- 26 พฤษภาคม 2558 -

"พี่วี ทำไมโรงเรียนเราต้องทำอะไรแบบนี้ด้วยอะ"

"แบบนี้น่ะเหรอ"

"แบบนี้แหละ"

"อ๋อ ก็ปกติของโรงเรียน ทุกสามปีเขาก็จัดงานขึ้นมาทำบุญกัน"

พิธีตักบาตรทำบุญเอิกเกริกถูกจัดขึ้นมายาวตั้งแต่ศาลพระภูมิตรงทางเข้าของโรงเรียนยาวไปจนถึงหน้าเสาธงชาติ นักเรียนร่วม 2,500 กว่าคนถูกอาจารย์สั่งให้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักเรียนชั้นม.ต้นถูกแบ่งให้ไปจัดตั้งแถวอยู่หน้าโบสถ์วัด ส่วนนักเรียนม.ปลายก็ตั้งแถวอยู่ด้านในใต้อาคารเรียนที่จะมีโต๊ะตั้งหน้าแถวรวมข้าวของที่จะนำมาใส่บาตรพระสงฆ์ หลังจากที่เข้าแถวร้องเพลงชาติกันเสร็จสรรพ ต่างคนต่างแยกย้ายไปตามจุดต่าง ๆ ที่อาจารย์ได้มอบหมาย เสียงสวดมนต์จากปากผู้อำนวยการของโรงเรียนดังออกไมค์ สำเนียงแปร่ง ๆ แปลก ๆ ของเขาก็เผลอทำให้แอบขำได้ในบางครั้ง

ฉันที่อยู่ม.1 เป็นน้องใหม่เอี่ยมอ่องของโรงเรียนวัดคีรีรัตนวิทยากำลังยืนสวดมนต์อยู่ข้าง ๆ พี่วี รุ่นพี่ที่อยู่ม.3 แต่ถ้าทุกคนมาเห็นภาพในตอนนี้ก็คือเด็กม.ต้นกำลังนั่งสวดมนต์ตากแดดบนเสื่ออยู่หน้าโบสถ์กัน ส่วนฉันกับพี่วีก็ยืนสวดมนต์ในที่ร่มเงามีต้นไม้บัง เหตุผลก็คือวงโยธวาทิตของโรงเรียนถูกจัดกลุ่มให้มาเล่นดนตรีที่สวนหย่อมตรงกลางระหว่างรูปปั้นครูใหญ่ไพฑูรย์กับศาลพระภูมิของโรงเรียน พี่วีเป่าทรัมเป็ต แน่นอนว่าเธอได้อยู่ในกลุ่มนี้ ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันมาสาย เข้ารวมแถวกับกลุ่มห้องไม่ทัน เลยทำเนียนมายืนกับพี่วี แสร้งว่าเป็นเด็กวงโยด้วยกัน แล้วในตอนนี้ก็ไม่มีอาจารย์คนไหนมาเที่ยวจับผิดหาเด็กมาสาย เพราะพวกเขากำลังยุ่งกับพิธีสวดมนต์ทำบุญของโรงเรียนไงล่ะ คราวนี้ฉันโชคเข้าข้างฉันเต็ม ๆ 

แต่ก็สงสารเพื่อนกับรุ่นพี่ม.ต้นกันนะ ต้องมานั่งตากแดดให้กับพิธีอะไรไม่รู้ที่หาประโยชน์จากมันไม่ได้เนี่ย ส่วนอาจารย์คนอื่นก็ไปหลบใต้เงาทั้งที่มีหน้าที่ดูแลนักเรียนหน้าโบสถ์ เอาเปรียบกันชัด ๆ 

"หนูไม่เข้าใจอะพี่วี ทำไมทุกสามปีถึงค่อยทำบุญแบบนี้กันอะ"

ก็พอจะเข้าใจได้คร่าว ๆ ว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่แบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งกับวัด มันต้องมีแน่นอนที่หากมีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเมื่อไหร่ โรงเรียนนี้ไม่เคยพลาด แฟนคลับตัวยงบุดดิชซึ่ม เอฟซีบุดด้ามหาศาสดาราม คนที่ล้อพระเป็นแครอทเดินได้อย่างฉันก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ นิดหน่อยเวลาเดิน นั่ง นอนอยู่ในโรงเรียนติดวัดแบบนี้ ฉันไม่ได้อยากสอบเข้ามาเรียนที่นี่หรอก แม่ฉันต่างหากที่บังคับให้เข้าเรียน ซึ่งฉันก็แย้งอะไรไม่ได้ด้วย นอกจากต้องจำใจเรียนที่นี่จนกว่าจะจบเท่านั้น

นอกเรื่องแล้ว แต่ทุกคนก็สงสัยใช่มั้ยล่ะ ว่าทำไมครบ 3 ปี โรงเรียนถึงได้จัดพิธีสวดมนต์ตักบาตรพระใหญ่กันขนาดนี้ กินเวลาไปจนหมดคาบเรียนคาบแรกไปเลยนะ

"ก่อนสอบเข้ามาเรียนที่นี่ อิมเคยได้ยินข่าวลือจากโรงเรียนนี้รึเปล่า?"

"ข่าวที่ว่าบ้านหลังตลาดท่าล่างไฟไหม้นี่นับมั้ยพี่วี?"

ฉันมาสอบเข้าที่โรงเรียนวัดคีรีรัตนวิทยาตอนเดือนเมษายนพร้อมกับนักเรียนต่างถิ่นคนอื่น ๆ แต่ก็ไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้ นอกจากข่าวโด่งดังที่ฉันพูดออกมาเมื่อกี้นี้แหละ บ้านหลังตลาดหลังหนึ่งของครอบครัวพ่อแม่กับลูกสาวสองคนถูกไฟเผาคลอกตายกลางดึกตอนเดือนมีนาคม ในตอนนั้นฉันอยู่ป.6 เทอม 2 ก็รู้สึกเสียใจกับผู้เสียชีวิตนะ แต่การที่ฉันรู้เพิ่มเติมมาว่าลูกสาวคนโตของบ้านหลังนั้นเรียนอยู่ชั้นม.5 ที่โรงเรียนแห่งนี้มันทำให้ฉันเริ่มตระหนักอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา

"ก็นับ... อาจจะนับได้ เพราะครบสามปีเมื่อไหร่ มันจะเกิดเรื่องไม่ดีกับนักเรียนโรงเรียนนี้ได้ทุกคนเลยอิม" ท่าทีและสีหน้าของพี่วีในขณะกำลังเล่ามีแต่ความระแวงอย่างชัดเจน

"ทำไมเป็นแบบนั้น?"

"พี่ก็ไม่รู้ อยู่ที่นี่มาตั้งแต่มอหนึ่งยันมอสามก็ยังไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร รู้กันแค่ว่าพอครบสามปีปุ๊บก็ให้ระวังตัวกันมาก ๆ ก็เท่านั้น คนจะเชื่อก็เชื่อไป ใครไม่เชื่อก็ไม่ได้ว่า คนดวงดีอยู่ที่นี่ได้จนจบมอหกมันก็มีเยอะมากแหละอิม"

แม่ให้ฉันมาสอบเข้าโรงเรียนอะไรวะเนี่ย ลาออกตอนนี้ยังทันมั้ย!?

"โรงเรียนอะไรเนี่ยพี่วี"

"พี่ก็งง โรงเรียนอะไรอยู่ติดกับวัดแถมอยู่ในตัวเมือง ยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอด แล้วโรงเรียนเราปิดข่าวเก่งจะตายไป เรื่องบางเรื่องมันก็หนักหนาสาหัสยิ่งกว่านั้นอีก"

โรงเรียนนี้มันแปลกเข้าไปใหญ่เลยว่ะ แม่ไปโดนเป่าหูมาจากใครเนี่ยว่าโรงเรียนนี้มันดีเลิศวะ? 

ฉันชักจะหวั่นใจแปลก ๆ แล้วนะพูดตามตรง 

"แสดงว่ามันไม่ได้มีรายเดียวที่โดนสามปีต้องสาปของโรงเรียนนี้ใช่มั้ยพี่วี?"

"ใช่"

"..."

"เมื่อเดือนมกราคมปีนี้แหละ เด็กมอสามทับห้า กลับบ้านไปผูกคอตายหลังจากที่นอนโรงเรียนได้สามวัน"

"..."

"โรงเรียนปิดข่าว แต่คนในอย่างเรารู้ดีว่าเรื่องมันมีอะไรมากกว่านั้น คิดดูนะว่าเด็กนาฏศิลป์ดาวเด่นของโรงเรียนจะมาผูกคอตายหลังเพิ่งกลับมาจากนอนค้างคืนที่โรงเรียนกับชมรม มันเป็นไปไม่ได้เลยไง เพราะเพื่อนสนิทของเด็กนาฏศิลป์คนนั้นก็บอกว่าเพิ่งไปกินหมูกระทะด้วยกันก่อนที่จะพามาส่งที่บ้าน"

"..."

"เขาว่ากันว่าเด็กคนนั้นโดนคนเก่าแก่ของโรงเรียนนี้เอาไปอยู่ด้วยแล้วแหละ"

พี่วีเลี่ยงคำนั้นแล้วใช้คำว่าคนเก่าแก่แทน ซึ่งไม่ต้องอธิบายก็เข้าใจได้ทันทีว่ามันหมายถึงอะไร โรงเรียนนี้ถูกก่อตั้งมา 70 กว่าปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ไม่นาน มันก็เหมือนโรงเรียนเก่าแก่ที่อื่น ๆ ที่ย่อมมีเรื่องเล่าขานกันเป็นธรรมดา

แต่ก็ไม่คิดว่าที่นี่จะมีเรื่องเล่าขานที่รุนแรงและต้องสาปแบบนี้ด้วยไง!

"นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมโรงเรียนถึงต้องทำบุญทุกสามปี เพราะเขาไม่อยากให้เกิดเรื่องร้ายแรงมากไปกว่านี้ไง มันมีปีก่อนหน้านั้นปีหนึ่งที่ผอ.ไม่ได้ทำบุญ เลยได้มีเด็กตายสามสี่คนติดกัน กับเด็กเจ็บป่วยแปลก ๆ กันเยอะ พี่เองก็ฟังมาจากพวกรุ่นพี่เล่าให้ฟังอีกที ไม่ทันได้อยู่เห็นเหตุการณ์จริงหรอก"

ใบลาออกอยู่ไหน!? เอามาให้ฉันกรอกชื่อเดี๋ยวนี้!

พี่วีเล่าเรื่องราวภายในโรงเรียนนี้ไปได้สักพักใหญ่ พิธีสวดมนต์ของผู้อำนวยการเสร็จสิ้นลง เขาลุกขึ้นยืนแล้วจับไมค์กล่าวประโยคยืดยาวน่าเบื่อออกมาแทน ในขณะที่ฝั่งม.ปลายเริ่มมีการทยอยนำข้าวของใส่บาตรพระสงฆ์แต่ละรูปกัน จนเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นพิธีการ อาจารย์เริ่มปล่อยนักเรียนแต่ละชั้นเข้าห้องของตนเอง ส่วนฉันก็บอกลาพี่วีแล้วเลือกขึ้นอาคารอื่นเพื่อที่จะลัดไปห้องเรียนของตัวเองที่อยู่อีกอาคาร แน่นอนว่าช่วงเช้าผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีใครจับฉันได้สักคน

แต่ว่า เรื่องที่พี่วีเล่าให้ฉันฟังมันยังติดอยู่ในหัว ไม่หายไปเลย

ถ้าฉันอยากรู้มากกว่านี้ มันจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดีกับฉันรึเปล่า?

 

 

 

 

 

เวรทำความสะอาดประจำวันอังคารเป็นเวรที่มีชื่อของฉันอยู่ในนั้น หน้าที่ของฉันคือทำความสะอาดห้องเรียนเหมือนกับนักเรียนไทยได้รับหน้าที่กันทั้งหมด ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงสี่โมงสิบห้าแล้ว แต่ยังคงกวาดขยะไม่เสร็จ! เพราะฉันมาสายไม่ทันเวรตอนเช้า ฉันเลยโดนเพื่อนคนอื่นที่อยู่ในเวรสั่งให้ทำช่วงเย็นคนเดียวทั้งหมด แม่งน่าหงุดหงิดแหละที่ตอนเย็นไม่มีหมาไหนอยู่ช่วยฉันสักคน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนเช้าฉันก็ไม่ได้มาทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนกัน แต่แลกด้วยกับการที่เพื่อนในเวรไม่เอาไปฟ้องเรื่องของฉันกับอาจารย์ด้วยนะ ฉันถึงยอมทำให้น่ะ!

จริง ๆ ไอ้เก้ากับไอ้นุ่นมันก็อยากอยู่ช่วยฉัน แต่พวกมันก็โดนคนที่บ้านเรียกตัวด่วนเลยต้องกลับเร็วกันทั้งหมด เหลือแค่ฉันคนเดียวที่ยืนอ้างว้างอยู่ในห้องเรียนตัวเองตอนเย็นเนี่ย

แต่เปิดเรียนมาได้สัปดาห์กว่า ๆ เอง ขยะมันเยอะเป็นกองพะเนินแบบนี้เหรอวะ นี่แม่งห้องเรียนของเด็กห้องคิงจริง ๆ รึเปล่า อย่างกับห้องเก็บขยะ! ด่าห้องไหนแล้วเจ็บใจไม่เท่าห้องตัวเองเลยโว้ย! 

ฉันกวาดขยะเข้าที่ตักผงแล้วเทลงถังขยะอย่างรีบเร่ง สี่โมงครึ่งแล้วแต่ยังไม่ได้กลับบ้านเพราะติดแหง็กกองขยะพวกนี้ แล้วหลังจากกวาดเสร็จฉันต้องเอาถังขยะลงไปทิ้งชั้นล่างแล้วกลับขึ้นมาที่ชั้น 3 อีกรอบ แค่ชั้นอาคารเรียน 3 ชั้นจากทั้งหมด 5 ชั้นสูง แต่สำหรับฉันที่ต้องแบกถังขยะขึ้นลงบันไดมันคือนรก เหม็นก็เหม็น แถมทำตัวคนเดียวอีก ฉันที่สูง 155 ซม. แถมถังขยะนี่ก็สูงเท่าเอวของฉัน ถ้าฉันตกบันไดแล้วหัวทิ่มลงถังขยะห้องเรียนตายก็ไม่แปลกใจแล้วล่ะ อนาถเหลือเกิน

เวลา 20 นาทีคือเวลาที่ฉันขึ้นและลงบันไดจากชั้น 3 ไปยังชั้น 1 แล้วตรงไปยังที่ถังขยะตั้งรวมกัน อยู่อีกฝั่งประตูหลังของโรงเรียน พอก้าวแรกที่ฉันเข้ามาในห้องเรียน สิ่งแรกที่ฉันทำคือโยนถังขยะเข้ามุมของมัน แล้วมานั่งกดเปิดพัดลมเพดานเบอร์แรงสุด นอนหน้าคว่ำที่โต๊ะครูกลางห้องหน้ากระดานให้ตัวพักหายเหนื่อยสักแป๊บ ลมโกรกยามเย็นที่พัดมาจากหน้าต่างก็ทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเดิม ผ้าม่านที่ติดอยู่เหนือหน้าต่างก็พลิ้วไหวล้อลม ฉันพลิกหันหน้ามามองข้าง มองผ้าม่านที่พลิ้วไหวไปเรื่อยในขณะที่เปลือกตาของฉันเริ่มหนักอึ้ง เปลือกตาของฉันขยับได้ช้าลง...

แต่ในวินาทีที่ผ้าม่านลดลงมา ฉันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออยู่บนขอบหน้าต่าง

นั่นคนในห้องเดียวกันใช่มั้ย? ก็ยังมีคนอยู่เป็นเพื่อนนี่นา

ถ้าจะของีบสักแป๊บนึง เขาก็คงจะอยู่เป็นเพื่อนฉันใช่มั้ย

ของีบแค่ไม่นานเอง...

แต่... ห้องเรียนเรามีคนย้อมผมขาวกับใส่คอนแทกต์เลนส์สีฟ้าด้วยเหรอ... ก็สวยดี

แต่...นั่นใคร?

...

...

...

...

...

"ช---"

"..."

"ชวาลา!"

"คะ!?"

ฉันสะดุ้งลืมตาตื่นจากภวังค์ สิ่งแรกที่พุ่งเข้ามาหา คือความรู้สึกหน่วงที่หัว ฉันใช้สองมือของตัวเองนวดผ่อนคลายเพื่อให้หายจากอาการเวียนศีรษะ เมื่อทุกอย่างผ่อนคลายลงฉันจึงหันไปมองอาจารย์ประจำชั้นที่ยืนสองแขนกอดอก มองด้วยสายตาตำหนิปนห่วงใยของเขา

"นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว? ทำไมถึงมานั่งหลับอยู่คนเดียวในห้องแบบนี้? ถ้าเกิดอันตรายอะไรขึ้นมา--"

อาจารย์ธีภพ อาจารย์สอนเคมีม.ปลายก็เริ่มทำหน้าที่สวดนักเรียนในชั้นดูแลของเขาเองซะยาวเหยียด ฉันที่นั่งฟังอยู่ก็ได้แต่เอ่ยปากขอโทษขอโพยกับอาจารย์ แต่ผ่านไปไม่นานนักอาจารย์ก็พูดเสร็จ เขาก็เอ่ยไล่ให้ฉันกลับบ้านไปได้แล้ว 

"เดี๋ยวค่ะอาจารย์"

"มีอะไรชวาลา?"

"คือห้องเราน่ะค่ะ"

"..."

"มีเด็กที่ว่า...ที่ว่าแบบ..."

"..."

"เป็นผู้ชายผมขาว ตาฟ้า อะไรอย่างนี้มั้ยคะ?"

"พูดอะไรของเธอชวาลา ห้องเราเปิดเรียนมาตั้งสัปดาห์นึงแล้วนะ เธอก็น่าจะรู้จักคนในห้องครบทุกคนแล้วสิ"

"..."

"แล้วอีกอย่าง โรงเรียนเรามีกฎไม่ให้ทำสีผม ไม่ให้ใส่คอนแทกต์เลนส์สีใด ๆ ก็ตาม นอกจากสีใสเท่านั้น แล้วคนแบบนั้นที่เธอพูดมา มันไม่มีอยู่ในโรงเรียนนี้หรอก"

"..."

"กลับบ้านไปนอนให้เต็มอิ่มเลยไป ภารโรงใกล้จะปิดประตูรั้วแล้ว"

"ค่ะอาจารย์"

ฉันยกมือไหว้ขอบคุณอาจารย์ธีภพและลุกขึ้นยืนจากโต๊ะครูหน้ากระดานกลางห้อง เดินตรงไปที่โต๊ะแถวสุดท้ายฝั่งประตูหลัง โต๊ะเรียนติดผนังคือที่นั่งประจำของฉัน ข้าวของใต้โต๊ะมีไม่เยอะมากฉันจึงเก็บใส่กระเป๋าเป้โรงเรียนของตัวเองได้ไว เมื่อสะพายขึ้นบ่าไหล่ ฉันจึงออกมาจากห้องเรียนทางประตูหลังและดึงบานประตูฝั่งนั้นมาปิดทางเข้าออก

แต่ถึงอย่างนั้น สายตาของฉันก็พยายามมองหาเขา ในขณะที่บานประตูตรงหน้าค่อย ๆ มาบดบังจนฉันมองไม่เห็นอะไรที่อยู่ภายในห้องเรียนอีก

แต่ฉันก็ยังรู้สึกถึงสายตาสีสวยที่กำลังมองมาจากที่ไหนสักแห่ง

ราวกับว่า ฉันได้ค้นพบบางอย่างที่ล้ำค่าที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในโรงเรียนวัดคีรีรัตนวิทยาซะแล้วสิ

ฉันจะได้เจอเขาอีกครั้งมั้ยนะ?

 

 

 

 

 

Talk :

ทุกคนยังจำเรื่องเล่าขานที่โรงเรียนของตัวเองได้รึเปล่า? ส่วนเราเองก็จำได้ดีค่ะ บางเรื่องก็เจอมาเอง บางเรื่องก็ฟังมาจากปากคนอื่น ผสมปนเปนั่นนี่ แต่เรื่องเล่าที่เป็นความจริงล่ะ มาจากไหน?

เรื่องบางเรื่องก็เป็นปริศนามายาวนานมาก ผ่านไปเป็นสิบกว่าปีก็ยังหาคำตอบไม่ได้เลยค่ะ แอบหลอนอยู่นะ

มาร่วมลุ้นหาคำตอบในนิยายเรื่องนี้ไปพร้อมกันนะคะ :)

Charming_Synthier