"คือมึงจะบอกอะไรกูนะ?"

นุ่นแทบสำลักไข่มุกออกมาทางรูจมูกหลังจากที่ฟังฉันพูดจบ ในช่วงเวลาพักกลางวันแสนวุ่นวาย ฉันลากเพื่อนสนิทของฉันมาที่โต๊ะไม้หินในสวนหย่อมหลังจากที่พวกเรากินข้าวเสร็จ มันนั่งมองฉันตาค้าง ปากหยุดเคี้ยวไข่มุกหลังจากฟังเรื่องเมื่อวานที่ฉันได้เจอทั้งหมด

"มึงเล่นเกมจีบหนุ่มมากไปรึเปล่าอิม เพลา ๆ บ้างก็ได้ผัว 2D น่ะ มึงอย่าลืมว่าพวกเขาไม่มีตัวตนจริง ๆ นะ"

"เลวมาก ตบปากตัวเองร้อยทีเลยนะ"

กล้ามากที่มันพูดแบบนั้นออกมา ก็นั่นคือความสุขอย่างหนึ่งของฉันนี่นา เวลาว่าง ๆ ได้เล่นเกมจีบหนุ่มมันเป็นอะไรที่ฟินจนความสุขล้นออกหู เติมเต็มความหวานให้หัวใจเด็กสาวอย่างฉันสุด ๆ ส่วนเรื่องที่พวกเขาไม่มีตัวตน ฉันเองก็รู้ดีหรอกว่าความจริงแล้วมันเป็นยังไง ฉันไม่ใช่เด็กม.ต้นวัยเบียวที่แยกแยะความจริงกับความเพ้อฝันไม่ออกหรอกนะ คือฉันพยายามท่องอยู่ไงว่ามันเป็นแค่เกม อย่าจริงจัง อย่ารู้สึก แต่พอมาพูดย้ำแบบนี้มันเจ็บมากนะรู้มั้ย ก็พยายามตัดใจอยู่ไง! TT

"สรุปคือ ที่เมื่อวานมึงทำเวร มึงได้เจอผู้ชายผมขาวตาฟ้าที่ห้องเรียนเราเหรอ?"

"ใช่ ๆ "

"แล้วผู้ชายคนนั้นทำอะไร?"

"ก็นั่งอ่านหนังสือที่ขอบหน้าต่าง"

"หล่อมะ"

"มาก"

"อุ้ย..."

นุ่นทำยกมือเดียวมาป้องปาก สายตาวิบวับประหลาดของมันทำฉันอยากจะเขกหน้าผากให้บุบ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฉันพยายามเล่าแทบตาย มันก็ไม่เชื่อ พอบอกว่าหล่อมากเท่านั้นแหละ เปลี่ยนลายไวอย่างกับกิ้งก่า!

"เรื่องแบบนี้เชื่อยาก มันต้องพิสูจน์"

"เมื่อกี้มึงเพิ่งด่ากูว่าเพ้อเจ้ออยู่เลยนะ"

"แหม ก็ตอนนั้นมึงบอกว่ามึงเห็นตอนเคลิ้มหลับไง จังหวะนั้นมึงอาจจะนึกถึงอะไรอยู่แล้วสมองสร้างภาพให้มึงเห็นงี้"

วิชาการเข้าไปอี๊ก ไม่น่าเชื่อ

"แต่มันก็น่าสงสัยแหละ โรงเรียนนี้มันมีเรื่องแปลก ๆ เยอะจะตาย"

"มึงไปได้ยินอะไรมาเหรอ?" ฉันขยับเข้าไปใกล้เพื่อที่จะฟังเรื่องเล่าจากปากของนุ่น มันดูดชานมไข่มุกจนพอใจอีกครั้ง แล้วก็หันหน้ามาหาฉัน ดัดแปลงเสียงให้เบาลงซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่ถ้าฉันยังได้ยินชัดเจนอยู่ ก็ไม่ถือสาอะไรนัก

"กูได้ข่าวว่าเด็กมอสามทับห้าได้ย้ายไปเรียนห้องใหม่ แต่ห้องที่ว่านั่นมันมีผ้ายันต์สีแดงติดอยู่เหนือประตูพอดี เจอดีตั้งแต่เปิดเทอมวันแรกเลยแหละ แต่อาจารย์ให้ทำไงรู้มั้ย ก็ให้เด็กมันดึงออกไปเลยสิ เอาไปทิ้งรวมกับถังขยะด้วย พอสามวันต่อมา มีเด็กในห้องเป็นลมชักตอนเรียนอยู่ วุ่นวายมากเลยตอนนั้น แล้วเหมือนจังหวะดีที่มีพระอาจารย์เดินผ่านมา ตอนนั้นพระอาจารย์เข้าไปในห้องแล้วสวดมนต์อะไรไม่รู้ พอเด็กคนนั้นหายดี เขาก็เลยพาไปนอนห้องพยาบาล หลังจากนั้นก็โทรเรียกให้ผู้ปกครองมารับกลับบ้าน"

หลังจากฟังที่นุ่นเล่าจบ คำถามมากมายอยู่ในหัวของฉันเต็มไปหมด ทั้งความรู้สึกไม่สมเหตุสมผลที่ฉันมีให้กับเรื่องเล่าของนุ่นด้วย อะไรวะ ยันต์สีแดงนั่นมาติดที่หน้าประตูตอนไหน ผอ.กับอาจารย์ไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยหรือไง แล้วเด็กที่เป็นลมชักนั่น ก็เพราะว่าเขาอาจจะป่วยอยู่แล้วด้วยรึเปล่า พระอาจารย์ที่บังเอิญผ่านมาก็กลายเป็นฮีโร่ไปเลยซะงั้น? 

ทุกคนอาจจะงงว่าพระอาจารย์มาทำอะไรที่โรงเรียนนี้ โรงเรียนเรามีวิชาธรรมศึกษาภาคบังคับ มีพระอาจารย์เป็นผู้สอนทุกธรรมทั้ง 3 ชั้น มีชั้นตรี โท และเอก นักเรียนทุกคนต้องสอบเขียนเรียงความกระทู้ธรรม ฉันไม่รู้ว่าโรงเรียนที่อื่นเขาบังคับเหมือนกับโรงเรียนนี้รึเปล่านะ แต่โรงเรียนของฉันตั้งข้อบังคับเลยว่าต้องจบธรรมะชั้นโทขึ้นไปถึงจะผ่าน ไม่งั้นตอนจบม.3 กับ ม.6 จะไม่สามารถขอเอกสารใด ๆ จากฝ่ายวิชาการได้

ทุกคนเห็นอะไรมั้ย? มันคือความเผด็จการเห็นแก่ตัวชัด ๆ เลยไง! แล้วการที่บังคับให้ฉันมาเรียนอะไรแบบนี้ มันไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกเลื่อมใสในศาสนาเลยสักนิด! พวกโรงเรียนก็แค่เอาผลสอบธรรมะชั้นเอกที่มีมากกว่าโรงเรียนอื่นไปเที่ยวโอ้อวดว่าโรงเรียนนี้ดีเด่น มีคุณธรรม ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่ผลสอบ หารู้ไม่ว่าตอนสอบน่ะ มีรุ่นพี่ปีที่แล้วเขียนเนื้อเพลงกับสูตรไข่เจียวทรงเครื่องลงไปในกระทู้ เขายังผ่านจนจบชั้นเอกได้อยู่เลย! ดังนั้น ฉันจึงมองว่ามันเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์อย่างมาก ที่โรงเรียนต้องมาบังคับแกมข่มขู่นักเรียนแบบนี้

นอกเรื่องแล้ว แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพระอาจารย์ถึงบังเอิญไปช่วยเด็กที่เป็นลมชักคนนั้นได้

"มึงรู้ได้ยังไงวะ?"

"ก็ตอนนั้นกูชวนมึงไปส่งงานอาจารย์วนิดาไง แต่มึงไม่ไป มาบ่นงอแงว่าอยู่ไกล ไอ้เก้าก็มัวแต่อ่านหนังสือ กูเลยได้ไปคนเดียว แล้วก็เจอเหตุการณ์ที่เด็กเป็นลมชักพอดีเลย มึงอาจจะคิดว่าแค่เป็นลมชักไปนอนดิ้นเฉย ๆ เปล่าเลยเว้ย เพราะที่กูเห็นอะ แม่งมีเลือดกำเดาไหลออกจมูกกับทางปากด้วยนะมึง"

"..."

"แถมยังหัวเราะเสียงแปลก ๆ อีก คนที่เป็นลมชักเขาเป็นผู้ชายนะมึง แต่เสียงหัวเราะที่กูได้ยินมันเป็นเสียงผู้หญิง"

"..."

"กูยังจำได้ดีเลยว่าแม่งโคตรน่ากลัว"

"ทำไมกูไม่รู้เรื่องนี้เลยวะ?"

"โรงเรียนปิดข่าวแหละ แล้วตอนที่เกิดเรื่อง อาจารย์วนิดาที่สอนในคาบนั้นก็สั่งให้เด็กปิดประตูห้อง ปิดหน้าต่างทั้งหมด กูที่จะส่งงานให้อาจารย์วนิดาอยู่แล้วก็ออกไปไม่ได้ดิ ตอนนั้นคาบสาม มึงก็เห็นอยู่ว่ากูไม่ได้มานั่งเรียนทั้งคาบ"

"มึงกลับมาอีกที มึงบอกว่ามึงท้องเสีย นอนอยู่ห้องพยาบาล"

"ก็อาจารย์กับพวกพี่เขาไม่ให้กูพูดไง โทษที"

มันยกมือพนมแล้วทำรูปปากว่า 'ซอรี่' หลังจากพูดจบ ซึ่งฉันเองก็ไม่ติดใจอะไรนักหรอก ดีที่มันเล่าออกมาให้ฟังเนี่ย ฉันถึงได้รู้สักทีว่าตอนนั้นทั้งคาบ ไอ้นุ่นหายหัวไปไหน 

"เพราะฉะนั้น เรื่องที่มึงเล่าออกมา กูถึงอยากจะพิสูจน์ไง จะได้รู้สักทีว่าโรงเรียนนี้มันมีอะไรกันแน่"

"มันอาจจะเป็นแค่ภาพที่กูมโนก็ได้นะมึง ตอนแรกมึงไม่เห็นจะเชื่อกูนี่"

"หลังจากที่เกิดเหตุการณ์วันนั้น กูว่าอะไรก็เป็นไปได้หมดแหละในโรงเรียนนี้อะ แล้วไม่ใช่ว่ากูจะไม่เชื่อ กูแค่ไม่แน่ใจก็เท่านั้น"

"แล้วคือ?..."

"เย็นนี้มึงกลับช้าได้ปะ ส่วนกูบอกที่บ้านไว้แล้วว่ากูจะกลับบ้านเอง"

ฉันตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานฉันก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากระโปรงตัวเอง กดเปิดเครื่องเข้าไลน์ พิมพ์ข้อความส่งไปให้แม่ เพียงนาทีเดียวแม่ก็ตอบกลับมาว่าตกลง

"มึงจะชวนไอ้เก้าอยู่ด้วยมั้ย"

"ไอ้แว่นนั่นมันรีบกลับบ้านไปเล่นเกม มึงก็รู้อยู่"

"งั้นตอนเลิกเรียน เข้าแถวข้างล่างเสร็จ ก็รีบขึ้นมาที่ห้องเลยแล้วกัน"

"โอเค"

ฉันกับนุ่นเออออตกลงกันอยู่สองคน เมื่อพวกเรามีความเห็นตรงกัน เสียงออดแจ้งเตือนว่าหมดเวลาพักเที่ยงก็ดังไปทั่วโรงเรียน ฉันกับนุ่นลุกขึ้นจากโต๊ะไม้หินแล้วนำซองขนมที่กินหมดแล้วไปทิ้งลงถังขยะ พวกเราเดินกลับขึ้นห้องเรียนโดยทางเดียวกับทางที่ฉันใช้ขึ้นลัดตอนมาสาย พวกเราคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แต่สมองของฉันยังคงคิดถึงเรื่องที่ได้ฟังจากนุ่น และเรื่องที่ฉันได้เจอมาเองโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด

เรื่องราวมัน...เกี่ยวข้องกันรึเปล่านะ?

 

 

 

 

 

 

 

 

 

"อิม"

"เออ"

"ตั้งกล้องถ่ายกันดีปะ"

"โทรศัพท์มันจะหายมั้ยวะ?"

"ไม่... มั้ง?"

ฉันกับนุ่น เราทั้งคู่ต่างนิ่งเงียบเมื่อนึกถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา แต่มัน... ก็อยู่ในห้องเรียนของฉันเองนี่นา

เวลาผ่านถึงช่วงเย็น โชคดีที่วันนี้อาจารย์คุมแถวปล่อยเร็ว ฉันกับนุ่นจึงมีเวลานิดหน่อยที่พวกเราจะไปซื้อขนมนมเนยมากินกันพลาง ๆ ในระหว่างที่รอให้คนในห้องกลับไปกันหมด ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่า ห้องเรียนของเราจึงไม่มีใครเหลืออยู่อีกนอกจากฉันกับนุ่นเพียงสองคน เรามาคุยกันข้างนอกแถวห้องเรียนข้าง ๆ ที่ติดกัน เพราะฉันคิดว่า 'เขา' อาจจะยังอยู่ในห้องนั้น ฟังดูบ้า แต่เราไม่อยากให้เขาได้ยินที่พวกเราพูดคุยกัน 

"แล้วจะเอาของใครถ่ายอะ?"

"ของมึงได้มั้ยอิม ของกูมันเมมเต็ม" 

ฉันมองโทรศัพท์ในมือของตัวเอง สลับกับมองของนุ่น ซึ่งโทรศัพท์ของฉันก็น่าจะถ่ายวิดีโอได้ดีกว่า 

"แล้วจะตั้งถ่ายนานกี่นาที โทรศัพท์กูมีแบตฯ อยู่หกสิบ แต่ถ้าถ่ายไปเรื่อย ๆ มีหวังกินแบตฯ จนหมดแน่ กูก็ไม่ได้เอาเพาเวอร์แบงก์มาด้วย"

"ไม่นานแหละ ครึ่งชั่วโมงได้ปะ สามสิบนาทีไง" นุ่นเสนอความคิดเห็น "แล้วระหว่างนี้เราต้องไปรอที่อื่นพลาง ๆ " 

"ทำไมต้องไปรอที่อื่น?"

"ก็มึงจะแอบถ่ายผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอ ถ้าเขารู้ตัวว่าพวกเราอยู่ก็ไม่โผล่หน้าออกมาดิ รอบที่แล้วมึงก็ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นมีตัวตนอยู่ เขาก็คิดว่ามึงไม่เห็นเขาด้วยไง"

ไม่รู้ว่าทำไมนุ่นมันกลายเป็นคนมีเหตุมีผล คิดวิเคราะห์นั่นนี่ไปได้ คนละคนกับตอนเรียนอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นที่มันพูดออกมาก็ฟังขึ้นหูอยู่ เพราะตอนนั้นฉันแค่อยากจะงีบสักแป๊บ ไม่ได้นึกถึงอะไรทั้งนั้น แล้วจู่ ๆ เขาก็โผล่มาให้ฉันเห็น ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอกหรือทำร้ายฉัน เขาก็แค่นั่งอ่านหนังสือที่ขอบหน้าต่าง และเขาเองก็คงคิดไม่ถึง หรือไม่ได้คิดว่าฉันจะมองเห็นเขาหรอกมั้ง

ฉันตัดสินใจเดินกลับเข้าไปในห้องเรียนของตัวเอง ฉันเลือกไปที่ฝั่งด้านหลังของห้องที่มีชั้นตะแกรงสำหรับวางรองเท้าติดตั้งอยู่ตรงนั้น ฉันเปิดโทรศัพท์แล้วกดเลือกโหมดถ่ายวิดีโอ หยิบนำกล่องเก่า ๆ แต่มีน้ำหนักพอดีขึ้นมาเป็นที่ซ่อนสำหรับโทรศัพท์ของฉัน ให้เห็นเพียงแค่ส่วนกล้องที่กำลังถ่ายอยู่เท่านั้น เมื่อฉันเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ฉันจึงรีบเดินออกไปทางประตูหลัง ฉันปิดประตูฝั่งที่ตัวเองเดินออกมา ส่วนนุ่นก็ปิดประตูฝั่งด้านหน้า 

"ลุงภารโรงขึ้นมาล็อกประตูกี่โมงนะ"

"หกโมงเย็นนู่น ตอนนี้เพิ่งจะสี่โมงยี่สิบเอง สักห้าโมงเราค่อยขึ้นมาดูดีปะ"

มันเกินเวลา 30 นาทีที่วางแผนกันไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้มากเกินไปจนน่าเกลียด ฉันเลยตกลงไปตามนั้น ดังนั้น พวกเราจึงลงไปที่ชั้นล่าง และเดินไปหาอะไรกินที่ด้านนอกของโรงเรียน กลุ่มแม่ค้าพ่อค้าเริ่มบางตา แต่ยังคงมีหลายร้านที่ยังคงตั้งวางแผงขายเรื่อย ๆ พวกเราพูดคุยสัพเพเหระพร้อมขนมขบเคี้ยวที่โต๊ะไม้หินตัวเดิมเหมือนเมื่อตอนเที่ยง เวลาผ่านไปจนถึงห้าโมงเย็นจนเข็มยาวชี้เลขห้า ฉันกับนุ่นจึงกลับที่ห้องเรียนอีกครั้ง คราวนี้เราไม่ได้ขึ้นบันไดทางลัดเพราะลุงภารโรงดึงประตูกรงปิดล็อกแม่กุญแจไปแล้ว ดังนั้น พวกเราจึงจำเป็นที่จะต้องเดินขึ้นไปผ่านอาคารหลัก ใช้เวลาพักใหญ่จึงจะมาถึง

โชคดีที่ประตูห้องยังไม่มีแม่กุญแจคล้องไว้อยู่

"พร้อมมั้ย" นุ่นเอ่ยถามฉัน 

"พร้อม"

"ไปที่ประตูด้านหลังดีกว่าปะ?"

นุ่นชี้ไปที่ประตูหลัง ซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับที่นุ่นพูด ฉันจึงเดินไปที่ประตูด้านหลัง โดยที่มีนุ่นตามมาอยู่ไม่ห่าง ฉันค่อย ๆ เปิดประตูอย่างเบามือ รอดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายในห้องอย่างใจจดใจจ่อ 

แต่แล้ว มันก็มีบางอย่างเกิดขึ้น 

"นุ่น..."

"อะไร?" 

"โทรศัพท์... มันอยู่ไหนวะ?"

 

 

 

 

 

Talk :

ซวยแล้วอิมมมมม 

เอาใจช่วยอิมด้วยนะคะ ว่าจะได้โทรศัพท์คือหรือไม่ แล้วใครเป็นคนเอาของน้องไป ?

ไรท์จำความรู้สึกตอนสอบธรรมศึกษาได้ดีค่ะ โดยเฉพาะชั้นเอก สุภาษิตยาวมาก แถมตอนเขียนก็ต้องเขียนให้เรียบร้อยอีก เวลาก็ให้จำกัด เราปวดมือกับปวดหัวมากเลย มือก็เปื้อนหมึกปากกา T-T 

มาเอาใจช่วยให้อิมได้โทรศัพท์กลับคืนมาไวๆ นะคะ :) 

Charming_Synthier