4 ตอน ตอนที่ 4 เลขที่ 4: โกโก้ - เขมทัต โชติช่วงรัตติกาล
โดย ลูกกกระดิ่งแก้ว
ตอนที่ 4
เลขที่ 4: โกโก้ - เขมทัต โชติช่วงรัตติกาล
ทุกวันอังคาร จะเป็นเวรของห้อง ม.๖/๕ โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร ในการทำความสะอาดสนามกีฬา และสนามหน้าเสาธงของโรงเรียน
นักเรียนครึ่งห้องถูกแบ่งไปที่สนามกีฬา และอีกครึ่งอยู่ที่สนามหน้าเสาธง
ในส่วนของผมนั้นได้อยู่สนามหน้าเสาธง นักเรียนเก้าคนบ้างกำลังจับไม้กวาดทางมะพร้าว กวาดหญ้าและใบไม้มารวมกัน บ้างก็เดินทั่วสนามหาเก็บเศษขยะ…ให้ตายสิ ไม่ว่าจะยุคไหนสมัยไหน ก็ยังต้องมีคนมักง่ายทิ้งขยะไม่เป็นที่ และต้องมีนักเรียนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคอยตามเก็บในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่ออยู่เรื่อยเลยนะ ประเทศไทรนี่มันไทรจริง ๆ
เอ๊ะ…พวกคุณสงสัยเหรอครับว่าทำไมถึงมีแค่เก้าคน ไม่ใช่สิบ?
อ๋อ เพราะคนที่สิบกำลังนั่งเอกขเนกสบายใจอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ชมนกชมไม้อยู่ท่ามกลางสายลมและแสงแดดน่ะสิ…คือผมเอง!
แหะ ๆ ในห้องเรียนมันมักจะมีเด็กประเภทนี้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ พวกแก๊งโดดเรียนขาประจำน่ะ
เวลาผ่านไปจนใกล้ถึงเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ เหล่านักเรียนคนอื่น ๆ ในโรงเรียนก็เริ่มเดินออกจากอาคารเรียนมาหาอะไรกิน รวมถึงสูดบรรยากาศภายนอก และแน่นอนว่าเด็กห้องบ๊วยกับการโดนเหยียดน่ะก็เป็นของคู่กัน พวกเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโดนมองด้วยสายตาหยามเหยียด รวมถึงการถูกหัวเราะเยาะได้หรอกครับ
“หวา…เทอมนี้ต้องตั้งใจอ่านหนังสือซะแล้วสิ” เด็กหญิง ม.๓ คนหนึ่งบ่นขณะเดินผ่านพวกเราไป “ถ้าฉันยังสอบตกอีก ปีหน้าขึ้นมอปลาย ฉันต้องตกไปเรียนห้องบ๊วยแน่ ๆ”
ผมยืดอกพิงลำต้นไม้เบา ๆ …ยินดีต้อนรับไอ้น้อง ถ้าม.ปลายตกลงมาห้องบ๊วยจริง ๆ น่ะนะ เดี๋ยวจะได้รู้รสชาติความสนุกสนานในด้านอื่นนอกจากการเรียนอีกเยอะแยะมากมายเลยล่ะ!
คืองี้ครับ โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทรเนี่ย ไม่ใช่ว่าจะได้มีโอกาสเปลี่ยนห้องเรียนกันทุกปีขนาดนั้น นักเรียนจะมีโอกาสได้เปลี่ยนห้องแค่สามปีต่อหนึ่งครั้งเท่านั้น เช่นจากประถมขึ้นมัธยมต้น และจากมัธยมต้นขึ้นมัธยมปลาย
ก้าวบันไดจากมัธยมต้นขึ้นมัธยมปลายถือเป็นบันไดที่สำคัญที่สุด เพราะพวกเราจะได้เข้าพิธีประทานนามสกุลตอนขึ้นมัธยมปลาย…หนึ่งห้องต่อหนึ่งนามสกุล ซึ่งนั่นหมายความว่าห้องเรียนตอนมัธยมปลาย จะเป็นตัวตัดสินนามสกุลที่ติดตัวเราไปตลอดชีวิตที่เหลือ ถ้าบังเอิญหล่นมาห้องบ๊วย ก็ได้รับนามสกุลแบบห้องบ๊วยติดตัวไปจนตายนั่นแหละ
อย่างนามสกุลของพวกเรา ‘โชติช่วงรัตติกาล’ แปลว่า ‘แสงสว่างยามค่ำคืน’ ความหมายมันแย่ตรงไหน ผมออกจะชอบนามสกุลนี้นะ
อีกอย่าง จ๊อบเสริมที่ได้เป็นนักปราบมารนั่นก็ออกจะน่าสนุก ชีวิตผมตอนนี้น่าจะดีกว่าเด็กพวกนั้นที่เอาแต่เรียนไปวัน ๆ ด้วยซ้ำน่ะน้า~
“ฉันไม่อยากขึ้นมอปลายไปอยู่ห้องบ๊วยเหมือนพวกเขาเลย!” เด็กชาย ม.๓ โนเนมคนหนึ่งพูด ผมหันขวับไปมองเขาทันที
“ใครจะไปอยากอยู่ห้องบ๊วยกันล่ะ” เพื่อนด้านข้างเห็นพ้อง “เรียนอยู่ชั้นใต้ดิน ใช้ชีวิตในห้องอับ ๆ ชื้น ๆ มืด ๆ เวลากินข้าวก็ได้กินหลังคนอื่น สีหน้ามืด ๆ หม่น ๆ โง่ ๆ ถ้าฉันต้องตกไปห้องบ๊วยน่ะนะ…ฉันขอตายดีกว่า!”
เด็กสองคนนั้นหัวเราะคิกคัก
ผมหรี่ตาลง…ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ระหว่างตกลงมาห้องบ๊วย กับการได้อยู่ห้องดี ๆ แต่โลกทัศน์คับแคบอย่างสองคนนั้น แบบไหนมันจะน่าตายมากกว่ากัน
ตอนนี้เพื่อนร่วมห้องของผมเริ่มคอตกกันแล้วครับ ได้รับคำดูถูกขนาดนี้…ไม่ใช่ทุกคนอยู่แล้วที่จะมีภูมิคุ้มกันน่ะนะ
“อุ๊ย! นั่นมันพวกห้องบ๊วยนี่นา” เด็กสาว ม.๖ โนเนมคนหนึ่งพูดขึ้นในจังหวะนรกนั้น
“สภาพเชย ๆ โทรม ๆ สงสัยเมื่อคืนจะนอนไม่พอนะ” เพื่อนของเธอว่า “แหม…คงจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือล่ะสิ แต่โทษทีนะ ห้องบ๊วยอย่างพวกแกน่ะ ไม่มีทางที่จะขึ้นมาเทียบกับพวกฉันได้หรอก มีแต่จะต้องใช้นามสกุลบ๊วย ๆ ของพวกแกไปตลอดชีวิตนั่นล่ะ!”
“อ้ะ! แต่มีทางหนึ่งนะที่พวกแกจะออกจากห้องบ๊วยได้” เด็กสาวคนแรกพูดขึ้น “ตายยังไงล่ะ!”
เด็กสี่คนในบริเวณนั้นหัวเราะ บรรยากาศของเพื่อนผมยิ่งมืดหม่นลงกว่าเดิม
ผมส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ คำก็ตาย…สองคำก็ตาย คนพวกนี้เข้าใจความหมายของคำว่าตายสักเท่าไหร่กันเชียว เจ้าพวกเด็กน้อยเอ๊ย
แต่ถ้าพวกเธอคิดว่าความตายมันเลวร้ายน้อยกว่าการตกลงมาห้องบ๊วยขนาดนั้นล่ะก็…เดี๋ยวพี่ชายจัดให้!
“แต่ตายแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะรอดนะ!” เด็กหนุ่มคนแรกพูดขึ้น “เพราะนามสกุล ‘โชติช่วงรัตติกาล’ ก็จะยังติดตัวอยู่ที่เก็บอัฐิของคนพวกนั้นน่ะสิ!”
เด็กสาวหัวเราะร่วน “การที่ต้องได้ใช้นามสกุลเห่ย ๆ แบบนั้นน่ะ…กรี๊ดดดด!!!”
“หือ…อะไร” เพื่อนของเธอหันมามองเธอด้วยความงุนงง ก่อนจะ… “กรี๊ดดดด!!!”
“ว้ากกก!!!” เด็กหนุ่มคนแรกร้อง
“นี่มันอะไรวะเนี่ย!!!” เด็กหนุ่มคนที่สองร้อง
รังหนอนมากมายร่วงลงจากต้นไม้ราวสายฝน ตกลงไปโดนใบหน้าและไหล่ของเด็กสี่คนนั้นอย่างไม่มีความเมตตาปราณี ตามด้วยพวงหมามุ่ยอีกเป็นขโยง ทำเอาคนบนพื้นกระโดดโลดเต้นแทบเป็นจังหวะร็อค ส่ายมือส่ายแขนจนผมแทบจะร้องเพลงตามจังหวะให้พวกเขาได้ ก่อนจะเผ่นแผล็วไปพร้อมเสียงกรีดร้องโวยวายและแผลตุ่มแดงเต็มตัว
ก่อนจะอยากตาย ขอให้ได้รับรู้รสคันคะเยอของหมามุ่ยและหนอนผีเสื้อก่อนเถอะ…ถ้าแค่นี้ยังทนไม่ได้ โตไปจะทนความตายได้ยังไง!
ผมรู้ว่าความหมายมันไม่พ้องกัน…แต่ผมก็ก๊อปมาจากที่พวกคุณครูชอบบอกตอนเข้าแถวสนามหน้าเสาธงว่า ‘ถ้าแค่ทนตากแดดยังไม่ได้ โตไปจะทนความยากลำบากได้ยังไง’ นั่นแหละ
คนที่ตากแดดจะโตไปเป็นต้นกระบองเพชรไม่ได้ฉันใด คนที่เจอหมามุ่ยก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องตายฉันนั้น จำ!
หลังเหตุการณ์ทุกอย่างกลับสู่ความสงบ (ในสภาพหนอนผีเสื้อและหมามุ่ยเต็มพื้น) ผมก็แว่วได้ยินเสียงตะโกนว่า
“โดดเวรสบายเลยนะมึง!” เจ้าของเสียงคือไอ้ ‘แคนตาลูป’ เพื่อนสนิทสุดที่รักของผมเอง
ผมยักคิ้ว หันไปถามเพื่อนอีกคนว่า “จะจดชื่อผมในช่องคนโดดเวรมั้ยครับคุณหัวหน้าห้อง”
พลัมยักไหล่ยิ้ม ๆ “ถ้าลงมาช่วยกันเก็บหลักฐานล่ะก็จะไม่จด”
ผมกระโดดลงจากต้นไม้สบายใจเฉิบ “ทุกคนติดหนี้ไอ้โกโก้หนึ่งครั้งนะจำไว้!”
“ใครขอกันยะ!” ข้าวเหนียวสวน
บรรยากาศระหว่างพวกเราทั้งสิบคนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ปน ๆ กับเสียงโวยวายของข้าวเหนียวเมื่อผมแกล้งโยนหนอนใส่เธอ แต่ต่อมาผมก็ต้องร้องจ้ากบ้าง เพราะส้มตำปาหมามุ่ยมาโดนหน้าผมทั้งยวง!
แหม ฝาแฝดคู่นี้ รักกันดีจริง!
เสียงเพลงมาร์ชของโรงเรียนดังขึ้นในจังหวะที่พวกเราเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดทั้งหมดเข้าห้องแม่บ้านทันพอดี
เอ…ถ้าพวกคุณจะสงสัยว่าเพลงมาร์ชของโรงเรียนเราเป็นยังไงน่ะเหรอ?
ก็เป็น…
‘โรงเรียนของเราน่าอยู่ คุณครูใจดีทุกคน เด็ก ๆ ก็ไม่ซุกซาน พวกเราทุกคนชอบไปโรงเรียน ชอบไป ชอบไป โรงเรียน’
ฮ่า…ซะที่ไหน! ผมล้อเล่นน่ะ
เพลงมาร์ชโรงเรียนประจำแห่งประเทศไทรเป็นบทกลอนที่ไม่มีทำนองครับ
‘โรงเรียนประจำแห่งประเทศไทร
เชิดชูไว้เป็นมั่นมีศักดิ์ศรี
พวกเราเหล่าหญิงชายถวายชีวี
เป็นคนที่โรงเรียนภาคภูมิใจ
นักเรียนเราเรียนดีและเรียนเด่น
พวกเราเรียนไม่เล่นเสียนิสัย
เพื่อทรงเกียรตินักเรียนของเราไว้
เพื่อเมืองไทรเจริญมั่นคงยั่งยืน’
ที่เป็นบทเพลงไม่มีทำนองนั้น เพราะโรงเรียนของพวกเรามองว่าทำนองเพลงนั้นเป็นสิ่งบันเทิงที่ไม่จำเป็น การมีอยู่ของเพลงมาร์ชโรงเรียน (ที่ถูกต้องคือบทกลอนประจำโรงเรียนมากกว่า) มีจุดประสงค์คือ ‘เพื่อสร้างค่านิยมร่วมกันไว้ ให้โรงเรียนไทรสงบสุข’ เท่านั้นเองครับ
หลังเพลงมาร์ชจบ นักเรียนระดับชั้นมัธยมปลายทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่สนามหน้าเสาธง
พวกเราต่อแถวกันเรียงตามเลขที่ การเรียงแถวสนามหน้าเสาธงของโรงเรียนเราอาจจะแปลกตาไปจากที่พวกคุณคุ้นชินอยู่บ้าง คือนักเรียนห้องคิง (ห้อง ๑) ในระดับชั้น ม.๔ ม.๕ และ ม.๖ จะอยู่ฝั่งซ้ายสุดของสนาม…ซึ่งถูกครอบคลุมด้วยเงาตึกและร่มเงาต้นไม้ ถัดจากห้อง ๑ คือห้อง ๒ ๓ และ ๔ ของทุกระดับชั้นตามลำดับ สำหรับก๊วนนักเรียนห้อง ๕ ของระดับมัธยมปลายทั้งหลาย ก็จะอยู่ฝั่งขวาสุดของสนาม
ซึ่งมีแต่แดด และแดด ร้อนเจิดจ้า!
ม. ๖/๕ ของผมยืนอยู่ขวาสุด รับพลานุภาพแห่งองค์เทพตะวันมากที่สุด!
ผมเหล่มองรุ่นน้องห้อง ๕ ที่อยู่ ม.๔ และ ม.๕ ดัวยความเข้าอกเข้าใจ
รุ่นของผมเป็นรุ่นแรกที่จับพลัดจับผลูถูกคัดเลือกเข้าหลักสูตรเป็นนักปราบมารครับ เรียน ๆ เล่น ๆ ทฤษฎีปราบมารเบื้องต้นได้สองเดือน ก็โดนถีบมาให้ลงพื้นที่ปราบมารที่หน้างานจริงเลย แต่รุ่นน้องห้อง ๕ ของพวกเราจะโชคดีกว่า เพราะพวกเขาจะเป็นแค่นักปราบมารฝึกหัด ยังไม่ต้องลงพื้นที่จริงจนกว่าจะขึ้นถึง ม.๖ ก็ค่อยมารับช่วงต่อจากพวกผมนั่นแหละครับ
แต่เฮ้ พวกน้องดูแข็งแกร่งขึ้นเยอะนะ…แหงแซะ สำหรับพวกเราที่เป็นนักปราบมาร ต้องออกสนามสู้รบปราบมารกันเป็นเรื่องปกติ กับการตากแดดแค่นี้ไม่สะทกสะท้านเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันแค่น่าหงุดหงิดกับการถูกเลือกปฏิบัติเท่านั้นเอง
พวกเราเหล่านักเรียนไทรทำตามขนบประเพณีอันดีงามตามรุ่นก่อนตามลำดับ นั่นก็คือร้องเพลงชาติ (เสียงต้องดัง ถ้าไม่ดังร้องใหม่) สวดมนต์ นั่งท่องคุณสมบัติของเด็กดีสิบสามประการ ท่องคำขวัญโรงเรียน คำขวัญประเทศชาติ บทสรรเสริญท่านผู้นำ และอะไรต่อมิอะไรชนิดที่ว่าคงนับหนึ่งถึงหนึ่งพันได้พอดี
“เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ!”
พวกเราท่องคำขวัญนี้เป็นคำส่งท้าย
ว่ากันตามตรงนะ ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าเด็กจะฉลาดขึ้นจากการท่องคำขวัญเป็นนกแก้วนกขุนทองแบบนี้ได้ยังไง
หลังจากการท่องคำขวัญเสร็จ นักเรียนจึงได้รับอนุญาตให้นั่งลง ช่วงเวลาต่อมาคือช่วงโอวาทจากผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการคนปัจจุบันของโรงเรียนประจำแห่งประเทศไทรมีชื่อว่า ‘ขนิษฐา เลื่องชื่อพือขจร’
ผู้อำนวยการขนิษฐาเป็นคุณครูสาววัยกลางคน ผู้มีผมยาวตรงถูกรัดเกล้าไปด้านหลังแบบเนี๊ยบกริบ มันวาวราวถูกเคลือบน้ำมัน ใส่แว่นสายตายาวทรงสี่เหลี่ยมสีทองเปล่งประกายแยงตา ใต้แว่นคือดวงตาคมสวยซึ่งฉายแววอำมหิตจนเหล่าเด็กห้องบ๊วยพากันเรียกว่า ‘แว่นสังหาร’ สวมชุดเครื่องแบบครูสีกากีแขนยาวยาวเรียบกริบไร้รอยยับ กระโปรงของเธอเป็นทรงสอบยาวถึงข้อเท้า…ผมสงสัยมากว่าเธอสามารถสวมชุดนั้นได้ทั้งวันโดยไม่เหงื่อแตกพลั่กได้ยังไง
แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับคือสายตาของเธอนั้นคมปลาบราวใบมีด เพียงกวาดสายตามองครั้งเดียว เธอก็ชี้มาทางผม ทำเอาผมเหงื่อแตกพลั่ก…วันนี้กูทำอะไรผิดพลาดไปปะวะไอ้ชิบหาย!?
“…” ผมนั่งตัวตรง ใบหน้าตึงเรียบ…ผมปกติ ทุกคนปกติ ทุกอย่างปกติ!
ใครกันที่บังอาจเอาหนอนกับหมามุ่ยไปโยนใส่เด็กห้องอื่น ไม่มี!
“มอหกทับห้า เลขที่ห้า!” เธอตะโกนใส่ไมค์ “ลุกขึ้นยืนแล้วบอกชื่อมา!”
นั่นทำให้ผมตกใจมากกว่าเดิม ผมหันขวับไปทางเพื่อนผู้หญิงข้างหลังผม…เธอเป็นคนสุดท้ายบนโลกใบนี้ที่ผมคาดว่าจะเป็นคนที่โดน ผอ. เรียก
‘สปาเก็ตตี้’ ลุกขึ้นยืน ตะโกนด้วยเสียงอันฉะฉานว่า “มอหกทับห้า เลขที่ห้า…ขวัญทิพย์ โชติช่วงรัตติกาลค่ะ!”
“เธอแต่งตัวผิดระเบียบ” ผู้อำนวยการบอก
ผมกวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า มองผ่านผมหยิกยาวที่ถูกมัดรวบไว้กลางหลัง เสื้อนักเรียนเก็บชายไว้ใต้กระโปรงเรียบร้อย เข็มขัดใหม่เอี่ยม กระโปรงสีกรมท่ายาวเลยข้อเข่าหนึ่งคืบ ถุงเท้ายาวพื้นขาวพับข้ออย่างถูกวิธี และรองเท้านักเรียนมันวาวไร้ลวดลาย
มันผิดระเบียบตรงไหน (วะ) ครับ!?
สปาเก็ตตี้ก็คงจะแบลงค์พอ ๆ กับผม เธอทำหน้างุนงงแล้วถาม “ผิดระเบียบตรงไหนเหรอคะ”
“ยัง ยังอีก ยังไม่รู้ตัวอีก!” ผู้อำนวยการว่า
เอ้า! ไม่บอกแล้วใครจะไปรู้วะครับ!
“สำรวจตัวเองดูดี ๆ!” เธอพูด
สปาเก็ตตี้มองชุดเครื่องแบบของตัวเองขึ้นแล้วก็ลง ลงแล้วก็ขึ้น เพื่อนสาวเลขที่หกชื่อ ‘ส้มจี๊ด’ ก็ลุกยืนขึ้นมาช่วยเธอจัดแจงเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน สปาเก็ตตี้มองส้มจี๊ดเป็นเชิงถาม แต่ส้มจี๊ดก็ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าเธอก็ไม่รู้เหมือนกัน สรุปคือทุกคนตัน
“ผมของเธอไม่ถูกระเบียบ!” ในที่สุดผู้อำนวยการก็ยอมปล่อยดอกพิกุลออกมาจากปาก “หัวยุ่งเป็นสิงโตแล้วทำไมไม่หวีให้เรียบร้อย!”
สปาเก็ตตี้ตะครุบผมตัวเอง หน้าของเธอซีดสนิท ผมเองก็ซีดไปเหมือนกัน…ผมของเธอไม่ใช่ว่ายุ่ง เพียงแต่เธอเป็นผู้หญิงผมหยิก เมื่อถูกบังคับให้รวบผมหางม้าตามโรงเรียนจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะชี้ฟู โดยปกติเธอจะแอบลูบน้ำให้มันเปียกในช่วงเข้าแถวหน้าเสาธงต่อหน้าผู้อำนวยการและครูในโรงเรียน แต่วันนี้…เธออาจจะลืม
“หนูหวีแล้วค่ะ มันได้แค่นี้” สปาเก็ตตี้ตอบ
“ตอแหล!” ผู้อำนวยการส่งเสียงแว้ดผ่านไมค์ “มอหกทับห้า ลุกนั่งหนึ่งร้อยครั้งทั้งห้อง ปฏิบัติ!”
ทุกคนในห้องลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีใครแปลกใจอะไรทั้งสิ้น ทุกคนสีหน้าเรียบนิ่ง ลุกนั่งตามคำสั่งไม่หือไม่อือ
ก็พวกเราเป็นห้องบ๊วยนี่นะ…ถูกเพ่งเล็งแถมโดนสั่งให้ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
Comments (0)