ตอนที่ 3

เลขที่ 3: ส้มตำ - แก้วกาญดา โชติช่วงรัตติกาล

 

สถานที่ที่พวกเรามาถึง คือหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่ง

ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงครึ่ง แต่ท้องฟ้ากลับดูมืดครึ้มกว่าที่ควรจะเป็น เห็นเป็นสีน้ำเงินดำ และเริ่มมีดวงดาวประปราย พระจันทร์เสี้ยวข้างแรมอยู่มุมหนึ่งของท้องฟ้า ไม่ได้ช่วยเรื่องการให้แสงสว่างมากนัก

รอบด้านคือซากของสิ่งก่อสร้างซึ่งเคยเป็นบ้าน เห็นเป็นตอไม้ เศษไม้ หลังคาผุ ๆ ผัง ๆ ไหม้ ๆ ส่งกลิ่นอับชื้นเหมือนขึ้นรา ตรงพื้นคือผืนหญ้ารกชัฎสูงเท่าเข่า บนพื้นคือเศษเหล็กที่มีเค้าโครงว่าเคยเป็นสนามเด็กเล่นมาก่อน ทั้งชิงช้า ม้าหมุน และม้ากระดก

ในขณะที่พวกเรากำลังสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านโดยละเอียด สายลมเย็นยะเยือกก็พัดมาวูบหนึ่ง ชวนให้รู้สึกขนลุกขนชัน กลุ่มเงาหมอกสีดำบางอย่างถูกพัดพามาพร้อมกระแสลม พลังงานชั่วร้ายไหลเวียนรุนแรง แม้ไม่ใช่คนมีประสาทสัมผัสพิเศษ ก็ยังรับรู้ถึงความดำมืดอันน่าขนลุกของสถานที่แห่งนี้ได้

ฉันกับข้าวเหนียวสบตากัน ดวงตาคมเฉี่ยวของเธอหรี่ลงอย่างสัมผัสได้ถึงอันตราย ริมฝีปากบางขบแน่นด้วยความกังวล และฉันเองก็คาดว่าฉันน่าจะกำลังทำแบบเดียวกัน

คุณครูรัตนาอ่านรายงานบนกระดาษในมือของเธอ “ตามรายงานที่กระทรวงปราบวิญญาณแห่งโลกส่งมา บอกว่าสถานที่แห่งนี้เดิมทีเคยเป็นหมู่บ้านขนาดกลาง มีคนอยู่อาศัยประมาณห้าสิบคน ตอนสงครามโลกครั้งที่สาม หมู่บ้านนี้คือหมู่บ้านแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโคเวียหนึ่งร้อย และยังโชคร้ายซ้ำซ้อนจากการโดนระเบิดลงจากประเทศฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย ผลสรุปคือสิ่งก่อสร้างพังพินาศ ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว”

ไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

นี่แหละความโหดร้ายของสงคราม เป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ของผู้นำ แต่คนรับกรรมมีแต่ประชาชน

ฉันนึกว่าตอนนี้กลุ่มผู้นำที่เคยพาสงครามเข้าประเทศตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนกันแล้วบ้าง…ไม่แน่ว่าอาจจะหนีไปกบดานอยู่ประเทศที่ไหนสักประเทศ หรือซ่อนตัวอยู่ปะปนกับคนทั่วไป แต่ที่แน่ ๆ คงไม่ตาย และสุขสบายดีทุกประการ ต่างจากประชาชนกลุ่มนี้ที่ต้องรับกรรมซึ่งตัวเองไม่ได้ก่อ

“แล้วภารกิจของเราคืออะไรเหรอครับ” พลัมถาม

ครูรัตนาถอนหายใจอย่างแสนเศร้า “กำจัดสิ่งอัปมงคล” เธอตอบ “ขับไล่ดวงวิญญาณตายโหงเหล่านี้ออกไปจากที่นี่”

นักเรียนทุกคนก้มหน้า ไม่มีใครสบายใจในการทำภารกิจนี้ แต่พวกเราไม่มีทางเลือก…มันคือหน้าที่ของมือปราบวิญญาณ มันคือสิ่งที่พวกเราต้องทำ

“ช็อค เตรียมพิธี” ครูรัตนาออกคำสั่ง “คนอื่น ตั้งขบวนแถวกันเป็นวงกลม”

“ครับ!” ช็อคโกแลตรับคำ เดินมาตรงกลางพร้อมหม้อดินใบใหญ่ ในขณะที่คนอื่น ๆ ตั้งแถวเป็นวงกลมรายล้อม ในมือถืออาวุธพร้อมรบ

ช็อคโกแลตถอดสร้อยลูกประคำออกจากคอ นำมาพนมมือ สวดมนต์เป็นภาษาที่พวกเราไม่มีใครรู้จัก เด็กผู้ชายคนนี้คือจอมเวทย์ผู้สืบวิชาจากนักเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดในศาสตร์นับถือผี ปัจจุบันได้รับฉายาว่าหมอผีประจำห้อง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำพิธีต่าง ๆ และเป็นไม้ตายในการใช้มนตร์ปราบวิญญาณ เรียกได้ว่าเขาคือผู้ถือครองพลังที่สำคัญ ชนิดที่เป็นเสาหลักของห้องเรียนพวกเราเลยก็ว่าได้

ตอนนี้ช็อคกำลังเริ่มทำพิธีแรกในการปราบมาร นั่นคือ ‘พิธีเบิกเนตร’

พิธีเบิกเนตรคือพิธีที่ทำให้ประสาทสัมผัสพิเศษของทุกคนในห้องไวต่อสิ่งชั่วร้ายมากขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือให้พวกเรามองเห็นวิญญาณ ผี และพลังงานชั่วร้ายได้ชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง มันเป็นวิชาที่มีประโยชน์ในการต่อสู้ แต่โคตรจะมีโทษต่อสุขภาพสายตา

บังเกิดพายุสีแดงลูกจิ๋วบริเวณลูกประคำของช็อคโกแลต จากนั้นพายุสีแดงก็พัดพาขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วจนครอบคลุมทั้งหมู่บ้าน ผมของพวกเราปลิวไสวเหมือนใช้แชมพูมียี่ห้อ (มีแชมพูที่ไม่มียี่ห้อด้วยเหรอบนโลกใบนี้) มนุษย์ผู้หญิงผมยาวอย่างฉันโคตรจะเกลียดโมเมนต์นี้เลย ปอยผมตีหน้าตีตา แถมกลับโรงเรียนไปยังต้องไปหวีกับหัวยุ่ง ๆ

กระแสวายุสีแดงพัดพาไปรอบด้าน เริ่มปรากฏเงาสีแดงหลากหลายขนาดและรูปร่าง สิ่งเหล่านั้นคือวิญญาณร้ายที่ถูกเคลือบไว้ด้วยมนตร์เบิกเนตรของช็อคโกแลตนั่นเอง วิญญาณเหล่านั้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ ดูจากสายตารวม ๆ แล้วน่าจะมีสี่สิบถึงห้าสิบตน

เมื่อเทียบกับกำลังมือปราบวิญาณที่มีอยู่ตอนนี้ก็…หนึ่งต่อหนึ่งจุดห้า ถือว่าเหมาะเหม็ง!

“กระจายกำลัง! ส่วนกฤตชัยตรึงอยู่กับที่ เป็นแรงสนับสนุนให้เพื่อน!” ครูรัตนาออกคำสั่ง

แล้วเด็กทุกคนก็กระจายตัวออกจากกันทันที

แค่มองตาก็รู้ใจ พวกเราฝาแฝดข้าวเหนียวส้มตำวิ่งไปทางขวาพร้อมกัน ตรงหน้าของพวกเราสองคนมีวิญญาณสองตนที่ต้องเผชิญ ตนหนึ่งมีรูปร่างคล้ายคนแต่ตัวสูงประมาณสองเมตร รูปร่างบิดเบี้ยวราวกับทำจากควัน ส่วนอีกตนมีลักษณะเป็นสัตว์เดรัจฉานสี่ขา รูปร่างโดยรวมคล้ายสุนัขแต่มีเขาบนหัวคล้ายเขาควาย

ฉันขึงธนู ส่วนข้าวเหนียวพุ่งเข้าหาพร้อมเคียวคู่ในมือ รังสีอาฆาตรุนแรงแผ่ออกมาจากมารสองตนนั้น เกิดเป็นรังสีกดดันจนพวกแทบจะเข้าใกล้ไม่ได้

ข้าวเหนียวเข้าปะทะกับวิญญาณรูปคนก่อน วิญญาณรูปสัตว์ทำท่าจะโจมตีเธอจากทางด้านหลัง แต่ฉันก็ขวางด้วยการยิงธนูอาคมออกไป ลูกธนูซึ่งปลายธนูเป็นลูกกลมมีรอยยันต์พุ่งเข้าไปปักบริเวณใบหน้าของมันอย่างจัง มารสลายร่างไปกลายเป็นไอสีแดงกลุ่มหนึ่ง

วิญญาณรูปคนต่อสู้กับข้าวเหนียวด้วยมือเปล่า รับคมเคียวศักดิ์สิทธิ์ของเธออย่างคล่องแคล่ว อาคมจากเคียวฟันแทงไม่เข้า นับว่าเป็นวิญญาณทีแข็งแกร่งพอตัว ฉันขึงลูกธนู พยายามเล็งเป้า แต่มันก็ยากเมื่อเป้าหมายกำลังเคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็ว แถมพวกพ้องของเราก็ยังพัวพันอยู่กับมันอีก

ฉันก้าวเข้าใกล้ฝ่ายศัตรูมากยิ่งขึ้น แต่นั่นก็แทบจะไร้ประโยชน์ ในสถานการณ์ตอนนี้ วิญญาณตนนั้นดูราวกับไร้พ่าย

“ข้าวเหนียว!”

แว่วได้ยินเสียงพลัมจากทางด้านข้าง หางตาของฉันทันเห็นแค่เงาของเด็กผู้ชายคนหนึ่งวิ่งโฉบมาแล้วก็ผ่านไป วินาทีต่อมาหินศักดิ์สิทธืก้อนหนึ่งก็ถูกโยนใส่หน้าของมารตนนั้น เกิดเป็นควันสีเทาแตกฟุ้ง วิญญาณถึงกับเสียจังหวะซวนเซ ข้าวเหนียวอาศัยจังหวะทองนั้นในการเข้าโจมตี เคียวอาคมของเธอตวัดเข้าลำคอของอีกฝ่าย ในขณะที่ฉันยิงธนูใส่ใบหน้าของมันอย่างจัง

เมื่อต้องเจอกับการโจมตีสามครั้งติดกัน ในที่สุดฝ่ายศัตรูก็สลายร่างไปกลายเป็นไอสีแดง

พวกเราแปะมือกัน ก่อนจะกวาดสายตามองรอบด้าน

สถานการณ์ในตอนนี้ ใช้คำว่าหายนะยังนับว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ นักเรียนหนึ่งคนต่อวิญญาณหนึ่งหรือสองตน ต่อสู้ฟาดฟันกันทุกบริเวณ เกิดเป็นเสียงวุ่นวายดังกึกก้อง พลัม ในฐานะผู้ใช้หินศักดิ์สิทธิ์วิ่งไปมาทั่วสนามรบ คอยช่วยเหลือใครก็ตามที่ตกอยู่ในอันตราย นอกจากนี้ยังมี ‘ลูกเกด' ผู้ใช้คทาอาคม คอยร่ายมนตร์รักษาและสนับสนุนเพื่อน ๆ อยู่ทางด้านหลังอีกด้วย

ฉันกับข้าวเหนียวสำรวจว่าเราควรจะไปเป็นกำลังเสริมให้ใครดี ก่อนที่ฉันจะเหลือบเห็นเพื่อนคนที่น่าจะเดือดร้อนที่สุดในตอนนี้

“ซ็อค!!!” ฉันร้อง จูงมือข้าวเหนียววิ่งเข้าหาช็อคโกแลตทันที

ในการต่อสู้ครั้งนี้ ช็อคโกแลตยืนอยู่กลางสนามรบเหมือนเป็นศูนย์กลางการต่อสู้ ตรงหน้าเขาคือหม้อดินใบใหญ่สี่อัน ซึ่งกำลังดูดซับกลุ่มวิญญาณเข้าไป ไอพลังงานร้ายสีแดงฉานหมุนวนเข้าหม้อนั้นเหมือนเป็นพายุทอร์นาโด แต่ถึงอย่างนั้นบริเวณที่เขาอยู่ก็ยังร้อนระอุราวไฟนรก เหงื่อกาฬของเด็กหนุ่มแตกพลั่ก และสายสิญจน์ในมือของเขาก็เริ่มมีควันไหม้

เมื่อเห็นพวกเราวิ่งเข้าไป ช็อคโกแลตก็หยุดสวนมนต์ พยายามเปล่งเสียงพูดออกมาอย่างยากลำบาก “ไฟอาฆาตของที่นี่…แรงเกินไป!”

“แล้วพวกเราจะช่วยนายได้ยังไง” ข้าวเหนียวถาม

“น้ำมนต์…อึก…ในย่าม…” สายสิญจน์ในมือช็อคโกแลตเริ่มเกิดประกายไฟ “เอามันออกมาสาด!”

ฉันกับข้าวเหนียวพุ่งไปทางย่ามของช็อคโกแลตทันที พวกเรารื้อม้วนสายสิญจน์ กลุ่มลูกประคำ เครื่องรางของขลัง ตุ๊กตาดินเผา และวัตถุอุปกรณ์ทำพิธีมากมายออกมาจากย่าม จนในที่สุดก็เจอกระบอกฉีดน้ำสีฟ้าสดสองขวดอยู่ก้นย่าม

ข้าวเหนียวนิ่งไปจังหวะหนึ่ง

“ใส่น้ำมนต์…ในกระบอกฉีดน้ำเนี่ยนะ?” เธอว่า “นายจะเอาน้ำมนต์ไปรดน้ำต้นไม้เหรอช็อค”

“ใช้รดน้ำผีนี่แหละ!” ช็อคโกแลตถึงกับหยุดสวดมนต์แล้วหันมาโวย ปลายผมของเขาเริ่มมีควันขึ้น “มันใช้สะดวกที่สุดแล้ว อย่าบ่นน่า!”

ข้าวเหนียวโยนกระบอกฉีดน้ำขวดหนึ่งให้ฉันด้วยสีหน้าว่างเปล่า ก่อนที่พวกเราจะเริ่มเล่นสงกรานต์แบบไม่-ค่อย-จะ-สนุก-นักกับพวกผี

กระบอกฉีดน้ำนี้มีพลังสูงกว่าที่คาด ทุกครั้งที่กดไป น้ำมนต์จะพุ่งกระฉูดไปไกลมาก ทุกครั้งที่น้ำมนต์พุ่งออก จะบังเกิดกลุ่มพลังงานสีฟ้ามาหักล้างกับกลุ่มพลังงานสีแดงและไอร้อน สภาพอากาศร้อนระอุดีขึ้นทันตาเห็น ผมของช็อคโกแลตไม่มีควันแล้ว และสายสิญจน์ของเขาก็เลิกไหม้

ในระหว่างที่ฉีดน้ำใส่พวกผีดังป๊อก ๆ ฉันก็อดคิดถึงพิธีสังฆทานตามวัดที่พระมักจะสาดน้ำมนต์ในญาติโยมไม่ได้ ความรู้สึกของพระจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?

ใช้เวลาไม่นาน กลิ่นอายความร้อนของไฟอาฆาตก็หายไปหมด สถานการณ์ทุกดย่างกลับสู่สภาวะปกติ กลุ่มวิญญาณสลายร่างไปเยอะมากแล้ว เพื่อน ๆ ปลอดภัย และเริ่มได้พักหายใจหายคอกัน

กลุ่มวิญญาณที่เหลือซึ่งมีจำนวนไม่มาก ถูกดูดเข้าหม้อดินของช็อคโกแลตจนหมด จากนั้นฉัน ข้าวเหนียว ช็อคโกแลต และพลัม ก็รีบพุ่งไปเอาผ้ายันต์มาคลุมหม้อดินไว้ทันที ช็อคโกแลตผูกสายสิญจน์ที่ปากหม้ออย่างคล่องแคล่ว จนครบทั้งสี่หม้อ พวกเราทุกคนถึงได้พากันถอนหายใจอย่างโล่งอก

“วันนี้ทำดีมากค่ะทุกคน!” คุณครูรัตนาเอ่ยชม “ทีนี้ก็กลับโรงเรียนไปนอนพักผ่อน เตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ได้”

เหล่านักเรียนพากันโอดครวญ ทุกคนรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้ จะเป็นวันที่พวกเราชาวห้องบ๊วยต้องรับบทดวงซวยที่สุดในรอบสัปดาห์

 

____________________

 

 

sds