต้องการเวลาส่วนตัว
เมื่อไร้ก้างขวางคอ มือก็ค่อยๆ เคลื่อนลงต่ำ ผลุบหายเข้าไปในกระเป๋ากางเกงข้างขวา กระทำเชื่องช้าอย่างไม่ต้องการให้คนข้างกายรู้ตัว
จะปล่อยให้คนนอกที่ล่วงรู้เรื่องตระกูลเชมเบอร์ลินลอยนวลไปไม่ได้เด็ดขาด
กำจัด...มีแต่ต้องกำจัดทิ้งเท่านั้น นั่นคือหนทางเดียว!
“ไส้เดือน ต่อให้มีถึงพันขา ก็ไม่มีวันเทียบชั้นจนกลายเป็นมังกรที่มีเพียงแค่สี่ขาได้หรอก”
วินาทีที่มีดพกยื่นตวัดหมายจะปาดเข้าที่คอหอย เจย์เดนเบี่ยงตัวหลบได้ทันอย่างน่าเหลือเชื่อ หนำซ้ำยังใช้สันมือแข็งกระแทกเข้าที่ข้อพับแขนคนกระทำการอุกอาจอย่างแรงจนมีดหลุดมือ
เพียงอึดใจเดียวเอซกลับกลายเป็นฝ่ายตกที่นั่งลำบาก อุ้งมือใหญ่คว้าเข้าที่ลำคอก่อนลงแรงบีบหนักหน่วง นิ้วหัวแม่มือบรรจงกดเน้นหนักบริเวณลูกกระเดือกจนเขากระดิกตัวไม่ได้ หายใจไม่ออก
“จำไว้ ไส้เดือนเชมเบอร์ลิน”
ปั้ก!
สิ้นประโยคดูแคลน ศีรษะของเอซก็ถูกจับโขกกระแทกกับพื้นเคาน์เตอร์บาร์อย่างแรงจนเลือดไหลอาบหน้า เขารู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ หัวสมองพร่าเลือนจนแทบไม่รับรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะมีก็เพียงแต่น้ำเสียงเย็นเยือกที่เอ่ยรินรดบริเวณใบหู
“คลานกลับไปบอกเจ้านายของแกซะ”
ปึงๆๆ !
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้! เปิดสิเว้ย!!!”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับคุณเลียม ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ทำได้แค่ขอความร่วมมือจากเขาในการสอบสวนก็เท่านั้น เขาจะฟ้องเรากลับได้นะครับ”
เฮนรี่ตรงเข้าไปห้ามเด็กหนุ่มเลือดร้อนด้วยความลำบากใจ ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่กำลังยืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านของใครสักคน ซึ่งเลียมบอกว่าเจ้าของมันคือเจย์เดน ทว่าด้วยข้อมูลทั้งหมดที่มี ที่หาได้แทบจะทั้งหมด ไม่ยักเห็นมีระบุว่าที่แห่งนี้มีเจย์เดนเป็นเจ้าของ
แน่นอนว่าเรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหล่านี้ทำให้เฮนรี่แคลงใจในตัวตนของเจย์เดนมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่เขาก็ต้องทำไปตามขั้นตอน หากผลีผลามบุ่มบ่ามทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง จะกลายเป็นเขาเองที่เดือดร้อน
ชั่วอึดใจต่อมา ประตูที่เคยปิดล็อกแน่นหนากลับเด้งออกช้าๆ เป็นสัญญาณว่าเจ้าบ้านอนุญาตให้พวกเขาเข้าไปด้านในได้ เลียมแทบจะพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วแสง เขาเดินนำเฮนรี่ไปอย่างรู้ทางดี จนกระทั่งมาถึงห้องรับแขก ซึ่งมีผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“เชิญนั่ง พวกคุณสะดวกจะรับเป็นชาหรือกาแฟดี” มือใหญ่ผายเชิญชวน เอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสมกับเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ดีเลิศ
แต่เลียมรู้ดีว่านี่เป็นเพียงแค่ละครฉากใหญ่ เขาอยากจะกระชากหน้ากากอันน่าสะอิดสะเอียนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด!
“ไม่ต้องมาทำเป็นไขสือ ทำพ่อแม่กูทำไม ทำทำไม!? พวกเขาเกี่ยวอะไรด้วยวะฮะ!”
โทสะที่สั่งสมอดทนมานานกำลังจะล้นทะลัก ยิ่งเห็นสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนของเจย์เดน เลียมก็ยิ่งเลือดขึ้นหน้า มือไม้สั่นระริกด้วยความโกรธถึงขีดสุด
เขาตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อคนบนโซฟาด้วยความเกรี้ยวกราด หมัดลุ่นๆ ถูกอัดใส่โหนกแก้มของอีกฝ่ายจนหน้าหัน เลียมชกอีกซ้ำๆ เพื่อระบายความอัดอั้นที่มี
“เลียม! หยุดเดี๋ยวนี้ หยุด!”
เฮนรี่ตรงเข้ามากระชากคนคลั่งให้ออกห่างจากเจย์เดน ทว่าเลียมยังคงดิ้นรนขัดขืน พยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากการเกาะกุม จนถูกนายตำรวจหนุ่มจับใส่กุญแจมือเข้าให้ นั่นจึงพอจะทำให้เขาสงบลงได้บ้าง
“ปล่อยผม ผมจะฆ่ามัน!”
ขณะเฮนรี่กำลังวุ่นวายกับการทำให้เลียมหยุดพยศ เขาจึงไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้เจย์เดนกำลังเป็นเช่นไร
แววตาคมดุดันขึ้นทุกวินาทีกำลังมองจ้องคนแหกปากโวยวาย หลังมือยกขึ้นปาดเลือดที่ไหลออกมาตามมุมปาก หมัดเลียมหนักไม่ใช่เล่น โหนกแก้มขาวขึ้นสีช้ำเลือด ลิ้นดันกระพุ้งแก้มด้วยความเดือดดาลที่กำลังพุ่งขึ้นสูง
“มึงมันเหี้ย! คุณตำรวจ เอาผ้าเช็ดหน้าให้มันดูดิ ค้นบ้านค้นตัวมันด้วย ผมรับรองว่ายังไงก็ต้องเจอผ้าเช็ดหน้าแบบเดียวกันแน่!”
คิ้วเข้มกระตุกเมื่อได้ยินถ้อยคำแสลงหู หัวเขานั้นแทบไม่ได้คิดเกี่ยวกับความลับของตัวเองหรือความลับของตระกูลว่าจะถูกเปิดเผย คิดแต่ว่าหลังจากนี้จะจัดการกับคนไม่ยอมหลาบจำอย่างไรมันถึงจะสาสม
“นี่ผ้าเช็ดหน้าที่คุณเลียมพูดถึง ผมหวังว่าคุณจะให้ความร่วมมือแต่โดยดี เพราะจากคำให้การของคุณเลียม คดีนี้คุณตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง”
เฮนรี่ไม่แนะนำตัวเองให้เสียเวลา เขาล้วงหยิบถุงสีใสที่บรรจุผ้าเช็ดหน้าซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางมันลงบนโต๊ะกระจกก่อนจะเลื่อนมันไปตรงหน้าเจย์เดน
ซึ่งรายนั้นทำเพียงแค่ปรายตามองมันด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ พลันมุมปากสีช้ำก็กระตุกยิ้มหยัน เจย์เดนพ่นลมหายใจยาวเหยียดราวกับกำลังเหนื่อยหน่ายกับอะไรสักอย่าง
“วันหลังก่อนจะมาสอบสวนผู้ต้องสงสัย รบกวนคุณช่วยส่งหลักฐานไปตรวจสอบความถูกต้องก่อนดีไหมครับคุณตำรวจ”
“ครับ?”
“มึงอย่ามาแหลไอ้ย่น!”
นัยน์ตาดุดันหันมองคนพ่นถ้อยคำผรุสวาท หมายมาดคาดโทษไว้ในใจ ก่อนจะเริ่มเปิดปากอธิบายให้นายตำรวจหนุ่มที่ยังคงไม่เข้าใจได้รับฟัง
“ด้ายปัก เนื้อผ้า ถ้าจับทุกวันแค่มองด้วยตาก็รู้ได้ว่ามันต่างชนิดกัน ไหนจะยังเฉดสีที่ผิดเพี้ยนกันไปหลายเฉด ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามันถูกทำเลียนแบบ หรือพูดง่ายๆ ...มันคือของปลอม”
“คุณจะบอกว่าคุณมีของจริง?”
เฮนรี่ถามด้วยความข้องใจ การอธิบายของอีกฝ่ายเมื่อครู่มันดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นคำสารภาพชอบกล
“ใช่ ผมมีของจริง”
เจย์เดนคลี่ยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าคาดไม่ถึงจากนายตำรวจหนุ่ม พลางยกชาที่สาวใช้นำมาเสิร์ฟจิบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ปล่อยให้อีกฝ่ายหลงคิดไปว่าที่เขาพูดมันคือคำสารภาพ
แต่ใครมันจะไปบ้าสารภาพเรื่องพรรค์นี้กัน?
_____________________________________
รีไรท์เรียบร้อยแล้วนะคะ?
อ่านแล้วสนุก ชอบ อย่าลืมคอมเม้นบอกกันให้ไรท์ได้ชื่นใจด้วยน้าาา ตอนนี้สงสารน้องมากค่ะ ;__; อยู่ดีๆ พ่อแม่ก็ถูกฆ่าเฉยเลยย โลกทั้งใบพังในพริบตา วอนอิพี่อย่าใจร้ายกะน้องให้มากเลยแง ?
TBC.
Comments (0)