#FlyByNightBZ

::::::::

 

 

เวลาผ่านไปพักใหญ่กว่าที่แอสมุนด์จะกลับออกมาจากการอาบน้ำ ห้องน้ำนั้นทั้งหรูหราและกว้างขวาง เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งอ่างอาบน้ำหินอ่อนขนาดใหญ่จนแทบจะว่ายได้ แชมพู สบู่ แม้กระทั่งครีมบำรุงผิว น้ำมันนวดตัว และน้ำมันหอมสำหรับหยดใส่อ่างน้ำก็มีเตรียมไว้ให้อย่างพร้อมสรรพ จนชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะลงไปแช่ในน้ำอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นกุหลาบนั้น กว่าเขาจะกลับออกมาอีกครั้งในชุดนอนสีเข้มตัวยาวผ้านุ่มลื่น นาฬิกาโบราณเรือนใหญ่ภายในห้องก็บอกเวลาเกือบสี่ทุ่มเสียแล้ว

แอสมุนด์นั่งลงที่ชุดโต๊ะเก้าอี้ไม้ดำแล้วเลือกหยิบแอปเปิลในตะกร้าผลไม้ขึ้นมากัดคำใหญ่ ดึกไปเสียแล้วสำหรับมื้ออาหาร โชคดีที่เขารองท้องมาบ้างแล้วตั้งแต่ในรถไฟ เพียงผลไม้ก็คงพออยู่ได้จนถึงพรุ่งนี้เช้า

เมื่อแอปเปิลหมดผล แอสมุนด์ก็ทิ้งแกนลงในถังขยะใกล้ๆ เช็ดมือให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินไปหยิบกระดาษจดหมายแผ่นนั้นออกมาจากในกระเป๋าเสื้อคลุมเพื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง

...

ข้อสาม ขอให้คุณพักผ่อน และชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อยก่อนเวลาเที่ยงคืน

ข้อสี่ คุณสามารถรับประทานเครื่องดื่มและอาหารว่างภายในห้องได้มากเท่าที่ต้องการ

ข้อห้า คุณสามารถหยิบใช้ข้าวของและเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องได้ตามสะดวก

อืม… เรียบร้อยแล้ว ทั้งอาบน้ำและกินดื่ม รวมถึงเสื้อผ้าและของใช้ด้วย

...

ข้อควรสังเกต *บนเตาผิง*

หืม ...เตาผิง?

แอสมุนด์เดินไปยังเตาผิงขนาดใหญ่ ก่อนจะสังเกตเห็น..แก้วไวน์เจียระไนสลักลายงดงามและจดหมายอีกฉบับ มือเรียวยื่นไปหยิบจดหมายฉบับนั้นมาเปิดอ่าน

เนื้อความในจดหมายมีอยู่ว่า:

‘ข้อปฏิบัติเมื่อเสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน

ข้อแรก ให้คุณถือจอกเหล้าองุ่นนี้ออกจากห้อง ขึ้นไปยังชั้นสาม เดินตามทางไปยังห้องสุดทางเดินของปีกตะวันออก

ข้อสอง เคาะประตูห้องนั้นสองครั้ง แล้วขานชื่อของตัวเองออกมา

ข้อสาม เมื่อประตูเปิดออก ให้คุณนำจอกเหล้าองุ่นเข้าไปวางบนโต๊ะรับแขกที่มีเชิงเทียนส่องสว่างตั้งไว้

ข้อสี่ กรุณานั่งรอสักครู่’

ตอนเข้ามาครั้งแรก… มีแก้วไวน์นี้กับจดหมายวางอยู่แล้วรึเปล่านะ

คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก แอสมุนด์จึงละความสนใจไปยังข้อความส่วนที่เหลือ

ชั้นสาม… ห้องสุดทางเดินของปีกตะวันออก

จอกเหล้าองุ่น หึ… จะให้เขาบูชายัญตัวเองแทนลูกแกะอย่างนั้นรึ

...จะเป็นลูกแกะ หรือพญางู เดี๋ยวก็คงได้รู้กัน

 

******

 

เวลาใกล้เที่ยงคืน…

ร่างโปร่งบางถือจอกเหล้าองุ่นเดินออกจากห้อง ตามทางเดินมีเทียนจุดสว่างนำทางไว้เช่นเดิม เพียงแต่จำนวนคล้ายจะน้อยลงกว่าคราวก่อน ทางเดินจึงค่อนข้างมืดสลัว แต่กระนั้น ขาเรียวก็ก้าวพาร่างโปร่งเดินขึ้นบันไดไปด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ...จนสุดทางเดินชั้นสาม ฝั่งตะวันออก

แอสมุนด์ก้มใบหน้าลง แอบสูดดมกลิ่นหอมหวานปนขมของเหล้าในจอก ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้น แล้วเคาะประตูสองครั้งตามคำสั่ง

ก๊อก… ก๊อก…

“แอสมุนด์”

 

******

 

เจ้าของห้องที่กำลังรอเวลาและการมาถึงของแขกพิเศษยามค่ำคืนแสยะยิ้ม

ข้อปฏิบัติที่สอง แขกที่มาเยือนเอ่ยขานชื่อของตน

ไม่ใช่ว่าเจ้าบ้านต้องการให้มีพิธีรีตองอะไร เขาเพียงแค่อยากได้ยินเสียงของผู้ที่ ‘พวกเขา’ เลือกมาก็เท่านั้น

…เสียงหวานใช้ได้

ร่างสูงลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งรอ เพียงลมพัดวูบ ร่างนั้นก็หายไปคล้ายกลืนเข้ากับความมืดมุมใดมุมหนึ่งของห้อง ประตูบานใหญ่สลักลวดลายสวยงามเปิดออกต้อนรับ

 

******

 

เย็นเยียบ…

คำนี้คงเหมาะที่สุดสำหรับการบรรยายบรรยากาศภายในห้องนั้น ไอหนาวยะเยือกกระจายออกมาจากภายในห้องเพียงแค่ประตูที่กั้นขวางไว้เปิดออก แต่กระนั้น แอสมุนด์ก็ไม่ได้ลังเลอะไร เขาเดินเข้าไปภายในห้องที่เกือบจะมืดสนิท มีเพียงแสงจากเปลวเทียนดวงน้อยสามดวงในเชิงเทียนบนโต๊ะรับแขก ขาเรียวก้าวเข้าไปด้วยจังหวะสม่ำเสมอจนถึงจุดหมายที่ระบุไว้ แอสมุนด์วางจอกเหล้าในมือลง ก่อนจะนั่งในเก้าอี้ที่วางไว้คู่กัน​

 

พรึ่บ!

ไม่ทันที่แอสมุนด์จะได้สอดส่ายสายตามองไปทางอื่น เทียนไขสามเล่มบนโต๊ะก็ดับลง ภายในห้องถูกปกคลุมด้วยความมืด

“...แอสมุนด์”

เสียงทุ้มต่ำดังแว่วขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วออกจะเย็นชาอยู่ไม่น้อย

ไม่รอให้แขกผู้มาเยือนขานรับ เจ้าของห้องที่หายเข้าไปในเงามืดพลันปรากฏกายขึ้นด้านหลังแขกพิเศษ

ลมเย็นวูบผ่านด้านหลังร่างบางอย่างจงใจให้รับรู้ว่า เขาอยู่ใกล้... ใกล้มากแค่ไหน..ขนาดที่ลมหายใจซึ่งอุ่นกว่าบรรยากาศเพียงเล็กน้อยกำลังรินรดหลังคอขาวผ่อง ปลายจมูกโด่งเฉียดใกล้ดอมดมกลิ่นกุหลาบหอมจากผิวเนียนสวย

พลัน ร่างในเก้าอี้ยืดตัวตรงขึ้นให้พ้นจากลมหายใจที่ปะทะต้นคอ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเรียบนิ่ง

“คุณคือใคร ...คนที่หลอกผมให้มาที่นี่งั้นเหรอ”

...

เสียงที่ตั้งคำถามสวนกลับมา ทำเอาเจ้าของร่างในเงามืดเลิกคิ้วขึ้นสูง

ปกติแล้ว..กว่าจะถึงเวลานี้ คนที่ถูกเลือกมักถูกหมักบ่มด้วยความหวาดระแวงและบรรยากาศสั่นประสาทของคฤหาสน์ที่ทั้งมืดและเงียบ จนตกอยู่ในอารมณ์หวาดหวั่นสั่นกลัว ...อย่าว่าแต่จะส่งเสียงเอ่ยคำพูดใด บางคนขาสั่นเข่าอ่อนตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องก็ยังมี

“หึ..ฉันเป็นเจ้าของบ้าน” เขาตอบ

ลูซิเฟอร์ ไม่ค่อยได้คุยกับแขกผู้มาเยือนมากนัก เพราะคนเหล่านั้นไม่ค่อยพูดไม่ค่อยถามอะไร นอกจากส่งเสียงครางฮือ หรือสั่นกลัวจนฟันกระทบกันดูน่าขำ

“เธอ..กล้าดีนะ”

“เจ้าของบ้าน… เจ้าของเงินรางวัลด้วยสินะ” ชายหนุ่มผู้เป็นแขกทวนคำ

“แล้ว… การที่ผมกล้า จะทำให้ผมรอดชีวิตออกไปจากที่นี่มั้ย” แอสมุนด์ถามต่ออย่างไม่ยี่หระ

คำท้าพิสดารแบบนี้... คนที่คิดจะมาเข้าร่วม ก็ควรต้องเตรียมใจรับไว้ส่วนหนึ่งแล้วมั้ยนะ ...ว่าตนเองอาจจะเป็นเหยื่อ และทิ้งชีวิต..เอาไว้ที่นี่

...

“ถ้าเธออยู่ถึงคืนที่สาม ล่ะก็นะ”

เรียวปากบางที่แสยะยิ้ม สัมผัสผิวหลังคอขาวขณะพูด

“แต่ตอนนี้..เธอต้องการพักผ่อน”

สิ้นประโยค เสียงดีดนิ้วดังขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง เสียงหวานที่โต้ตอบกันก็พลันเงียบไป พร้อมกับที่ร่างของแอสมุนด์เอนกายลงหมดสติ

...

“อูริเอล… ดูท่าว่าคราวนี้..พวกเราจะเลือกคนที่ไม่ธรรมดามาเสียแล้ว”

ชายหนุ่มในความมืดเอ่ยขึ้นกับความว่างเปล่า ทว่ากลับมีเสียงที่คล้ายคลึงกันตอบกลับมา

“ก็ดีสิ ไม่ได้เจอคนกล้าแบบนี้มานานแล้ว... อยากชิมแล้วนะ เลือดของพวกนักสู้น่ะ”

เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆ ในลำคอของลูซิเฟอร์ ลำแขนแข็งแรงช้อนร่างปวกเปียกขึ้นไว้ในอ้อมอก

“แบ่งกันดีมั้ยล่ะ แต่คืนพรุ่งนี้ นายต้องแบ่งฉันด้วยนะ”

เขาถาม และยืนรอคำตอบ

...

ไม่มีแม้แต่เสียงบานประตูเปิด-ปิด หากเงาดำสายหนึ่งวูบเข้าใกล้ ก่อนก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างข้างกายลูซิเฟอร์

อูริเอล บุรุษผู้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนลูซิเฟอร์อย่างกับแกะ เพียงต่างกันที่เครื่องแต่งกาย และเส้นผมที่ยาวกว่าและมีสีอ่อนสลับเข้มแทนที่จะเป็นสีนิล ใบหน้าบางส่วนของเขาถูกปิดบังไว้ภายใต้หมวกปีกใบใหญ่

“ได้สิ... คืนพรุ่งนี้ นายค่อยไปเอาส่วนของนายที่ห้องฉัน”

ฝาแฝดแห่งความมืดยิ้มให้กัน ก่อนทั้งสองจะพาร่างของผู้ถูกเลือกไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร

คมเขี้ยวสองคู่พลันกดทะลุผิวเนียน เรียกหยาดสีแดงเข้มให้เอ่อล้นไหลทะลักเข้ามาในโพรงปาก เรียวลิ้นรับรู้ถึงรสชาติโลหิตแสนหวาน กลิ่นหอมของเลือดสดใหม่อวลไอในโพรงจมูกจนน้ำลายสอ...

จากนั้น แวมไพร์ทั้งสองตนก็แทบจะลืมมารยาทบนโต๊ะอาหารไปจนหมดสิ้น

...

“อืม...” อูริเอลครางต่ำในลำคอแสดงถึงความพึงพอใจในมื้ออาหารของค่ำคืนนี้

...

รสชาติแบบนี้..หวานแสนหวาน

กลิ่นหอมขนาดนี้..หอมมากเหลือเกิน

...

หากเคยได้ลิ้มลองมาก่อน..ก็คงจะผ่านมานานมากแล้ว ดีไม่ดี..อาจจะตั้งแต่เมื่อร้อยปีก่อนก็เป็นได้

รสชาติ..ที่ล้ำเลิศ..และหาได้ยากยิ่ง

...เคยได้ลิ้มรส..จากผู้ใดกันนะ

...

“ใจเย็นสิอูริเอล เดี๋ยวอาหารของพวกเราจะอยู่ไม่ถึงคืนสุดท้ายเอานะ” ลูซิเฟอร์ที่หักห้ามใจถอนเขี้ยวออกมาได้ก่อน เอ่ยเตือนขึ้น

เขารู้สึกถูกใจ ‘อาหารจานนี้’ อยู่มาก ไม่ใช่เพียงรสชาติหวานติดปลายลิ้น ทว่ากลิ่นเลือดของแอสมุนด์ยังหอมเย้ายวน ชวนให้อยากดื่มกินเข้าไปอีก

แถมแอสมุนด์ผู้นี้ยังมีใบหน้างดงาม น้ำเสียงไพเราะ และมีความกล้าได้กล้าเสีย กล้า..ที่จะท้าทายพวกเขา

อยากเก็บไว้เล่นจนถึงคืนสุดท้าย…

“รู้แล้วน่า หวังว่าพรุ่งนี้จะไม่เผ่นแน่บไปเสียก่อน”

อูริเอลที่เพิ่งถอนเขี้ยวเงยหน้าขึ้นมาตอบ ก่อนหยิบผ้าเช็ดปากบนโต๊ะมาซับรอยเลอะที่มุมปาก

“โดนกัดไปสองแผลขนาดนี้ ตื่นอีกทีก็คงราวกลางดึกพรุ่งนี้แล้วกระมัง”

คนเป็นพี่คาดเดา มนุษย์น่ะ หากสูญเสียเลือดมากก็จะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตาตื่น เพราะเหตุนั้น ไม่ต้องคิดถึงเรื่องจะสามารถลากสังขารหนีออกไปจากที่นี่ได้หรอก

และนี่แหละ คือสาเหตุที่ทำให้คำท้านี้..ยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน….

 

 

::::::::

#FlyByNightBZ

สาระวันนี้

1) แอปเปิล คือสัญลักษณ์ผลไม้แห่งบาปและการล่อลวง ตามความเชื่อคริสต์ เป็นผลไม้แห่งความตระหนักรู้ที่พญางูใช้ล่อลวงอีฟให้กิน จนอีฟและอดัมโดนไล่ออกมาจากสวนอีเดน (หรือบางความเชื่อก็ว่าเป็นผลมะเดื่อ)

2) เหล้าองุ่น คือสัญลักษณ์แทนโลหิตของพระเยซู

3) ลูกแกะ สัญลักษณ์ในพันธสัญญาเก่า หมายถึงสิ่งที่ใช้บูชายัญถวายแด่พระเจ้า ส่วนพญางูคือ สัญลักษณ์ของซาตานหรือปีศาจ ที่จำแลงกายมาล่อลวงอดัมและอีฟในสวน