​第一章: 藍太陽の島

TRIGGER WARNING: INCEST, SUICIDE, ANIMAL CRUELTY, BLOOD, OCCULTISM, DEATH, RAPE, MURDER

เกาะตะวันคราม (藍太陽の島) แห่งนี้อยู่ทางตอนใต้สุดของประเทศญี่ปุ่นโดยที่ล้อมรอบโดยทะเลแห่งความเงียบสงัด (静寂の海) ที่มันได้ชื่อนี้เนื่องจากเกาะนี้มักมีเมฆครึ้มอยู่บ่อยครั้งจนทำให้แสงสว่างของดวงอาทิตย์ส่องลงมาไม่ถึง ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ผู้คนเคยเล่าให้ผมฟังว่าที่เกาะตะวันครามถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิดก็เพราะเวทมนตร์แห่งแม่มดแห่งท้องทะเล (海の魔女) นั่นเอง

ชาวเกาะตะวันครามมีความเชื่องมงายเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติจนผมรู้สึกเอือมระอา ส่วนตัวผมไม่เชื่อว่านั่นเป็นฝีมือของสิ่งที่เรียกว่า ‘แม่มด’ เวทมนตร์จะมีจริงได้อย่างไรก็ในเมื่อเจ้าลัทธิของเกาะแห่งนี้เป็นพวกลวงหลอกคอยหลอกชาวบ้านอยู่ทุกวี่ทุกวัน พวกเขากำลังตกอยู่ในวังวนแห่งโมหะอันไม่รู้จบ ผู้คนค่อย ๆ จมดิ่งในลงไปห้วงสมุทรแห่งมิจฉาทิฐิทีละนิดจนสักวันหนึ่งพวกเขาจะต้องตายเพราะความเขลา ผมหวังว่าจะมีใครสักคนจะมาช่วยเข็นสรรพสัตว์อย่างพวกเราสักวัน

ลัทธิที่ผมพูดถึงคือลัทธิห้วงสมุทร (深淵の崇拝) ที่นับถือชินเอ็น (深淵) เทพแห่งท้องทะเลที่คอยปกปักรักษาเกาะแห่งนี้จากมนตร์ดำอันชั่วร้ายของแม่มดแห่งท้องทะเล รูปปั้นของชินเอ็นมีลักษณะเป็นชายแก่ตัวโตที่ถือตรีศูลสีครามเอาไว้อยู่ ผมสงสัยเหลือเกินว่านั่นเป็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของชินเอ็นหรือไม่ ชาวเกาะเชื่อกันว่าชินเอ็นจะคุ้มครองพวกเขาก็ต่อเมื่อทำพิธีสมุทรโลหิต (血の海の儀式)

พิธีนี้จะจัดขึ้นทุก ๆ วันจันทร์ที่สามของเดือนกรกฎาคมของทุก ๆ ปีเพื่อบูชาเทพตนนี้ ผมรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงจนอยากจะอาเจียนออกมาทุกครั้งที่มันเป็นคนทำพิธีกรรมชั่วช้าสามานย์นั้น ทั้งผมและไทโยต่างไม่เห็นด้วยกับการจัดพิธีนี้ แต่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องมองพวกเขาที่กำลังถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยม ภาพมายาที่มันสร้างขึ้นมาทำให้ชาวเกาะลุ่มหลงในความวิปริตเหล่านั้น พวกเขาเห็นดีเห็นงามกับพิธีนี้ด้วยกันทั้งสิ้น

พวกเขาไม่มีวันรู้เลยว่าลัทธิอัปรีย์เป็นเพียงแค่สิ่งลวงโลกที่ชิมิสึ อิคาริ (清水 錨) สร้างขึ้นมา ผู้ชายคนนี้เป็นคนสร้างข้อห้าม ตำนานและความเชื่อต่าง ๆ เพื่อมอมเมาพวกเขาด้วยยาพิษแห่งอวิชชาที่ไม่มีทางรักษาได้ ผมเชื่ออย่างนั้น

หนึ่งในความเชื่อคือการเล่นน้ำในทะเลตอนกลางคืนหรือตอนฟ้ามืดครึ้ม ชาวเกาะเชื่อกันว่าในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่แม่มดแห่งท้องทะเลจะปรากฏตัวออกมาให้มนุษย์ได้เห็น และหากมีผู้ใดลงไปในทะเล แม่มดแห่งท้องทะเลก็จะใช้มนตร์ดำเพื่อให้บุคคลนั้นลุ่มหลงในตัวเธอและตายในที่สุด แต่ถึงกระนั้นผมและไทโยมักจะว่ายน้ำด้วยกันในช่วงเวลาที่ว่าโดยที่ไม่เคยมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นกับพวกเราเลย ผมจึงเชื่อว่านั่นเป็นแค่เรื่องงมงายเพียงเท่านั้น

ผมและไทโยชอบว่ายน้ำในทะเลยามไร้แสงอาทิตย์เป็นชีวิตจิตใจ ถึงแม้ว่าผมและไทโยจะไม่เคยเรียนว่ายน้ำมาก่อนแต่เราก็สามารถทำได้ดีราวกับว่าพวกเราเกิดมาจากท้องทะเลอย่างไรอย่างนั้น ที่ผมชอบว่ายน้ำก็เพราะกระแสน้ำเย็น ๆ ทำให้เพลิงแค้นอันเป็นนิรันดร์ที่โหมกระหน่ำภายในจิตใจผมอยู่ตลอดเวลาอ่อนกำลังลงบ้าง แต่ถึงกระนั้นไฟโทสะก็ไม่เคยมอดดับลงแม้แต่หนเดียว ผู้ที่จุดไฟนั้นคืออิคารินั่นเอง

ถึงแม้ว่าผมและไทโยจะไม่เชื่อเรื่องนี้ แต่ชาวเกาะคนอื่น ๆ รวมถึงไดจิเพื่อนของผมต่างพากันเชื่ออย่างหัวปักหัวปำทั้งสิ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราสองคนต้องแอบมาเล่นน้ำโดยที่ไม่มีใครมาเห็น ทีแรกพวกเขาไม่ได้งมงายขนาดนี้จนกระทั่งวันที่พ่อผมถูกคลื่นทะเลสีน้ำเงินกลืนร่างไป

พ่อของผม – ชิมิสึ ไคเฮ (清水 海兵) เดินลงไปในทะเลแห่งความเงียบสงัดในคืนวันพิธีสมุทรโลหิตเมื่อห้าปีที่แล้ว ชาวเกาะทุกคนเชื่อว่านั่นเป็นฝีมือของแม่มดแห่งท้องทะเลที่ร่ายมนตร์ดำใส่พ่อของผม แต่ผมไม่คิดเช่นนั้น เขาเดินลงไปเองเพราะความรู้สึกผิดเสียมากกว่า และผมก็ไม่คิดว่าการกระทำนั้นจะชำระล้างบาปกรรมที่พ่อกระทำลงไปได้ ไม่ว่าจะดำดิ่งลงไปลึกขนาดไหน คราบเลือดแห่งอกุศลกรรมบถสิบ1ก็จะไม่มีวันหายไป มีเพียงไฟแห่งนรกภูมิเท่านั้นที่สาสมกับกรรมหนักของพ่อ

การกระทำของเขาทำให้ผมและแม่ต้องอกไหม้ไส้ขมราวกับถูกดอกบัวเหล็กแห่งมหาโรรุวนรก2ทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา เขาทำให้ผมต้องถูกสมอเรือ (錨) อันหนักอึ้งกดทับร่างอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ผมไม่แน่ใจว่าอนาคตผมจะให้อภัยพ่อได้หรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าผมจะไม่มีวันอโหสิกรรมผู้ชายที่ชื่ออิคาริเด็ดขาด

อีกความเชื่อหนึ่งของเกาะแห่งนี้เกี่ยวกับหอประภาคารงาช้าง พวกเขาเชื่อกันว่าถ้าหากเดินขึ้นไปยังหอประภาคารตอนวันฟ้ามืดครึ้มและมองไปยังทะเลแห่งความเงียบสงัด บุคคลนั้นจะตกอยู่ในวังวนแห่งความวิกลจริตจนฆ่าตัวตายเพราะอำนาจของเทพหมื่นเนตรหมื่นดารา เทพที่ชาวเกาะตะวันครามเคยนับถือมาโดยตลอดจนกระทั่งวันนั้นแม่ของไดจิ – รินเนะ โคฮากุ (輪廻 琥珀) ได้รับนิมิตจากชินเอ็น พวกเขาจึงเลิกนับถือเทพหมื่นเนตรหมื่นดาราไปโดยปริยาย เท่านั้นยังไม่พอ ท่านยังถูกชาวเกาะมองว่าเป็นปีศาจร้ายแทนด้วย

ตั้งแต่ผมเกิดมาไม่เคยมีใครตายเพราะหอประภาคารยกเว้นแม่ของผม – ชิมิสึ ซังโงะ (清水 珊瑚) ที่ผูกคอตายอยู่ในนั้น แน่นอนว่าชาวเกาะเชื่อว่านี่เป็นฝีมือของเทพหมื่นเนตรหมื่นดาราและแม่มดแห่งท้องทะเลอีกเช่นเคย แต่แท้จริงแล้วที่แม่ทำเช่นนั้นก็เพราะการกระทำของพ่อเสียมากกว่า พ่อของผมนอกใจแม่จนทำให้หัวใจของท่านแตกสลายไม่มีที่ชิ้นดี หลังจากนั้นไม่นานท่านก็ปลิดชีวิตตัวเองลงด้วยเชือกแห่งความรักในพิธีแต่งงานของพวกเขาทั้งสองนั่นเอง

ส่วนความเชื่อสุดท้ายของเกาะแห่งนี้คือถ้าหากมีใครคนใดคนหนึ่งได้ยินเสียงร้องเพลงของผู้หญิงเข้า บุคคลนั้นจะต้องสั่นกระดิ่งที่อยู่หน้าบ้านของผมเพื่อให้ชาวเกาะทุกคนรับรู้ว่าแม่มดแห่งท้องทะเลมาถึงแล้ว จากนั้นทุกคนก็จะต้องวาดรูปดาวหกแฉกตรงประตูหน้าบ้านของตัวเองด้วยเลือดของนกนางนวลตัวเมีย ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นอุปาทานหมู่เสียมากกว่าเพราะตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยได้ยินเสียงร้องเพลงของผู้หญิงคนไหนเลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือชาวเกาะทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งไดจิและไทโยต่างยืนยันว่าพวกเขาเคยได้ยินเสียงนั่นด้วยกันทั้งสิ้น

ผมสงสารนกพวกนั้นเหลือเกินที่ต้องถูกฆ่าตัดหัวอย่างโหดเหี้ยมเพราะความเชื่อแปลก ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนเกาะนี้ทุกคนต่างโบ้ยความผิดให้กับแม่มดแห่งท้องทะเลและเทพหมื่นเนตรหมื่นดาราทั้งสิ้น พวกเขาไม่คิดหน่อยหรือว่ามันอาจจะเป็นฝีมือของมนุษย์ ไม่ใช่เอะอะอะไรก็โทษสิ่งที่มองไม่เห็นไปเสียได้ แต่ผมก็ไม่แปลกใจเท่าไรนักเพราะอย่างที่ผมเคยบอกว่าพวกเขาถูกมารชั่ววางยาพิษด้วยพิษแห่งความไม่รู้แจ้ง ไม่ว่าผมจะพยายามบอกเท่าไหร่แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดที่จะฟังผมเลยสักนิด เท่านั้นยังไม่พอมารรูปร่างอัปลักษณ์หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวตนนั้นก็ลงโทษผมทุกครั้งที่ผมพยายามบอกชาวเกาะตะวันครามอีกด้วย ผมจึงล้มเลิกความพยายามที่จะช่วยพวกเขาไป

อาโอคิชิ (青岸) นายเป็นอะไรไปน่ะ? เป็นตะคริวเหรอ?” มาโบโรชิ ไทโย (幻 大洋) ผู้เป็นเพื่อนรักของผมถามในขณะที่ผมกำลังมองไปยังเมฆสีดำทมิฬยามค่ำคืนอยู่ “ฉันเห็นนายเหม่อมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”

“เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

“นายอยากขึ้นไปบนบกแล้วใช่ไหม?”

“ไม่” ผมรีบปฏิเสธพร้อมอธิบายเหตุผล “ฉันยังไม่อยากรีบกลับบ้าน”

ถ้าผมรีบกลับบ้านตอนนี้นั่นหมายความว่าผมรีบกลับเข้าไปยังประตูนรกน่ะสิ

“ฉันไม่ได้หมายถึงว่าจะกลับบ้านซะหน่อย ตอนนี้ฉันเริ่มหนาวแล้วล่ะ เราขึ้นไปบนบกก่อนดีไหม?” ไทโยเสนอความคิดเห็นโดยที่ผมสังเกตว่าร่างกายของเขาเริ่มสั่นสะท้านแล้ว บางทีเราสองคนอาจเล่นน้ำกันนานเกินไปก็ได้

“ก็ได้”

ผมและไทโยว่ายน้ำขึ้นมาบนชายฝั่งแห่งหาดทรายสีขาวนวลช้า ๆ จากนั้นก็สวมเสื้อยืดที่พวกเราสองคนถอดตั้งไว้ก่อนจะเล่นน้ำ เขานั่งคุกเข่าแล้วมองไปยังดวงจันทร์เต็มดวงด้วยนัยน์ตาสีน้ำเงินที่แฝงไปด้วยความเหงาเปลี่ยวภายในจิตใจ เขามักจะทำแบบนี้เสมอทุก ๆ คืนพระจันทร์เต็มดวง

“นายคิดถึงแม่อีกแล้วใช่ไหม?” ผมเอ่ยถามโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าไทโย

“นายก็รู้นี่”

เหตุผลที่ไทโยชอบมองพระจันทร์ก็เพราะว่าแม่ของเขาชื่อมิสึกิ (水月) ที่มีความหมายเกี่ยวกับดวงจันทร์นั่นเอง ไทโยบอกว่าแม่ของเขาเสียชีวิตไปหลายปีมาแล้วเนื่องจากโรคประหลาดที่ไม่มีใครแพทย์คนไหนสามารถรักษาได้ แน่นอนว่าพิธีกรรมประหลาด ๆ ของชาวเกาะแห่งนี้ไม่ได้ทำให้อาการของโรคนั้นทุเลาลงเลย อย่างไรก็ตามผมก็คิดว่าการเสียชีวิตของมิสึกิซังก็ยังเป็นปริศนาอยู่เพราะครอบครัวมาโบริชิไม่ได้จัดงานศพให้กับเธอ

“ฉันเองก็คิดถึงแม่เหมือนกัน ทั้งพ่อและแม่ของพวกเราทั้งสองคนตายหมดเลยนี่นา”

“ฮะฮะ” ไทโยหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะทำหน้าเศร้าต่อ “แต่นายมีอิคาริซังอยู่นี่นา เขาเป็นลุงของนายไม่ใช่เหรอ?”

ไทโยไม่รู้เสียแล้วว่าสัตว์นรกตนนั้นทำให้ผมเจ็บปวดทุกข์ทรมานขนาดไหน

“แต่เขาไม่ใช่พ่อแม่ฉัน” ผมตอบเพื่อนรักของผมไป

“นั่นก็จริงอยู่หรอก แต่เขาก็เป็นครอบครัวของนายนะ” ไทโย นายยังไม่หยุดพูดเรื่องนี้อีกเหรอ?

“ฉันว่าเราเปลี่ยนเรื่องดีกว่านะ” ผมยิ้มให้กับไทโยก่อนที่จะหาประเด็นที่จะพูดคุยใหม่ “เอ้อ อีกไม่กี่วันการแข่งขันว่ายน้ำจะเริ่มแล้วนะ ฉันคิดว่าเราควรไปหาอิซามุซัง (勇) ดีไหม?”

“ฉันขี้เกียจน่ะ ฮะฮะ” ไทโยส่ายหน้า

“แต่มันเป็นการแข่งขันที่สำคัญมากนะ ฉันคิดว่าเราสองคนควรซ้อมหน่อยก็ดีนะ ฉันไม่อยากให้นายพลาดเพราะความประมาท” ผมพยายามพูดเกลี้ยกล่อมไทโย

“ก็ได้ ๆ ฉันเห็นแก่นายนะเนี่ย” ในที่สุดเขาก็ตอบตกลง

“ขอบใจนะไทโย”

“คิชิ ข้างหลังนายในป่านั่น...”

ไทโยชี้ไปยังข้างหลังผม เมื่อหันไปผมก็ไม่พบสิ่งใดนอกจากป่าที่มีแต่ความมืดมิดจนผมขนลุกไปทั้งตัว ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยเชื่อในกฎและข้อห้ามต่าง ๆ บนเกาะแห่งนี้ แต่ป่าจันทรคราส (月食の森) ก็สามารถทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวได้เพราะประสบการณ์อันเลวร้ายในสถานที่แห่งนั้น

ภาพจำของป่าจันทรคราสในวันนั้นยังชัดเจนอยู่เสมอ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่มากมายขึ้นอย่างหนาแน่น มันแตกต่างจากป่าทั่วไปตรงที่มันไม่มีเสียงของสิ่งมีชีวิตเลยแม้แต่เสียงเดียวจนบางคนบอกว่าเมื่อเข้าไปนั้นแล้วก็จะไม่ได้ยินเสียงร้องเพลงของแม่มดแห่งท้องทะเล เพราะฉะนั้นป่าจันทรคราสจึงเต็มไปด้วยความวังเวงราวกับว่าเป็นป่าแห่งความตาย

ไม่สิ...มันเป็นป่าแห่งความตายจริง ๆ ต่างหาก

ข้างในนั้นเต็มไปด้วยหัวกะโหลกของมนุษย์จากพิธีสมุทรโลหิต ตอนเด็ก ๆ ผมกลัวพวกมันจนร้องไห้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ผมกลัวว่าวิญญาณร้ายของบุคคลที่ล่วงลับไปแล้วจะตามหลอกหลอนผมที่เผลอเหยียบหัวกะโหลกของพวกเขาเข้า แต่เมื่อย้อนกลับไปอีกทีผมก็คิดว่าการอยู่ในป่าจันทรคราสคนเดียวดีกว่าการอยู่ในบ้านหลังนั้นหลายเท่าตัวนัก อย่างไรก็ตามผมก็อดรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อเข้าไปในนั้นไม่ได้ ผมหวังว่าสักวันหนึ่งผมจะพยายามเอาชนะความกลัวภายในจิตใจเพื่อทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ

“ในป่ามีอะไร?” ผมถามไทโยในขณะที่ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความหวาดกลัวอย่างชัดเจน

“เอ่อ...ช่างมันเถอะ ฉันน่าจะตาฝาดไปเองแหละ ขอโทษนะ” สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“ไม่ตลกเลยนะถ้านายแกล้งฉัน นายก็รู้ว่าฉันกลัวป่าจันทรคราสขนาดไหน”

“ฉันไม่ได้แกล้งนายจริง ๆ นะ!” ไทโยยืนยัน “คิชิ ฉันขอโทษอีกครั้งนะ”

“ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ?” ผมสงสัย

“ฉันขอโทษที่ชวนนายเข้าไปในป่าวันนั้นน่ะ ฉันไม่นึกว่า...พวกเขาจะเอาหัวกะโหลกของคนไปไว้ที่นั่น” ไทโยขอโทษผมด้วยความรู้สึกผิด “ฉันแค่อยากจะเก็บของป่าด้วยกันกับนายและไดจิก็เท่านั้นเอง แถมตอนนั้นไดจิยังเตือนฉันแล้วด้วยว่าอย่าเข้าไปในนั้นแต่ฉันก็ไม่ฟัง...จนฉันทำให้นายหลงป่าอยู่คนเดียว นายคงกลัวมากเลยสินะ”

“ใช่ ฉันกลัว แต่นายไม่ต้องโทษตัวเองหรอก มันไม่ใช่ความผิดของนาย” ผมปลอบไทโยเพราะไม่อยากให้เขาคิดมาก

“ขอบใจที่เข้าใจฉันนะ”

“ไม่เป็นไร”

ผมและไทโยตัดสินใจนั่งอยู่บนหาดทรายอีกสักพักใหญ่ ๆ เพราะยังไม่อยากกลับบ้าน ผมหลงรักผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เราเจอกัน เขาเปรียบเสมือนน้ำทะเลที่คอยชโลมจิตใจของผมให้คลายจากความแค้นและความเศร้า ถ้าไม่มีไทโยผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมรู้ตัวดีว่าขาดผู้ชายคนนี้ไปไม่ได้

ผมอยากให้เขาเป็นคนที่ดึงสมอเรือนั่นออกจากร่างของผมเหลือเกิน ผมไม่อยากหายใจร่วมกับอสุรกายตนนั้นอีกต่อไปแล้ว กลิ่นเหงื่อไคลของมันทำให้ผมสะอิดสะเอียนจนอยากจะฆ่าตัวตายคาเตียงเสียให้ได้ ผมไม่อยากเป็นทาสบำเรอกามของชิมิสึ อิคาริอีกต่อไปแล้ว ผมอยากจะฆ่ามันให้ตายอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ผมแค่รอโอกาสอันสมควรเพียงเท่านั้น พิธีสมุทรโลหิตปีนี้มันจะต้องไม่อยู่ร่วมโลกกับผมอีกต่อไป

เชิงอรรถ

1 十悪 หรือกรรมชั่วทั้งสิบซึ่งแบ่งเป็นสามประเภทคือกายกรรมสาม วจีกรรมสี่และมโนกรรมสาม

2 大叫喚 แปลตรงตัวได้ว่า ‘เสียงกรีดร้องอันใหญ่หลวง’ เป็นหนึ่งในแปดมหานรกตามความเชื่อของพระพุทธศาสนา ที่มีชื่อนี้ก็เพราะสัตว์นรกประจำขุมนี้จะถูกดอกบัวเหล็กอันร้อนระอุเสียดแทงอยู่ตลอดเวลาจนส่งเสียงคร่ำครวญไปทั่ว