3 ตอน บทที่ 2 ความแข็งแกร่งคืออิสระ
โดย Laksh Mana
บทที่ 2
ความแข็งแกร่งคืออิสระ
‘หนีไป!’
คำพูดของผู้เป็นแม่พรั่งพรูพร้อมน้ำตา ภาพแห่งความงดงามของหญิงสาวผู้มีเรือนผมสีเงินยังเด่นชัดทุกความทรงจำ เสียงกระซิบนุ่มนวลเคยกล่อมเด็กน้อยให้หลับฝัน ได้วิงวอนร้องขอกับเทพเจ้าที่ไม่มีอยู่จริง
‘ได้โปรด ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะ มอบชีวิตที่ดีแก่ลูกชายของเรา’
ก่อนที่ภาพเหล่านั้นถูกย้อมด้วยเปลวเพลิง เขม่าควันพิษ และเสียงกรีดร้อง ภัยร้ายที่ไล่ตามมาคือความบ้าคลั่งของเหล่าผู้สูญเสียตัวตน เขามองเข้าไปในดวงตาราวมณีเม็ดงามซึ่งเหลือเพียงข้างเดียวของผู้เป็นแม่ ไขว่คว้าเพื่อกลับสู่อ้อมกอดอีกครั้ง
แต่อีกครั้งไม่เป็นจริง
.....
“อือ” ยามลืมตาเขาประหลาดใจ เดิมทีห้องใต้หลังคาไม่มีหน้าต่าง แสงที่เข้ามาเยือนเพียงน้อยนิดลอดผ่านจากช่องไม้พุพังตามมุมผนัง ทว่าคราวนี้แตกต่างจากเดิม ห้องแคบๆ ที่เคยมืดมิดจนแยกกลางวันกลางคืนไม่ออก กลับสว่างไสวด้วยแสงที่ส่องผ่านหน้าต่างทรงกลมบานใหญ่ กลิ่นไม่พึงประสงค์รวมทั้งบาดแผลบนร่างหายไปราวกับไม่เคยมี
เด็กน้อยกวาดสายตามองรอบๆ สัมผัสที่น่าขยะแขยงจากตรวนเหล็กหายไปแล้ว เหลือเพียงความนุ่มลื่นจากเสื้อผ้าใหม่บนร่างกาย และกลิ่นยั่วยวนจากซุปข้นถ้วยใหญ่ เสียงคร่ำครวญของกระเพาะอาหารทำให้เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้
เกิดอะไรขึ้น? เขาอยู่ที่ไหน?
เมื่อคืนคล้ายความฝัน เขาสบนัยน์ตาดำมืดของชายแปลกหน้า จากนั้นก็หลับไป.....ไม่สิ ก่อนหลับเหมือนชายคนนั้นจะพูดอะไรบางอย่าง ‘หากซิลิคือนามของเจ้าก็จงหลับเสีย ข้าซื้อชีวิตเจ้าไว้แล้ว’
เด็กน้อยกุมหัวที่เริ่มปวด ไม่มีใครเรียกชื่อของเขามานานจนเกือบจะลืมไปแล้ว หรือว่าเขาถูกซื้อจากครอบครัวฟิลว์? หรือว่าเป็นพ่อค้าทาสคนใหม่?
เมื่อเริ่มสับสนกับสถานการณ์ เสียงของรองเท้ากระทบกับบันไดไม้ก็ดังขึ้น เพียงครู่เดียว ศีรษะของสตรีนางหนึ่งโผล่ขึ้นจากช่องบันได ก่อนที่เธอจะปีนขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ห้องใต้หลังคามีความสูงพอสมควร แต่สำหรับสาวใช้ที่เดินเข้าออกบานประตูปราสาททุกวัน ห้องนี้ทั้งแคบทั้งเตี้ย ห่างไกลกับคำว่าสะดวกสบายราวฟ้ากับเหว
“ซุปไม่อร่อยหรือคะ?” ที่แท้คือเมอร์ลิน หล่อนจ้องมองมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในบ้าน ไม่อาจความเดาได้ว่ารู้สึกอย่างไร
“ซุป?” เด็กน้อยสะดุ้ง เหลือบมองถาดอาหารข้างเตียง “ของผม?”
“ใช่แล้วค่ะ ดิฉันได้รับคำสั่งให้มาปลุกคุณ ในเมื่อตื่นแล้วก็รีบรับประทานเถอะค่ะ อย่าให้องค์รา....อะแฮ่ม อย่าให้นายท่านรอนาน”
เมอร์ลินกล่าวจบก็ไม่ได้ขยับไปไหน ส่งสายตาเย็นชาเร่งเร้าให้เขารีบกินได้แล้ว
ในความงวยงง ซิลิมีคำถามมากมายแต่ดูเหมือนว่าหากไม่กินแล้วตามเธอไปก็จะไม่มีวันได้คำตอบ
แต่ถ้ามียาพิษล่ะ....ความหวาดระแวงทำให้เขาลังเล แม้ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร แต่จิตใต้สำนึกให้เขายังคงพยายามหาทางเอาตัวรอดเสมอ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันไม่มีรสนิยมรักษาก่อนแล้วค่อยฆ่าทีหลัง” เมอร์ลินตอบความในใจของเด็กน้อยอย่างรู้ทัน
ซิลิขยับตัวอย่างอึดอัด ในที่สุดก็ค่อยๆ ตักชิมหนึ่งคำ
“.....อร่อยมากเลย” เด็กน้อยพึมพำเสียงเบาหวิว มื้ออาหารที่ไม่ใช่ ‘เศษอาหาร’ ในหลายปีทำเอาขอบตาของเขาร้อนผ่าวอยู่เหมือนกัน
เมอร์ลินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ดูเหมือนว่าเธอจะได้คำตอบที่ต้องการแล้ว “เช่นนั้นดิฉันจะลงไปรอข้างล่าง กรุณาลงมาให้เร็วที่สุดด้วยนะคะ”
ซิลิดื่มซุปทีละคำ ปลอบประโลมกระเพาะน้อยๆ ก่อนจะสำรวจร่างกายของตนเอง เขาอยู่ในชุดใหม่ ไร้บาดแผลประดับร่าง การถูกรักษาภายในหนึ่งคืนย่อมมาจากการใช้โพชั่นหรือไม่ก็พลังเวท นั่นหมายความว่าเขาถูกช่วยไว้เหรอ?
เด็กน้อยส่ายหน้า ดวงตาว่างเปล่า ห้ามคาดหวังเด็ดขาด หากนายท่านคนนั้นซื้อเขาไปย่อมต้องหาทางคืนกำไรเป็นเท่าตัว
ตราบใดที่สัญญาทาสยังอยู่ อิสระสำหรับเขาไม่มีอยู่จริง
ซิลิค่อยๆ ปีนลงจากห้องใต้หลังคา รักษาความเงียบสงบบนใบหน้าไว้เหมือนแต่ก่อน ไม่ว่าจะถูกทรมานยังไงเขาก็ไม่คิดจะ.....
“ซุปของดิฉันได้รับการยืนยันจากมนุษย์ว่าไม่ตายและอร่อยมาก เพราะฉะนั้นมายลอร์ดก็ดื่มมันเสียเถอะค่ะ”
“ลิ้นเจ้าใช้การไม่ได้ เจ้าแยกรสชาติคาวหวานออกได้ยังไง ไหนบอกข้าที สิ่งที่เรียกว่าเกลือมีรสชาติหวานหรือเค็ม!”
“เค็มสิคะ เชฟฝีมือดีรักตัวกลัวตายกันทั้งนั้น แค่ข่มขู่ด้วยคำพูดเจ้าพวกนั้นก็ถ่ายวิชาชีพของตัวเองให้ดิฉันจนหมด มายลอร์ดอย่ากังวลไปเลยค่ะ ถึงดิฉันจะแยกรสชาติไม่ได้ แต่แค่คำนวณปริมาณและชนิดของวัตถุดิบก็เพียงพอแล้ว”
“เพราะงั้นถึงได้บอกไงเล่าว่าไม่ต้องทำให้ข้า ถ้าเจ้าปรับรสให้อ่อนกว่านี้ไม่ได้ ลิ้นของข้าอ่อนแอมาก!”
“มายลอร์ด เด็กคนนั้นมาแล้วค่ะ”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ...อืม? มาแล้วรึ.”
ร่างของเด็กน้อยแข็งเกร็งเมื่อถูกจ้องมอง เขาไม่ได้ถอยหรือก้าวไปข้างหน้า เอาแต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเช่นนั้น
ราชาฮาแบ็คผู้กำลังค่อยๆ ชิมซุปร้อนอย่างเชื่องช้าได้โอกาสวางช้อนลงเสียที เขาใคร่ครวญกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะขยับท่าทางแล้วจุดซีก้าเพื่อสร้างภาพลักษณ์ ‘เศรษฐีเสเพลจากเมืองวาลล์’
“ข้าควรแนะตัวว่ายังไงดี เอาเป็นว่าจากนี้ไปข้าคือมาสเตอร์แห่งฮังเกอร์ชอปก็แล้วกัน”
เมอร์ลินถอนหายใจเบาๆ กับชื่อที่เพิ่งคิดสดเมื่อครู่ เธอกางหนังสือสัญญาสองฉบับ อธิบายอย่างเป็นงานเป็นการว่า “จากนี้ไปที่ดินของตระกูลฟิลว์จะกลายเป็นสมบัติของคุณ แต่สัญญาทาสของคุณอยู่ในมือเรา ดังนั้นทั้งตัวคุณและที่ดินถือเป็นสมบัติของมายลอร์ด”
“มาสเตอร์ต่างหาก เรียกข้าว่ามาสเตอร์สิ” ฮาแบ็คอดประท้วงสาวใช้ไม่ได้
“รับทราบมายลอร์ด” เมอร์ลินโค้งตัว
“.....บางทีเจ้าคงอยากเรียกชื่อข้ามากกว่าใช่ไหม”
“มิได้ค่ะ มายลอร์ด”
“.....”
“เอ่อ.....” ในที่สุดซิลิก็ทนความงงงวยไม่ไหว “ผมไม่เข้าใจ คุณถือสัญญาทาสของผม? แล้ว แล้วพ่อกับแม่ล่ะ”
อาแบ็คใช้มือข้างที่คีบซิก้า กางสัญญาแล้วสะบัดไปมา “ดูเหมือนว่าพ่อกับแม่ของเจ้าอยากออกเดินทางขึ้นเขากะทันหัน ข้าเลยช่วยซื้อทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลฟิลว์ด้วยเงินกว่า.....เมอร์ลิน ในถุงนั่นมีเงินเท่าไร?”
“ราวหนึ่งหมื่นเทโทล่าค่ะ”
“อืม ด้วยเงินจำนวนนั้น รวมถึงสัญญาฉบับนี้ด้วย.....มากกว่าค่าตัวเจ้าไม่รู้กี่เท่า ซื้อขาดได้ด้วยซ้ำเลยละ เจ้าว่าไหม”
ซิลิเบิกตากว้าง ไม่รู้จะตกใจเรื่องไหนก่อน เขาเคยได้ยินพวกนายหน้าพูดกันว่าเพราะดวงตาเป็นสีหายาก ราคาซื้อขาดจึงสูงเป็นพิเศษ แต่ต่อให้รวมกับราคาที่ดินตระกูลฟิลว์ก็ไม่มีทางสูงถึงหมื่นเทโทล่าแน่นอน เมื่อก่อนครอบครัวฟิลว์เคยเป็นเศรษฐีเก่า ภายหลังส่งต่อมรดกให้รุ่นลูกก็อยู่ในสภาพตกต่ำมาตลอด กระทั่งทรัพย์สินอยู่ในมือผู้สืบทอดคนปัจจุบันซึ่งภรรยาไม่สามารถมีบุตรได้ พวกเขาจึงใช้เงินเก็บทั้งหมดซื้อทาสจากรันฟามินเพื่อหวังใช้หาประโยชน์จากกิลด์และรางวัลเควส
ฮาแบ็คเห็นความหวาดหวั่นฉายในดวงตาคู่แล้วก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แต่เอาเถอะ ความเป็นอยู่ของครอบครัวฟิลว์ดีขึ้นก็เพราะเจ้า หักลบเงินทองที่เจ้าหาให้พวกมันก็เหลืออีกเจ็ดวันจะครบหมด” ราชาปีศาจเท้าคาง “ถึงตอนนั้นถือสัญญานี่ก็หมดประโยชน์แล้ว เจ้าอยากทำอะไรกับมันก็ตามใจ”
ฮาแบ็คร่อนหนังสือสัญญาไปตรงหน้าเด็กน้อย กระดาษแผ่นนั้นถูกร่ายเวทป้องกันการทำลายไว้โดยพ่อค้าทาส แม้ว่าเปลวไฟนิลของเขาจะเผามันเป็นจุณได้ในพริบตา แต่การทำลายสัญญาจะเรียกปัญหามาก่อนเวลาอันควร เขาอยากจะประเมินเด็กน้อยคนนี้ดูสักอาทิตย์ก่อนว่าจะสามารถกลายเป็นไข่ทองคำได้หรือไม่
ซิลิกำหนังสือสัญญาแน่น ของที่พยายามหาทางขโมยออกมาหลายครั้ง เวลานี้อยู่ในมืออย่างง่ายดาย เขาเอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น “ต้องการจะใช้ผมทำอะไร”
เขาไม่อยากเชื่อว่าอิสรภาพจะได้มาโดยง่าย คนที่เช่าเขาไว้มีจุดประสงค์เพียงไม่กี่อย่าง เพื่อความสะดวกสบาย เพื่อทำกำไร เพื่อให้เป็นแพะรับบาปของใครสักคน หากอยากจะหลุดพ้นมีแต่ต้องทำลายพันธะหรือไม่ก็ฆ่ารันฟามินเท่านั้น
ว้าว....เมื่อกี้ดวงตาฉายจิตสังหารวูบหนึ่ง
ราชาฮาแบ็คอดตื่นเต้นไม่ได้ เขาสัมผัสธาตุของเด็กคนนี้ดูเมื่อคืน พบจุดผิดปกติอยู่หนึ่งจุด พลังเวทที่ควรไหลเวียนอย่างสม่ำเสมอมีจุดติดขัดอยู่ที่หัวใจ หากไม่ใช่ความบกพร่องตั้งแต่เกิดก็ถูกกระทำจากภายนอก แต่น่าแปลกที่ตรวจดูแล้วไม่มีร่องรอยใดเลยนอกจากตราพันธะของทาสตรงกลางหลัง
“ข้าไม่ต้องการทาส” ฮาแบ็คยักไหล่ พูดเสียงเอื่อยเฉื่อย “ข้าอยากได้พนักงาน”
“?” ห้วงจิตแห่งการฆ่าฟันหายวับไป ซิลิเอียงคอฉงน
ฮาแบ็คหยิบขวดแก้วบรรจุของเหลวต่างสีขึ้นมาสามขวด วางลงบนตรงหน้าซิลิ มันคือโพชั่นสามชนิดที่ใช้งานต่างกัน เขาเอ่ยว่า “ข้าจะใช้ที่นี่สร้างร้านขายไอเท็มเพื่อคุณประโยชน์ของผู้แข็งแกร่ง ส่วนเจ้าคือพนักงานจัดหาสินค้าหมายเลขหนึ่งของข้า” ราชาอมยิ้มอย่างมีเลศนัย “หากครบหนึ่งอาทิตย์ข้าจะปลดตราพันธะทาสออกให้ แต่ถ้าเจ้าน่าเบื่อขึ้นมาเมื่อไหร่ ข้าจะจากไปเอง ส่วนอดีตบ้านตระกูลฟิลว์หลังนี้” เขาตบมือบนโต๊ะเบาๆ “ก็ยกให้เจ้า จะขายทิ้งหรืออยู่ต่อก็เชิญตามสบาย แต่ข้าก็ขอเตือนสักหนึ่งอย่างว่ามันได้ถูกสร้างใหม่ด้วยฝีมือของโนม อย่าให้ใครกดราคาเชียวล่ะ”
ซิลิตกตะลึง เขาหลงนึกว่าถูกพาตัวมาที่อื่น ที่แท้ก็เป็นบ้านหลังเดิมหรอกหรือ ทว่าทั้งหมดเปลี่ยนไปไม่ใช่แค่โครงสร้าง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นล้วนเป็นของใหม่ซ้ำยังสร้างจากฝีมือโนม!
ที่สำคัญกว่านั้นตรรกะของชายผู้นี้ไม่ถูกต้อง
อะไรคือจะปล่อยไปเมื่อเขาน่าเบื่อ แล้วเหตุใดต้องยกบ้านหลังนี้ให้เขา เช่นนั้นอีกฝ่ายจะได้อะไร คำพูดน่าเชื่อถือแค่ไหน
“ไม่เห็นเข้าใจเลย” ซิลิพึมพำเสียงเบา รู้สึกว่าที่เผชิญหน้าอยู่นี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าความฝัน
ฮาแบ็คเห็นท่าทางของเขาก็ขบขันในลำคอ เอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “เชื่อไม่เชื่อก็ตามใจ แต่เจ้าเองก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่ ใช่ไหม?”
ซิลินิ่งอึ้ง ที่อีกฝ่ายกล่าวมาถูกต้อง เขาอยู่ตัวคนเดียวอย่าว่าแต่ที่ซุกหัวนอน หน้าผู้ให้กำเนิดก็ยังจำไม่ได้ อีกอย่างเขาพบเจอผู้คนมาก็มาก ทั้งผู้ที่หยิบยื่นความช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจ พวกที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ พวกโลภมากตัณหากลับ สวะเศษเดน จอมเห็นแก่ตัวและหัวรุนแรง แต่ชายที่เรียกตัวเองว่ามาสเตอร์ให้ความรู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่ดูเหมือนคนเสเพลจากตระกูลร่ำรวยแต่กลับไร้ความกังวลใจ ไร้กลิ่นอายเฉพาะของคนเมือง นัยน์ตาดำสนิทราวกับสามารถกลืนแสงรอบข้างเข้าไปชวนให้คนมองรู้สึกเหมือนยืนอยู่บนยอดเขาหนาวเหน็บ ทว่าสำหรับซิลิที่ต้องคลุกคลีกับมลพิษเช่นครอบครัวฟิลว์และพ่อค้าทาส บรรยากาศรอบตัวชายผู้นี้ก็ไม่ต่างจากอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ได้พบเจอมานาน
“ผมมีทางเลือกอื่นอีกหรือเปล่า” เขาถามอย่างเหม่อลอย
หากปกติถามคำถามนี้ออกไปจะต้องถูกตบอย่างแน่นอน แต่ฮาแบ็คไม่ได้ทำเช่นนั้น ไม่มีความโกรธอยู่ในอารมณ์ของเขา อีกฝ่ายถามอย่างสนอกสนใจ “มีแน่นอน เจ้าลองว่ามาสิ”
เขาบอกความต้องการได้เหรอ? เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ
ราชาฮาแบ็คอดทนรออย่างใจเย็น
“ผม....ผมแค่อยากมีชีวิตที่ดี” ซิลิหลับตาแน่น ความรู้สึกกระสับกระส่ายเพิ่งเกิดเป็นครั้งแรก แต่ความปรารถนานั้นสลักลึกในใจตั้งแต่จำความได้ เพื่อให้มีชีวิตที่ดีเขาอดทนกล้ำกลืนรสฝาดขม ดิ้นรนรักษาชีวิตรอดมาตลอด แต่ชีวิตที่ดีคืออะไรเวลานี้กลับจินตนาการไม่ออก
ราชาฮาแบ็คผู้ใช้เวลากว่าสามพันปีในการพรากชีวิตที่ดีไปจากคนอื่นอดยิ้มค้างอย่างเสียไม่ได้ เขาเกาคางพลางขบคิด “ดีของเจ้าคือดีแบบไหนล่ะ หลุดพ้นความเป็นทาส กินอิ่มนอนหลับในบ้านอบอุ่น แต่งงานมีครอบครัว นั่งอยู่บนกองเงินกองทอง เป็นที่เคารพรัก เป็นมหาอำนาจเหนือผู้อื่น อา อย่าบอกข้าเชียวว่าชีวิตที่ไร้เรื่องกังวล ไอ้นั่นน่ะ ชาตินี้หรือชาติไหนก็หาไม่ได้หรอก”
“ผม....” เด็กน้อยอึกอัก เขาไม่รู้จริงๆ ภาพในความทรงจำมีแต่หมอกขมุกขมัวจับต้องอะไรไม่ได้สักอย่าง เขาไม่เคยได้แม้แต่จะกินอิ่มนอนหลับเสียด้วยซ้ำ
เห็นสีหน้าบีบคั้นตัวเองของซิลิแล้ว ฮาแบ็คก็ถอนหายใจ “เด็กหนอ เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรกันเชียว จะแสดงความโลภอยากได้ทั้งหมดนั่นก็ไม่เห็นเป็นไร ข้าไม่ได้ไม่ชอบคนที่มีความทะเยอทะยาน”
ซิลิเงยหน้าขึ้นสบตากับราชาปีศาจอย่างตั้งใจเป็นครั้งแรก เขากลั่นกรองความต้องการทั้งหมดของตัวเอง เอ่ยโดยไม่หลบตา “ผมไม่อยากอยู่อย่างหวาดกลัว”
ฉับพลันที่ฮาแบ็คเผยรอยยิ้ม ดวงตาหรี่โค้งเรียวส่องประกายเล็กๆ อย่างถูกใจ มือใหญ่ข้างนั้นกดน้ำหนักอย่างนุ่มนวลบนเส้นผมสีไม้มะเกลือ สัมผัสอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เคยได้รับมาเหมือนกับความฝันเลือนรางในทุกๆ คืน ภาพชายผู้นี้ฉายสะท้อนในดวงตาของซิลิ ความรู้สึกที่เหมือนถูกโอบอุ้มด้วยกระแสลมอุ่นท่ามกลางคืนหนาวเหน็บทำให้เขาอยากไขว่คว้าจับไว้
ทันเท่าความคิด สองมือยึดชายเสื้อของอีกฝ่ายแน่น มรกตงดงามกลมโตเคลือบวาววับด้วยหยาดน้ำที่ไม่ยอมให้กลิ้งหล่น ความปรารถนาของเขายังไม่ถูกผลักไส ต่อให้ท้ายสุดกลายเป็นเพียงเรื่องลวงหลอก ตอนนี้เขาก็ยังไม่อยากปล่อยมืออยู่ดี
“ดี!” ราชาปีศาจรู้สึกว่าเส้นทางการฟักไข่ทองคำเริ่มต้นได้ไม่เลว
เพื่อเป้าหมายนั้น มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้น ความหวาดกลัวทั้งหมดอยู่ที่ตัวข้า จัดการข้าเพื่อชีวิตที่ดี!
ในเช้าวันนั้น สถานะใหม่ของซิลิถูกบันทึกไว้ในความทรงจำ หลังจากที่บอกความต้องการของตัวเองไปแล้ว ฮาแบ็คจึงส่งเขาเข้าไปทดสอบห้องอาบน้ำใหม่ที่เหล่าโนมภูมิใจนักภูมิใจหนาเป็นอันดับแรก ไม่รู้ว่าเมื่อคืนเคี่ยวกร่ำไปกันขนาดไหน แต่ผลลัพธ์นับว่าเป็นที่น่าพอใจทีเดียว “อาบน้ำให้สะอาดทุกซอกทุกมุม ไม่อยากนั้นข้าจะให้เมอร์ลินช่วยอาบ”
ถึงบาดแผลจะถูกรักษา ทว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าแห้งกร้านสกปรก เส้นผมก็แข็งกระด้างไม่น่าสัมผัสสักนิด....ช่วยไม่ได้ โรครักสะอาดของฮาแบ็คเพิ่งจะเกิดเมื่อช่วงสิบปีนี้ ด้วยความที่สุดยอดสาวใช้อย่างเมอร์ลินลงขัดล้างปราสาททุกวัน ตั้งแต่บันไดภายนอกไปยันยอดหลังคาสูงเฉียดฟ้า ไอ้บรรยากาศประหนึ่งบ้านร้างผีสิงก็เลยหามีไม่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะแม้แต่ฟืนก่อไฟยังถูกหล่อนเอามาแกะสลักตกแต่งเตาผิง!
เอาเป็นว่าควรรักษาความสะอาดไว้ก่อน ปลายทางจะซกมกยังไงก็ช่าง จุดเริ่มต้นของวันก็ควรสะอาดหน่อย
ซิลิพยักหน้าอย่างว่าง่าย สองมือที่เกาะขอบประตูดันปิดอย่างรวดเร็ว ดูท่าจะผวากับผู้เป็นสาวใช้มากกว่าเขาเสียอีก
“มายลอร์ด มื้อเช้าพร้อมแล้วค่ะ” เมอร์ลินจัดโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ แยกอาหารคาวหวานออกเป็นสองชุด ชุดหนึ่งอยู่บนโต๊ะ อีกชุด....อยู่ที่พื้น
“เรื่องมื้อเช้ารอบสองน่ะช่างเถอะ แต่ทำความเข้าใจกันใหม่นะเมอร์ลิน ข้าไม่ได้จะเลี้ยงทาส และพอใจที่จะร่วมโต๊ะกับผู้อื่นด้วย” ตั้งแต่ย้ายวิญญาณมาอยู่ในร่างราชาเขาก็ปลดปีศาจรับใช้ออกจากปราสาทจนหมด ส่วนหนึ่งเพื่อเคลียร์ทางให้ผู้กล้า อีกส่วนเพราะไม่ชอบการบีบบังคับให้คนอื่นมารับใช้ ทว่าเมอร์ลินไม่ได้จากไป เหล่าบริวารในปราสาทก็สมัครใจอยู่ต่อ สาเหตุน่ะรึ?....ก็เพราะเขาแข็งแกร่งที่สุดแล้วยังไงล่ะ
เมอร์ลินเบิกตากว้าง ความกระวนกระวายฉายชัดอย่างผิดวิสัย “อยากให้ดิฉันร่วมโต๊ะ?”
ฮาแบ็คนวดขมับ “เจ้าอยากนั่งร่วมโต๊ะกับข้าก็มาเถอะ แต่ความหมายของข้าคือซิลิต่างหาก”
เมอร์ลินสงบนิ่งได้ในที่สุด หลังถอนหายใจอย่างโล่งอกก็เอ่ยว่า “มายลอร์ดคิดจะฟูมฟักไข่ใบนี้หรือคะ เขาดูอ่อนแอกว่ามนุษย์หมาป่าเสียอีก”
“ในสายตาเจ้ามนุษย์ทุกคนล้วนอ่อนแอทั้งหมดหรือ เจ้าคิดว่าผู้กล้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั่นก็อ่อนแอด้วยหรือเปล่า”
เมอร์ลินตอบอย่างจริงจัง “คนที่พ่ายแพ้แก่ท่านสำหรับดิฉันก็คืออ่อนแอค่ะ”
อา....มาตรฐานของสาวใช้สูงกว่าราชาปีศาจอย่างนั้นหรือ?
ฮาแบ็คกดหัวคิ้ว
แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะมีแต่ผู้กล้าตามมาตรฐานของเมอร์ลินเท่านั้นถึงจะมีโอกาสส่งเขากลับไปพักร้อนที่ฮาวาย
“ช่างเถอะ มนุษย์ก็มีหนทางพัฒนาในแบบของมนุษย์ ไอ้เรื่องถีบลูกกวางไปเจอมังกรน่ะ....รอข้าประเมินเขาสักรอบแล้วจะคิดดูอีกที” สุดท้ายสิ่งที่ผลักดันความสามารถของผู้กล้าจนถึงขีดสุดคืออะไร ความรัก ความแค้น ศัตรู หรือมิตรภาพ ทั้งหมดนั้นจำเป็นต้องทดสอบไปตามขั้นตอนอย่างระมัดระวัง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นชีวิตของคนคนหนึ่ง เขาอยากล่อลวงเด็กน้อยไปสู่เส้นทางของผู้กล้า แต่ก็ไม่อยากบีบบังคับด้วยการตัดเข้าทางตรงเส้นเดียว
หากท้ายที่สุดเจ้าเด็กนี่แค่อยากเป็นคนธรรมดาที่มีครอบครัวอบอุ่น เขาก็ต้องยอมรับแล้วปล่อยไป.....ได้เรอะ! ตัวเขายังไม่มั่นใจเลยว่าถ้าลงมือสุดกำลังความเสียหายจะแผ่กระจายไปถึงไหน
อะแฮ่ม! อย่างไรเวลาของเขามีเยอะแยะ แล้วผู้กล้าที่เข้าสู่สนามรบสุดท้ายไม่จำเป็นต้องมีคนเดียวเสียหน่อย ถึงเวลาเหมาะๆ ก็หาตัวสำรองเบอร์สองสามสี่ไปเลยดีกว่า กองทัพผู้กล้าเปิดสกิลหมาหมู่....เอ้ย! มิตรภาพถึงจะมีประสิทธิภาพน่าคาดหวัง
หลังเมอร์ลินจัดโต๊ะใหม่ พักใหญ่ๆ เด็กน้อยในสภาพหัวเปียกชื้นก็ปรากฏตัวที่มุมห้องด้วยท่าทางไม่มั่นใจ ชุดใหม่ทำให้เขาดูเหมือนคุณชายตัวน้อยที่น่าทะนุถนอม ฮาแบ็คกวักมือเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ๆ ดูเหมือนซิลิจะพยายามขัดล้างตัวเองสุดความสามารถ ทั้งตัวถึงเต็มไปด้วยกลิ่นของสบู่อาบน้ำ “กลิ่นผลไม้? มิ้นต์น้ำผึ้ง?”
“ดอกฟรีเซียค่ะ” เมอร์ลินควักสบู่เหลวออกมาจากไหนก็ไม่อาจทราบ
ฮาแบ็คเหลือบมองแวบหนึ่ง ไม่วิพากษ์วิจารณ์รสนิยมของสาวใช้ เขารับผ้าขนหนูจากหล่อน ขยี้ลงบนเส้นผมของซิลิเบาๆ เด็กน้อยสะดุ้งเกร็งตัวแทบจะทันที
เฮ้อ ถ้าว่ากันเรื่องประสบการณ์ที่เกี่ยวกับเด็กละก็เขาไม่ค่อยมี อา.....อย่าคิดเชียวว่าเหล่าลูกชายลูกสาวของเขาจะเกิดจากผสมพันธุ์แล้วออกมาเป็นเบบี๋ ความสามารถอันน่ากลัวอีกอย่างของราชาปีศาจคือการแบ่งเซลล์ เด็กเหล่านั้นเกิดจากการหลอมเซลล์กับปีศาจตนอื่นในตอนที่เขายังไม่ได้เข้ามาอยู่ในร่างของฮาแบ็ค จุดประสงค์เพื่ออะไรเขายังไม่แน่ใจ แต่คนที่เลี้ยงเด็กเหล่านั้นคือปีศาจใต้บัญชาต่างเผ่าพันธุ์
ส่วนตัวจริงของราชาปีศาจในตอนนี้ เป็นชายโสดวัยเก็บเงินรอเกษียณที่หาความสนุกกับความสัมพันธ์แบบผิวเผิน ใช้ชีวิตหลังเลิกงานกับเบียร์ บุหรี่ และเกม
ยังดีที่ซิลิไม่จัดอยู่ในสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกับไอ้เด็กเปรตบ้างข้างๆ เขาจึงไม่รังเกียจที่จะทดลองทำภารกิจนี้
ราชาสังเกตรายละเอียดบนเครื่องหน้าของซิลิ องค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ รูปลักษณ์และตำแหน่งถูกบรรจงสรรค์สร้างจัดวางอย่างพิถีพิถัน เป็นหนุ่มน้อยที่ใครมองก็รู้สึกอยากจะเข้าไปลูบหัว เดาว่าในอนาคตอันใกล้ต้องกลายเป็นหนุ่มหล่อร้อยเมียแน่นอน
ความหน้าตาดีเป็นคุณสมบัติของผู้กล้าทุกยุคเลยสินะ ไม่รู้ว่ายุคนี้ยังมีการสร้างฮาเร็มให้ผู้กล้าด้วยหรือเปล่า
ฮาแบ็คตกอยู่ในห้วงความคิดไปครู่หนึ่ง จนกระทั่งรับรู้สึกถึงสิ่งที่ขยุกขยิกบนฝ่ามือเขาจึงตระหนักได้ว่าตนกำลังขยุ้มหัวเด็กน้อยอยู่ “โทษที เจ้านั่งเถอะ”
ซิลิไม่มีความมั่นใจในการนั่งร่วมโต๊ะกับผู้อื่นสักนิด เขานั่งเกร็งจนแม้แต่ช้อนก็ไม่ได้จับ
“อะไร? ต้องให้ข้าป้อนด้วยรึ” ฮาแบ็คเย้าแหย่ด้วยสีหน้าจริงจัง เด็กน้อยส่ายหน้าฉับไว เขาหยิบช้อนและลงมือรับประทานอาหารในที่สุด แต่ว่าคนที่กินอย่างเอร็ดอร่อยมีเพียงซิลิฝ่ายเดียว ส่วนราชาฮาแบ็คผู้แข็งแกร่ง ไม่แตะอาหารที่รสจัดกว่าซุปใสสักอย่าง
ทรมานต่อมรับรสจัง....เขาเลื่อนจานเนื้อของตัวเองไปข้างหน้า เมินสายตาคาดโทษกดดันของเมอร์ลิน เอ่ยว่า “กินอีกหน่อยสิ”
ดวงตาเริ่มมีประกายวิบวับให้เห็น แม้ใบหน้าของเขาจะเรียบเฉยแค่ไหน แต่อาหารที่เต็มสองข้างแก้ม ทำให้ดูมีชีวิตชีวาสมวัยขึ้นมากทีเดียว เขาดื่มกินไปสักพักจากนั้นก็วางช้อน เหลือบมองฮาแบ็คแล้วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “มาสเตอร์”
“อืม?” มาสเตอร์....อ่อ ก็ดีกว่ามายลอร์ดแหละนะ “เรียกอย่างนั้นก็ได้ ยังไงเจ้าก็ไม่กล้าเรียกข้าว่าฮาแบ็คใช่ไหม?”
คราวนี้เด็กน้อยสะดุ้งโหยง เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ชื่อของราชาปีศาจมีหรือที่จะไม่รู้จัก!
เห็นใบหน้าขาวซีดนั่นแล้วฮาแบ็คก็ไม่กลั่นแกล้งต่อ ได้แต่แสร้งถอนหายใจแต่งเรื่องขึ้นว่า “ข้าไม่น่าตามใจมารดาเรื่องการตั้งชื่อเลยจริงๆ น่าเสียดายที่เป็นของดูต่างหน้าของนาง....ทำไม เจ้าคิดว่าข้าเป็นราชาปีศาจจริงๆ งั้นหรือ”
ราชาปีศาจในภาพจำของทุกชีวิตคือผู้ครอบครองใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ผู้ที่ปรากฏตัวพร้อมกับภัยพิบัติและกลิ่นอายความตาย ทว่าคนผู้นี้ไม่ได้มีกลิ่นอายแบบนั้นปรากฏอยู่เลย ฝ่ามือกับรอยยิ้มก็อ่อนโยนมากด้วย ซิลิสงบใจแล้วส่ายหน้า คิดเองเออเองว่ามาสเตอร์ก็คงลำบากใจที่จะใช้ชื่อนั้น แต่เป็นเพราะมารดาเสียไปแล้วก็เลยไม่อยากเปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นล่ะมั้ง
“ไม่ครับ ผมแค่....ไม่ได้ยินชื่อนั้นมานานแล้ว”
เป็นความจริงที่ราชาปีศาจไม่ปรากฏตัวมานานนับร้อยปี ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แน่ชัด หลายคนลือกันว่าเขาจำศีลเพื่อรักษาบาดแผลเมื่อห้าร้อยปีก่อน มีเพียงฮาแบ็คผู้รู้ว่าราชาปีศาจแค่เฝ้ารอบนบัลลังก์ไม่ขยับเขยื้อนเพราะไม่อาจแข็งแกร่งไปได้มากกว่านี้ เนื่องจากไม่มีผู้ท้าทายที่เก่งกว่าปรากฏตัวเท่านั้นเอง
หลังมื้อเช้ารอบสอง ฮาแบ็คพาเด็กน้อยในการดูแลลงมาชั้นล่าง เขาเปลี่ยนโถงใหญ่ให้กลายเป็นร้านค้า ทุกชั้นวางของเต็มไปด้วยไอเท็มจากดันเจี้ยน ซึ่งส่วนใหญ่คือวัตถุดิบประเภทแร่หลอมไปจนถึงตุ๊กตาไม้แปลกๆ และโครงกระดูกไม่ทราบชื่อ ขาดก็แต่ไอเท็มช่วยชีวิตที่สำคัญ
โพชั่นและอาวุธ
โพชั่นไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าตามหลักการเปิดขายจะต้องมีหนังสือรับรองจากสถาบันหรือสมาคมนักผสมเวท ทว่าใบรับรองของราชาปีศาจมาจากตราแมงมุมของเลดี้วิทเชร์ต เวเนียส แม่มดผู้มีชื่อเสียงในด้าน ‘ดีๆ’ และได้รับการยอมรับจากสมาคมนักเวททุกรุ่น ด้วยการทำตามขั้นตอนขอเป็นศิษย์ครบถ้วนทุกประการ
[ 1. เข้ารับการทดสอบ
2. เป็นศิษย์อันดับหนึ่ง
3. สำเร็จวิชา + ล้มล้างอาจารย์
4. ได้ใบรับรอง
จบปิ๊ง! ]
ทั้งหมดทั้งมวลใช้เวลาเพียงคืนเดียวเท่านั้นเอง!
ฮาแบ็คนึกถึงใบหน้าเขียวคล้ำของ ‘อาจารย์’ แล้วอดชื่นชมอย่างเสียไม่ได้ แม่มดทั่วไปได้พบราชาปีศาจถ้าไม่ตกใจจนสาปตัวเองเป็นแมลงก็มีแต่เลือกคลานเข่าเข้าหา ทว่าเลดี้วิทเชร์ตได้แต่กระทืบเท้าเร่าๆ โวยวายปานเด็กน้อยถูกแย่งขนม ‘นานๆ ทีข้าจะมีศิษย์กับเขาบ้าง แถมยังเป็นราชาปีศาจอีก ทำไมไม่ให้ข้าได้พาท่านออกไปเชิดหน้าซูตาสักร้อยปีก่อนเล่า’
เพ้อเจ้อน่า! เดี๋ยวทั่วออร์บิสแตกตื่นเกินเหตุกันพอดี!
ส่วนในเรื่องของอาวุธนั้นเขายังคิดไม่ตก เพราะถึงคลังสะสมในปราสาทจะเต็มไปด้วยศัสตราวุธ แต่ที่มาของมันไม่มีอันไหนสมเหตุสมผล โดยเฉพาะดาบศักดิ์สองในสิบสามเล่มที่นอนเดียวดายอยู่ใต้กองขยะภายในคลังของเขา เห็นทีต้องหาจังหวะเหมาะๆ ส่งเข้าดันเจี้ยนได้แล้ว
ถึงร้านไอเท็มเล็กๆ หลายแห่งไม่ค้าขายอาวุธ แต่ฮาแบ็คกลับมีความสนใจที่เฟ้นหาช่างฝีมือสักคนมาประจำร้าน
เพราะต่อให้มีวัตถุดิบชั้นยอดแค่ไหน แต่ถ้าผู้หลอมฝีมือไม่ถึงก็เสียเปล่าไร้ค่า
เมอร์ลินส่งอีเวนต์รายปีของเมืองบีทซ์นีให้เขาพิจารณา จากการสอบถามกิลด์ใหญ่ หลังเควสดันเจี้ยนจบลงจะมีการคัดเลือกผู้กล้าครั้งที่ 1202 เนื่องจากอาชีพผู้กล้าต่างจากอาชีพอื่น
ปกติแล้วขบวนผู้กล้า ย่อมหมายถึงการรวบรวมคนที่มีฝีมือและความกล้าหาญเพื่อเดินทางทำภารกิจกอบกู้อะไรสักอย่าง ผู้กล้าส่วนใหญ่จึงประกอบด้วยคนหลายอาชีพ โดยเฉพาะเบอร์เซิร์กเกอร์[1]และนักเวท ในหนึ่งทีมจำเป็นต้องมีสายสนับสนุนเช่นนักบวชและนักผจญภัย เคลื่อนไหวด้วยจำนวนคนไม่เกินสิบ เนื่องจากคานส์มารายาเป็นดินแดนที่บดขยี้กองทัพมนุษย์มาทุกรูปแบบ ยิ่งจำนวนคนมากเท่าไรก็ยิ่งดึงดูดมอนสเตอร์มากเท่านั้น การสำรวจด้วยกลุ่มเล็กๆ แม้จะเสี่ยงแต่ก็มีประสิทธิภาพมากกว่า
เมื่อก่อนผู้ที่ลงทะเบียนเป็นผู้กล้า เควสต่างๆ จะขึ้นตรงต่อทางการ ได้รับการสนับสนุนจากราชวงศ์และชนชั้นสูง ขอบเขตงานเฉพาะเจาะจงไปที่การบุกแบบกลุ่มเล็ก แม้ไม่ใช่ตำแหน่งงานถาวร แต่ในสมัยที่ราชาปีศาจทำให้ออร์บิสปั่นป่วน อาชีพผู้กล้าทำให้ครอบครัวของพวกเขามั่นคงและปลอดภัย
ส่วนปัจจุบันนี้น่ะหรือ? ราชาปีศาจเช่นเขาสงบเสงี่ยมนานกว่าห้าศตวรรษ หลายเมืองใหญ่จึงเลือกการป้องกันแบบตั้งรับโดยผลิตอัศวินเป็นหลัก ส่วนผู้กล้าหันไปรับเควสจากความต้องการของราชวงศ์ รุกล้ำเข้าไปในคาสน์มารายาไม่ใช่เพื่อเผชิญหน้ากับเขา แต่ไปขุดหาไอเท็ม!
เรื่องที่อาชีพผู้กล้าไม่เป็นที่นิยมเขาพอเข้าใจ แต่เอาคนมีฝีมือไปทำรูปปั้นประดับเมืองทำซากอะไร?
ฮาแบ็คคิดๆ แล้วก็อดเจ็บปวดใจไม่ได้ เขาเสียดายผู้กล้าเมื่อห้าร้อยปีที่พลาดโอกาสกู้โลกด้วยปัจจัยเล็กๆ เพียงอย่างเดียวซึ่งนำบทสรุปไปสู่หายนะ
เรื่องผู้หญิงคร้าบ~
ไอ้ผู้กล้าที่มีคนรักเป็นผู้กล้าด้วยกัน ถ้าไม่ตัดขาดเรื่องส่วนตัวกับหน้าที่ จุดจบก็จะอนาถแบบนั้นแหละคร้าบ~
ราชาฮาแบ็คเหลือบมองเจ้าหนูน้อยในสายตาตัวเอง เขาใกล้จะถึงวัยเจริญพันธุ์แล้ว ถ้าไม่ติดพันกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ จนมีจุดจบแบบนั้นก็คงดี
ซิลิสบตากับมาสเตอร์ของเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเบื้อนหน้าไปทางอื่น เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใดเนรมิตคฤหาสน์ครอบครัวฟิลว์ให้กลายเป็นร้านไอเท็มด้วยเวลาเพียงคืนเดียว แต่จำนวนและคุณภาพของวัตถุดิบที่อยู่บนชั้นวางสินค้าทำให้อดสงสัยประวัติความเป็นมาของมาสเตอร์ไม่ได้ ครั้นจะถามเขาก็.....
ฮาแบ็คมองท่าทีสับสนของเด็กน้อยพลางลูบคางครุ่นคิด สักพักเขาก็โยนงานตกแต่งเพิ่มเติมให้เมอร์ลินจัดการ
“ดิฉันขอสร้างเฟอร์นิเจอร์เองเพิ่มได้ไหมคะ” เมอร์ลินถือกระดาษโครงสร้างภายในที่โนมออกแบบไว้ มันไม่ได้ซับซ้อน แต่ก็ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการตกแต่ง เหล่าโนมได้ออกแบบภายในให้เขาสองสามชุด ทว่าคนเลือกสรรคือเมอร์ลิน ซึ่งสำหรับเขายังไงก็ได้ แต่ส่วนสำคัญที่สุดอย่างชั้นใต้ดินจำต้องใส่ใจสลักล็อคเสียหน่อย เพราะบางครั้งอาจจำเป็นต้องทดสอบเวทต้องห้ามและสร้างดันเจี้ยนกันที่นี่
“จะทำอะไรก็ตามใจเจ้าเถอะ อยากลืมเอาใบรับรองของข้าไปให้ทางการและแจกใบปลิวไว้ที่กิลด์ด้วย”
“รับทราบมายลอร์ด” ในขณะที่เมอร์ลินจัดการทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว ฮาแบ็คก็พาพนักงานฝึกหัดออกไปข้างนอก เดินนำหน้าเขาหลายก้าว
“เจ้าเดินเข้ามาใกล้ๆ หน่อย หากหลงทาง ข้าไม่เสียเวลาหาหรอกนะ”
ซิลิไม่เคยได้ออกมาเดินเล่นเช่นนี้ ปกติครอบครัวฟิลว์จะพาเขามาข้างนอกก็ต่อเมื่อต้องมารับเควสจากกิลด์ เส้นทางไปกลับแทบจะเป็นทางเดิมตลอดสองปี ต่อให้สายตาของเขาเหลือบมองไปทางอื่นก็ไม่มีทางได้ไป ทว่าคราวนี้ไม่เหมือนกัน ฮาแบ็คพาเขาเข้าไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยรวงร้าน เดินตัดเส้นทางไปยังลานน้ำพุอีกด้านของเมือง ฝีเท้าสม่ำเสมอ ไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่รีบเร่งและไม่ใส่ใจ ทำให้เขาผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“มาสเตอร์” ซิลิเรียกเสียงเบาอย่างลังเล เขาไม่ค่อยได้เป็นฝ่ายถามจึงไม่ถนัดที่จะเป็นผู้เริ่มบทสนทนา ทว่าการเดินทางครั้งนี้ใช้เวลากว่าครึ่งวันแล้ว ไม่มีทีท่าจะถึงจุดหมายปลายทางแต่อย่างใด เขาจำต้องเอ่ยปากเสียหน่อย “พวกเราจะไปไหนกันเหรอ....ครับ?”
“อ่อ” ฮาแบ็คหยุดเท้าแล้วหันกลับมา “ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ถามเสียแล้ว กำลังคิดอยู่เชียวว่าเจ้าจะเงียบปากแบบนี้แล้วเดินตามข้าไปจนสิ้นอายุขัยเลยรึเปล่า” ถึงเขาจะสามารถเดินวนรอบเมืองแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนอีกฝ่ายสิ้นอายุขัยได้เองจริงๆ ก็เถอะ
ซิลินิ่งอึ้ง เขาอ้าปากแล้วก็หุบปากอย่างไร้เสียง แต่จุดประสงค์ของฮาแบ็คคือการพูดคุย เขาเอ่ยสบายๆ ว่า “ข้าแค่มาฆ่าเวลาเท่านั้น เจ้าอยากไปไหนก็ไปที่นั่นแหละ”
ก่อนอื่นต้องแก้นิสัยไม่พูดไม่จาของอีกฝ่ายก่อน ถึงจะไม่ใช่ผู้กล้าตามหลักสูตรสำเร็จของพระเอกโชเน็น แต่ก็ควรมีสกิลสื่อสารผูกสัมพันธ์ไว้หน่อย อย่างน้อยนิสัยก้มหน้ารับคำสั่งแบบทาสก็ควรได้รับการแก้ไข
ซิลิบอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกเช่นไรที่มาสเตอร์ใช้เวลาครึ่งค่อนวันเดินวนรอบเมืองเพียงเพื่อรอให้เขาเป็นฝ่ายพูดก่อน “ผมไม่เคยไปที่ไหนนอกจากกิลด์” เด็กน้อยหลุบตาลงต่ำเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“อืม....เจ้าเป็นทาสมากี่ปีแล้ว” ฮาแบ็คอดสอบถามไม่ได้
ซิลินับนิ้วในใจเสร็จก็ตอบว่า “ประมาณเจ็ดปีครับ”
นานเอาการ ตั้งแต่เขาห้าหกขวบเลยรึ “เช่นนั้นต้องเป็นข้านำทางสินะ ก็ได้ ตามมาสิ”
ขณะหมุนตัวหันไป ซิลิก็ร้องขอบางอย่าง “มาสเตอร์ครับ!” เขาก้มหน้างุด ใบหูเริ่มแดงระเรื่ออย่างยากที่จะควบคุม “ผะ ผมขอจับเสื้อได้ไหม”
จับเสื้อ? ฮาแบ็คงุนงง เดาว่าเป็นเพราะเขากลัวหลงแต่ไม่กล้าขอจับมือสินะ
“ฮึ” จู่ๆ ก็รู้ว่าเจ้าหนูนี่น่ารักขึ้นมาเสียอย่างนั้น อย่างน้อยก็น่ารักกว่าเหล่าลูกๆ ของเขาหลายขุม
“จะจับก็จับสิ”
นิ้วทั้งห้ายึดมุมเสื้อไว้แน่น ด้วยส่วนสูงของเขาทำให้ยามจะมองจำต้องเงยหน้าขึ้นอย่างเสียไม่ได้
ฮาแบ็คพึงพอใจกับการพัฒนาเล็กๆ น้อยๆ ของอีกฝ่าย พาเขาไปยังร้านเสื้อผ้าและขนม ซื้อของใช้ส่วนตัวให้เขาสักหน่อย ถือเป็นขวัญกำลังใจในการเดินบนเส้นทางที่ยากลำบาก
จากนั้นจึงกลับมานั่งเรื่อยเปื่อยที่ลานน้ำพุ มองดูผู้คนเดินผ่านไปมาอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วฮาแบ็คก็ถามเหมือนเพิ่งนึกได้ “จะว่าไปเจ้าสมัครท้าทายดันเจี้ยนรอบนี้ใช่ไหม”
ซิลิพยักหน้าเบาๆ ความเย็นชาที่ฉาบบนใบหน้าทำให้เขารู้ว่าดันเจี้ยนไม่ใช่ความทรงที่ดีของเจ้าเด็กนี่ ต่อให้เป็นดันเจี้ยนละดับล่าง แต่มอนสเตอร์ประจำชั้นย่อมอันตรายกว่าภายนอกหลายเท่า เพียงรักษาชีวิตให้รอดก็ยากแล้ว ยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของพ่อค้าทาสด้วย
“คิดเสียว่าเป็นการทดสอบความสามารถของเจ้าก็แล้วกัน”
“?”
“ไอเท็มในร้านใช่ว่าจะงอกขึ้นมาเองเสียเมื่อไหร่ ในเมื่อเป็นพนักงานจัดหาสินค้า ก็หมายความว่าจะหลีกเลี่ยงเควสผจญภัยไม่ได้”
ที่แท้มาสเตอร์ก็คิดจะใช้เขาทำเควสเช่นกัน ซิลิรู้สึกไอเย็นที่ฉาบบนร่างกาย แต่ต่อมาฮาแบ็คก็เอ่ยด้วยเสียงสบายๆ ว่า “ไม่ต้องเครียดไป ดันเจี้ยนเดิมทีเกิดซ้ำๆ ทุกสิบปีระดับความอันตรายอาจจะต่ำกว่าเควสแรงค์ B ด้วยซ้ำ ถึงข้าจะยังไม่แน่ใจจุดประสงค์ของมัน ทว่าย่อมไม่ใช่การพิชิตผู้ท้าทายแน่ ซ้ำยังไม่มีไอเท็มพิเศษอะไรน่าค้นหา เจ้าแค่สู้สุดฝีมือโดยคำนึงแต่ชีวิตตัวเองก็พอ”
เป้าหมายหลักของดันเจี้ยนนี้คือประเมินระดับความสามารถ เควสที่ซิลิรับไว้เป็นเควสของแรงค์ A ทั้งหมด กับคนที่กระแสพลังเวทถูกสกัดจนรวนเร เขาอยากเห็นวิธีการต่อสู้ในสถานที่ที่มีเงื่อนไขของเด็กคนนี้
“ทำไม” ซิลิยังคงไม่เข้าใจ ส่งเขาเข้าไปในดันเจี้ยนเพื่อแค่ให้มีชีวิตรอดออกมา เป็นความบันเทิงของคนรวยรึ?
ฮาแบ็คเลิกคิ้ว “เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากหวาดกลัวสิ่งใดอีก แต่คนที่ใช้ชีวิตเช่นนี้ได้ทั้งออร์บิสมีเพียงหนึ่งเดียว เจ้าทายสิว่าใคร”
ซิลิครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ราชาปีศาจ”
“ถูกต้อง” ราชาปีศาจเผยยิ้มภูมิใจเล็กน้อย เขาไม่กระดากอายที่จะชมตัวเองสักกะนิด “ตั้งแต่หลายพันปีก่อนจนถึงตอนนี้ไม่มีใครแข็งแกร่งไปกว่าเขา ไม่มีใครโค่นล้มเขาได้ กองทัพมนุษย์หลายล้านชีวิตพินาศย่อยยับหลายต่อหลายครั้ง เจ้าว่าเขายังจะต้องกลัวอะไรอีก ถ้าอยากหลุดพ้นจากทาส อยากใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัว หรือแม้แต่ปกป้องคนที่รัก จะทำทั้งหมดนี้ได้ก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น หรือว่าไม่จริงล่ะ”
“ความแข็งแกร่งก็คืออิสรภาพของเจ้า” ฮาแบ็คเอ่ยเสียงเรียบราวกับเป็นคำบอกเล่าที่แสนจะธรรมดา ทว่ามันกลับซึมลึกเข้าไปในหัวใจของซิลิ
ความแข็งแกร่งคืออิสระ
ดวงตากระจ่างใส่จับจ้องใบหน้าของผู้เป็นมาสเตอร์ เขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ปรากฏตัวขึ้น ต้องใช้เวลาอีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะคนพูดเช่นนี้กับตน
“มาสเตอร์อยากให้ผมแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ เหรอครับ”
ฮาแบ็คพยักหน้าเบาๆ สองมือวางลงบนไหล่ลาดเอียง เอ่ยอย่างจริงใจอย่างที่ไม่อาจจริงใจได้มากกว่านี้อีกแล้ว “สาบานกับดวงดาวและปีศาจทุกตน ไม่มีใครคาดหวังกับเจ้าได้เท่าข้าอีกแล้ว”
พลันไอเย็นมลายหายไปหมดสิ้น ร่างกายของเขากลับมาอบอุ่นอีกครั้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาพบเจอกับความคาดหวังอยู่ตลอด เหล่าพ่อค้าทาสคาดหวังผลกำไรจากเขา เหล่าผู้ซื้อทาสคาดหวังผลประโยชน์สูงสุด ถ้าอย่างนั้นมาสเตอร์ล่ะ? “ถ้าผมแข็งแกร่งแล้วคุณจะได้อะไร”
ได้อะไร? “ข้าจะได้กลับบ้านเก่าไปพักร้อนที่ฮาวายน่ะสิ”
ฮาวาย? กลับบ้านเก่า?
“มาสเตอร์หมายถึง....”
“อ่อ....” เขาปัดมืออย่างรำคาญใจ “ก็แค่เป้าหมายก่อนเกษียณเท่านั้น ก่อนตายข้าอยากจะอุทิศชีวิตสร้างผู้กล้าเก่งๆ สักหนึ่งโหล”
“ผู้กล้าเหรอครับ” สีหน้าของซิลิแสดงออกสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผู้กล้า เพราะตัวเขาเองรู้สึกว่าการเป็นผู้กล้าในยุคนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร ค่าตอบแทนก็อาจจะไม่คุ้มด้วย
“เพราะข้าชอบผู้กล้าไง” ราชาปีศาจตอบเซ็งๆ จะสายอาชีพไหนก็มาเถอะน่า แต่ก่อนจะเด็ดหัวเขาช่วยไปลงทะเบียนผู้กล้าให้หน่อย มันไม่เข้าเงื่อนไข!
ขณะหมุนตัวกลับไป เด็กชายซิลิก็ตัดสินใจตะโกนว่า “ผมจะพยายามสุดความสามารถครับ!” ความแน่วแน่อัดแน่นในน้ำเสียงราวคำปฏิญาณ
ฮาแบ็คเลิกคิ้วสูง พยักหน้าหงึกๆ ตอบรับคำนั้น
ยามราชาเช่นข้าถีบเจ้าไปเจอมังกร จะยังไม่พยายามได้อีกหรือ?
Comments (0)