2 ตอน ตอนที่ 2 เมื่อตื่นขึ้นก็มีอะไรที่เปลี่ยนไป
โดย YukiCoCo
ตอนที่ 2 เมื่อตื่นขึ้นก็มีอะไรที่เปลี่ยนไป
ภายใต้ความมืดมิดที่มองไม่เห็นนั้นช่างน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าอะไร ดวงตาที่ลืมไม่ได้นั้นยิ่งน่าหวาดกลัว มีแต่ประสาทสัมผัสอย่างการได้ยินเท่านั้นที่เริ่มทำงาน เริ่มได้ยินเสียงแปลกประหลาด เสียงของบางอย่างกำลังจะแตก เสียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเสียงคล้ายๆ กระจกแตกดังขึ้น
‘เพล้ง!’
หลังสิ้นเสียงนั้น ร่างกายหนึ่งกำลังตกลงสู่พื้นด้านล่างทันทีทันใด แรงตกนั้นทำให้เจ็บไปทั้งร่างกาย แต่ที่เจ็บมากๆ ก็คือหน้าและหน้าอกที่กระทบกับพื้นก่อน ความรู้สึกของร่างกายเริ่มกลับมาเรื่อยๆ ร่วมถึงดวงตาที่รู้สึกเจ็บไปหมดเหมือนมันถูกปิดมานาน เปลือกตาพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา พยายามอยู่เนิ่นนานก็ลืมตาขึ้นมา ภาพตรงหน้านั้นเบลอไปหมด เปลือกตาค่อยๆ กะพริบหลายๆ ครั้งเพื่อปรับสภาพของดวงตา เมื่อภาพตรงหน้าเด่นชัดขึ้น ถึงได้รู้ว่าร่างกายเธอนั้นอยู่บนพื้นที่เย็น
‘นี่...ฉัน...อยู่ไหนกัน...?’
เสียงในความคิดของเธอดังขึ้นมา อย่างน่าประหลาดใจที่เธออยากพูด แต่เสียงนั้นกับไม่สามารถเบ่งเสียงออกมาได้
‘ทำไม...เสียงไม่ออกมากัน...แล้ว...อึก! เจ็บ...หน้าฉัน...หน้าอกฉัน...คอฉัน...เจ็บไปหมด...’
สีหน้าของหญิงสาวรู้สึกเจ็บปวดมากๆ กับร่างกายที่เหมือนได้รับบาดเจ็บภายในมากกว่าภายนอก เธอใช้มือพยุงตัวเองขึ้นมานั่ง เมื่อพยุงตัวให้นั่งได้แล้วเธอมองพื้นที่เธอใช้พยุงตัวเอง มันมีของเหลวคล้ายๆ น้ำหนองอยู่รอบๆ ตัวเธอ ความคิดในตอนนั้นเธอสงสัยขึ้นมาเลยว่านี่ใช้น้ำหรือเปล่า ภายในคอนั้นรู้สึกแห้งไปหมดเธอรู้สึกหิวน้ำมากๆ จึงก้มโค้งลงไปดื่มน้ำตรงพื้นนั้น แต่เมื่อน้ำสัมผัสกับลิ้นทำเอาเธอรีบต้องไอเอาน้ำออกมา เพราะรสชาติของมันเหมือนไม่ใช่น้ำที่ดื่มได้เลย
‘แย่จริงๆ ...น้ำบ้าอะไรเนี่ย...หิวน้ำจัง...’
สายตาจับจ้องไปที่น้ำอย่างไม่สบอารมณ์ เธอมองซ้ายมองขวาว่าที่นี้มีน้ำให้ดื่มไหม จนหันไปเจอก๊อกน้ำอยู่ตรงจุดริมห้อง เธอรีบพยุงตัวเองแต่การพยุงตัวช่างลำบากจริงๆ แต่เธอก็พยุงตัวจนสำเร็จแล้วรีบเดินไปที่ก๊อกน้ำนั้น ถึงเธอจะล้มก่อนจะถึงก๊อกน้ำ เธอก็พยุงตัวขึ้น แล้วเอื้อมมือไปจับก๊อกน้ำให้เปิด เมื่อปลายนิ้วจับก๊อกน้ำกลายเป็นน้ำแข็งทันที สีหน้าของหญิงสาวถึงกับตกใจทันที
‘นี่...นี่มันอะไรกัน!!’
สีหน้าตกใจที่เห็นมือของตัวเองทำให้ก๊อกน้ำเป็นน้ำแข็ง เธอมองมือของตัวเองที่ว่าเธอทำอะไรไป พอเงยหน้าขึ้นข้างหน้ามีกระจกบานใหญ่ติดอยู่กับกำแพงทำให้เธอตัวของเธอที่ร่างกายกลายเป็นสีขาวทั้งตัว เสื้อผ้าที่เธอใส่ยังชุดเดิมกับชุดที่ใส่ในวันที่โดนแช่แข็งไม่มีผิด สีหน้าของเธอซีดยิ่งกว่าเดิม
“นี่...นี่ไม่ใช่เรา...ไม่...ไม่ใช่!!!!!!”
ความหวาดกลัวครอบงำเธอทำให้เธอแสดงพลังของเธอออกมา ทำให้เกิดแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ขึ้นมาจากพื้นเต็มไปหมด ตอนนั้นภายในหัวของเธอกับรู้สึกว่างเปล่าไปหมด เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปแล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ก่อนที่เธอจะสลบลงไปกับพื้นทันที
ห่างไกลออกไปจากสถานที่หญิงสาวอยู่ เหนือใจกลางทะเลห่างออกไปจากนิวยอร์กไปหลายร้อยกิโลเมตร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่คล้ายๆ เกาะลอยตัวอยู่เหนือทะเล ภายในเกาะนั้นมีตั้งแต่บ้านเรือน ตึกอาคาร และโรงเรียน อยู่ภายในเกาะนั้น ที่แห่งนั้นถูกเรียกว่า เกาะแห่งความหวัง หรืออีกชื่อ โฮพฟลุเน็ช เกาะที่เต็มไปด้วยความหวังของผู้คนตามชื่อของเกาะ
และสถานที่แห่งนี้ก็เป็นแหล่งรวมของเหล่าผู้คนที่มีพลังพิเศษที่ถูกเรียกกันว่า เมต้าฮิวแมน บนเกาะนี้ยังมีจุดศูนย์กลางที่ผู้คนจะให้ความสนใจมากที่สุดมันมีตึกอาคารอันโอฬาร ตึกนั้นถูกเรียกว่า ฐานบัญชาการเหล่ายอดมนุษย์ ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะสถานที่นั้นถูกก่อตั้งขึ้นมาก่อนสิ่งไหนๆ บนเกาะ ข้างในนั้นมีพนักงานและเจ้าหน้าที่อยู่เยอะไปหมดมีตั้งแต่มนุษย์ยันถึงเหล่าเมต้าฮิวแมนที่ทำงานอยู่ข้างในนั้นกัน พอเข้ามายังข้างในตึกไปยังห้องหนึ่งเป็นจุดรวมพลเพื่อการประชุมใหญ่ของเหล่าผู้มีอำนาจและหน้าที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในที่แห่งนี้ ภายในห้องนั้นช่างเคร่งเครียดกันอย่างมาก แล้วก็มีหญิงสาวผมแดงกำลังกล่าวบางอย่างให้ทุกคนฟัง
“จากที่ตรวจสอบไปเมื่อ 1 เดือนก่อน พวกองค์กรดาร์คเนสยังออกตามหาบางอย่างอยู่ ตอนนี้พวกเราก็กำลังตรวจสอบว่าพวกนั้นหาอะไรกัน ถึงจะยังไม่มีเบาะแสอะไรเข้ามาเลยก็ตามที แต่เราก็จะหาให้ได้จนกว่าจะเจอค่ะ”
หญิงสาวผมแดงเมื่อกล่าวออกมาจนจบก็มีหญิงคนหนึ่งเกิดพูดพึมพำเบาๆ ออกมา แต่ก็ได้ยินหมดทุกคน
“จะหาให้ได้หรือไม่พยายามกันแน่ล่ะเนี่ย”
หญิงสาวผมแดงได้ยินเธอกำหมัดไว้แน่นทันที ก่อนที่หญิงสาวที่ทั้งร่างกายมีแต่สีเขียวและมีประดับด้วยเครื่องไม้ประดับตามตัวจะเอ่ยพูดขึ้น
"ไม่พูดขึ้นมาก็ไม่มีคนบอกว่าเป็นใบ้หรอกนะ คุณเมอร์ซิด้า"
หญิงสาวที่ถูกเรียกชื่อเธอมีผมสีชมพู เธอถึงกับขมวดคิ้วหันไปมองหญิงสาวผมสีเขียวทันที
“แกว่าไงนะ!!”
“เปล่านี่ค่ะ ถ้าหูหนวกไม่ได้ยินก็ดีไปนะคะ”
“นี่แก!! จะกวนประสาทฉันหรือไง!!” หญิงสาวผมชมพูดลุกขึ้นทันที
“เงียบ!!”
เสียงที่ตะโกนออกมาอย่างดังก้องทำให้เหล่าผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างนิ่งเงียบไปทันใด พวกเขาต่างหันไปมองต้นเสียงที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เขาเป็นชายที่มีรูปร่างอันน่าหลงใหล ทรงผมยาวฟูๆ สีเทาและหูสัตว์ที่คล้ายๆ หมาป่ากำลังขยับไปมา แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างหวาดกลัวชายคนนี้คือดวงตาสีเหลืองอำพันที่จับจ้องไปพวกเขาอย่างน่าเกรงขาม
“พวกเรากำลังประชุมกันอยู่! อย่ามาทะเลาะอะไรที่มันน่ารำคาญได้ไหม!? คุณเมอร์ซิด้า ซาร่าก็ด้วย”
“ขอโทษค่ะ หัวหน้า!” หญิงผมชมพูกล่าวขอโทษทันที พร้อมกับสายตามที่จับจ้องไปที่ซาร่า
ซาร่าหันหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ เพราะเธอไม่ขอโทษอะไรแน่ๆ เพราะเธอไม่ผิดอะไร ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นเขาก็ปล่อยผ่านพร้อมกับหันไปมองซาร่า
“แล้วทางเธอล่ะ ซาร่า ได้ข่าวอะไรมั้งไหม?”
ซาร่าได้ยินคำถาม เธอหันไปหาชายที่เป็นหัวหน้าของเธอทันที “ไม่ค่ะ ตอนนี้ทางเมืองนิวยอร์กก็ไม่มีเรื่องเดือดร้อนอะไร พอเราจัดการให้เมต้าฮิวแมนอยู่ในความดูแลของเราทุกอย่างก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเรื่องที่เมียสืบอยู่นะคะ”
“เมีย!”
“ค่ะ! พวกเราสืบเกี่ยวกับสิ่งที่พวกนั้นหากัน จนเคยจับพวกมันมาได้ แต่พวกนั้นก็โดนวางยาที่อยู่ในรากฟันซะก่อน แต่เราก็ได้เบาะแสมาไม่กี่อย่าง อย่างเช่นพวกนั้นหาใครสักคนค่ะ”
“ใครสักคน? หมายความว่ากำลังหาใครสักคน เพื่ออะไร?”
“เราก็ยังไม่แน่ใจค่ะ...”
“หึ! สองสามปีที่พวกนั้นหายเข้ากลีบเมฆไป ตอนนี้กับออกมาเพื่อหาใครบางคน...”
“ฉันว่าเราน่าจะลองหาสายสืบของเรานะคะ ว่าพวกนั้นตามหาอะไรกันแน่นะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้น
“สายไปแล้วล่ะ พีบี!”
“หมายความว่าไงนะ?”
“สายสืบของเราโดนจับได้ เลยโดนฆ่าไปแล้วล่ะ”
“อะไรกัน...” หญิงสาวที่ชื่อพีบีถึงกับหน้าซีดไปทันที
‘ตึง!!’
ทุกคนต่างตกใจกับเสียงทุบโต๊ะที่ดังขึ้นมา คนที่ทำเสียงนั้นขึ้นมาก็คือชายคนหนึ่งที่อยู่หัวโต๊ะ
“จะมีอีกสักกี่คนที่ต้องตายเพราะเจ้าพวกนั้นกัน!!”
เมื่อเห็นสีหน้าของชายผมสีเทาดูไม่ค่อยทำให้สถานการณ์ในประชุมดีขึ้น หญิงผมชมพูก็เริ่มพูดขึ้นเพื่อประจบหัวหน้า
“เราต้องทำสำเร็จแน่ๆ ค่ะ หัวหน้า ไม่ต้องไปห่วงหรอกนะ เดียวพวกเราก็จับพวกนั้นได้เองนั้นล่ะนะคะ!”
“จับได้งั้นเหรอ?” ชายหนุ่มพูดถ้วนอีกครั้ง
พอได้ยินน้ำเสียงของหัวหน้าเปลี่ยนไป ทำให้หญิงผมชมพูถึงกับรู้สึกว่าตัวเองไม่น่าพูดอะไรออกมาเลยจริงๆ นั้นทำให้เธอเหงื่อตกทันที
“หึ! พูดออกมาแบบนั้น ถ้าเราจับได้...คงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านมาได้ถึง 10 ปีแบบนี้หรอกนะ” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาวก่อนจะมองทุกคน "ตั้งแต่ตอนนั้น...ตอนที่เกิดเมต้าฮิวแมนขึ้น!"
ทุกคนต่างนิ่งเงียบไปทันที เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากชายที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของฐานบัญชาการนี้เอ่ยพูดขึ้น
“จบการประชุมเท่านี้เชิญทุกคนกลับไปทำงานได้!”
พอชายหนุ่มพูดขึ้นทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกับก้มหัวทำความเคารพแล้วออกจากห้องไป หญิงผมชมพูดกำลังจะรอทุกคนออกไป เธอกำลังจะพูดบางอย่างกับหัวหน้า
“หัวหน้าค่ะ อยากให้ฉัน…”
“ออกไปซะ! คุณเมอร์ซิด้า! ฉันอยากอยู่คนเดียว!”
“อ๊ะ...ค่ะ...”
หญิงสาวกับรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยที่หัวหน้าไล่เธอออกจากห้องนั้น เธอรีบเดินออกไปข้างนอกทันที พวกสาวๆ ที่เป็นคู่อริกับเธอก็ต่างขำออกมาเบาๆ ทำให้เธอไม่ชอบใจแล้วเดินออกไปทันที
“อยากประจบกับหมอนั้นคงชาติหน้าล่ะ ถ้าหมอนั้นยังไม่ลืมเธอคนนั้นนะ”
“ก็จริงนะ...แต่เธอคงไม่มีวัน...กลับมาหาเราแล้วล่ะ...”
ซาร่าพูดขึ้นพร้อมกับเดินออกจากตรงนั้น สองสาวก็ตามซาร่าไปทันที ชายหนุ่มผมสีเทาที่อยู่ข้างในห้องประชุม เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง สายตาเขาจับจ้องไปก้อนเมฆที่ลอยผ่านเกาะนี้ไป สีหน้าเขานั้นเหมือนกำลังจมสู่ห้วงแห่งความคิดของเขา
“ฉัน...อยากให้เธอมีชีวิตอีกครั้ง...ฉันอยากขอโทษเธอ...มิรารี...”
บนเกาะ ณ ห้องหนึ่งที่หญิงสาวอยู่
บนพื้นอันเย็นเฉียบมีน้ำที่หนองกันจากน้ำแข็งที่ละลายไปเยอะแล้ว หลังจากเวลาผ่านมาหลายชั่วโมง น้ำบนพื้นนั้นหนองกันจนสัมผัสกับผิวกายของหญิงสาว นั้นทำให้เธอรู้สึกถึงบางอย่างที่กำลังสัมผัสริมฝีปากของตนเอง เธอค่อยๆ ได้สติอีกครั้ง ดวงตาของเธอค่อยๆ ขยับขึ้นมาช้าๆ เธอมองภาพตรงหน้าเธอเริ่มปรับสติตัวเอง เธอจำได้ว่าตัวเองสลบไป เพราะเห็นร่างกายของตัวเองกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ เธอค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ พอพยุงตัวเองจนทรงตัว เธอมองมือของตัวเองที่ยกขึ้นมา ในหัวนั้นมีแต่ภาพขาวโพลนไปหมด เธอไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไรอยู่
“นี่ฉัน...กลายเป็นตัวอะไรกัน...”
หญิงสาวค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้นอีกครั้ง เธอหันไปมองกระจกที่ตัวเองดูครั้งแรกอีกครั้ง เธอเห็นร่างกายที่กลายเป็นสีขาวดั่งกระดาษ แล้วทรงผมที่สั่นเหมือนตอนเป็นร่างเดิม แต่มันกลายเป็นสีขาวไป ร่างกายเธอผอมบางต่างจากเธอคนเดิม
“นี่มันเราเหรอ? ใช่เราจริงๆ เหรอ?”
หญิงสาวนึกภาพตัวเองที่เปลี่ยนไปไม่ออกเลย แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปกลายเป็นใครก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอรู้สึกไม่เหลือเค้าเดิมของเธอเลย ตัวเธอที่มีชื่อว่ามิรารี เธอรู้สึกแปลกกับร่างกายนี่ไปหมด ก่อนจะยกมือขึ้นมาตีใบหน้าของเธอทันที
‘เพียะ!’
“ไม่เศร้าๆ ถึงร่างนี้จะเปลี่ยนไป แต่ฉันก็คือ มิรารีคนเดิม!!”
มิรารีตั้งสติตัวเองเธอจะไม่ยอมเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ ถึงร่างกายจะเปลี่ยนไปตัวเธอก็ยังเป็นเธออยู่ดี ตอนนี้เธอต้องหาทางออกจากห้องนี้ก่อน แต่เธอกับรู้สึกแปลกๆ ที่คอเธอมันไม่รู้สึกกระหายแล้วนั้นทำให้เธอสงสัยเมื่อมองไปที่พื้น
‘นี่ฉัน...คงไม่ได้ดื่มน้ำที่พื้นไปแล้วนะ...’
สีหน้าของมิรารีเปลี่ยนไปทันที เธอนั้นไม่นึกเลยว่าตัวเองจะลำบากแบบนี้จริงๆ แต่เธอก็ส่ายหน้าแล้วหาทางที่จะออกจากห้องที่คล้ายๆ ห้องวิจัยนี้ก่อน เธอหันไปเจอประตูบานใหญ่บานหนึ่งเข้า พอเห็นแบบนั้นเธอค่อยๆ พยายามเดินไป การเดินของเธอนั้นช่างลำบากจริงๆ เพราะว่าขาของเธอไม่ได้เดินมาทาง เธอพยายามเดินตรงไปจนถึงประตูบานใหญ่นั้น พอถึงเธอก็ดีใจสุดๆ ก่อนจะพยายามที่จะดึงมันเหมือนให้มันเปิดออก แต่พยายามดึงไปทางด้านขวามือมันก็ไม่มีอาการที่จะยอมเปิดเลย
“เราเปิดผิดเหรอ? งั้นเอาใหม่!”
มิรารีลองเปิดไปทางด้านซ้ายมั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรขยับเลย
“เดียวสิ! แบบนี้มัน...เราโดนขังในนี่เหรอ!? ไม่นะฉันไม่อยากติดอยู่ในนี้จนตายนะ!!”
มิรารีเริ่มโวยวายเพราะความกลัวหน่อยๆ เธอพยายามถีบประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผลจนเธอลื่นล้มลงกับพื้นไปทันที
“อ๊ากกกกกกก!!”
เมื่อล้มลงไปกับพื้นสิ่งที่โดนพื้นอันดับแรกคือก้นของเธอมันช่างเจ็บเหลือหลายจริงๆ
“โอ๊ย...เจ็บเป็นบ้า...ทำไมมีแต่เรื่องเจ็บตัวนะเรา...”
พอร่างกายโดนกระแทกไปอีกครั้ง ทำให้มิรารีค่อยๆ ตั้งสติพร้อมกับใช้สมองในการคิดว่าควรทำยังไงดีที่จะออกจากห้องนี้ไปได้
“อืมมมมม ถ้าเปิดประตูไม่ได้ก็ต้องตรวจสอบว่า...”
มิรารีนึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะชี้ไปทางทางหนึ่งพร้อมกับพูดบางอย่าง
"มีปุ่มเปิดอยู่ตรงไหน!!"
มิรารีมองไปจุดที่เธอชี้ มันมีคอนโซลสี่เหลี่ยมๆ มีปุ่มเยอะๆ เธอนิ่งไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่คอนโซลนั้น แล้วกดปุ่มสีที่เน้นๆ ตรงหน้านั้น ประตูก็เปิดในทันที เห็นแบบนั้นมิรารีล้มลงไปซุกไปกับพื้นทันที
“นี่เราโง่ขนาดนี้เลยหรือไงกัน...ถึงไม่รู้กระทั่งว่ามีปุ่มใกล้ๆ ...แถมทำตัวเองเจ็บอีก แย่จริง!!”
มิรารีถึงกับน้ำตาตกทันทีที่ตัวเองต๊องถึงไม่คิดให้ถี่ถ้วนก่อนจะทำอะไรให้ตัวเองเจ็บตัว เธอค่อยๆ โผล่หน้าออกไปเพื่อมองว่าจะมีใครเดินแถวนั้นหรือมีใครจะโผล่มาจับเธอหรือเปล่า แต่พอมองออกมาก็เห็นแต่ซากกำแพงอยู่ตามพื้นและแสงสว่างมาจากข้างนอก
“ที่นี่มัน...ที่ไหนกันแน่เนี่ย?” มิรารีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
เดินออกมาเจอแต่ซากกำแพงที่แตกออก หรือรูตามพื้นทำให้เห็นข้างล่างได้เลยแต่นั่นทำให้เธอต้องเดินดีๆ เพื่อไม่ให้ตกลงไปข้างล่าง ระหว่างที่เดินไปนั้นก็มีบางอย่างทำให้มิรารีขนลุกคือแมลงตามทางเดินพวกมันเดินกันตามพื้นหรือไม่ก็จับกลุ่มตามหิน และถ้าเจอตัวที่มิรารีเกลียดคงทำให้มิรารีขนหัวลุกกว่าเดิมแน่ๆ
“ขอให้อย่ามีเจ้าปีเตอร์เดินอยู่เลยนะ...” มิรารีเดินอย่างระมัดระวัง “ที่นี้โดยปล่อยร้างแน่แค่ไหนกันถึงไม่มีการกำจัดเจ้าแมลงพวกนี้กัน…”
มิรารีบ่นพึมพำเกี่ยวกับแมลงไปตลอดทาง เธอไม่เคยชอบแมลงเลยจริงๆ คงเพราะสมัยเด็กๆ เธอโดนพี่ชายแกล้งเอาแมลงมาแหย่ เลยทำให้เธอกลายเป็นคนกลัวแมลงไปเลย เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่เธอเดินเธอก็เดินจนมาถึงจุดที่มีลมพัดเข้ามาพร้อมกับแสงแดดอันอบอุ่น
“อุ่นจัง...”
มิรารีเงยหน้าขึ้นเมื่อมองเพดานที่เป็นโดมกระจกแตกอย่างกับโดยอะไรพุ่งใส่ นั้นทำให้เธอเข้าใจเพิ่มเลยว่าตรงนี้เป็นอีกจุดที่แมลงเข้ามาได้
“ถึงได้...มีแมลงเต็มไปหมด...เพราะทางเข้าเต็มไปหมดจริงๆ ...”
เห็นสภาพที่นี้เป็นแบบนี้ก็ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิรารีรู้สึกเซ็งๆ เธอส่ายหัวก่อนจะมองหาทางลงไปชั้นล่าง เธอเห็นราวกันแบบกระจกพอเดินไปดูก็ได้เห็นภาพชั้นล่างเหมือนมีการโจมตีใหญ่เกิดขึ้นตรงนี้ เพราะมีทั้งหลุมขนาดใหญ่ใจกลาง ซากเสา ซากกำแพงที่แตกเต็มไปหมด เมื่อมองรอบๆ เธอก็เห็นบันไดที่จะลงไปข้างล่าง จึงรีบวิ่งไปที่บันไดทันทีแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะบันไดนั้นขาดเป็นสองส่วน
“แล้วจะลงไปยังไงดีล่ะเนี่ย?”
มิรารีมองบันไดที่ขาดเธอนึกอย่างสงสัยว่าจะลงไปยังไง เธอมองรอบข้างๆ มันไม่มีแม้กระทั่งเชือกเลย สายตาของมิรารีเอาแต่มองบันไดจนเธอมีความคิดที่บ้าบิ่นที่สุดเท่าที่เธอเคยทำ เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปข้างหลังของตัวเกือบสิบก้าว เธอหยุดเดินก่อนจะหลับตาลง เธอรีบหันตัวกลับแล้ววิ่งไปอย่างเร็วแล้วกระโดดเมื่อถึงจุดที่จะกระโดดในทันที ตัวเธอนั้นลอยอยู่ในอากาศสักพัก พอเธอเห็นตัวเองลอยอยู่นั้น เธอกลับลืมนึกว่ากระโดดมาแบบนี้แล้วจะมีอะไรรับเธอล่ะ
“กรี๊ดดดดดดดดด!!”
‘ตู้ม!!’
‘ตึง!!’
เสียงตู้มและตึงดังขึ้นหลังจากร่างอันเบาะบางตกลงสู่พื้นแล้วกระแทกกับกองซากกำแพงขนาดใหญ่และเศษแก้วตามพื้น
“โอ๊ะ...โอ๊ย...ไม่นึกว่าจะเจ็บแบบนี้ ทำตัวเองอีกแล้วเรา...”
เธอมองร่างกายของตัวเองที่มีบาดแผลจากการโดนบาดเพิ่มขึ้น
“ได้เลือดเลยแฮะ...”
เธอมองเลือดที่ซึมออกมา เลือดสีแดงที่ยังบ่งบอกว่าตัวเธอนั้นก็ยังเป็นมนุษย์อยู่
“ฉัน...ยังเป็นมนุษย์อยู่ใช่ไหมนะ?”
ถึงจะให้คิดยังไงเธอก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ดีนั้นล่ะ แต่แค่ตอนนี้กลายเป็นอะไรไปเท่านั้นล่ะ มิรารีพยายามจะลุกขึ้น แต่เธอกับรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าทันที
“อ๊ะ...เจ็บ...ข้อเท้าแพลงเหรอเนี่ย...ทำไงดีล่ะเนี่ย?”
ถ้ามีคนรอบข้างเธอก็ยังขอความช่วยเหลือได้ แต่ตอนนี้เธอรู้เลยว่าตัวเองอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีผู้คนเลยแน่ๆ ในหัวคิดย้อนไปเลยว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรก่อนที่เธอจะนึกถึงน้ำที่หนองที่พื้นตอนเธอสลบรอบสอง
“ตอนนั้นก่อนสลบมีอะไรคล้ายๆ น้ำแข็งโผล่ขึ้นมานี่น่า?”
มิรารีคิดอย่างสงสัย เธอเริ่มสงสัยล่ะว่าตัวเองนั้นรู้สึกเย็นตลอดเวลาโดยที่ข้างนอกนี้ก็ร้อนแท้ๆ
“หรือว่าเรา...”
มิรารียกมือตัวเองขึ้นมามองก่อนจะจ้องไปอย่างพยายามจะให้มีอะไรออกมาก่อนที่จะเห็นไอสีขาวได้ไหลออกมาจากมือพร้อมกับละอองสีขาว
“นี่มันหิมะ!!”
มิรารีจ้องแบบอึ้งๆ เธอไม่คิดเลยว่าตัวเองจะมีความสามารถแบบนี้
“หรือว่าที่เรามีร่างกายสีขาวเพราะ...การระเบิดนั้นกับ...ตู้พายุหิมะนั้น...ทำให้เรากลายเป็น...ยอดมนุษย์เหรอ?”
มิรารีมีสีหน้าที่ตึงเครียดทันทีจนลืมความเจ็บ เธอยกมือขึ้นมาทุบที่ฝ่ามือของเธอ
“ถ้างั้นเราก็ประคบเย็นที่ข้อเท้าได้แล้วสิ!”
มิรารีหันไปมองเท้าตัวเองที่ตอนนี้เริ่มจะบวมหน่อยๆ เธอเลื่อนมือไปสัมผัสข้อเท้าพร้อมกับใช้พลัง เริ่มมีไอสีขาวเย็นๆ ออกมาพร้อมกับสิ่งที่ต่างออกไปคือน้ำแข็งที่กำลังแช่แข็งข้อเท้าของเธอ
“เย้ย! น้ำแข็งเหรอ!? แต่เย็นจัง! แต่ก็สบายดีจัง~”
จากที่ต้องเย็นจนชาเธอกับรู้สึกดีมากๆ หลังจากประคบเย็นและฉีกเสื้อของเธอแล้วมาพันข้อเท้าของตัวเอง
“เอาล่ะ!”
มิรารีพยายามจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอต้องเขย่งขาที่เจ็บไว้เพื่อไม่ให้มันลงน้ำหนักเยอะเกินไปจนเธอเจ็บ เธอก็ค่อยๆ พยุงตัวเดินออกไปนอกสถานที่ที่เธออยู่ พอเดินไปจนออกมานอกประตูแสงแดดนั้นยิ่งส่องใส่เธอจนแสบตาไปหมด พอเอามือบังก็ทำให้เธอภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน ดวงตาที่จับจ้องภาพตรงหน้าก็เบิกกว้างอย่างแปลกใจทันทีว่าจุดที่เธออยู่นั้นมีคือที่ไหนกัน
“นี่ฉันอยู่บนเกาะกลางทะเลหรือไงเนี่ย!!”
ภาพตรงหน้าของมิรารีคือรอบๆ ตึกที่เธออยู่นั้นมีแต่ป่าเต็มไปหมด และมีทางเดินที่ลงเนินไปจนถึงจุดที่คล้ายๆ ท่าเรือ นี่ทำให้มิรารีคิดเลยว่าตัวเองถูกมาปล่อยเกาะหรือยังไงกัน อยู่ในตู้นั้นพร้อมกับปล่อยเกาะเป็นอะไรที่เสี่ยงตายสุดๆ เธอพยุงการเดินเพื่อจะไปมองข้างๆ ตึกเพื่อมองข้างหลังแต่ก็เห็นแต่ป่า
“ฝันร้าย...ฝันร้ายชัดๆ ถึงจะเคยเดินป่ากับพ่อตอนเด็กๆ แต่นี่มันนี่มัน...นรกชัดๆ!”
มิรารียิ่งเครียดกว่าเดิมอีกก่อนที่สายตาของเธอจะหันไปเจอสิ่งที่คล้ายๆ ลำต้นของต้นไม้แต่มันดูใหญ่มากๆ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองก็ได้เห็นต้นไม้ที่มีลำต้นที่ใหญ่และขนาดของต้นไม้ที่ใหญ่มากๆ
“แม่เจ้าโว้ย! ต้นอะไรจะใหญ่ขนาดนี้กัน!!”
น้ำเสียงของมิรารีนั้น ดูรู้สึกประหลาดใจที่ได้เห็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นไม้ทั่วไปเป็นเท่าตัว ต้นนี้ดูใหญ่กว่าต้นไหนๆ เป็นสิบเท่า พอเห็นต้นไม้แบบนี้อยู่ตรงหน้ามิรารีก็มีความคิดแปลกๆ ขึ้นมาอีก
“ปีนขึ้นไปดูรอบๆ ดีกว่า!!”
พอตัดสินใจแบบนั้นได้มิรารีก็พยายามที่จะปีนขึ้นบนต้นไม้ แต่พอมือกำลังจะแตะต้นไม้ก็มีน้ำแข็งออกมาแช่แข็งต้นไม้เป็นจุดที่เธอจับซะงั้น
“ว้าย! ตายล่ะ! ทำไมกัน!!”
มิรารีถึงกับตกใจเธอไม่นึกว่าตัวเองจะทำให้ต้นไม้โดนแช่แข็ง ถึงจะเป็นจุดเล็กๆ ก็ตามที
“ทำไงดีล่ะเนี่ย...” เธอกลุ้มใจอยู่สักพักก่อนจะพนมมือขึ้นให้ต้นไม้ “ขอโทษทีจะทำให้โดนแช่แข็งนะคะ!!”
มิรารีไม่รอช้าก็รีบปีนขึ้นต้นไม้ทันที เธอปีนต้นไม้ได้อย่างง่ายได้อย่างกับเธอเป็นลิงมากก่อน คงเพราะสมัยเธอเด็กๆ ชอบปีนต้นไม้เก็บมะม่วงในบ้านของเธอบ่อยๆ จนชินกับการปีนแบบนี้แล้ว พอปีนจนมาถึงจุดที่อยากจะเห็นรอบๆ
“สูงพอแล้วล่ะ ขอโทษนะคะคุณต้นไม้ ทำเอาเย็นไปเลยล่ะมั้งนั้น...”
พอมองข้างล่างก็เห็นจุดน้ำแข็งตามลำต้นเต็มไปหมด นึกถึงร่างกายคนเลยคนจะชาน่าดู มิรารีหันไปมองด้านหลังของตึก ตาก็เบิกกว้างอีกรอบทันที
“นี่...นี่มัน...จะกว้างไปไหนกัน...!?”
พอได้เห็นด้านหลังของตึกมันมีแต่ป่าเต็มไปหมด แต่มันกว้างจนยังเห็นทะเลด้านหลังนี่ก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าตัวเองนั้นอยู่บนเกาะที่ไหนสักแห่งบนโลก แต่พอสังเกตรอบๆ ป่าบางจุดเหมือนพึ่งมีต้นไม้เกิดใหม่ได้ไม่ได้ ทำให้ยิ่งสงสัยว่าที่นี้เกิดการต่อสู้กันเหรอ มิรารีค่อยๆ ลงจากต้นไม้ แต่มีบางอย่างทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เธอลงมาใกล้ถึงด้านล่างก็กระโดดลงมาทันใด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“ข้อเท้ามัน...ไม่เจ็บ...แล้ว...”
มิรารีลองขยับเท้าไปมาอย่างสบายและไม่เจ็บทำเอาแปลกใจเข้าไปอีกว่าทำไมถึงหายเจ็บไวแบบนี้ พอลองแกะผ้าที่มันออกขาของเธอก็หายบวมไปแล้ว
“นี่เรา...เป็นยิ่งกว่ายอดมนุษย์เหรอ?” มิรารีเหงื่อตกด้วยความสงสัยทันที
ความคิดทุกอย่างกำลังผุดขึ้นมามากมายเพื่อหาสาเหตุที่เธอหายเจ็บข้อเท้า อยู่ๆ ก็มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
‘โครกกกกกกกกก’
มิรารีรีบจับบริเวณหน้าท้องของเธอในทันที “หิวซะแล้วสิ...ทำไงดีเนี่ย...คงต้องหาอะไรที่หลงเหลืออยู่ข้างในตึกทานซะแล้วสินะ...ที่นี่ถูกทิ้งร้างมากี่ปีแล้วนะ...จะมีของกินมั้งไหมนะ?”
มิรารีมองไปที่ตึกข้างหน้าของเธอก่อนจะลองเดินเข้าไปข้างในอีกครั้ง เธอพึ่งสังเกตว่าข้างหน้าเหมือนเป็นห้องโถงมีพื้นที่นั่ง แต่ตอนนี้กลายเป็นซากปรับหักพังไปแล้ว ข้าวของบางอย่างก็ผุพังไปแล้ว
“เกิดสงครามอะไรขึ้นที่แห่งนี้กันนะ?”
มิรารีเดินตรงไปแถวๆ เคาน์เตอร์ เพื่อตรวจสอบบางอย่างพอเดินมาก็เห็นมีคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ แต่สภาพมันดูทันสมัยมากกว่าตอนที่เธอเคยเห็นล่าสุด
“ชักสงสัยเลยแฮะว่าเราอยู่ในตู้นั้นนานแค่ไหน?”
มิรารีเดินมาอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ ก่อนจะลองหาปุ่มกดเปิดเครื่อง พอค้นหาจนเจอปุ่มที่คล้ายๆ ปุ่มเปิดก็ลองกดปุ่มดู แต่ไม่มีเสียงอะไรหรือภาพอะไรติดเลย ทำเอาเซ็งไปเลยจริงๆ
“เฮ้อ...อยู่มานานคงจะเจ๊งแล้วล่ะมั้ง...”
เธอเดินออกจากเคาน์เตอร์ทันใด แล้วลองสำรวจให้ตึกต่อ เมื่อดูรอบๆ มันมีแต่ห้องที่เปิดค้างไว้เต็มไปหมด บางห้องก็มีข้าวของกระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด เหมือนคนที่อาศัยก่อนหน้าจะรีบร้อนจนเอาของออกไปไม่หมด ทำให้ต่อมขี้สงสัยของมิรารีเพิ่มขึ้นไปอีก
“สงสัยแล้วแห่งว่าที่นี้มีไว้ทำอะไรและก็...เคยเกิดอะไรขึ้นมั้งนะ?”
มิรารีเดินไปพึมพำไปอย่างสงสัยมากขึ้น เธอเดินรอบๆ ชั้นหนึ่งจนมาถึงจุดที่มีป้ายขนาดใหญ่ติดเหนือประตูบานใหญ่
“โรงอาหาร...”
บนใบหน้าสีขาวนั้นก็มีรอยยิ้มอันเบ่งบานขึ้นมาทันใด เธอรีบเปิดประตูเข้าไปข้างในทันที เธออยากรู้เลยว่าข้างในโรงอาหารนี้ จะมีอาหารที่ยังพอให้เธอทานได้อยู่ไหม เมื่อเปิดประตูเข้าไปข้างใน สภาพดูไม่ได้เลยจริงๆ มีแต่ของที่พังไปหมด โต๊ะทานอาหารพังไปหมด ในห้องนี้คงมีการต่อสู้ด้วยแน่ๆ แต่พอมองไปที่ข้างหน้าก็เห็นรูขนาดใหญ่อยู่บนกำแพงของห้องอาหาร ทำให้เข้าใจเลยที่ห้องนี้พังได้ขนาดนี้
“อยากรู้จริงๆ ว่าใช้ระเบิดในการโจมตีเข้ามาหรือไงกัน?”
มิรารีเดินตรงไปที่แถวๆ เคาน์เตอร์ทำอาหาร เธอก็ลองตรวจสอบทันทีว่าข้างในตู้ต่างๆ มีอะไรมั้ง พอค้นดูก็เจอพวกอาหารแห้ง กระป๋องอาหารต่างๆ ซองซุปสำเร็จรูป ซองอาหารต่างๆ รวมไปถึงเส้นต่างๆ ให้ทาน ทำให้มิรารีดีใจที่ยังมีของให้ทานประทังชีวิตไปได้สักระยะหนึ่ง
“ดีใจอยู่หรอกที่มีอาหารแห้งให้ทาน แต่...ไม่มีอาหารสดเลยแฮะ...”
มิรารีเงยหน้ามองสิ่งที่คล้ายๆ ตู้เย็นตั้งอยู่หัวมุมเคาน์เตอร์ทำให้สงสัยเลยว่ามันจะมีของข้างในไหม
“ไม่กล้าเปิดเลยแฮะ...”
ความกังวลได้เกิดขึ้นทันทีว่าของข้างในมันไม่เน่าไปแล้วเหรอ เพราะที่นี้ถูกปล่อยร้างไว้น่าจะนานแล้วของข้างในไม่เสียไปหมดแล้วเหรอ
“แต่...ก็ต้องตรวจสอบนั้นล่ะ...เพราะจะได้ทิ้งบางอย่างด้วยละนะ...”
พอลุกขึ้นเดินเข้าไปใกล้ๆ ตู้เย็น หัวใจของเธอเต้นแรงตึกตักด้วยความตื่นเต้นว่าเจอจะพบกับกลิ่นอันไม่น่าพึ่งประสงค์ไหม มือที่กำลังยื่นไปจับมือจับของตู้เย็นแล้วดึงสุดแรงของเธอ สิ่งแรกที่กระทบผิวหนังของเธอคือความเย็นพร้อมกับภาพตรงหน้าที่ทำให้แปลกใจและความรู้สึกที่มีความหวังมากขึ้น
“ของ...ของกิน!!”
อาหารมากมายที่ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่ซอส ของดอง หรือวัตถุดิบมากมายที่ทำให้มิรารีอยู่รอไปสักระยะหนึ่ง แต่พอดูๆ ไม่มีอะไรเสียเลยสักอย่าง ความสงสัยมีขึ้นมาทันทีว่าทำไมของพวกนี้ถึงไม่เสียกัน พอปิดประตูช่องปกติก็มาดูในช่องฟิตว่ามีพวกเนื้อสัตว์อะไรมั้ง พอเปิดประตูก็เจอกับเนื้อสัตว์ที่โดนแช่ไว้และสิ่งที่สะดุดตาของมิรารี
“อ๊ายยยยยยยย ไอศกรีม!!” มิรารีกรี๊ดกร๊าดอย่างชอบใจ “ไม่ตายแล้วค่ะ! มีของพวกนี้หนูก็ทำอาหารที่อยากทานก็ได้แล้วค่ะ!!”
ณ สถานวิจัย ข้างในตึกฐานบัญชาการยอดมนุษย์
ข้างในตึกฐานบัญชาการยอดมนุษย์นั้น ได้มีสถานที่หนึ่งที่เหล่าผู้คนให้ความสำคัญเป็นอันดับสอง ได้แก่สถานวิจัยที่มีขนาดใหญ่แห่งนี้ ภายในสถานวิจัยมีเหล่านักวิจัยมากหน้าหลายตาตั้งแต่มนุษย์จนกระทั่งเมต้าฮิวแมนที่ทำงานเป็นนักวิจัยกัน พวกเขาต่างวิจัยในหลายๆ เรื่องหลายอย่างที่ได้รับมอบหมาย ร่วมถึงบุคคลที่เหล่านักวิจัยจะให้ความเคารพนับถือที่สุดในสถานวิจัยแห่งนี้ เหล่านักวิจัยทั้งหลายต่างทักทายเด็กผู้หญิงร่างเล็กที่กำลังเดินผ่านพวกเขาในทันที
“สวัสดีครับ ดอกเตอร์”
“สวัสดีค่ะ ดอกเตอร์”
“สวัสดีทุกคน ตั้งใจทำงานกันล่ะ!!”
เด็กผู้หญิงร่างเล็กต่างทักทายตอบทุกคนอย่างยิ้มแย้ม เธอมีความสูงเท่ากับเด็กผู้หญิงวัย 11 ปี เธอเดินตรงกลับไปยังห้องห้องหนึ่งที่เป็นห้องทำงานของเธอ พอมาถึงโต๊ะของตนเองเธอก็หมุนเก้าอี้แล้วนั่งลงด้วยร่างกายที่เหนื่อยล้า
“เฮ้อ...เหนื่อยจังเลย การประชุมวันนี้ก็ทำให้เครียดลงกระเพาะอีกแล้ว...”
ระหว่างที่เธอนั่งถอดหายใจด้วยความเหนื่อยอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ดอกเตอร์ค่ะ ฉันฮาร์เปอร์ค่ะ”
“เข้ามาได้...” เด็กผู้หญิงเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามา
ต้นเสียงได้เปิดประตูเข้าไป เธอเป็นหญิงสาวร่างสูงมีรูปร่างน่าหลงใหล รูปปากได้รูป ดวงตาที่ตี๋หน่อยๆ หน้าอกขนาดคัพเอฟ เอวได้รูปตัวเอส หญิงสาวคนนี้เดินเข้ามาพร้อมกับเอกสารต่างๆ
“วันนี้มีอะไรเหรอ?”
“วันนี้มีแค่เอกสารให้ดอกเตอร์เซ็นนะคะ” ฮาร์เปอร์กล่าวจบก็วางเอกสารลงตรงหน้าของหญิงสาว
“เอกสารอีกแล้วเหรอ? น่าเบื่อจริงๆ ...” เด็กผู้หญิงมองกองเอกสารมากมายที่ต้องทำ
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ ตรวจสอบแล้วเซ็นเสร็จก็ได้พักแล้วนะคะ ดอกเตอร์”
“เลิกเรียกฉันแบบนั้นเลยนะ...ฮาร์เปอร์...บอกแล้วไงว่าอยู่สองต่อสอง ให้เรียกว่า เอวา นะ”
ฮาร์เปอร์ยิ้มออกมาเบาๆ พร้อมกับเดินมาอยู่ข้างๆ เอวา “จ้าๆ เอวา ถ้าทำงานเสร็จกลับบ้านไปจะทำอาหารอร่อยๆ ให้ทานนะ”
“จริงนะ!” เอวามองหญิงสาวอย่างชอบใจ
“จริงสิ” ฮาร์เปอร์หอมแก้มเอวาหนึ่งครั้งก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เอวายิ้มอย่างมีความสุข เธอนึกถึงแต่อาหารฝีมือของฮาร์เปอร์ ระหว่างหยิบเอกสารมาตรวจสอบเธอก็ล้วงมือใต้โต๊ะหาปุ่มเปิดบางอย่าง เพราะกดปุ่มนั้นได้ก็มีบางอย่างขึ้นมาจากพื้นมันมีลักษณะกรอบสี่เหลี่ยมใหญ่ นั้นก็คือ จอคอมพิวเตอร์ขนาดบาง พร้อมกับแป้นพิมพ์โฮโลแกรมบนพื้นโต๊ะ
“ระหว่างเซ็นเอกสารก็ตรวจดูงานไปด้วยละกันนะ”
ระหว่างที่มือซ้ายเซ็นเอกสารอยู่ มือขวาก็เลื่อนเมาส์เพื่อดูข้อมูลไปด้วย แต่ระหว่างเซ็นเอกสารแล้วหันมาดูจอคอมก็เห็นความผิดปกติขึ้น
“หือ? ...เครื่องนั้น...ผิดปกติอีกแล้วเหรอ? ...เฮ้อ...ชอบส่งสัญญาณแปลกๆ มาให้ตลอด ครั้งก่อนไปตรวจก็ไม่เห็นมีอะไร...ปิดสัญญาณไปเลยดีไหมนะ...เพราะยังไง...”
เอวาจับจ้องมองหน้าจอคอม เธอมองสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกตินั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เธอคงไม่ฟื้นมาแล้วสินะ...มิรารี...”
ณ เกาะปริศนา ที่ โรงอาหาร
กลิ่นหอมอันหอมอบอวลของเนยกำลังกระทบกับกระทะที่ร้อนฉ่า ฉ่า บริเวณแถวๆ เคาน์เตอร์จะมีกระทะหลายอันที่ด้านจับโดนแช่แข็งจากการโดนจับ นั้นทำให้มิรารีที่เห็นถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ กว่าเธอจะแก้สถานการณ์นี่ได้ เธอต้องไปหาบางอย่างมาปกปิดมือตัวเอง เลยเจอถุงมือหนาๆ ในห้องห้องหนึ่งในตึกนี้เลยนำมาใส่เพื่อป้องกันการแช่แข็งอีก
“แย่จริงๆ ถ้ามีมือแบบนี้ ฉันก็ทำอะไรลำบากนะสิ...แย่ที่สุดเลย...ทำอย่างกับเราเป็นยอดมนุษย์แหละ...”
มิรารีนึกสักพักก่อนจะลืมไปว่าตัวเธอเป็นอะไร
“ฉันเป็นยอดมนุษย์นี่น่า...เฮ้อ...แม่เห็นนี่คงตกใจแน่ๆ ...”
พอพูดถึงแม่ มิรารีรู้สึกคิดถึงแม่ขึ้นมาทันที
“ตอนนี้แม่เป็นไงมั้งนะ...สบายดีไหมนะ...คงเป็นห่วงเราแน่ๆ ที่เราหายไป...”
มิรารีเอาแต่คิดเรื่องของแม่อยู่ๆ ก็มีกินแปลกๆ คล้ายบางอย่างกำลังจะไหม้ พอมิรารีก้มลงมองก็ตกใจทันที
“อ๊ากกกกกกกกกกกก!! กระทะไหม้!!”
มิรารีรีบใช้พลังหิมะดับไฟในทันที เธอปล่อยพลังหิมะใส่ลงในกระทะจนมีเสียงฉ่า ฉ่า
“งื้อ...คิดอะไรเพลินจนทำกระทะไหม้เลย...”
มิรารีส่ายหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“แต่ก็ดีที่ยังไม่เริ่มทำไม่งั้นเสียดายอาหารตาย...!!”
มิรารีจ้องกระทะที่มีกองหิมะอยู่ข้างใน เธอหันไปหากระทะใบใหม่และจัดเตรียมเนย กระเทียม เนื้อไก่ หอมใหญ่ เส้นมักกะโรนี และส่วนผสมสำคัญ ซอสมะเขือเทศกับซอสพริก สำหรับอาหารมื้อนี้
“มีวัตถุดิบพวกนี้ก็ต้องทำ มักกะโรนี ล่ะนะ!”
มิรารีเริ่มนำเนยก้อนเล็กๆ ก้อนหนึ่งใส่ลงกระทะที่กำลังร้อนได้ที กลิ่นของเนยที่กำลังละลาย ช่างหอมไปทั่วทั้งโรงอาหาร ทำเอามิรารีน้ำลายไหลออกมาเลย
“ยังไม่เริ่มทำก็เริ่มหิวแล้วสิเรา!”
เมื่อมองเปลวไฟของเตาแก๊ส มิรารีดีใจสุดๆ ที่เตายังใช้ได้แถมยังมีแก๊สอีกหลายถังที่ถูกเก็บอย่างดีในห้องเก็บของในโรงอาหารนี้
“เท่านี้ก็พออยู่ได้ไปสักระยะ แต่...ไม่มีไฟฟ้าคงต้องใช้ชีวิตโดยไม่ใช่ไฟไปสักระยะน่านะ”
ระหว่างรอเนยละลายก็หันไปสนใจหม้อต้มน้ำใส่น้ำลงไปแล้วปล่อยให้น้ำเดือด แล้วหันกลับจัดการกระทะต่อ พอเนยละลายหมดแล้วก็ใส่กระเทียมเข้าไปผัดกับเนย กลิ่นกระเทียมที่ลงไปกับเนยช่างหอมยั่วในการหิวสุดๆ ระหว่างผัดจนกระเทียมเหลืองก็ใส่เนื้อไก่เข้าไป ผัดเนื้อไก่ไปสักพักจนกว่าจะสุก น้ำในหม้อต้มก็เริ่มเดือดก็ถึงเวลาใส่เส้นมักกะโรนี เบาแก๊สของกระทะลดลง แล้วหันมาสนใจน้ำที่เดือด แล้วเทเส้นที่เตรียมไว้ลงไปแล้วไว้ให้น้ำต้มเส้นให้สุก หันไปดูกระทะต่อผัดไปได้สักระยะ กลิ่นเนื้อไก่เริ่มหอมขึ้นเรื่อยๆ
“หอมจนอยากกินเร็วๆ แล้วสิ! คิกๆ”
พอเนื้อไก่เริ่มเป็นสีขาวและมีน้ำตาลหน่อยๆ จากการเริ่มสุก น้ำมันไก่ที่ออกมาทำให้รู้ว่าไก่สุกกำลังดี แล้วใส่หอมใหญ่ที่หั่นแล้วลงในกระทะแล้วพัดต่อสักระยะ แล้วหันไปสนใจน้ำเดือดที่มีเส้นกำลังเต้นอยู่ในน้ำ พอตักเส้นมาหนึ่งชิ้นแล้วชิมว่าสุกหรือยัง ได้ชิมแล้วมันทั้งนิ่มและไม่แข็งจนเกินไป
“ใช้ได้เลย!”
เธอปิดแก๊สแล้ว แล้วใช้ผ้ายกหม้อ แล้วนำไปเทใส่ตะกร้าตะแกรงที่เตรียมไว้ พอเทเส้นลงไปเพื่อสะเด็ดน้ำออกแล้วปล่อยทิ้งไว้รอให้น้ำออกให้หมด พออันหนึ่งจบก็หันไปสนใจซอสที่จะทำต่อ เสียงฉ่าๆ ดังตลอดเวลาเมื่อผัดไก่กับหอมใหญ่จนสุกน่าทาน
“เอาล่ะต่อไป!”
มิรารีหันไปมองถุงซอสมะเขือเทศ เธอเทซอสนั้นลงในกระทะเสียงฉ่ากับกลิ่นเปรี้ยวของมะเขือเทศเตะจมูกจนน้ำลายกำลังไหลออกมาจากปาก
“อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาา~ กลิ่นที่น่าทานแบบนี้ใครจะทนได้ต้องรีบทำแล้ว!!”
ซอสที่กำลังเดือดได้คลุกกับเนื้อไก่และหอมใหญ่จนน่าทาน ชิมรสชาติที่หวานอมเปรี้ยว แล้วเติมรสชาติเค็มสักหน่อย และตามด้วยรสเผ็ดของซอสพริก คลุมๆ จนส่วนผสมเข้ากันก็ใส่มักกะโรนีที่สะเด็ดน้ำไว้แล้วลงไปในกระทะ ที่จริงควรใส่เนื้อมะเขือเทศด้วย แต่สำหรับมิรารีไม่ค่อยชอบมะเขือเทศเท่าไรก็เลยไม่ใส่เข้าไป
“เสร็จแล้ว!!”
มักกะโรนีถูกจัดใส่จานเป็นที่เรียบร้อย มิรารีดีใจที่ทำอาหารได้เสร็จหมดแล้ว แต่พอหันไปมองกองกระทะในที่ล้างจาน
“ไว้ทานเสร็จค่อยล้างละกัน!”
มิรารีหยิบจานแล้วไปหาที่นั่งทานสบายๆ เนื่องจากโต๊ะนั้นชำรุดหมดก่อนต้องนั่งทานที่พื้นที่สะอาดๆนั่นล่ะ พอนั่งลงก็ดมกลิ่นอาหารของเธอ
“หอมแท้ นั้นทานล่ะนะคะ!!”
มิรารียกช้อนขึ้นมาตักอาหารเข้าปากในทันที รสชาติอันหวานอมเปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อยเข้ามากระจายไปทั่วปากของมิรารี
“อือออออออออออ อร่อยยยยย!!”
มิรารีนั่งทานโดยไม่สนใจอะไร จนอาหารในจานหมดลงความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจได้เข้ามาเข้าในใจของเธอ แต่ความรู้สึกนั้นกับทำให้คิดถึงใครบางคนที่เคยทำมักกะโรนีให้เธอทาน
“แม่ค่ะ...พ่อค่ะ...คิดถึงจังเลย...เวลามัน...ผ่านไปนานแค่ไหนแล้วนะคะ...”
มิรารีมองจานตรงหน้าพร้อมกับน้ำตาที่ตกลงมาเป็นน้ำแข็ง เธอไม่รู้ทำไมถึงร้องไห้ออกมา เพราะปกติเธอจะเป็นคนเข้มแข็งมากๆ แต่เธอตอนนี้เกับร้องไห้ออกมาได้อย่างง่ายได้ คงเพราะร่างกายนี่มันมีอารมณ์ที่แปรปรวนง่ายเหมือนพายุหิมะ เธอเช็ดน้ำตาทันใด
“ร้องไห้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา!!” มิรารีลุกขึ้นทันที
“ฉันต้องหาทางออกจากที่นี้และกลับไปหาครอบครัวให้ได้!!”
จบตอนที่ 2 โปรดติดตามตอนที่ 3 ต่อไป
Comments (0)