ตอนที่ 4 สิ่งที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น

ตกเย็นของวันนั้นฟ้าฝนได้จางหายไปในชั่วข้ามวัน สภาพอากาศนั้นได้ชี้ขึ้นหลังจากฝนหยุดตกบวกกับความร้อนของอากาศ มิรารีมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง สภาพอากาศด้านนอกทำให้มิรารีไม่อยากออกไปไหนเลยจริงๆ แล้วยิ่งข้างในตึกมืดไปหมดจนไม่สามารถทำอะไรได้อีก มิรารีจึงเปลี่ยนไปนอนบนเตียงต่อแล้วปล่อยให้ตัวเองหลับไปโดยไม่สนใจอะไรกระทั่งของกินเธอก็ไม่กินทั้งนั้น เมื่อเข้าสู่ภวังค์ความฝัน มิรารีลืมตาขึ้นเห็นภาพฝันที่เธอรอบๆ ที่ตัวเองไม่คุ้นเคย รอบๆ เป็นภาพท้องฟ้าสีฟ้า ท้องเมฆลอยไปทั่ว แล้วจุดที่เธอยืนนั้นเป็นพื้นสีขาวเส้นเดียว มันยาวจนไม่เห็นแม้กระทั่งปลายทางหรือต้นทางเลย

 

“ที่นี่มัน...ที่ไหน?มิรารียิ่งมองรอบๆ อย่างสงสัย เธอมายืนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันคล้ายๆ กับท้องฟ้า แต่พอเธอนึกๆ ก็หน้าตาซีดไปทันที “ฉันคงยังไม่ตายใช่ไหมเนี่ย?

“หลานยังไม่ตายหรอกนะ หลานรัก”

เสียงหญิงชราคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้มิรารีที่ได้ยินรู้สึกโหวงเหวงอยู่ภายในใจ เธอค่อยๆ หันไปมองเจ้าของต้นเสียงที่พูดขึ้น หันไปบนกับใบหน้าอันนคุ้นเคยก็ทำให้น้ำตาบนใบหน้าเอ้อล้นออกมา

“คุณยาย!!” มิรารีวิ่งเข้าไปกอดร่างอันผอมบางของคุณยายในทันที

“ยายดีใจจริงๆ ที่หลานยังมีชีวิตอยู่”

“หนูคิดถึงคุณยายที่สุดเลยค่ะ ทำไมคุณยายเดินมาคนเดียวล่ะคะขาคุณยายดีขึ้นแล้วเหรอคะ?มิรารีถามสุขภาพขาของคุณยายอย่างเป็นห่วง

“มิรารี มิรารี หลานใจเย็นๆ ก่อนนะ”

“ขอโทษค่ะ...” มิรารีมองผู้เป็นยายอย่างแปลกประหลาด ท่านดูผอมกว่าตอนที่เธอมา “ทำไมคุณยายถึงผอมขนาดนี้ค่ะ?

“คนเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงมั้งสิจ๊ะ”

“เปลี่ยนมากเลยนะคะ...”

คนเป็นยายจ้องมองหลานสาว เธอยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของหลานสาว “หลานก็เปลี่ยนไปมากเหมือนกันนะจ๊ะ...”

“ค่ะ หนูเปลี่ยนไปมาก...”

ยายยิ้มอ่อนๆ ให้แก่หลานสาว “ยายดีใจที่หลานยังมีชีวิตอยู่นะ”

“หนูก็ดีใจที่ยังอยู่ค่ะ หนูจะได้กลับไปหาคุณยายและทุกคนอีก”

พอมิรารีพูดแบบนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของยายหายไปชั่วขณะ มิรารีเห็นเธอมองอย่างสงสัยในทันที

“คุณยาย...”

“หลานไม่ได้อยู่กับเรามานานหลายปีคงไม่รู้...หลานกลับไปจะไม่เจอยายอีกแล้วนะ”

“หมายความว่าไงเหรอคะ?มิรารีขมวดคิ้วอย่างสงสัย

คุณยายไม่พูดอะไรต่อ ท่านลุกขึ้นก่อนจะเดินไปอีกทางที่อยู่สูงขึ้นไป มิรารีหันไปเห็นท่านกำลังไปหาชายคนหนึ่ง เมื่อเธอเห็นชายคนนั้น เธอจำได้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร ภายในใจของเธอกับรู้สึกเหมือนบอกให้ห้ามคุณยายไม่ให้ไปทางนั้น

“ไม่! ไม่นะคะ คุณยาย อย่าไป! อย่าจากหนูไปไหน คุณยาย!!”

 

มิรารีสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทันทีใด ผ้าห่มตกลงสู่พื้น ใบหน้าอันซีดเซียวยิ่งซีดกว่าเดิม เธอมองรอบๆ ห้องเธอยังอยู่ที่เดิมไม่เปลี่ยนแปลง เธอสาบานว่าภาพที่เห็นเป็นภาพความทรงจำ แต่ว่านี่มันหลายครั้งตั้งแต่เด็กเธอฝันเห็นอะไรมันจะเป็นจริงตลอด แล้วภาพในฝันเธอเห็นคุณยายและชายอีกคนคือคุณตาของเธอ แล้วพวกท่านเดินไปทางที่สูง นั้นทำให้น้ำตาของเธอไหลรินออกมาจากดวงตาในทันที

 

“ไม่จริง...ไม่จริง...คุณยายค่ะ...คุณตา...” มิรารีกอดเข่าร้องไห้ในทันที

 

ณ ประเทศไทย บ้านเครือเพชร

 

บ้านหลังใหญ่ที่โออ่ามากในจังหวัดกรุงเทพมหานคร ย่านชานเมือง เมื่อก่อนไม่ค่อยมีบ้านเรื่อยหรือย่านการค้าแต่อย่างใด แต่ตอนนี้ผ่านมาสิบปีสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปเยอะและมีย่านการค้าเยอะและหมู่บ้านอีกมากมาย ภายในบ้านใหญ่ครอบครัวเครือเพชรกำลังวุ่นวายจัดเตรียมของบางอย่างกันสำหรับยามเช้านี้ แต่ยังมีเด็กหนุ่มร่างสูงกำลังยืนอยู่หน้าจอทีวีใหญ่ในห้องนั่งเล่น ภายในทีวีก็มีชายอีกคนที่ดูมีอายุประมาณ30ขึ้นกำลังคุยกับเด็กหนุ่มร่างสูง

 

“ไม่นานผมก็คงใกล้จะจบมัธยม6 อีกไม่กี่ปีแล้วนะครับ ผมคงหาเวลาไปลงทะเบียนเรียนมหาลัยที่นิวยอร์กนั้นล่ะ วันนั้นมาถึงพี่ต้องให้ผมไปอยู่ด้วยนะ”

“เออๆ ยังไงฉันก็ให้นายอยู่ข้างๆ อยู่แล้ว แต่ที่นายจะมานี้คงไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อ 10 ปีก่อนใช่ไหมล่ะ?

“ไม่เกี่ยวซะหน่อย!! พี่!!” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูเปลี่ยนไป เขาขมวดคิ้วก่อนจะจ้องมองคนเป็นพี่ในทันที "เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว คนตาย...ไม่มีทางกลับมาหรอกนะ!"

“ฉันรู้น่า...ถึงตอนนี้...เธอจะอยู่อีกทีก็ตามที”

“เมื่อกี้ว่าไงนะ!!”

“เปล่าๆ!!” คนเป็นพี่รีบปฏิเสธในทันที ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง “งั้นพี่ไปทำงานต่อนะ บาย เจย์!” คนเป็นพี่ปิดหน้าจอของตนเองทันที

“เดียวพี่!! พี่คาเมล!!”

เสียงตะโกนของเด็กหนุ่ม ทำให้คนเป็นแม่ตกใจจนต้องเดินมาดูลูกชายของตนเป็นอะไรถึงตะโกนเสียงดัง

“เจย์ ลูกเป็นอะไรนะ ตะโกนเสียงดังเชียว?

“ก็พี่คาเมลนะสิครับ อยู่ๆ ก็วางสายหลังจากพูดอะไรแปลกๆ นะครับ”

“พูดอะไรนะ? แต่ช่างเถอะ มาช่วยแม่เร็วตอนนี้ย่าของลูกอยากจะทำบุญเต็มทนล่ะ”

“แหมๆ อายุขนาดนี้แล้วแต่แข็งแรงจริงๆ ถ้าย่ารีบไม่ให้ท่านเดินไปเองเลยเหรอครับ?

คนเป็นแม่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหยิกแขนลูกชายทันที “นั้นปากเหรอนั้น!!”

“โอ๊ยๆ แม่!”

“โตขนาดนี้ ปากยังคอเราะร้ายจริงๆ นะ แม่ไม่เคยสอนเลยนะ!”

“หึ!” เจย์ลูบแขนตัวเองที่แม่หยิก “เนี่ยแม่ หยิกผมจนเจ็บนะเนี่ย”

“เจ็บนะดี จะได้จำ 18 แล้วนะ ยังทำตัวแบบนี้อีก เร็วมาช่วยแม่เร็ว!”

“ครับๆ”

 

เด็กหนุ่มเดินตามคนเป็นแม่ไปช่วยงานในครัว ทุกคนกำลังเตรียมของเพื่อยกไปหน้าบ้าน ทาหน้าบ้านหลานๆ หญิงชายกำลังทำการเตรียมยกเก้าอี้ไว้หน้าบ้าน ทุกคนยกอาหารออกมาตั้งรอเหล่าพระภิกษุเดินทางมาหน้าบ้านพวกเขา ทุกคนต่างยืนรอก่อนที่คนที่อาวุโสมากที่สุดในบ้านกำลังนั่งรถเข็นมา เมื่อมาถึงทุกคนต่างยิ้มให้แก่คนเป็นย่า ไม่นานเหล่าพระภิกษุก็เดินเท้าใกล้มาถึงบ้านพวกเขา คุณย่าค่อยๆ พยายามลุกจากเก้าอี้เข็น

 

“นมัสการเจ้าค่ะ”

 

คุณย่ายกมือขึ้นไหว้พระภิกษุตรงหน้าของตน ลูกสะใภ้ช่วยพยุงแม่สามีไม่ให้ล้ม คนใช้ก็ช่วยอาหารให้แก่นายหญิง พอรับของสำหรับใส่บาตรก็ตักทุกอย่างลงในบาตร คนอื่นๆ ก็ช่วยกันถวายของกันจนของที่บาตรหมด ทุกคนย่อตัวเพื่อรอรับบทสวด ทุกคนต่างพากันพูดตามบทสวดให้แก่ผู้เสียชีวิต เมื่อจบบทสวด พระภิกษุรูปหนึ่งที่อยู่หัวแถวตรงหน้าคุณย่าได้เอ่ยพูดบางอย่างขึ้น

 

“โยม ชื่อหนึ่งที่โยมเอ่ยขึ้นนั้น ทำไมถึงเอ่ยขึ้นมาหรือ?

หญิงชราขมวดคิ้วอย่างสงสัยต่อสิ่งที่หลวงลุงพูดถึง เธอพนมมือพร้อมกับกล่าวถามอย่างสงสัย “ท่านหลวงลุงพูดขึ้นนั้น มันหมายความว่าไงหรือเจ้าค่ะ”

“ชื่อหนึ่งที่พวกโยมเอ่ยนั้น อาตามรู้สึกถึงแรงบุญที่ยังไม่หมดไป แรงบุญที่บ่งบอกว่าชื่อนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกโยมคงไม่รู้ว่าบุคคลนั้นยังไม่เสียชีวิต แต่เดียวบุคคลนั้นก็กลับมาหาพวกโยมเองนั้นล่ะ”

 

เมื่อหลวงลุงพูดจบเขาก็นำทางเดินต่อ พระภิกษุทรงรูปอื่นก็เดินตามไปกัน ปล่อยให้ครอบครัวเครือเพชรต่างงุนงงกับคำพูดของหลวงลุงที่พูดกับพวกเขากัน ถึงแม้บางคนไม่เข้าใจสิ่งที่หลวงลุงสื่อ แต่ผู้เป็นแม่กับรู้สึกว่าหลวงลุงกำลังพูดถึงคนที่เธอคิดอยู่ว่าคนที่ว่านั้นคือใคร

 

ณ เกาะปริศนา หน้าตึก

แสงอาทิตย์ยามเช้าคอยๆ ขึ้นมาเรื่อยๆ เวลายามเช้านั้นช่างไม่มีอะไรสดใสเลย สำหรับมิรารี เธอมานั่งอยู่ที่กิ่งไม้ใหญ่ สายตาตรงหน้ามีแต่ทิวทัศน์ของป่าและทะเล ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมเลย เธอนึกถึงความฝันที่ได้เจอคุณยาย และนึกคำพูดของคุณยายที่ว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่กับพวกท่านมานานหลายปี นั้นทำให้เธอสับสนว่าเธอตัวเองนั้นหลับอยู่ในตู้นั้นมากี่ปีแล้ว น้ำตากำลังไหลออกมาเป็นหยดน้ำแข็ง เธอไม่นึกว่าตัวเองนั้นจะไม่ได้อยู่กับครอบครัวนานขนาดนี้ เธอรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นในทันที

 

“มาเศร้าแบบนี้ไม่ได้แล้ว ภายใน 1 เดือน ฉันต้องหาทางออกไปจากที่นี้ให้ได้! เพื่อกลับไปหาครอบครัว!!”

 

มิรารีพูดจบก็กระโดดจากกิ่งไม้ ไปยังหลังคาตึกที่อยู่ข้างๆ ต้นไม้ เธอรู้สึกแปลกกับตัวเองจริงๆ ที่สามารถกระโดดไปไหนมาไหนได้ง่ายขึ้น หลังจากอยู่แบบไม่มีอะไรทำก็ได้แต่กิน นอน สำรวจ กิน แล้วก็นอน จนเธอเพิ่มการออกกำลังกายเข้าไปด้วย เลยทำให้ร่างกายเธอดูแข็งแรงมากขึ้นอีก เธอเดินจนมาถึงด้านหลังของดึก เธอมองลงไปเห็นจุดเชื่อมตรงชั้นสองระหว่างตึกขนาดใหญ่ด้านหลัง เธอมองตึกตรงหน้าแล้วถอดหายใจช้าๆ เข้าออก

 

“เอาล่ะ! คงต้องกระโดดจากตรงนี้ไปยังหน้าต่างของตึกข้างๆล่ะ”

มิรารีมองตึกข้างๆ ที่มีกระจกเยอะไปหมด เธอกำลังคิดว่าจะไปจุดไหนดี แต่ก็ต้องเอาจุดที่เธอกระโดดไปแล้วเกาะกระจกได้ในทันที เธอค่อยๆ ถอยห่างจากจุดนั้น เมื่อห่างจนเธอพอใจ เธอทำใจอยู่สักพักหนึ่ง

“สู้ มิรารีแค่กระโดดเท่านั้น คงไม่เจ็บมาก แต่...”

เมื่อพูดแบบนั้น เธอนึกภาพข้างล่างที่ไม่มีอะไรช่วยเธอตอนตกลงมาเลย

“ตกลงไปตายคงเป็นภาพที่ไม่น่าดูสุดๆ”

มิรารีส่ายหน้า เธอก้มมือของตนที่กำลังสั่นไปหมด แต่เธอยกมือขึ้นมาตบใบหน้าของตัวเองหนึ่งครั้งแรกๆ

“สู้!!”

เธอตั้งท่าพร้อม สายตาจับจ้องไปข้างหน้าอย่างเดียวไม่สนใจอะไร ก่อนที่เธอจะก้าวเท้าวิ่งในทันที แต่พอวิ่งใกล้ถึงจุดที่เธอจะกระโดดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

 

‘เดียวก่อน!’

 

“ห๊า!!”

มิรารีรีบเบรกตัวโก่งทันที เธอใช้เท้าเบรกจนเธอไถลจนถึงปลายหลังคา เมื่อเธออยู่ลงลมหายใจเข้าออกอย่างเร็ว หัวใจนั้นเต้นตึกตักอย่างรุนแรง เธอยื่นหน้าออกไปมองข้างล่างนั้น เอาหัวใจเกือบวาย ก่อนจะนึกมองหาที่มาของเสียงที่พูดขึ้น

“นั้นใครนะ!!”

ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา ทำให้มิรารีรู้สึกแปลกประหลาดที่อยู่ๆ มีเสียงปริศนาพูดห้ามเธอไม่ให้กระโดด

 

‘อย่ากระโดด...อ้อมไปข้างหลังตึก...จะมีทางเข้า...’

 

เสียงนั้นดังขึ้นอีก ทำให้มิรารีกังวลว่าที่มาของเสียงคืออะไร คงไม่ใช่สิ่งที่ไร้ชีวิตอย่างจำพวกวิญญาณอยู่แถวนี้หรอกนะ

“ข้างหลังตึกเหรอ?

มิรารีมองไปที่ข้างตึกอย่างสงสัยว่าจะมีทางเข้าจริงๆ เหรอ

“คนที่พูดนะ ออกมาไม่ได้หรือไง?

 

ไม่มีเสียงตอบกลับเธอเลย สภาพแวดล้อมก็เงียบกริบยกเว้นเสียงลมพัดกระทบต้นไม้ ทำเอาสยองกับบรรยากาศแบบนี้สุดๆ ว่าเสียงที่ว่านั้นเป็นเสียงอะไรแน่ แต่คำแนะนำของเสียงนั้น ทำให้มิรารีสองจิตสองใจว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่ถ้าข้างหลังมีทางเข้าจริง เธอก็คงไม่ต้องมาเสี่ยงตายแบบนี้ ตัวเธอเองก็อยากหาทางออกจากที่นี้ไปให้ได้ สายตาไปมองพื้นที่ว่างที่สูงกว่าสองชั้น เธอค่อยๆ เขยิบตัวหนีออกจากจุดนั้นในทันที แล้วนั่งทำใจคิดบางอย่างอยู่สักพัก เธอหลับตาลงก่อนจะลุกขึ้นในทันที

 

“เอาก็เอา...”

 

เธอมองหาทางลงจากตรงจุดที่ตนเองอยู่ ก่อนจะเจอพวกเถาวัลย์ที่เกาะตามตึกหนาๆ เธอลองพยายามปีนป่ายที่เถาวัลย์ดูว่ามันรับน้ำหนักเธอไหม เถาวัลย์รับน้ำหนักเธอได้อย่างดี เธอค่อยๆ ลงมาจากตึกอย่างช้าๆ จนลงมาถึงพื้น เมื่อลงมาแล้วเธอค่อยๆ ลองรอบเลาะริมตึกคอนกรีตไปเรื่อยๆ จนเจอกับตึกโปร่งใสมันเป็นกระจกแก้วที่แตกง่ายจริงๆ เพราะกระจกบางอันแตกเยอะมากๆ แถมมีเก้าอี้ยาวสำหรับนั่งอยู่ถึงจะเลอะเทอะหรือสภาพย่ำแย่แต่ก็พอนั่งได้ เธอเดินไปอีกสักนิดก็เจอลานกว้างที่เป็นทางเข้าทางด้านหลัง มิรารีเห็นก็รู้สึกโล่งใจหน่อยๆ ที่มีทางเข้าจริงๆ ระหว่างที่จับจ้องทางตรงหน้า เท้าของเธอกำลังจะกล่าวเดินเข้าไป แต่เสียงปริศนานั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

‘ช่วย...’

 

“เย้ย!!”

มิรารีตกใจจนขนหัวลุกในทันที เมื่อได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เธอมองซ้ายมองขวาอย่างสงสัยว่าต้นเสียงอยู่ไหนกันแน่

“นี่! อย่ามาทำให้ตกใจสิ”

มิรารีตะโกนออกไป เธอไม่ชอบจริงๆ ที่เจ้าของเสียงนั้นไม่โผล่มาแล้วก็ชอบตะโกนออกมาไม่ให้เธอตั้งตัวเลย

 

‘ช่วย...’

 

“ช่วย?

มิรารีทวนคำพูดของเสียงปริศนา เธอสงสัยว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการอะไรจากเธอ จนรู้สึกว่าเสียงนั้นเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้น

 

‘ช่วยหน่อย...’

 

มิรารีได้ยินเสียงใกล้เข้ามากกว่าเดิม เธอมองรอบๆ ก็ไม่เห็นตัวต้นเสียงเลยสักนิด เธอมองรอบๆ อีก ก่อนจะก้มมองอีกก็เจอกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กกระจิริดอยู่ที่พื้น มิรารีเห็นตอนแรกรูปร่างของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าคล้ายๆ กับสิ่งมีชีวิตจากธรรมชาติ มันมีผิวที่เป็นไม้ บนหัวมีใบหน้าสองใบ มิรารีค่อยๆ ย่อตัวลงตรงหน้าเจ้าตัวเล็ก

 

“นี่...เธอ...เป็นตัวอะไร...”

“กู้ดดด” เมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นสงสัย เสียงเดิมก็ดังขึ้น

 

‘ช่วย...ช่วยหน่อย’

 

มิรารีได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง เธอรับรู้เลยว่านั้นคือเสียงเจ้าตัวเล็กแน่ๆ เธอเลยลองถามดู

“เสียงนี้คือเสียงเธอเหรอ?

เจ้าตัวเล็กพยักหน้าในทันใด ทำให้มิรารีเข้าใจเลยว่า อีกฝ่ายกำลังส่งกระแสจิตให้เธอ

“แล้วอยากให้ฉันช่วยอะไรเธอล่ะ?

พอมิรารีพูดจบเจ้าตัวเล็กก็เดินไปทางข้างในตึกในทันที มิรารีเห็นแบบนั้นเธอก็ลุกขึ้นตามเจ้าตัวเล็กทันที

“เดียวรอด้วยสิ!!”

 

เจ้าตัวเล็กวิ่งเข้าไปข้างในอย่างเร็ว จนมิรารีตามแทบไม่ทัน ระหว่างตามเจ้าตัวเล็ก มิรารีก็คิดได้ว่าสิ่งมีชีวิตแบบเจ้าตัวเล็กนี่ไม่น่ามีบนโลกเลยนะ นั้นทำให้มิรารีรู้สึกหลอนขึ้นมาเลยว่ามันคืออะไรกันแน่ ระหว่างคิดไปนั้น เธอยังยืนอยู่ชั้นที่หนึ่งบันไดที่ขึ้นไปข้างบนรั่วบันไดเป็นแบบกระจกทำให้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กนั้นขึ้นไปถึงชั้นที่สี่แล้ว เจ้าตัวเล็กนั้นหันมาโบกมือรอเธอ ทำให้มิรารีต้องรีบไปที่บันไดแล้วเดินตามขึ้นไปในทันที เธอเดินขึ้นไปหอบไป เพราะบันไดนั้นสูงมากๆ จนเธอถึงมาถึงชั้นสี่ก็ล้มลงบนพื้นในทันที

 

“แฮ่กๆ”

“กู้ดดดด” เจ้าตัวเล็กร้องออกมาก่อนจะเดินเข้าไปต่อ

มิรารีเห็นก็ค่อยๆ พยายามลุกขึ้นมา แล้วค่อยเดินตามเจ้าตัวเล็กไปทันที “รอด้วย ตัวเล็ก”

เดินตามตรงไปเรื่อยๆ ก็มาเจอกับเจ้าตัวเล็กอยู่หน้าห้องหนึ่ง

“กู้ดดดด!”

 

เจ้าตัวเล็กเรียกร้องหาเธอก่อนจะวิ่งเข้าไปข้างใน มิรารีเห็นแบบนั้นก็วิ่งตามเข้าไป เมื่อเข้าไปก็ได้เห็นสภาพห้องที่พินาศไปหมด มีตั้งแต่กรงเล็บอันใหญ่โต สิ่งของกระจัดกระจายเต็มไปหมด เห็นสภาพห้องช่างน่าหดหู่มากๆ ในห้องนี้เหมือนห้องวิจัยเหมือนกับที่ห้องเธอเคยอยู่ แค่ที่นี่มันเหมือนกับห้องที่มีตู้ขนาดสี่เหลี่ยมเล็กๆ เรียงกัน มิรารีเห็นเจ้าตัวเล็กใช้มือที่เป็นไม้ยืดตัวขึ้นไปในตู้หนึ่ง มิรารีเดินไปเห็นใบหน้าของเธอนั้นนิ่งสนิทคิ้วทั้งสองข้างก็ขมวดเข้าหากัน เธอเห็นช่างสิ่งมีชีวิตคล้ายๆ เจ้าตัวเล็ก นอนกันตายจนร่างกายแห้งไปหมด

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน...”

มิรารีเข้าไปใกล้ ก็เห็นเจ้าตัวเล็กเข้าไปหาเพื่อนๆ พร้อมกับเขย่าตัวพวกเขาเหมือนปลุกให้ตื่น

“กู้ดดด กู้ดดด”

 

‘ช่วย ช่วย’

 

มิรารีได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กในหัว เธอยิ่งมองดูอย่างสงสาร เธอรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กคงยังไม่รู้ว่าเพื่อนตนได้ตายจากไปแล้ว

“เธออยากให้ฉันช่วยพวกเขาเหรอ?

“กู้ด...” เจ้าตัวจิ๋วหันมามองด้วยสายตาอ้อนวอน

สายตาของมิรารีดูโศกเศร้าและเวทนาเจ้าตัวเล็กมากๆ ทำให้เจ้าตัวเล็กเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวนั้นทำอะไรอยู่ เขาหันกลับไปมองเพื่อนที่ตายไปแล้ว

“กู้ด...กู้ดดดด...”

 

‘ไม่...ไม่อยู่แล้ว...’

 

ยิ่งได้ยินที่เจ้าตัวเล็กในหัวเธอยิ่งรู้สึกเศร้าไปอีก เพราะเจ้าตัวเล็กนั้นเหมือนเธอที่รู้สึกว่าเสียคนที่รักไปแล้ว นั้นทำให้เธอน้ำตากำลังจะไหลออกมา เธอเช็ดน้ำตาแล้วฝืนไม่ให้ร้องไห้ออกมา เธอใช้นิ้วชี้ลูบบนหัวของเจ้าตัวเล็กเบาๆ

“ถึงไม่อยู่แล้ว แต่เราก็มาฝังพวกเขาให้หลับใหลในพื้นดินดีกว่านะ ให้พวกเขากลับสู่ธรรมชาติ”

“กลับ...ธรรมชาติ...กลับกัน...” เจ้าตัวเล็กได้ยินแบบนั้นทำให้ใบไม้บนหัวขยับขึ้นลงอย่างดีใจ

พอเห็นเจ้าตัวเล็กนั้นร่าเริงขึ้น มิรารีก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน เธอหันไปมองเจ้าตัวเล็กทั้งหลายที่นอนตายกัน แต่พวกตัวเล็กนั้นมีเยอะเกินไปจนเธอนั้นอาจจะพาไปไม่หมด เธอค่อยๆ ใช้สายตามองรอบๆ จนเจ้าตัวเล็กสร้างบางอย่างขึ้นแล้วส่งให้เธอ

“กู้ดดด”

มิรารีเห็นสิ่งตรงหน้ามันคือตะกร้าขนาดเล็ก แต่ก็พอดีที่จะใส่เจ้าตัวเล็กทั้งหลายได้

“ขอบใจจ้ะ”

 

พอรับตะกร้ามาแล้ว มิรารีก็ค่อยๆ ใส่เจ้าตัวเล็กทั้งหลายลงในตะกร้า เจ้าตัวเล็กค่อยๆ เดินมาหามิรารีก่อนจะกระโดดลงตะกร้าแล้วช่วยจัดตัวเพื่อนของตนนอนในสภาพดีๆ เมื่อลงจนครบแล้ว มิรารีก็พอพวกเขาออกจากจุดนี้ เธอค่อยๆ เดินลงบันไดแล้วออกไปข้างนอกเพื่อไปยังตึกแรก เมื่อเดินจนมาถึงตึกแรกมิรารีคิดว่าจะฝังพวกเขาไว้ไหน จนเธอหันไปเจอต้นไม้ใหญ่ข้างๆ ตึก เธอเลยคิดออกเลยว่าจะนำศพของพวกตัวเล็กไว้ไหนดี

 

“ได้ที่ดีๆล่ะ...”

 

มิรารีเดินไปที่ต้นไม้ใหญ่ เธอขุดหลุมเป็นแนวยาวให้พอดีที่จะใส่เจ้าตัวเล็กทั้งหลายลงไป ระหว่างที่มิรารีขุดนั้น เจ้าตัวเล็กก็ได้ออกมาจากตะกร้าโดยที่มิรารีไม่เห็น แล้วเขาเข้าไปในป่า มิรารีขุดเสร็จก็นำร่างของพวกตัวเล็กลงไปนอนเรียงกัน เมื่อเห็นแบบนี้เธอก็รู้สึกเศร้าใจหน่อยๆ แต่เธอก็นำดินมาวางลงเพื่อฝังพวกเขา พอกลบดินเสร็จเธอก็หาไม้สองอันมาทำเป็นไม้กางเขนไว้ปักหน้าหลุมของพวกตัวเล็ก ไม่นานนั้นเจ้าตัวเล็กนอนออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับสิ่งบางอย่างที่ถือมา

 

มิรารีเห็นก็แอบที่จะยิ้มไม่ได้ “นำดอกไม้มาไหว้เพื่อนๆ สินะ”

“กู้ด...” เจ้าตัวเล็กตอบกลับ ก่อนจะนำดอกไม้วางที่หลุมของเพื่อน เพื่อไว้อาลัยพวกเขา

เห็นแบบนี้มิรารีก็แอบที่จะเอ็นดูเจ้าตัวเล็กไม่ได้จริงๆ เธอหันมามองหลุมศพ ก่อนจะยกมือขึ้นมากุมมือ

“ขอให้พระเจ้าจงนำทางพวกเจ้าสู่พื้นที่สีเขียวอันสงบสุข เอเมน”

 

ถึงมิรารีจะเป็นคนไทย แต่เธอนับถือทั้งศาสนาพุทธและคริสต์ ถึงแม้มันจะต่างกันมาก แต่ทุกศาสนาถูกสร้างมาให้อยู่ในส่วนของมัน แต่ยังไงเธอต้องนับถือล่ะ เพราะแม่เป็นพุทธ พ่อเป็นคริสต์ แต่ยังไงสำหรับมิรารีจะนับถือศาสนาไหนก็ได้ เพราะยังไงทุกศาสนาก็สอนให้ทุกคนเป็นคนดีนั้นล่ะ พอมิรารีสวดมนต์เสร็จก็หันไปมองเจ้าตัวเล็กที่ยังมองหลุมของเพื่อนตัวเอง

 

***อย่าเคร่งเรื่องศาสนากันนะคะ

มันขึ้นกับบุคคลว่าอยากนับถือศาสนาไหนนะคะ

 

“นี่ เจ้าตัวเล็ก...”

“กู้ด...” เจ้าตัวเล็กหันมามองมิรารีอย่างตั้งใจ

“เอ่อ...เธออยู่นี่มานานแล้วใช่ไหม?

เจ้าตัวเล็กพยักหน้า ทำให้มิรารีมีความคิดดีๆ อยากถามเจ้าตัวเล็กเยอะมากๆ ก่อนจะคิดคำถามแล้วถามออกไป

“โอเค...งั้นเธอคงบอกได้ใช่ไหมว่าที่นี่ถูกทิ้งร้างไว้นานเท่าไรแล้วนะ”

พอเจ้าตัวเล็กได้ฟังคำถาม กับเอียงคออย่างงงๆ พร้อมกับพูดออกมาและส่งกระแสจิตให้เธอ

“กู้ด...”

 

'ไม่รู้สิ...'

 

มิรารีถึงกับนอนลงกับพื้นทันที เธอไม่น่าถามเจ้าตัวเล็กเลยจริงๆ เพราะสิ่งมีชีวิตแบบนี้คงไม่สนใจช่วงเวลาแน่ๆ มิรารีค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งเหมือนเดิม

“ขอโทษที่ถามนะ...ฉันแค่อยากรู้ช่วงเวลาที่นี้ โดนทิ้งร้างเท่านั้นล่ะนะ”

“กู้ด...” เจ้าตัวเล็กเดินเข้ามาซบที่หัวเข่าอย่างเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรๆ ฉันแค่รู้สึกเสียใจที่ยังหาข้อมูลให้ตัวเองไม่ได้นะ”

“กู้ด..กู้ด...” เจ้าตัวจิ๋วชี้นิ้วไปที่ตึกด้านหลัง

มิรารีมองไปตามทางที่เจ้าตัวเล็กชี้ “ตึกนั้น...ตึกนั้นมีข้อมูลที่จะบอกฉันได้เหรอ?

“กู้ด!” เจ้าตัวเล็กพยักหน้าทันที

“เจ๋งเลย!” มิรารีดีใจทันที “งั้นวันนี้…”

แสงแดดส่องมาทางเธอทันที ทำให้เธอต้องมองพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ นั้นทำให้เธอรู้เลยว่าตอนนี้เวลาเท่าไรกัน

“คงเท่านี้ก่อนล่ะนะ นี่ก็เที่ยงแล้วด้วย...ถ้าเธอจะกลับไปที่ที่เธออยู่ก็ตามใจนะ ฉันคงต้องกลับไปพักผ่อนของฉันแล้ว แต่ถ้าสนใจจะมาอยู่กับฉันก็ได้นะ!”

“กู้ด!!” เจ้าตัวเล็กได้ยินแบบนั้นก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ พร้อมกับซุกหัวเข่ามิรารีอีกครั้ง

 

มิรารีเห็นท่าทางของเจ้าตัวเล็กก็ทำให้เธอยิ้มอย่างชอบใจ ก่อนจะเลื่อนมือไปอยู่ตรงหน้าเจ้าตัวจิ๋ว เจ้าตัวจิ๋วก็กระโดดขึ้นที่มือของมิรารี เมื่อจ้องมองเจ้าตัวเล็ก ทำให้มิรารีรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างตัวเล็กมากจริงๆ มิรารีให้เจ้าตัวจิ๋วอยู่บนไหล่ก่อนจะพากลับไปยังตึกแรกทันที

 

“เดียวกลับไปทานอาหารหน่อยดีกว่า แกกินน้ำหรือดินสินะ”

“กู้ด!” เจ้าตัวเล็กตอบพร้อมกับพยักหน้า

มิรารีสังเกตบางอย่างก็คิดบางอย่างได้ “อืม เธอชอบพูดว่ากู้ดสินะ? นั้นฉันขอเรียกเธอว่า กู้ดนี่ล่ะกันนะ”

“กู้ด กู้ด!”

เจ้าตัวจิ๋วรู้สึกดีใจที่มิรารีตั้งชื่อให้ตน ทำให้เจ้าตัวเล็กจนกระโดดโลดเต้นบนไหล่ของมิรารีจนเกือบตก ทำเอามิรารีตกใจไปหมด

“เฮ้ย!! ระวังหน่อยสิ กู้ดนี่” มิรารีช่วยประคองมือไม่ให้เจ้าตัวเล็กตก

“กู้ด...” กู้ดทำสีหน้าอย่างเขินๆ ก่อนที่จะกลับมานั่งปกติบนไหล่ของมิรารี

 

ภายในความสุขของมิรารีนั้น เธอกับไม่รู้อะไรเลยว่าความโชคร้ายกำลังจะดำเนินมาหาเธอโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ห่างออกไปจากเกาะที่เธออยู่หลายร้อยไมล์ ภายใต้ความมืดมิดของสถานที่ปรับหักพังในตัวเมือง มีผู้คนมั่วซุ่มกันภายในโกดังร้างนี้ และจุดหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในซุ้มที่ดำมืด มีควันมากมายอยู่ในนั้น หญิงสาวแต่ตัวเหมือนคนทรง แม่หมออะไรพวกนั้น เมื่อเธอเปิดตาออกมาดวงตาของเธอขาวไปหมด หญิงสาวจับจ้องไปที่ควันตรงหน้า เสียงฝีเท้ากำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ หญิงสาวได้ยินก็หันไปด้านซ้ายมือ

 

“ท่านมาแล้ว...”

เจ้าของฝีเท้าค่อยๆ เดินออกมาจากหลังผ้าม่าน เขามีรูปร่างสูงผิวดำอ่อนๆ ออกเทาเข้มเหมือนถ่าน ผมดำ ดวงตาสีแดง เสื้อผ้าที่ใส่ดำไปหมด เขาเดินตรงมานั่งข้างๆ ของหญิงสาว

“ไง มีอะไรบ้างไหม?

“ฉันเห็นเธอ...”

“จริงเหรอ?ชายหนุ่มถามอย่างสงสัย

“ค่ะ เธอฟื้นแล้ว...”

ชายหนุ่มได้ยินแบบนั้น ริมฝีปากของเขายกยิ้มอย่างกว้าง ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์มากๆ

“รู้ไหมว่าเธออยู่ไหน?

“ฉันขอเวลาเพิ่ม จะบอกท่านได้แน่ๆ ท่านเคสเนอร์!”

“ฉันจะรอ รอเวลาที่จะไปเอาตัวเธอคนนั้นมาหาฉัน!”

 

จบตอนที่ 4 โปรดติดตามตอนที่ 5 ต่อไป