4 ตอน แสงจันทร์ที่สี่ ผู้เหนือนภา
โดย Cho-mysun
-๔-
?Enjoy Reading?
"บัญญัติแห่งพงไพรกล่าวไว้อย่างไรข้าทราบดี เพียงแต่ว่าข้าไม่คิดว่ามันถูกต้อง" หากอยากจักเริ่มใหม่ต้องถอนรากถอนโคน ความหวาดกลัวกัดกินจิตใจจนไม่เหลือชิ้นดี ทำกันรุ่นต่อรุ่นไม่เคยฉุกคิดว่ามันถูกจริงหรือไม่
หลังจากพูดออกไปเสียงโห่ร้องมากมายก็ดังฮึม บัญญัติที่เทพท่านสร้างไว้ใครจักกล้าแหก
"ข้าขอบอกให้พวกเจ้ารู้ว่า ข้าจักสร้างถิ่นใหม่ในแดนอาคเนย์ขยายอำนาจเผ่าเราครอบคลุมทั้งแปดทิศ" นิ้วเรียวชี้ไปด้านหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม "หากประสงค์จักไปกับข้าจงก้าวขาออกมาอย่าได้หวั่นเกรง"
ในตอนแรกนั้นไม่มีผู้ใดกล้าจักก้าวออกมา จนกระทั่งเด็กสาวท่าทีสั่นกลัวค่อย ๆ เดินออกมาคุกเข่าตรงหน้าราชัน
"ช่วย ช่วยข้าด้วยเถิดท่านจ่าฝูงข้า ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้วฮึก ช่วยข้าด้วยเถิด" น้ำเสียงสั่นเครือพยายามจักเปล่งคำขอร้องอย่างยากลำบาก ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวดูน่าสงสารจับใจ
นัยน์ตาสีอำพันจ้องมองครอบครัวของเด็กสาวคนนั้น ท่าทีดูฉุนจัดพยายามจักตะปบจับลูกสาวไว้แต่ไม่ทันการ
"เจ้าเป็นโอเมก้าหรือ" น้ำเสียงอ่อนลงหลายส่วน ยอบกายลงลูบหลังเด็กสาวให้หายขวัญเสีย
เด็กสาวพยักหน้ารับเมื่อเงยหน้ามาเห็นรอยยิ้มงามดุจแสงตะวันก็กลั้นเสียงร้องไม่อยู่อีกต่อไป เห็นจ่าฝูงท่านเมตตาโอเมก้าแลเบต้าหลายคนก็ตัดสินใจวิ่งกรูออกมาหลบหลังผู้เป็นใหญ่ หวังให้ท่านช่วยกำบังจากภัยที่ชื่อว่า ครอบครัว
แต่เมื่อเห็นหญิงชายมากหน้าเข้าใกล้น้องมากเกินไปซามูเอลก็คิดจักเข้ามากันออกไป แต่น้องก็ยกมือขึ้นปรามไว้
หมาป่าพวกนี้กำลังเสียขวัญหนักหากเจอจิตข่มของพี่ท่านไปคงได้เตลิดไกลกว่าเดิม
วินฟาเรียถอดมงกุฎบนหัวตนออกก่อนนำไปสวมใส่ให้กับเหล่าหมาป่าข้างหลังตน ทั้งเหยียบย่ำพวกคลั่งเทพจนแทบกระอักเลือดตายแลแสดงถึงความเท่าเทียมในคราเดียวกัน
"นับจากนี้พวกเจ้าคือคนของข้าหากใครกล้ามาหยามเหยียด ข้าจักเหยียบหัวมันให้แหลกคาตีน"
คำพูดมุ่งร้ายซ้อนทับกับกลิ่นอายกดข่มจากซามูเอลยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าขักขึ้นมา
"พรุ่งนี้ข้าจักออกเดินทางพวกเจ้ารีบไปเตรียมตัวเถิดหนา"
เมื่อวันก่อนเขาได้คุยกับซามูเอลถึงการรวมฝูงทั้งแปดทิศเป็นพันธมิตรกันโดยสมบูรณ์แลสร้างรังที่พวกโอเมก้าจักอยู่ได้อย่างไม่โดนข่มขี่
พี่ท่านบอกว่ามีแดนรกร้างแห่งหนึ่งที่แดนอาคเนย์ร้อยกว่าปีที่แล้วเคยเป็นของฝูงอาคเนย์ พวกนั้นตั้งตนเป็นฝูงหมาป่าศักดิ์สิทธิ์รับใช้ถวายชีวิตให้พวกเทพเหนือนภา เคยเป็นอำนาจขั่วใหญ่ในพนาทว่าอยู่มาวันหนึ่งกลับพบว่าฝูงอาคเนย์กลายเป็นศพกันยกฝูง โลหิตสีสดฉาบไปทั่วทุกหย่อมหญ้ากลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งเป็บสิบปี จึงไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายนับจากนั้น
ขึ้นชื่อว่าแดนรกร้างต้องคำสาป เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องเล่าของแดนนั้นมาบ้างในวัยเยาว์แต่ฟังอย่างไรก็ไม่น่าเชื่อได้จริง ๆ ที่แบบนี้ล่ะเหมาะนักซามูเอลเคยใช้เส้นทางนั้นเพื่อเลี่ยงพวกเซเทอร์ ยืนยันได้ด้วยตนเองว่าที่นั่นไม่มีเผ่าใดจับจอง
แลเขาวางแผนการรับมือกับพวกแดนเหนือ ลูกฝูงที่อาจชักศึกเข้ามาไว้เรียบร้อย
เสียงธารน้ำไหลกระทบโขดหินน้อยใหญ่ดังไปทั่ว สายลมพัดผ่านพฤกษาสูงชะลูดโชยกลิ่นหอมกรุ่นผกาแรกแย้ม แม้นภาพตรงหน้าจักน่าอภิรมย์สักเพียงไหน ทว่าบรรยากาศรอบตัวของคนทั้งสองกลับอึมครึมราวกับว่าพายุใหญ่กำลังจักเข้าโถมเสียเต็มประดา
อดีตราชินีแลจ่าฝูงคนใหม่จ้องมองกันด้วยสายตาเชือดเฉือนดั่งสายใยสายโลหิตนั้นตัดขาดเสียสิ้นแล้ว ผู้เป็นมารดาถอนหายใจทิ้งเฮือกใหญ่อย่างเหลืออดนัยน์ตาสีหม่นปรายมองลูกชายคนโต ดวงหน้าหวานผิวพรรณผุดผ่องรับกับเรือนผมสีเงินสว่าง แลแววตาดื้อดึงถอดแบบมาจากตัวเขาเองมิมีผิดเพี้ยน
แต่ก่อนตอนยังเป็นสาววัยแรกรุ่นเขานั้นก็เคยแหกคอกแลหัวแข็งนัก เที่ยวไขว่ขว้าหาอิสระที่ไม่มีอยู่จริง แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรเล่า โอเมก้าก็คือโอเมก้าอยู่วันยังค่ำผู้ใดต่างก็รู้ดีว่าหาอยู่เหนืออัลฟ่าได้ไม่ หากแต่เมื่อนางมองลึกลงไปในเนตรสีหม่นนั้นนางกลับพบเจอแต่ความมุ่งมั่นแลกระหายยิ่งกว่าจ่าฝูงตัวใดที่เคยพบพาน
“แม่ท่านเคยสงสัยบ้างหรือไม่ เหตุใดข้าจึงไม่คิดยอมจำนนต่อผู้เป็นใหญ่" มุมปากสวยยกขึ้นน้อย ๆ เมื่อไม่มีการตอบรับจากมารดา ก่อนมาพบก็ไม่ได้หวังจักพูดสิ่งใดให้ท่านเข้าใจอยู่แล้ว เพียงแค่อยากมาบอกกล่าวให้รับรู้ก็เท่านั้น
“ไม่ใช่เพราะข้าคิดว่าตนอยู่เหนือทุกชีวิต ไม่ใช่เพราะข้าลำพองในกำลังของตน เพียงแต่ข้ามองว่าเรานั้นเท่ากัน" วินฟาเรียเหม่อมองทิวทัศน์อย่างครุ่นคิด เขานั้นนับถือในความแข็งแกร่งหาใช่สายโลหิต “ไม่ว่าอัลฟ่า เบต้า หรือโอเมก้า พวกเรานั้นล้วนเท่ากัน แล้วเหตุใดจึงต้องยกอัลฟ่าเป็นใหญ่ด้วยเล่า"
“เพราะอัลฟ่าเกิดมาเพื่อปกครองแลเป็นผู้นำ ข้าเคยเสี้ยมสอนเจ้ามานับครั้งไม่ถ้วน"
“เช่นนั้นโอเมก้าคงจักเกิดมาเป็นสิ่งของบำบัดความใคร่สิหนา" ริมฝีปากอวบอิ่มแย้มยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะที่ฟังดูก็รู้ว่าไร้ความขบขัน เป็นเพียงเสียงเย้ยหยันที่เปล่งออกมาก็เท่านั้น
“วันนี้ข้าหาใช่ลูกที่ต้องคอยให้ท่านสอนสั่ง ข้าเป็นจ่าฝูง เป็นผู้นำแห่งบูรพาแลข้าอยากให้ท่านเฝ้าดู ดูวันที่บุตรของท่านรวมทั้งแปดทิศเป็นหนึ่ง วันที่เพศแลชนชั้นจักสูญสิ้น วันที่เราจักมีอิสระแลได้เลือกคู่ครองด้วยตนเอง" วินฟาเรียหยัดกายลุกขึ้นเตรียมเดินจากผู้เป็นมารดา หากท่านจักคิดว่าเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ข้าก็ไม่แปลกใจ หากเป็นผู้อื่นคงหัวร่อใส่อย่างหยามเหยียด เพียงแต่ข้าไม่อยากจักเก็บกองไฟมาสุมอก รู้ตัวเองเป็นดีที่สุด ข้ารู้ว่าข้าทำได้ แลข้าจักทำ จักทำให้จงได้
“เขตแดนแห่งพงไพรหาได้มีแต่หมาป่าเช่นเรา ยังมีอีกหลายเหล่าเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่า เกินกำลังที่เจ้าจักครอบครอง" แม่ท่านพูดเตือนด้วยสีหน้าเรียบเฉยทว่าแววตาอดจะฉายแววเป็นห่วงออกมาไม่ได้
“ข้าคนเดียวอาจทำไม่ได้ แต่พวกพ้องของข้าจักทำได้ข้าเชื่อมั่นว่าอย่างนั้น"
“แลเรื่องอคิราห์กับฝูงอุดรข้าจักจัดการเอง ท่านไม่ต้องห่วงว่าจักโดนชักศึกเข้าบ้าน" เจ้าของเรือนผมสีเงินพูดทิ้งท้ายก่อนจักเดินจากไป ทิ้งให้ผู้เป็นมารดาครุ่นคิดถึงระบบชนชั้นในเพลานี้ มันดีแล้วจริงหรือ? หากแต่ดึงดันจักเปลี่ยนแปลงไปบุตรชายของเขาคงต้องประสบพบเจอความสูญเสียมากมายเป็นแน่ ผู้ที่คิดจักโค้นล้มอำนาจแลลิขิตแห่งพงไพรจักต้องพบเจอกับจุดจบที่โหดร้ายเหลือคณาทุกคราไป
วินฟาเรียหย่อนตัวลงบนโขดหินสูง นั่งฟังเสียงธารไหลเวียนกระทบก้อนกรวด พวกปลาซิวปลาสร้อยว่ายวนทวนน้ำกันเป็นฝูง บางทีเขาก็นึกสงสัยเจ้าปลาน้อยพวกนี้จักรู้หรือไม่ ว่ามีโลกอันกว้างใหญ่อยู่นอกบ่อเล็ก ๆ นี่ หรือมันเพียงว่ายไปว่ายมาแล้วก็ตายไปอย่างไม่คิดแสวงหาสิ่งใดให้มากความ
“จักจับปลากินหรือน้องพี่” คนตัวเล็กมองเงาในธาราแลยิ้มให้พี่ชาย ช่วงนี้พี่เขาวิ่งไปทางนู้นวิ่งไปทางนี้ งานรัดตัวเสียจนแทบไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันเลย
“ข้าคิดว่าพี่ท่านจักไม่ว่างมาเจอกันเสียอีก ไม่อยากให้ท่านทำงานหนักจนเกินตัว แต่ข้าไม่ไว้วางใจใครอื่นนอกจากท่าน”
“อย่าวิตกไป เจ้าเป็นจ่าฝูงแล้วหนาจักสั่งคนใต้บัญชาหาต้องเกรงใจ" ซามูเอลบีบไหล่น้องชายเบา ๆ เมื่อหลายวันก่อนน้องอาจมีศักดิ์เป็นเพียงรัชทายาทที่ไร้สิทธิในบัลลังก์ แต่วันนี้น้องเป็นดั่งราชสีห์เป็นจ่าฝูงแห่งบูรพาทิศเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การให้ความเคารพ เขาจักลูบหัวลูบหางน้องเหมือนตอนยังเล็กไม่ได้อีกแล้ว
“จ่าฝูงแล้วอย่างไรเมื่อวานข้าเป็นน้องพี่ วันนี้ข้าก็ยังเป็นน้องพี่หาได้เปลี่ยนแปลงไป การให้เกียรติทุกคนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นไม่เกี่ยงยศเกี่ยงศักดิ์"
“เจ้าโตขึ้นเยอะวินฟาเรีย” สายตาห่วงใยระคนเอ็นดูของพี่ชายยังคงเป็นดั่งสายชลชะล้างความมัวหมองแลเหนื่อยล้าในจิตใจได้เป็นอย่างดี นึกภาพไม่ออกเลยว่าหากชีวิตนี้เขาไร้พี่ชายจักเป็นเช่นไร
สองพี่น้องนั่งเคียงกันพูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ อย่างออกรสออกชาติ หากมีใครมาเห็นวินฟาเรียในยามนี้คงจักไม่เชื่อสายตาตนเองเป็นแน่ว่าเด็กผู้ชายที่ยิ้มหวานหัวเราะคิกคักอย่างน่าเอ็นดูในตอนนี้ จักเป็นคนเดียวกับโอเมก้าทรราชผู้โหดเหี้ยมแลไร้ปรานีเมื่อตอนประลองชิงความเป็นใหญ่
คมดาบยาวแตะลงบนบ่าทั้งสองฝั่งของวิลเลียมพร้อมกับเสียงกล่าวคำปฏิญาณตนต่อผู้เป็นจ่าฝูง วินฟาเรียยื่นมือดึงให้น้องชายลุกขึ้นยืนเคียงข้าง คำประกาศก้องบอกให้รู้โดยทั่วกันว่านับแต่วันนี้วิลเลียมจักรักษาดูแลปกป้องพวกพ้องทิศปัจจิมด้วยชีวิตระหว่างที่วินฟาเรียไม่อยู่เป็นการชั่วคราว
“จงปกป้องทุกคนด้วยชีวิตของเจ้า"
“ท่านพี่โปรดวางใจระหว่างที่ท่านห่างฝูงไปข้าจักทำหน้าที่แทนจนสุดความสามารถ" ถึงปากจักขานรับอย่างหนักแน่นแต่ในใจวิลเลียมกับตีกันให้วุ่นตั้งแต่วินฟาเรียบอกกับตนเมื่อคืนว่าจักย้ายไปตนไปตั้งฝูงใหม่ที่แดนรกร้าง
“มาครบแล้วใช่หรือไม่ ข้าไม่อยากจักทิ้งใครไว้ข้างหลัง" ดวงตาหม่นแสงไล่มองคนกลุ่มเล็กที่ยืนอยู่ด้านหน้า จากการประมาณด้วยสายตาแล้วคงจักเกือบ ๆ สามสิบคนได้ มีทั้งชายหญิงคละ ๆ กันไป
วินฟาเรียหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชายตัวสูงชะลูด หน่วยก้านดี ร่างกายก็สูงใหญ่ ไหนจักใบหน้าคมคายแลแรงกดดันที่หาไม่ได้ในโอเมก้าหรือเบต้า
ชายคนนี้เป็นอัลฟ่า
“เจ้า เป็นอัลฟ่า” ชายผิวเข้มมีสายตาประหม่าเล็กน้อยเมื่อถูกจ่าฝูงถามไถ่อย่างใกล้ชิด
ดวงตาสีหม่นลอบมองผิวพรรณสีแปลกตาอย่างใคร่รู้ ไหนจักผมยาวสีอินทนิลงดงาม แปลกนักไม่เคยเห็นผู้ใดรูปลักษณ์เช่นนี้มาก่อน ซ้ำยังหล่อเหลาจนน่าตกใจ
“ขอรับ กระผมชื่อเทเลอร์เป็นอัลฟ่าลูกชายช่างตีเหล็กขอรับผม" เทเลอร์คุกเข่าลงก้มหน้าก้มตาตอบผู้เป็นนายอย่างนอบน้อมสุดชีวิต
“พูดสบาย ๆ เถิดที่ข้าสนใจคือเหตุใดอัลฟ่าอย่างเจ้าคิดอยากจักตามข้าไป” วินฟาเรียแตะมือลงบนบ่าชายร่างสูงเบา ๆ ให้ลุกขึ้นยืน เขาต้องการเพียงการให้เกียรติหาใช่ความยำเกรงด้วยสายเลือดหรือยศถา
“ครอบครัวข้านอกจากข้าแลท่านพ่อทุกคนเป็นโอเมก้ากันหมด เมื่อหลายเดือนก่อนท่านวินเซย์ประสงค์จักได้น้องสาวข้าเป็นเมีย แต่พ่อข้าไม่ยอม" อัลฟ่าผิวแทนหยุดพูดไปสักพักก่อนที่จักพูดต่อด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยระคนเคียดแค้น “ท่านวินเซย์สั่งโบยครอบครัวข้าจนตาย มีเพียงข้าที่ออกไปขุดหาแร่ในตอนนั้นจึงรอดมาได้"
การสูญเสียครอบครัวทั้งหมดไปมิใช่เรื่องที่จักทำใจได้ง่าย ๆ ยิ่งเป็นการสูญเสียที่ไม่มีแม้แต่คำบอกลายิ่งยากที่จักลืมเลือน
วินฟ่าชะงักไปชั่วครู่เมื่อได้ยินว่าผู้ที่พรากครอบครัวของคนตรงหน้าไปคือหนึ่งในน้องชายของตนเอง น้องชายที่เขาฆ่าไปเองกับมือ
“ข้าไม่รู้จักเอ่ยคำใดนอกจากคำสัญญาเทเลอร์ ข้าสัญญาว่าเมื่อทั้งแปดทิศเป็นหนึ่งจักไร้ระบบอัลฟ่าเป็นใหญ่ไร้ชนชั้นแลยศถา จักไม่เกิดการกดขี่จนเกิดเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้อีก"
สายตาที่มุ่งมั่นแลถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยความหนักแน่นนั้นสร้างขวัญกำลังใจให้พวกพ้องได้ไม่น้อย อาจเป็นเพราะคนพวกนี้ถูกกดขี่มาทั้งชีวิตการที่วันหนึ่งมีผู้นำลุกขึ้นต่อต้านเปรียบเสมือนกองไฟแห่งความหวังถูกจุดขึ้นอีกครา
แลเมื่อท่านจุดประกายไฟขึ้น พวกข้าจักเป็นดั่งเชื้อเพลิงเติมเต็มเปรวไฟให้โหมกระหน่ำขับไล่ความดำมืดออกจากดินแดนแห่งนี้
ยามตะวันคล้อยลงต่ำคณะเดินทางของวินฟาเรียก็เริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปยังทิศอาคเนย์สถานที่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนรกร้างไร้การจับจองจากเผ่าใด ๆ บ้างก็ว่ามีคำสาป บ้างก็ว่ามีปีศาจสิงสู่
หมาป่าอย่างพวกเขาสามารถมองเห็นได้กว้างไกลชัดเจนแม้นในเวลากลางคืน การเดินทางใต้แสงจันทร์จึงไม่มีปัญหาใดด้วยฝีเท้าความว่องไวของหมาป่าทำให้อีกไม่นานก็จักข้ามพ้นเขตแดนของหมาป่าแลเข้าสู่พื้นที่ของเซเทอร์
สัตว์ดุร้ายในตำนานซึ่งมีลำตัวช่วงบนเป็นคนลำตัวด้านล้างเป็นม้า ว่ากันว่าเซเทอร์คือเซนทอร์ชนิดหนึ่งที่ไม่เป็นมิตร หมาป่าส่วนใหญ่จักเดินทางเลี่ยงพื้นที่ของเซเทอร์เพราะหากเข้าปะทะกันต่อให้มีอัลฟ่าสิบตัวก็มิอาจล้มเซเทอร์ตัวเดียวได้
“เรากำลังจักเข้าเขตแดนของเซเทอร์ เกาะกลุ่มกันไว้แลวิ่งไปให้เงียบที่สุด" เขานั้นไม่เคยเห็นกับตาหรอกว่าเซเทอร์แข็งแกร่งแลน่าหวาดกลัวเพียงใด แต่หากเป็นดั่งโบราณท่านว่าไว้ก็ควรจักเลี่ยงไปเสียดีกว่า
ฝูงหมาป่าขนาดย่อมวิ่งลัดเลาะไปตามทิวไม้ใช้เวลาไม่เท่าไรก็ผ่านพ้นเขตของเซเทอร์แลข้ามชายแดนมายังทิศอาคเนย์ได้สำเร็จ
ยังไม่ทันได้หายใจเข้าให้เต็มปอดภัยร้ายก็เข้ามาเยือนอีกครา วินฟาเรียสั่งให้ทุกตัวหยุดวิ่งแลหมอบลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักหน่วงกำลังควบวิ่งมาทางนี้
มันหนักกว่าฝีเท้าหมาป่าอยู่หลายขุมบ่งบอกได้เลยว่าขนาดตัวของสัตว์ตัวนั้นต่างกับพวกเขาขนาดไหน
“เสียงฝีเท้าเซเทอร์" ซามูเอลพูดขึ้นไขข้อสงสัยของน้องชาย เสียงที่กำลังมุ่งมาทางนี้เป็นเสียงของเซเทอร์ไม่ผิดแน่ หากแต่ทำไมถึงมุ่งมาจากทิศอาคเนย์เล่า เราข้ามเขตของพวกเซเทอร์มาแล้วไม่ใช่หรือ?
“พวกมันขยายเขตเข้าครอบคลุมแดนอาคเนย์” วินฟาเรียสบถขึ้นอย่างหัวเสียคิดว่าจักพาเจ้าพวกนี้พ้นภัยได้แล้วแท้ ๆ
เสียงเท้าหนักแน่นดังใกล้เข้ามาทุกที ๆ เร่งให้วินฟ่าใช้สมองขบคิดหาทางออกที่ปลอดภัยที่สุด ครั้นจักพาฝูงวิ่งฝ่าไปคงจักไม่ทันพวกนี้มีแต่โอเมก้าแลเบต้าที่อ่อนล้าจากการวิ่งมาทั้งวัน
“ซามูเอลข้าจักวิ่งล่อมันไป ฝากท่านพาคนอื่นไปที่ทิวเขาด้วย" ฝ่ายพี่ชายจักรั้งไว้ก็ไม่ทันการเมื่อน้องพูดจบร่างหมาป่าสีเงินก็พุ่งทะยานออกไปพร้อมกับเสียงโหวกเหวกของเซเทอร์ที่วิ่งตามกันไปติด ๆ
ขนสีเงินวาวกระทบแสงจันทร์หาได้ล่อเพียงแค่เซเทอร์จอมป่าเถื่อนแต่ความงดงามนั้นยังเรียกสัตว์นักล่าผู้สิงสู่อยู่ใต้เงาจันทร์ให้ออกมาสำแดงเดชา
“ไอ้หมาหน้าขน! มึงคิดว่าเหยียบถิ่นกูแล้วจักได้รอดกลับรังหรือ!!” เดิมทีเซเทอร์เป็นสัตว์ดุร้าย มักมากในกามแลยังพูดจาหยาบคายพวกมันมักจะสำมะเลเทเมา ไล่คว้านารีมาสำเร็จความใคร่
ยิ่งสวยงามยิ่งต้องตายิ่งอยากจักไขว่คว้ามาเป็นเมีย
ท่อนแขนใหญ่จับเข้าที่กลางตัวหมาป่าสีเงินหวังจักพากลับไปร่วมเตียงเคียงหมอนสักคืนสองคืน
“เป็นไงเล่ามึงอยากจักประชันฝีตีนกับกูหรือ กูเคยได้ยินว่าพันธุ์หน้าขนเยี่ยงมึงมีรูปลักษณ์งามนักมาเป็นเมียกูสาจักได้ไม่เสียของ" เซเทอร์หนุ่มหัวเราะร่าอย่าสะใจหลังจากคว้าตัวผู้บุกรุกไว้แนบกาย
หารู้ไม่ว่าเป็นเพียงกลอุบายของฝ่ายหมาป่า จักโจมตีอย่างไรหากมิเข้าประชิดก่อน
กรรรรร!!!
เขี้ยวคมฝังลงที่สีข้างของร่างใหญ่วินฟาเรียสะบัดตัวไปมาหวังจักฉีกกระฉากร่างเซเทอร์ให้ขาดสะบั้น ด้วยความเจ็บปวดครึ่งคนครึ่งม้าจึงสะบัดตัวหมาป่าลงกับพื้นดิน เลือดที่ไหลเป็นทางยาวเพียงชั่วครู่ก็หยุดลง
ร่างกาย มันต่างกันเกินไป เขี้ยวของเขาแทบจักไม่ได้สร้างบาดแผลให้มันเลย
“พยศนักหนาไอ้หมาใน"
วินฟาเรียกระโดดออกมาให้ห่างจากความแข็งแกร่งที่เพิ่งจักเคยพบเคยเจอ จากหมาป่าขนฟูพลันเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มคมดาบยาวถูกมือเล็กดึงออกจากฝักตั้งท่าเตรียมเข้าปะทะ
เสียงคมมีดกรีดอากาศดังขึ้นก่อนจักตามด้วยเสียงร่างกายที่ถูกถีบลงกระทบพื้นดิน
เจ็บจนแทบกระอักเลือด ความแข็งแกร่ง ความต่างชั้น ร่างกายแลพละกำลัง โหยหาเหลือเกินความแข็งแกร่งเช่นนี้
ตึก ตึก ตึก
เปลือกตาสีมุขจ้องมองรอบตัวอย่างฉงน ใบไม้ ใบหญ้า แม้นแต่นกที่โผลบินอยู่กลางนภา ทุกอย่างเหมือนกับหยุดนิ่ง กระทั่งเซเทอร์ตรงหน้าเขาก็ด้วย
ความทรงจำในวัยเยาว์พลันชัดเจนขึ้นมาอีกครา
ดวงตาสีหม่นเบิกโพลงเมื่อเซเทอร์ตรงหน้าหัวหลุดจากบ่าไปเสียดื้อ ๆ เม็ดเลือดที่กระเซ็นใส่ทำให้วินฟ่าต้องหลับตาลงอย่างไม่อาจเลี่ยง ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นอีกคราทุกสิ่งตรงหน้าก็เป็นดั่งเดิม มีเพียงร่างโงนเงนไร้ศีรษะของเซเทอร์ตรงหน้า
มันอีกแล้วตัวตนที่แข็งแกร่งเหนือกว่าอัลฟ่า แม่จักสัมผัสได้ว่าอันตรายตั้งแต่แรกเจอแต่ไม่คิดว่าจักสามารถฆ่าผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ในพริบตา วินฟาเรียหยัดตัวขึ้นรีบวิ่งไปคว้าดาบยาวมากำไว้แน่น หากแต่เขารู้ดีดาบนี้คงจักไม่มีวันฟันโดนสิ่งสิ่งนั้นเป็นแน่
“ตรงไปยังหุบเขา เจ้าจักปลอดภัยหากอยู่ที่นั่น”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างหูพร้อมกับร่างของบางอย่างที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง
ขยับไม่ได้ แม้แต่จักผินหน้าไปมองว่าคือเผ่าพันธุ์ใดยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
“ข้าจักรอ"
มีเพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ปรากฏแก่สายตาของหมาป่าหนุ่ม ก่อนที่ร่างทั้งร่างจักเลือนหายไป
แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกัน คงไม่ใช่ว่าเป็นตัวตนที่เหนือกว่าเทพยดาไปอีกหรือ
“วินฟาเรีย! น้องเป็นอะไรหรือไม่เจ็บที่ใดหรือเปล่าน้องพี่"
ไม่รู้ว่านานเท่าไรที่เขาคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ไม่รู้ว่าคือความจริงหรือความฝัน ความแข็งแกร่งที่เขาเคยคิดว่าตนเองเข้าใจมันดีเหลือเกินแต่บัดนี้เหมือนเขาไม่เคยรู้จักความแข็งแกร่งจริง ๆ มาก่อน เป็นเหมือนกับกบที่เพิ่งจักเคยออกนอกกะลาครั้งแรก
เปรียบเสมือนปลาซิวปลาสร้อยที่ไม่รู้ว่าโลกภายนอกบ่อเล็ก ๆ นั้นเป็นเช่นไร
“ความแข็งแกร่งเช่นนั้นสักวันข้าจักไขว่คว้ามาเสียให้จงได้" ใบหน้าที่ฉาบไปด้วยเลือดแย้มยิ้มน้อย ๆ เอื้อมมือไปคว้าดวงจันทร์อย่างเลื่อนลอย
ความแข็งแกร่งช่างน่าพิสมัย ชวนลุ่มหลงเกินบรรยาย
____________
#โอเมก้าจ่าฝูง
เปิดตัวลูกเขยคนโปรด พี่เทย์!!หนุ่มผิวดำผมยาวมันกราวใจ
มีแฟนอาร์ตพี่เทย์และภาพเต็มน้องวินฟ่าในทวิตค่ะ
Comments (0)