บทที่ ๒

 

Who ever lov'd, that lov'd not at first sight?

ใครเล่าเคยรักที่ไม่รักตั้งแต่แรกเห็น?

Hero and Leander” - Christopher Marlowe

 

-----------------------------------------

 

หม่อมเจ้าหญิงมัญชุภาก้าวลงมาจากบันไดหินอ่อนอย่างระมัดระวังและเงียบเชียบ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปรอบตัว ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าท่ามกลางแสงละมุนของดวงตะวันที่กำลังขึ้นนั้น ยังคงมีเธอเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนี้ หญิงสาวก้าวต่อไปยังโรงจอดรถด้วยฝีเท้าที่พยายามให้แผ่วเบาที่สุด

            “ไม่ไปเรียนเช้าไปหน่อยเหรอ หญิงมัท?”

            มัญชุภาสะดุ้ง

            “เจ้าพี่” หญิงสาวอุทานเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังสบตากับชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนกอดอกมองมาอยู่จากอีกฝั่งของโรงจอดรถ “มาประทับอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรคะ”

            หม่อมเจ้าเมธัสอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ กับท่าทางของผู้เป็นน้องสาว

            “พี่เห็นหญิงแอบออกมาทางด้านหลัง เลยมาดักไว้ก่อน”

            “หญิงไม่ได้...” หญิงสาวอึกอักเล็กน้อย มัญชุภายิ้มเจื่อนยามเห็นแววตารู้ทันของคนตรงหน้า

            “มาเถอะ พี่จะไปส่งเอง” เมธัสยังคงยิ้มกับท่าทางคนตรงหน้า ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูด้านข้างคนขับราวกับยืนยันว่าไม่ต้องการคำปฏิเสธ

“เผื่อหญิงจะมีเรื่องอะไรเล่าให้พี่ฟังบ้าง”

            คำพูดที่ทำให้มัญชุภาต้องถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนยอมก้าวขึ้นรถแต่โดยดี

 

-----------------------------------------

 

            รถฟอร์ดคันเล็กเคลื่อนตัวไปตามถนนอย่างเอื่อยเฉื่อย

            มัญชุภาเหลือบมองคนข้างตัวที่กำลังขับรถอย่างอ่อนใจ  เพราะหลังจากขับรถออกจากวังวิกรานนท์ได้สักพัก พี่ชายของเธอก็หันมาบอกด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าหญิงไม่รีบ พี่ขอขับรถชมวิวหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มว่า นิ้วเรียวยาวเคาะที่พวงมาลัยเป็นจังหวะอย่างอารมณ์ดี“ไม่ได้เห็นพระนครยามเช้ามานานแล้ว”

            คนฟังถอนหายใจ แต่ยอมที่จะนั่งเงียบ ๆ โดยไม่ปริปากบ่นแต่โดยดี

            เสี้ยวหน้าด้านข้างที่มองเห็นนั้นมีเค้าโครงบางอย่างที่คล้ายเธอไม่น้อย รอยยิ้มจางที่มักจะแต้มไว้ที่มุมปากบ่งบอกถึงความรื่นเริงที่รายล้อมเจ้าตัวอยู่เป็นนิจ หากใบหน้านั้นยังคงมีลักษณะบางอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความดื้อรั้นเช่นกัน

ดวงตาคมที่เปล่งประกายยามมองไปตามทางเบื้องหน้าของคนที่นั่งอยู่ด้านข้างทำให้มัญชุภาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา พี่ชายของเธอดูแปลกตาไปไม่น้อยเมื่ออยู่ในชุดธรรมดาเรียบง่ายแทนที่จะเป็นชุดสูทอย่างเป็นทางการอย่างที่คุ้นตาดี

            “มีอะไรหรือหญิงมัท?” ดังจะรู้ว่ากำลังถูกมองอยู่ ดวงตาคู่นั้นถึงหันมามองเธอชั่วครู่ ก่อนจะกลับไปสนใจเส้นทางด้านหน้าต่อ

            “เปล่าค่ะ” มัญชุภาตอบเบา ๆ “หญิงแค่ดีที่เจ้าพี่กลับมาเสียที”

            หม่อมเจ้าเมธสุวิกานต์ วิกรานนท์ พี่ชายของเธอเพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศสหลังจากที่ไปเรียนต่อตั้งแต่ยังเล็ก อันที่จริงแล้ววังวิกรานนท์ควรจะมีงานเลี้ยงตอนรับชายหนุ่มอย่างยิ่งใหญ่ หากเจ้าตัวปฏิเสธขอให้จัดงานพร้อมกับวันเกิดของตัวเองในเดือนหน้าแทน ดังนั้นเรื่องที่เมธัสกลับมาจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้มากนัก

            และมัญชุภาก็คิดว่าตัวเองพอจะเดาได้ว่าทำไมชายหนุ่มถึงต้องการแบบนั้น

            “กลับมาทันช่วยหญิงพอดีสินะ” คนเป็นพี่ชายหัวเราะ ก่อนเอ่ยอย่างล้อเลียน

            หญิงสาวยิ้มออกมาจาง ๆ

            พี่ชายของเธอเป็นคนอารมณ์ดี รักความสนุกสนาน และมักจะรื่นรมย์กับสิ่งที่อยู่รอบตัวได้เสมอ

            มันควรจะเป็นข้อดีของชายหนุ่ม หากถึงอย่างนั้นก็มักจะมีเสียงลอยลมตามหลัง

            พ่อพวงมาลัยลอยชาย

            ท่านแม่เคยค่อนไว้ เมื่อรู้ว่าเมธัสยังอยากที่จะพักผ่อนหลังจากที่ศึกษาจบต่อ และไม่ยอมเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศอย่างที่ท่านและเด็จพ่อต้องการเสียที

            “หิวไหม” เมธัสหันมาถามคนเป็นน้องสาว

            มัญชุภาส่ายหน้า เธอไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องเนื่องจากเร่งรีบออกมาก็จริง หากหญิงสาวกลับไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด

“ยังพอมีเวลาแวะร้านแถวนี้ได้นะ” คนเป็นพี่ชายยังคงออกปากชวนต่อ หากคนฟังยังคงยืนยันที่จะปฏิเสธ

ท่าทางของหญิงสาวทำให้เมธัสต้องถอนหายใจ

“มีอะไรเล่าให้พี่ฟังไหม” ชายหนุ่มเปรยออกมาเบา ๆ จากหางตา เขาเห็นมัญชุภาเสมองไปนอกหน้าต่างอีกด้านแทน

มีความเงียบงันปกคลุมไปทั่วรถคันเล็กชั่วครู่ ก่อนที่น้องสาวเขาจะเอ่ยขึ้นมา

“เรื่องคุณชายชนเทพหรือคะ?”

น้ำเสียงของมัญชุภายังคงเรียบเรื่อย และไม่แสดงถึงความผิดหวังหรือเสียใจใดใดอย่างที่ชายหนุ่มคาดไว้

“หญิงไม่เป็นไรใช่ไหม” เมธัสถามต่อ

“หญิงสบายดี” น้องสาวของเขาตอบ ก่อนชะงักไปเล็กน้อยอย่างนึกขึ้นได้ถึงท่าทีแปลกประหลาดของตัวเอง  “ก็แค่... หญิงแค่...”

คนพูดเริ่มอึกอักอย่างไม่รู้จะอธิบายการกระทำของตัวเองอย่างไร

“ก็แค่ไม่อยากคุยกับท่านแม่” เมธัสเสริมให้แทน

“ใช่แล้วค่ะ” มัญชุภาถอนหายใจอย่างโล่งอก “หญิงยังไม่อยากคุยเรื่องคุณชายในตอนนี้”

พี่ชายของเธอส่ายหัว

“เย็นนี้เธอก็ไม่รอดหรอกหญิงมัท” เขาว่า “แถมมีเด็จพ่อด้วย”

“หญิงรู้” คนฟังตอบด้วยน้ำเสียงที่สลดลง และนั่นก็ทำให้เมธัสต้องเอ่ยถามต่ออย่างใจอ่อนแกมอ่อนใจไปพร้อมกัน

“ไม่เป็นไรแน่หรือ”

“หญิงคิดว่ารับมือเด็จพ่อกับท่านแม่ได้...”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น”

ชายหนุ่มถอนหายใจกับคำตอบของคนเป็นน้องสาว และเมื่อดวงตาคู่นั้นหันมามองอย่างฉงน เมธัสก็อธิบายต่อเบา ๆ

“พี่เป็นห่วงหญิง”

“เป็นห่วง?” น้ำเสียงของมัญชุภามีแววงุนงงจริงจริงยามทวนคำพูดของเขา หากใช้เวลาเพียงครู่เดียวหญิงสาวก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกออกว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

“หญิงไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” น้องสาวเขายืนกราน ก่อนขยายความต่อคล้ายกับต้องการเตือนความจำของชายหนุ่ม “เจ้าพี่ก็ทรงทราบดีว่าหญิงกับคุณชายเล็กไม่เคยชอบพอกันในแง่นั้นเลย”

“แต่ถึงอย่างนั้นทุกคนก็รู้ว่าพวกเธอเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน”

“แค่คู่หมายค่ะ” มัญชุภาแก้ “หญิงนึกว่าเจ้าพี่เคยค้านเรื่องนี้กับเด็จพ่อเสียอีก เจ้าพี่ว่าหญิงไม่ควรต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์เพียงเพราะคำสัญญาไม่ใช่หรือคะ?”

เสด็จในกรมหรือเด็จพ่อของเธอกับหม่อมเจ้าชวัลกรแห่งวังศิวาดลเป็นเพื่อนสนิทกัน ความสนิทสนมนั้นมีมากเพียงพอที่ทำให้พระองค์ตรัสเป็นเชิงหยอกว่าจะขอธิดาของท่านชายให้กับโอรสที่กำลังจะประสูติของตัวเอง เพื่อที่จะได้ดองสองตระกูลเข้าด้วยกัน

หากกลับกลายเป็นว่าวังศิวาดลนั้นมีชนเทพเป็นคุณชายคนสุดท้อง เช่นเดียวกับวิกรานนท์ที่ได้มัญชุภามา แต่ถึงอย่างนั้นเด็จพ่อของเธอก็ไม่ได้คืนคำ และยิ่งเมื่อท่านชายชวัลกรสิ้นชีพิตักษัยไป เด็จพ่อก็ดูจะจริงจังในคำมั่นสัญญาที่เคยมีไว้กับเพื่อนสนิทมากขึ้น

ดังนั้นคุณชายชนเทพ ศิวาดล จึงเป็นคู่หมายของเธอมาตั้งแต่ก่อนจำความได้เสียอีก

เมธัสถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ชายหนุ่มเหลือบตามองคนเป็นน้องสาว สบกับสายตาจริงจังคู่นั้น ก่อนจะต้องยอมแพ้ในที่สุด 

“เอาเถิด ถ้าหญิงยืนยันว่าหญิงไม่เป็นไร พี่ก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย”

“เจ้าพี่กลัวหญิงอกหักนี่เอง” มัญชุภาว่าอย่างนึกขัน

“ก็หญิงทำตัวแปลก” คนที่อายุมากกว่าบ่นงึมงำ แล้วจึงถามขึ้นมาต่อ “แล้วทำไมต้องหลบท่านแม่”

ดวงตาคมที่มองมาหาเธอมีแววสงสัย ก่อนเปลี่ยนเป็นรู้ทัน “หญิงรู้เรื่องนี้มานานแล้วสินะ”      

“คุณวิรัลพัชรเป็นเพื่อนร่วมคณะของหญิงเองค่ะ” หญิงสาวสารภาพออกมาในที่สุด

“เธอบอกหญิงเรื่องคุณชายหรือ?” เมธัสถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

“มิได้ค่ะ แต่หญิงเคยบังเอิญเจอคุณชายเล็กกับคุณพัชรที่โรงหนังเฉลิมกรุงก็เลยพอเดาได้” มัญชุภาตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้คนเป็นพี่ชายฟังตรง ๆ “และพอได้เจอกันที่มหาลัยตอนที่คุณชายมาหาอาจารย์ชนัดพล คุณชายก็แอบสารภาพกับหญิง”

หม่อมราชวงศ์ชนัดพล ศิวาดล เป็นอาจารย์สอนวรรณคดีที่คณะของเธอ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บางครั้งชนเทพจะแวะมาหาผู้เป็นพี่ชายที่มหาวิทยาลัย รวมถึงแวะเวียนมาหาหญิงสาวในบางครั้งด้วย

“มีการแอบบอกเธอด้วย คุณชายเล็กนี่ร้ายไม่เบานะ”

พี่ชายของเธอบ่น ในขณะที่คนฟังกลั้นยิ้มแต่ไม่ได้ค้านอะไรออกมา

หญิงสาวมองออกได้ไม่ยาก ว่าตัวเธอเองคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ชนเทพไว้ใจและสามารถบอกเรื่องนี้ได้มากกว่า ความสัมพันธ์ของพวกเธอจะเรียกว่าแปลกก็ได้ แม้จะเป็นคู่หมายหากด้วยความที่รู้จักกันตั้งแต่ยังเด็ก มัญชุภาและชนเทพจึงมีความเอื้ออาทรให้กันฉันมิตรมากกว่า และบางทีมันก็คงมากเกินไปจนไม่สามารถก้าวข้ามมิตรภาพนี้ไปเป็นความรักได้

มีรอยยิ้มบางเบาบนใบหน้าของคนเป็นพี่ชายยามที่บทสนาเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ป่านนี้วังศิวาดลแตกหรือยังก็ไม่รู้”

“เจ้าพี่” มัญชุภาอุทาน “ทำไมตรัสแบบนั้นเล่า”

“ก็มันน่าสนุกนี่” คำตอบที่ทำให้หญิงสาวต้องมองค้อน โดยเฉพาะกับประโยคตามหลังของเมธัส “ศิวาดลกับพงศ์ศุลี... เหมือนโรมิโอกับจูเลียตเลย”

ชื่อของบทละครโศกนาฏกรรมชื่อดังที่จบลงด้วยความเศร้าจากคนข้างตัวทำให้มัญชุภาต้องถอนหายใจ พร้อมกับบ่น

“หญิงอยากให้สองคนนี้สมหวังกันมากกว่า” หญิงสาวว่า “คุณชายเธอดูรักคุณพัชรมาก”

“ความรัก” พี่ชายของเธอหัวเราะในลำคอ “แรกรักก็เป็นแบบนี้เสมอ”

            “ถึงกระนั้น หญิงก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาคุณพัชรอยู่ดี”

            เมธัสเลิกคิ้วกับคำพูดของคนเป็นน้องสาว

“พี่นึกว่าหญิงไม่อยากลาออกจากฐานันดรศักดิ์เสียอีก”

“หญิงไม่อยากเสกสมรสเพราะหญิงไม่ได้รักคุณชาย ไม่เกี่ยวกับการลาออกจากฐานันดรศักดิ์เสียหน่อย” มัญชุภาเอ่ยแก้คำพูดของพี่ชายอีกครั้ง

เสี้ยวหน้าด้านข้างของคนฟังฉายแววงุนงงอย่างแท้จริง

“สรุปก็คือหญิงยินดีที่จะเสกสมรสและลาออกจากฐานันดรศักดิ์ถ้าเป็นคนอื่น?”

เมธัสสรุป ชายหนุ่มบังคับรถฟอร์ดคันเล็กให้เลี้ยวเข้าประตูมหาวิทยาลัยระหว่างที่ตั้งใจฟังคำตอบของมัญชุภา

“ถ้าเป็นคนที่หญิงรักค่ะ”

“ความรัก...” พี่ชายของเธอโคลงหัว “ความรักอีกแล้ว”

น้ำเสียงและสายตาของชายหนุ่มทำราวกับว่าเธอกำลังเพ้อฝันอยู่อย่างไรอย่างนั้น และนั่นก็ทำให้หญิงสาวต้องย้อนถามกลับ

“เจ้าพี่ไม่เชื่อเรื่องความรัก?”

“ไม่ใช่แบบนั้น”

เมธัสตอบ พร้อมกับที่รถฟอร์ดคันเล็กจอดเทียบหน้าอาคารเรียนอย่างนิ่มนวล

“แต่พี่ไม่เชื่อว่าความรักจะมีอิทธิพลมากพอที่จะกำหนดเส้นทางชีวิตของพี่ได้”

มัญชุภาเปิดประตูรถ ก่อนหันมามองผู้เป็นพี่ชาย

รอยยิ้มบางเบาหากเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในเต็มเปี่ยมของชายหนุ่มทำให้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ หญิงสาวยกมือไหว้ขอบคุณพี่ชายที่มาส่ง พร้อมกับบอกเบา ๆ

“แล้วหญิงจะคอยดูเจ้าพี่นะคะ”

 

-----------------------------------------

 

หม่อมเจ้าเมธัสจรดปากกาไปตามกระดาษสีหม่นบนโต๊ะทำงานด้วยความตั้งใจ ดวงตาคมเป็นประกายจดจ้องไปตามตัวอักษรตรงหน้าสลับกับหนังสือและกระดาษโน้ตข้างตัวเป็นระยะ

ชายหนุ่มจดจ่ออยู่กับกองกระดาษตรงหน้าเสียจนไม่รู้สึกตัวยามที่ใครบางคนเปิดประตูเข้ามา

ผู้มาใหม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ

“ทำไมวันนี้เด็จมาแต่เช้าล่ะกระหม่อม”

คำทักทายที่ดังขึ้นทำให้เมธัสต้องละความสนใจจากงานตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นคนเป็นเพื่อน

“ไปส่งหญิงมัทที่มหาลัยมาน่ะ”

“ท่านหญิงทรงทราบเรื่องที่นี่แล้วหรือ?”

บูรพาถามยิ้ม ๆ ระหว่างเดินผ่านเขาไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ด้านใน เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนว่าท่านชายผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าไม่ชอบใจกับการถูกเรียกอย่างเต็มยศเท่าไรนัก ดังนั้นเพื่อนแต่ละคนจึงจะใช้คำราชาศัพท์เฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น หรือเวลาที่ต้องการหยอกล้อเจ้าตัวอย่างที่เขาทำเมื่อกี้เท่านั้น

เมธัสส่ายหัวให้กับคำถามของคนเป็นเพื่อน

“ยังหรอก...”

ว่าแล้วท่านชายแห่งวังวิกรานนท์ก็เงียบไปเมื่อนึกถึงความลับของตัวเองที่มีต่อครอบครัว

หลังจากกลับมาได้ไม่นาน ชายหนุ่มและบูรพาก็ลงขันกันเช่าห้องแถวใกล้มหาวิทยาลัยเพื่อเปิดเป็นออฟฟิศเล็ก ๆ สำหรับรับงานแปลหนังสือและเขียนบทความส่งโรงพิมพ์ที่บิดาของบูรพาเป็นเจ้าของ

ออฟฟิศแห่งนี้คือเหตุผลที่ชายหนุ่มยังไม่อยากเข้ารับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศอย่างที่เด็จพ่อและท่านแม่ต้องการ

ตั้งแต่ยังเด็ก เมธัสรู้ดีว่าเขาหลงใหลในตัวหนังสือและหน้ากระดาษมาโดยตลอด และกลายเป็นหลงรักในการเขียนยามที่เติบโตขึ้นมา เมื่อจบไฮสคูลที่อังกฤษ เขาจึงเลือกที่จะเรียนที่ดินแดนแห่งศิลปะและวรรณกรรมอย่างฝรั่งเศส แม้จะยังยอมลงเรียนในสาขาการทูตอย่างที่เด็จพ่อต้องการก็ตาม

ชายหนุ่มอยากเป็นนักเขียน และออฟฟิศแห่งนี้ก็ดูราวจะทำให้เขาได้เข้าใกล้ความฝันของตัวเองได้ แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

“กาแฟไหม?” บูรพาที่หยิบปฏิทินตั้งโต๊ะขึ้นมาดูถามอย่างนึกขึ้นมาได้ “วันนี้คุณลินขอลาหยุด เดี๋ยวฉันจะลงไปซื้อให้”

คุณกิจจาหรือบิดาของบูรพาส่งคนของตัวเอง ซึ่งก็คือรสลินมาช่วยงานพวกเขาทั้งคู่ในฐานะกึ่งเลขานุการ กึ่งตัวแทนประสานงานจากโรงพิมพ์ และการที่หญิงสาวลาหยุดในวันนี้ก็ทำให้ที่นี่เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น

เมธัสพยักหน้า ก่อนจะหันไปสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง

มีเสียงเคาะเบา ๆ ตามมาด้วยประตูที่เปิดออกช้าช้า ทว่าชายหนุ่มที่ยังคงง่วนกับงานยังคงไม่สนใจด้วยเข้าใจว่าเป็นเพื่อนสนิทที่กลับมาแล้ว

“ที่นี่รับแปลงานภาษาฝรั่งเศสใช่ไหม”

หากเสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นทำให้ต้องเงยหน้ามองอย่างฉงนในที่สุด

วินาทีที่ได้สบตากับดวงตาสีดำสนิทคู่นั้น ทุกอย่างรอบตัวของเมธัสก็ดูราวจะเคลื่อนไหวช้าลง

ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มร่างสูงสมส่วนเจ้าของผิวขาวจัดตัดกับเรือนผมสีดำสนิทที่มีบางส่วนปรกลงบนหน้าผากได้รูป รับกับครื่องหน้าที่เหมาะเจาะราวกับรูปสลัก ทว่าที่โดดเด่นที่สุดเห็นจะเป็นดวงตาสีดำสนิทที่เต็มไปด้วยประกายวาววับ

และประกายนั้นก็ดูราวจะจับหัวใจของคนมองได้ตั้งแต่แรกเห็น

“คุณรับแปลงานภาษาฝรั่งเศสใช่ไหมครับ” ผู้ชายคนนั้นถามซ้ำ

เมธัสกระพริบตา เพิ่งรู้สึกตัวว่าเขายังคงนั่งนิ่งค้างอยู่ท่าเดิม ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“ใช่ครับ” เขามองไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนเลื่อนเก้าอี้ของตัวเองไปยังอีกฝั่งของโต๊ะ และเชื้อเชิญให้ผู้มาใหม่นั่ง ส่วนตัวเขาเองนั้นลากเก้าอี้ของบูรพามานั่งแทน

ด้วยสงครามที่ผ่านพ้นไปไม่นานส่งผลให้วงการสื่อสิ่งพิมพ์ค่อนข้างซบเซา ทำให้ในการเลือกหนังสือหรือบทความมาแปลเพื่อตีพิมพ์โดยส่วนมากจะต้องผ่านความเห็นชอบของคุณกิจจาเสียก่อน มีน้อยครั้งที่จะมีคนมาติดต่องานด้วยตัวเองที่นี่และเป็นหน้าที่ของรสลินที่จะเป็นคนต้อนรับ ดังนั้นในออฟฟิศเล็ก ๆ นี้จึงไม่มีที่สำหรับรับแขกมากนัก

ผู้ชายคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ของเขาอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าข้างตัว

“ผมอยากให้คุณช่วยแปลเอกสารชุดนี้ภายในอาทิตย์หน้า” เจ้าตัวว่า “คุณพอจะทำได้ไหม”

เมธัสหยิบกระดาษปึกนั้นขึ้นมาดู ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมา ประตูออฟฟิศของเขาก็เปิดออกอีกครั้ง ตามมาด้วยบูรพาและกาแฟสองแก้วในมือ

“อ้าว คุณชายมาทำอะไรที่นี่ครับ” เพื่อนของเขาส่งเสียงทักผู้มาใหม่อย่างแปลกใจ ในขณะที่เมธัสทวนคำพูดอย่างฉงน

“คุณชาย?”

“หม่อมราชวงศ์ชนัดพล ศิวาดลไง” บูรพาว่าพร้อมกับวางกาแฟลงบนโต๊ะเล็กข้างประตู คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยยามมองสลับระหว่างเขากับชายหนุ่มแปลกหน้า ก่อนทำหน้าเข้าใจเมื่อเห็นซองเอกสาร และกระดาษในมือเมธัส

ในขณะที่คนตรงหน้าชายหนุ่มหันไปสนใจเพื่อนของเขาแทน

“คุณบูรพาทำงานที่นี่หรือครับ” มีความแปลกใจเล็ก ๆ ในน้ำเสียงนั้น “คุณกิจจาแนะนำให้ผมมาที่นี่ แต่ไม่ยักรู้ว่าเป็นออฟฟิศของคุณ”

“ที่นี่เป็นออฟฟิศของผมกับเพื่อนเองครับ” บูรพาตอบ ชายหนุ่มเหลือบมามองเมธัสอย่างไม่แน่ใจนัก “คุณชายคงยังไม่รู้จักหุ้นส่วนของผม”

ชนัดพลมองกลับมาหาเขา แวบหนึ่งที่มีความรู้สึกผิดพาดผ่านไปบนใบหน้า

“ผมยังไม่ได้แนะนำตัวสินะ เสียมารยาทจริง คงจะรีบไปหน่อย” คุณชายแห่งวังศิวาดลว่า “ผมชื่อชนัดพล ศิวาดล”

คำแนะนำตัวที่ทำให้เมธัสต้องมองกลับไปด้วยสายตาประหลาดใจที่มีมาตั้งแต่ได้ยินชื่อเจ้าตัวออกจากปากคนเป็นเพื่อน

คุณชายกลาง...

นี่คือพี่ชายของคู่หมายมัญชุภาสินะ

ด้วยเพราะถูกส่งไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้เขาแทบไม่มีโอกาสได้รู้จักหรือพบปะกับคนของวังศิวาดล และแม้ชนัดพลจะถูกส่งตัวไปเรียนต่อที่อังกฤษเช่นกัน แต่ก็เป็นช่วงที่ชายหนุ่มย้ายไปฝรั่งเศสเสียแล้ว

ดังนั้นนี่จึงเป็นการพบกันครั้งแรกของพวกเขาหลังจากไม่ได้เจอกันกว่าสิบปี

โชคชะตานี่ช่างประหลาดเหลือเกิน

เมธัสอยากจะหัวเราะออกมาดัง ๆ หากสิ่งที่เขาทำได้กลับเป็นเพียงรอยยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นเขี้ยวเล็ก ๆเท่านั้น

และอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากบางคนมองก็คลี่ออกเป็นรอยยิ้มตามเขา

รอยยิ้มบางเบาหากทำให้ดวงหน้านั้นกระจ่างขึ้นมาเสียจนคนที่มองอยู่ต้องชะงักงัน

เสี้ยววินาทีที่เมธัสรู้สึกได้ถึงหัวใจเจ้ากรรมที่เต้นผิดจังหวะอีกครั้ง

“สวัสดีครับ”

อะไรบางอย่างที่ใกล้เคียงกับความรู้สึกวาบหวานในอกข้างซ้าย ทำให้ชายหนุ่มเก็บคำแนะนำตัวที่ตั้งใจไว้ลงไป และเอ่ยออกไปอย่างปราศจากความยั้งคิดเฉกเช่นทุกที

“ผมชื่อเมษ เป็นนักแปลของที่นี่ครับ”

 

-----------------------------------------