ยามโฉ่วศิษย์น้อยใหญ่และผู้อาวุโสต่างเข้านอนกันหมดแล้ว โรงอาบน้ำรวมในยามนี้จึงเงียบสงัดไร้ผู้คน มีแค่ลี่หยางกับเยว่ชื่อที่มาใช้งาน ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวยิ่งนัก

"เจ้าถอดเสื้อผ้าแล้ววางไว้ตรงนั้น จากนั้นก็ไปแช่น้ำ"

ลี่หยางยังคงยืนนิ่ง ทำหน้าตาทึมทื่อเหมือนไม่เข้าใจว่าเยว่ชื่อพูดอะไร

เยว่ชื่อ "..."

เขาถอนหายใจแล้วถอดชุดให้ลี่หยาง "ชาติก่อนข้าก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้นะ"

"ปรนนิบัตข้าเช่นนี้ไม่ดีหรือ? "

เยว่ชื่อย้อนถาม "หากเจ้าต้องมาปรนนิบัตข้าเช่นนี้จะรู้สึกดีหรือไม่เล่า? "

"ข้ารู้สึกดียิ่งนัก" ลี่หยางยิ้มแล้วจับชุดของเยว่ชื่อ "มา ให้ข้าลองถอดชุดให้เจ้า"

"ไม่ต้อง!" เยว่ชื่อปัดมือของลี่หยางออกจนเกิดเสียงดังเพี๊ยะ ลี่หยางใช้มืออีกข้างกุมมือที่ถูกปัด สีหน้าเศร้าสร้อยน่าสงสาร

เยว่ชื่อ "..."

เยว่ชื่อไม่พูดอะไร เขาถอนหายใจรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่อาจนับได้ จากนั้นจึงถอดชุดของตัวเองออกจนไม่มีสิ่งใดปกปิด

ลี่หยางเห็นเยว่ชื่อร่างกายเปลือยเปล่าก็หน้าแดงขึ้นมา ย้ายสายตาไปทางอื่นเงียบ ๆ

เยว่ชื่อเอาชุดของเขาที่ใส่วันนี้ไปวางไว้ในถังไม้ ส่วนผ้าชุดใหม่ก็วางไว้ข้าง ๆ สระ ตอนขึ้นจากสระจะได้หยิบขึ้นมาใส่ได้ง่าย ๆ จากนั้นก็ลงไปแช่ในน้ำ ลี่หยางตามเขาลงไป

"ข้าต้องอาบน้ำให้เจ้าสินะ" เขาถามอย่างไม่ต้องการคำตอบแล้วถอนหายใจออกมา

"ถอนหายใจบ่อย ๆ จะแก่เร็วนะ"

"ใครบอกเจ้า? "

"ข้าจำไม่ได้แล้ว"

เยว่ชื่อถอนหายใจออกมาอีกรอบ

ลี่หยาง "..."

จากนั้นเยว่ชื่อก็จัดการอาบน้ำให้ลี่หยาง เขาใช้ถังไม้ตักน้ำราดหัวให้อีกคน น้ำเย็น ๆ รดลงบนศรีษะทำให้เส้นผมสีน้ำหมึกทาบไปกับผิวหนัง เยว่ชื่อนำเจ้าเจี่ยวมาแช่น้ำ ขยำให้เกิดฟองแล้วชโลมทั่วทั้งศรีษะให้ลี่หยาง ท้องนิ้วทั้งสิบนวดคลึงไปตามหนังศรีษะอย่างอ่อนโยน

ลี่หยาง "สบายยิ่งนัก"

เยว่ชื่อ "เจ้าก็อย่ายืนเฉย ถูเนื้อถูตัวเสียด้วย"

ลี่หยาง "ถูอย่างไร"

เยว่ชื่อ "..."

แล้วเยว่ชื่อก็ถอนหายใจออกมา หลังสระผมให้ลี่หยางจนสะอาดดีแล้วเยว่ชื่อก็ตักน้ำราดหัวอีกคนจนล้างฟองออกหมด จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้เจ้าเจี่ยวถูตัวให้ลี่หยาง มือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยฟองลูบไล้ไปตามผิวกายขาวซีดเนียนละเอียด จากลาดไหล่ลงมาที่หน้าอก แล้วก็ลงไปที่หน้าท้อง ถูกท่อนแขน แผ่นหลังจนทั่วทั้งส่วนบน จากนั้นก็ตักน้ำราดให้สะอาด

ลี่หยางแปลกใจ "ข้างล่างเล่า? "

"ทำเองสิ"

"แต่…"

"ข้าทำให้เจ้าดูแล้ว ที่เหลือทำเอง"

"แต่ถ้าล้างตรงนั้นไม่สะอาดจะเกิดเชื้อรา แล้วก็…"

"เจ้าก็รู้นี่ ทำเองสิ ถูให้ทั่วเดี๋ยวก็สะอาดเอง"

ลี่หยางจึงต้องทำความสะอาดข้างล่างเองอย่างช่วยไม่ได้ ระหว่างทำเขาก็เหลือบมองเยว่ชื่อที่อาบน้ำสระผมอยู่ข้าง ๆ บ่อยครั้ง เยว่ชื่อผิวกายขาวราวกับหยก ผมก็ดำเงางาม น่าหลงใหลจริง ๆ

"มองอะไร? "

ลี่หยางได้สติขึ้นมา "ข้ามองเจ้า"

"มองทำไม ไม่มีอะไรน่ามอง"

"เจ้าไม่รู้หรือว่าเจ้าน่ามองมากเพียงใด"

"ข้าได้ยินคนพูดจนเบื่อแล้ว หันไปทางอื่นได้แล้ว"

"ขอมองอีกหน่อยไม่ได้หรือ"

เยว่ชื่อคร้านจะไล่ "ตามใจเจ้า"

แล้วเขาก็อาบน้ำโดยมีลี่หยางมองอยู่อย่างนั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วทั้งสองก็ขึ้นมาใส่เสื้อผ้าข้างสระ ลี่หยางมองเยว่ชื่ออย่างต้องการความช่วยเหลือ แต่เยว่ชื่อไม่สนใจเขา ลี่หยางจึงใส่เองอย่างทุลักทุเล มะงุมมะงาหราอยู่นานกว่าจะใส่เสร็จ

"เยว่ชื่อ ข้าใส่เสร็จแล้ว"

เยว่ชื่อหันมามอง ช่วยจัดให้เรียบร้อยอีกหน่อยเป็นใช้ได้แล้วเอ่ยชม "เก่งมาก"

ลี่หยางยิ้มรับคำชม แล้วก็เดินต้อย ๆ ตามเยว่ชื่อกลับเรือน พอมาถึงเรือนเยว่ชื่อก็ยื่นผ้าผืนหนึ่งให้เขา ลี่หยางมองอย่างงุนงง เยว่ชื่อจึงถอนหายใจแล้วชี้ที่พื้น

"นั่งลง"

ลี่หยางเหมือนสุนัขตัวหนึ่งที่ทำตามคำสั่ง เขานั่งลงบนพื้น โดยมีเยว่ชื่อนั่งอยู่บนเตียง จากนั้นผ้าผืนหนึ่งก็โปะลงบนหัวของเขา และถูกใช้ซับน้ำที่อยู่บนผมช้า ๆ

"คราวหลังต้องทำเอง"

"ข้าลองทำให้เจ้าได้หรือไม่? "

"ตามใจเจ้า" ถึงปฏิเสธไปก็คงเซ้าซี้อยู่ดี

พอผมของลี่หยางหมาดลงแล้วเยว่ชื่อกับลี่หยางก็เปลี่ยนตำแหน่งกัน ผ้าผืนใหม่ถูกใช้ซับน้ำให้เยว่ชื่อ ลี่หยางมือเบายิ่งนัก ทั้งยังนวดขมับให้เขารู้สึกผ่อนคลายด้วย

"ดีหรือไม่? "

"ดียิ่งนัก"

หลังจากเสร็จเรียบร้อยเยว่ชื่อก็ลุกขึ้นยืน หาฟูกมาปูข้างล่างให้ลี่หยาง

"เจ้านอนข้างล่าง"

"ข้าจะนอนกับเจ้า"

"ไม่ได้"

"เหตุใดถึงไม่ได้เล่า? ตอนข้าเป็นกระบี่เจ้ากับข้านอนด้วยกันทุกคืน ไม่มีเจ้าข้าจะนอนหลับได้อย่างไร!? "

เยว่ชื่อหมดคำจะพูด ลี่หยางจึงรับออดอ้อนต่อ เขาจับแขนเยว่ชื่อ กล่าวด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

"เยว่ชื่อ เจ้าอย่าใจร้ายกับข้านักเลย ยามข้าเป็นกระบี่เราผูกพันกันมากเพียงใดเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ แล้วเจ้ามาผลักไสข้าเพียงเพราะข้ากลายเป็นคนมันดีแล้วหรือ? "

ลี่หยางกล่าวไม่ผิด ตอนที่เขายังเป็นกระบี่ ทั้งสองผูกพันกันมากจนเหมือนอ่านใจกันได้ เยว่ชื่อได้รับกระบี่เล่มนี้มาจากบิดา เขารักและดูแลลี่หยางดีมาก ทั้งสองอยู่ด้วยกันตั้งแต่เยว่ชื่อยังเด็ก ตั้งแต่หัดเรียนวิชากระบี่จนกลายเป็นปรมาจารย์ เคียงข้างกายเยว่ชื่อตลอดเวลาไม่ว่าจะยามสุขหรือยามเศร้า การที่จะตัดขาดกันง่าย ๆ เพราะลี่หยางกลายเป็นคนมันดีแล้วจริง ๆ หรือ แล้วเวลาที่ใช้ร่วมกันมาเล่า?

หลังคิดถี่ถ้วนแล้วเยว่ชื่อก็กล่าว "ตามใจเจ้า"

ลี่หยางส่งยิ้มยิงฟันให้จนเห็นเขี้ยวซี่เล็ก ๆ ทั้งสองข้าง เยว่ชื่อไม่มองต่อ เขาขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วหันหน้าเข้าหากำแพง

"ถ้าจะนอนบนเตียงก็เอาฟูกไปเก็บด้วย"

กล่าวเพียงเท่านั้นเยว่ชื่อก็หลับไปทันทีเพราะเหนื่อยสะสมมาทั้งวัน ลี่หยางจึงเอาฟูกไปเก็บแล้วมานอนบนเตียงกับเยว่ชื่อ ขยับมือโอบกอดอีกคนแล้วกระซิบฝันดีเสียงเบา

น่าเสียดายที่คำพูดของลี่หยางหาใช่คำบัญชาจากสวรรค์ คืนนั้นเยว่ชื่อฝันเห็นสงคราม เปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำ เสียงรบราฆ่าฟันดังไม่ขาด รอบกายเต็มไปด้วยซากศพคนตาย โลหิตสาดกระเซ็น คนแล้วคนเล่าตายจากไป

เขาเดินต่อไปในสนามรบที่ไม่มีใครมองเห็นเขา มนุษย์กับมารสู้กันจนศพกลายเป็นภูเขา โลหิตหลั่งไหลออกมาจนกลายเป็นทะเลเลือด

จากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เยว่ชื่ออยู่ที่วังหลวง รอบกายยังคงมีเสียงรบราฆ่าฟันดังไม่ขาด ทว่ามันไม่ได้มีแค่มนุษย์และมารอีกต่อไปแล้ว มันมีภูติผีปีศาจ สัตว์นรก และจอมยุทธ์มาร่วมสงครามด้วย

เกิดอะไรขึ้น…?

เยว่ชื่อหันมามองข้างหน้า ที่บัลลังก์มีมารคนหนึ่งยืนอยู่ รูปร่างหน้าตางดงาม ในมือถือกระบี่สีดำสนิท ข้างหน้าเขามีคนคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ พอเยว่ชื่อเพ่งมองดี ๆ จึงพบว่าชายคนนั้นคือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน

ไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดคุยอะไรกัน สีหน้าของจินเหยาจึงดูน่าสงสารนัก มารที่อยู่ข้างหน้าเขาก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเช่นกัน จากนั้นกระบี่เล่มนั้นก็ฟันฉับลงมา หัวของจักรพรรดิหลุดออกจากบ่า กลิ้งหลุน ๆ ตามขั้นบันไดมาหยุดข้างหน้าเยว่ชื่อพอดี

ภาพข้างหน้าทำให้เลือดในกายเยว่ชื่อเย็นเฉียบ ดวงตาของจินเหยาดำสนิทจนไม่เหลือตาขาว เลือดไหลออกมาจากตาราวกับว่ามันคือน้ำตา

เยว่ชื่อจ้องมองภาพนั้นตาไม่กะพริบ เสียงโห่ร้องรอบข้างดังสนั่น ทว่ามันไม่ได้เข้าหูเยว่ชื่อเลยแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งเรียกเขา

"อาจารย์! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง!? " เยว่ชื่อหันไปมองก็พบว่าเป็นมารคนหนึ่งกำลังมองเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง เยว่ชื่อไม่รู้จักเขา ทว่าแววตากลับดูคุ้นเคยเหลือเกิน

 

"เยว่ชื่อ!!"

เฮือก!!

เยว่ชื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็เห็นลี่หยางกำลังมองเขาอย่างเป็นห่วง หัวใจของเขาเต้นระรัว ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

"เจ้าฝันร้ายหรือ? " ลี่หยางถามอย่างเป็นห่วง

"อืม" เยว่ชื่อครางรับคำหนึ่ง เขาไม่เคยฝันร้ายขนาดนี้มาก่อน แถมในฝันยังเหมือนจริงมากจนน่ากังวล

"ข้าฝันเห็นสงครามของมนุษย์ มาร ผี และจอมยุทธ์" เยว่ชื่อเผลอเล่าความฝันออกมาให้ลี่หยางฟัง เขาคิดว่าความฝันนี้ช่างเหลวไหลยิ่งนัก สงครามมันจบไปตั้งห้าร้อยปีแล้ว จะเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร

"มันก็แค่ฝัน" ลี่หยางปลอบ "ออกไปเดินเล่นรับลมดีหรือไม่ เปลี่ยนบรรยากาศเจ้าจะได้รู้สึกดีขึ้น"

"อืม ก็ดีเหมือนกัน" เยว่ชื่อครางรับ จากนั้นก็เดินไปรับลมข้างนอกพร้อมกับลี่หยาง ตอนนี้ฟ้ายังมืดอยู่แสดงว่าเขายังหลับไปไม่นานนัก เยว่ชื่อเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ สูดหายใจรับอากาศเข้าปอด กลิ่นมวลบุปผาที่ลอยมาตามลมทำให้สมองของเยว่ชื่อปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย

ระหว่างเยว่ชื่อและลี่หยางไม่มีบทสนทนาใด ๆ พวกเขาเดินเล่นรับลมกลางคืนด้วยกันเงียบ ๆ อยู่นาน ก่อนที่ลี่หยางจะเงยหน้ามองฟ้าแล้วกล่าวออกมา

"ไปนั่งเล่นบนหลังคากันเถอะ"

"อืม"

เขาครางรับแล้วขึ้นไปนั่งบนหลังคาโดยมีลี่หยางนั่งอยู่ข้าง ๆ ทั้งสองเงยหน้ามองดูดวงดาวด้วยกัน แล้วเยว่ชื่อก็เอ่ยออกมา

"ลี่หยาง"

"หืม? "

"ข้าให้เจ้าเรียนหนังสือดีหรือไม่ ยามนี้เจ้าเป็นคนแล้ว ควรมีความรู้ติดตัวเสียบ้าง"

ลี่หยางยิ้ม "เจ้าจะสอนข้าหรือ? "

"ข้าไม่สอนเจ้าหรอก"

"เพราะเหตุใด? "

"เพราะถ้าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าก็จะเป็นศิษย์น้องเล็ก จะเอาแบบนั้นหรือ? " เยว่ชื่อหัวเราะ

"ข้ารู้ว่าเจ้ามีศิษย์อยู่แล้วสามคน" ลี่หยางชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว "คนแรกคือเล่อหนิงเหอ ฉลาดราวกับนักปราชญ์ แต่ว่าชอบเอานิยายมาผสมกับโลกแห่งความเป็นจริงบ่อยครั้ง ถึงอย่างนั้นมีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ป่วยเป็นโรคประหลาด ใช้วรยุทธ์มากไม่ได้"

"น่าเสียดายจริง ๆ หากเขาไม่ป่วยคงเป็นหนึ่งในสิบผู้ใช้วรยุทธ์แห่งยุคได้ไม่ยาก"

ลี่หยางชูนิ้วที่สองขึ้นมา "คนที่สองคือเฉินไป่ ไม่ฉลาดเท่าไรนัก วรยุทธ์ก็ไม่ดี แต่มีแรงเยอะและความมุ่งมั่นแรงกล้า"

แล้วลี่หยางก็ชูนิ้วที่สามขึ้นมา "คนสุดท้ายคือฮวาฟางเซียน เป็นสตรีที่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย วรยุทธ์ร้ายกาจ รู้จักใช้เสน่ห์ของตนเองเป็นอาวุธ"

"ใช่ พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ข้า เจ้าอยากเป็นศิษย์น้องพวกเขาหรือ? "

"ไม่อยาก แต่เจ้าสอนหนังสือข้าเล็กน้อยคงไม่ต้องกราบเจ้าเป็นอาจารย์ก็ได้กระมัง"

"ตามใจเจ้า"

ความจริงแล้วเขาก็แค่ลองถามหยั่งเชิงดูเท่านั้น ไม่คิดจะให้ลี่หยางมากราบเขาเป็นอาจารย์ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ

ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนจากรัตติกาลเป็นสีเหลืองเรืองรอง สุริยาสาดแสงสว่างไสวทั่วนภาลัย วันนั้น เยว่ชื่อและลี่หยางนั่งอยู่ด้วยกันจนพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เคลื่อนสูงขึ้นมาเรื่อย ๆ จนมองเห็นทยุมณีจากบนยอดเขาที่ปกติแล้วจะถูกต้นไม้และขุนเขาบดบังไว้

โครกก

เยว่ชื่อหันมองคนข้าง ๆ "หิวแต่เช้าเลยหรือ? "

ลี่หยางดูอับอายไม่น้อย "ข้าไม่ได้กินอะไรเลย…"

เยว่ชื่อลุกขึ้นยืนแล้วบิดขี้เกียจ "เช่นนั้นลงไปหาอะไรกินกันเถอะ"

พอลงมาข้างล่างยังไม่ทันไปไหนลูกศิษย์ทั้งสามของเยว่ชื่อก็เดินมาหา พวกเขาเห็นเยว่ชื่อก็ส่งยิ้มให้

"อาจารย์! คุณชายลี่!" เล่อหนิงเหอเป็นคนเรียกพวกเขา พออีกสองคนเห็นแขกแปลกตาก็ค้อมกายคำนับ

เยว่ชื่อถาม "พวกเจ้ามาหาข้าแต่เช้ามีอะไรหรือ? "

ฮวาฟางเซียน "ท่านเจ้าสำนักให้มาตามอาจารย์ เห็นว่ามีเรื่องจะคุย"

"เข้าใจแล้ว" เยว่ชื่อถอนหายใจ คิดว่าอย่างไรคงไม่พ้นเรื่องเมื่อคืนเป็นแน่ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเรียกคุยเช้าขนาดนี้

"เช่นนั้นข้าไปก่อน เจ้าดูแลลี่หยางด้วย" เยว่ชื่อกล่าวกับเล่อหนิงเหอแล้วเดินออกไป ทิ้งให้ลี่หยางต้องอยู่กับศิษย์ทั้งสามของเยว่ชื่อตามลำพัง

"สหายของอาจารย์รูปงามยิ่งนัก" ฮวาฟางเซียนกระซิบกับเฉินไป่

เฉินไป่ "งามเพียงนี้เจ้าคิดว่าเป็นแค่สหายจริงหรือ? "

เล่อหนิงเหอกระแอม มองศิษย์น้องด้วยหางตาคล้ายตำหนิแล้วหันมายิ้มให้ลี่หยาง "ทั้งสองขึ้นไปทำอะไรบนหลังคาหรือ? "

"ไปนั่งรับลม"

"เมื่อคืนอาจารย์ไม่ได้นอนหรือ? " เล่อหนิงเหอเหมือนถามกับตัวเอง แต่ลี่หยางก็ตอบออกมา "เยว่ชื่อนอนฝันร้าย ข้าจึงพาเขาออกมาเดินเล่น"

"อ้อ" ทั้งสามร้องออกมาพร้อมกัน

ลี่หยางมองพวกเขาอย่างประหลาดใจ "พวกเจ้ามีอะไรหรือไม่? "

"ไม่มี ข้าแค่คิดว่า…" เล่อหนิงเหอกล่าวแค่นี้แล้วก็เงียบไป ไม่กล้าพูดต่อ ลี่หยางจึงหันไปมองเฉินไป่และฮวาฟางเซียน ซึ่งสองคนนั้นคนหนึ่งมองฟ้า คนหนึ่งมองดิน ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

ลี่หยางลองถาม "เจ้าคิดว่าข้ากับเขาสมสู่กันทั้งคืนหรือ? "

คำถามตรงไปตรงมาทำทั้งสามคนหน้าแดง แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพราะพวกเขาคิดว่าเมื่อคืนลี่หยางกับเยว่ชื่อมีเรื่องแบบนั้นจริง ๆ

ลี่หยางหัวเราะ "พวกเจ้าวางใจเถอะ ไม่ใช่ตอนนี้"

เล่อหนิงเหอ "หมายความว่าอย่างไรหรือ? "

ลี่หยางยิ้ม "ช่างเถอะ ข้าหิวแล้ว พวกเจ้ากินอะไรหรือยัง? "

เฉินไป่ "ข้ายังไม่กิน พอตื่นมาข้าก็มาหาอาจารย์เลย"

"เช่นนั้นไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า ปกติพวกเจ้ากินอาหารกันที่ไหน? "

ฮวาฟางเซียน "ปกติกินที่โรงเฟิงชาน"

ลี่หยาง "เฟิงที่แปลว่าอุดมสมบูรณ์น่ะหรือ? " เขากล่าวจบก็หัวเราะออกมา คนที่ตั้งชื่อนี้คงอยากจะบอกว่าอาหารของที่นี่อุดมสมบูรณ์ ลูกศิษย์ไม่อดอยากกระมัง

เล่อหนิงเหอตอบ "ใช่ มีอะไรหรือ? "

ลี่หยาง "ไม่มี เรารีบไปกันเถอะ"

ลี่หยางให้พวกเล่อหนิงเหอเดินนำไปก่อน ส่วนตัวเองก็เดินตามหลังพวกเขา พอเดินไปได้ครึ่งทางก็บังเอิญเจอเยว่ชื่อเดินกลับมาพอดี

ลี่หยาง "คุยธุระเสร็จแล้วหรือ? "

เยว่ชื่อเอ่ยอย่างหัวเสียเล็กน้อย "ยังไม่ได้คุย เจ้าสำนักมีเรื่องด่วนเข้ามากะทันหัน เรื่องนี้ไว้คุยครั้งหน้า"

ลี่หยางยิ้ม "เช่นนั้นก็ดีเลย ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ พวกเรากำลังจะไปโรงเฟิงชานกัน"

เยว่ชื่อ "ข้าจะไปกินข้างนอก ตอนเดินมาได้ยินพวกลูกศิษย์คุยกันว่าข้างล่างมีร้านอาหารเปิดใหม่ อร่อยยิ่งนัก"

"อาจารย์ ข้าไปด้วย!" ทั้งสามคนพูดออกมาพร้อมกัน

เยว่ชื่อหัวเราะเอ็นดู "ข้ารู้แล้ว ข้าจะทิ้งพวกเจ้าไปกินของอร่อยคนเดียวได้อย่างไร"

ทั้งสามคนโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจแล้ววิ่งลงเขา เยว่ชื่อเดินตาม ลี่หยางเดินตามเขาอีกที

ที่ร้านอาหารเปิดใหม่มีโต๊ะว่างสองโต๊ะพอดี ลี่หยางกับเยว่ชื่อนั่งด้วยกัน พวกลูกศิษย์ทั้งสามคนก็นั่งโต๊ะเดียวกัน เยว่ชื่อสั่งอาหารไปหลายอย่าง พอสั่งเสร็จทั้งสองคนก็พูดคุยกันระหว่างรอ

"เจ้าคิดว่าเจ้าสำนักเรียกเจ้าไปคุยเรื่องอะไร"

"คงเป็นเรื่องลูกแก้วแสง งานประลองห้าสำนัก และเรื่องของเจ้า"

"มีเรื่องของข้าด้วยหรือ? "

"เจ้ามาอยู่ที่นี่ ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องเอาเรื่องของเจ้ามาพูด จะหลบซ่อนเหมือนข้าแอบพาชู้มาอยู่ในสำนักทำไม" เยว่ชื่อกล่าวแล้วยกชาขึ้นดื่ม

"ข้าอยากเป็นชู้เจ้า"

"แค่ก!" คำพูดของลี่หยางทำให้เยว่ชื่อสำลักน้ำชา เขาไออยู่นานกว่าจะเลิกสำลัก แล้วเหลือบสายตามองลี่หยางที่ยังยิ้มพาซื่ออยู่เช่นเดิม

"เยว่ชื่อ ให้ข้าเป็นชู้เจ้าได้หรือไม่? " คำถามไร้เดียงสาทำให้เยว่ชื่อต้องสูดหายใจเฮือกใหญ่ ทำตัวเองให้ใจเย็นแล้วตอบเสียงเด็ดขาด

"ไม่ได้" คำตอบที่แน่วแน่ชัดเจนทำให้ลี่หยางเศร้าไม่น้อย เขาคอตก สีหน้าเสียอกเสียใจอย่างสุดซึ้ง

"..." อยู่ ๆ เยว่ชื่อก็รู้สึกผิดขึ้นมา

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าชู้คืออะไร"

"คืออะไรหรือ? "

"ก็คือคนที่ไม่ใช่สามีภรรยากัน แต่ไปรักกับคนที่มีสามีภรรยาแล้วอย่างไรเล่า"

เยว่ชื่ออธิบายหวังให้ลี่หยางเข้าใจและเลิกพูดจาเพ้อเจ้อ แต่ลี่หยางกลับยิ้มกว้างแล้วกล่าวออกมา

"เช่นนั้นให้ข้าเป็นสามีเจ้า"

"ไม่ได้"

"เหตุใดไม่ได้เล่า? "

"ลี่หยาง เจ้าเป็นกระบี่" พึ่งเป็นกระบี่ไม่ถึงวันเสียด้วย มีเรื่องต้องเรียนรู้อีกมาก

เยว่ชื่อพยายามใจเย็น คิดว่าลี่หยางมีอีกหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการเป็นมนุษย์

"ข้าเคยเป็นต่างหาก" ลี่หยางเถียงทันที "แล้วข้าก็กลับไปเป็นกระบี่ไม่ได้แล้วด้วย"

"เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าไม่ได้ ไป๋หลงกับเฮยหลงยังทำได้เลย"

"ข้าไม่เหมือนพวกเขา ข้าไม่ใช่กระบี่ในตำนานเสียหน่อย"

"แล้วเจ้ากลายเป็นคนได้อย่างไรเล่า"

"ข้าไม่รู้"

ทั้งสองคนเถียงกันไปมาอยู่นานจนอาหารมาส่งที่โต๊ะจึงเลิกทะเลาะกัน เยว่ชื่อคีบอันนู้นตักอันนี้ใส่ปากคลายความหงุดหงิด ส่วนลี่หยางก็นั่งทึมทื่ออยู่อย่างเดิม

"ไม่กินหรือ? "

อย่าบอกนะว่าเจ้าก็กินไม่เป็นด้วย

เยว่ชื่อภาวนาในใจ

"ข้าใช้อันนี้ไม่เป็น" เขาชี้ไปที่ตะเกียบ เยว่ชื่อเผลอบีบตะเกียบของตนเองแหลกคามือ สุดท้ายก็ต้องขอตะเกินใหม่ก่อนหันมามองลี่หยางแล้วถอนหายใจ

"เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง? "

"ข้าพึ่งเป็นคนได้ไม่ถึงวันเลยนะ!"

เยว่ชื่อเถียงไม่ออก เขาถอนหายใจอีกรอบแล้วกล่าว "ข้าจะสอนแค่ครั้งเดียวนะ"

"หากสอนแล้วข้าทำตามไม่ได้เล่า? "

"นั่นก็เรื่องของเจ้า"

"เหตุใดเจ้าไม่ใจดีต่อข้าเหมือนที่ใจดีต่อลูกศิษย์บ้าง"

"เจ้าไม่น่ารักเหมือนศิษย์ของข้าอย่างไรเล่า" ลี่หยางได้ยินเยว่ชื่อกล่าวเช่นนั้นจึงลองเรียกอีกคนดูบ้าง

"อาจา-" แต่เรียกได้เพียงเท่านี้เยว่ชื่อก็คีบเกี๊ยวมาอุดปากเขาพร้อมกล่าวเสียงลอดไรฟัน

"หากเจ้าเรียกข้าเช่นนี้อีกข้าจะเอาเกี๊ยวอุดหลอดลมเจ้า"

ลี่หยางเคี้ยวเกี๊ยวที่เยว่ชื่อป้อนให้ พอกลืนลงไปแล้วเขาก็ถามเสียงเศร้า

"ข้าทำอะไรผิด? "

เยว่ชื่อไม่ตอบ

"เลิกพูดคุยไร้สาระได้แล้ว เจ้าจับตะเกียบขึ้นมาแล้วจับแบบนี้" เยว่ชื่อลองจับตะเกียบให้ลี่หยางดู ลี่หยางทำตามอย่างงุ่มง่าม

"แบบนี้? "

"ไม่ใช่ แบบนี้"

"ไม่เหมือนกันที่ใด? "

เยว่ชื่อวางตะเกียบของตัวเองลงแล้วจับมือลี่หยาง สัมผัสมือของเยว่ชื่อทำให้ลี่หยางหน้าแดงเล็กน้อย

"เจ้าต้องจับแบบนี้" พอสอนเสร็จเยว่ชื่อก็เอามือออก "ทีนี้เจ้าลองใช้คีบอาหารดู"

ลี่หยางลองใช้มันคีบเกี๊ยวขึ้นมา แม้จะมือสั่นไปบ้างแต่ก็คีบขึ้นมาได้แล้ว

"ทำได้แล้ว เจ้าก็ไม่โง่นี่"

"เจ้าชมข้าใช่หรือไม่? "

"เจ้าคิดเองสิ"

ลี่หยางจึงคิดไปว่าเยว่ชื่อเอ่ยชมตนเองแล้วยิ้มออกมา

เยว่ชื่อ "..."

รอยยิ้มโง่งมนั่นมันอะไร?

"เยว่ชื่อ นั่นคืออะไรหรือ? " ลี่หยางใช้ตะเกียบชี้ไปที่ก้อนแป้งขาว ๆ ที่วางไว้บนโต๊ะ ตอนนี้มันถูกเยว่ชื่อกินจนเหลือลูกสุดท้ายแล้ว

"อันนั้นซาลาเปา ใช้มือหยิบกินเลยก็ได้"

ลี่หยางลองหยิบซาลาเปาขึ้นมา พอเขาลองดึงแป้งสีขาวนุ่มข้างนอกออก เยว่ชื่อก็พูดขึ้น "อันนั้นมันคือแป้ง กินได้"

ลี่หยางจึงหยิบแป้งใส่ปาก แล้วเขาก็กินแบบนั้นจนเหลือแต่ไส้เนื้อข้างใน แล้วก็ค่อยเอาไส้ตรงกลางเข้าปาก

เยว่ชื่อ "..."

วิธีกินซาลาเปานั่นมันอะไรกัน?

ลี่หยาง "อร่อยยิ่งนัก มีอีกหรือไม่"

เยว่ชื่อ "เดี๋ยวข้าสั่งเพิ่มให้"

แล้วเยว่ชื่อก็ตะโกนสั่งซาลาเปาไส้เนื้อเพิ่ม พอหันกลับมาเขาก็เห็นเกี๊ยวถูกคีบมาจ่อข้างหน้าเขา

"ทำอะไรของเจ้า? "

"ข้าอยากป้อนเจ้าบ้าง"

"ข้ากินเองได้"

ลี่หยางจึงเก็บตะเกียบกลับมาเงียบ ๆ ก้มหน้าคอตกเหมือนสุนัขชวนเล่นแต่เจ้าของไม่เล่นด้วย ท่าทางน่าสงสารจนความรู้สึกผิดทิ่มแทงใจเยว่ชื่ออีกครั้ง

เขาถอนหายใจแล้วเรียกอีกคน "ลี่หยาง"

ลี่หยางค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองเขา

เยว่ชื่อถอนหายใจ "หากเจ้าอยากป้อนก็ป้อน แต่แค่ครั้งเดียวนะ"

"อื้อ!!" ลี่หยางฉีกยิ้มกว้างแล้วคีบเกี๊ยวป้อนเยว่ชื่ออย่างกะตือรือร้น ท่าทางสดใสผิดกับก่อนหน้านี้ลิบลับ

บางครั้งเยว่ชื่อก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ลี่หยางคือกระบี่ที่กลายเป็นคน หรือลูกสุนัขที่กลายเป็นคนกันแน่

 


กินซาลาเปาแบบลี่หยางอร่อยที่สุด!?