:: สอง ::

 

 

 

            เมื่อหลายวันก่อน...

            ณรักกอดกระเป๋าสะพายใบเก่าๆ ของตัวเองแน่น ในขณะเดินลงจากรถเมล์ทั้งๆ ที่ไม่มีรองเท้า เนื่องจากตอนหนีออกจากบ้านของแม่และพ่อเลี้ยง เธอไม่มีแม้โอกาสที่จะแอบหยิบมันออกมาใส่

            หญิงสาวรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนในสถานีขนส่งผู้โดยสาร เธอโทรหาบุคคลที่ตัวเองหนีมาพึ่งพิงทันที ญาติเพียงคนเดียวที่เธอรักและรักเธอเช่นกันอย่างแท้จริง

            “ย่าคะ หนูมาถึงสถานีขนส่งแล้วค่ะ หนูใส่เสื้อสีขาว กางเกงยีน ถือกระเป๋าเป้สีดำค่ะ” เธออธิบายเพิ่มเมื่อหญิงชราบอกมาในสายว่าตัวเองตาไม่ดี ดังนั้นจะให้คนที่มาด้วยกันช่วยหาเธอ

            เธอพยายามมองไปรอบตัวท่ามกลางผู้คนที่เดินสวนกันไปมา แต่ก็ยังไม่เห็นหญิงชราผู้เป็นย่าแท้ๆ เสียที จะมีก็แต่ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีเทา กำลังจ้องเธอเขม็ง ณรักหันหลังให้เขาทันที 

            “น่ารัก” น้ำเสียงนั้นทั้งแหบแห้งและแผ่วเบา แต่กลับเป็นเหมือนเสียงสวรรค์

            ณรักหันไปทางต้นเสียงทันที เมื่อได้สบตากับดวงตาฝ้าฟางที่ทอประกายความเอ็นดู เธอก็แทบร้องไห้โฮแล้ววิ่งเข้าไปกอดร่างผอมบางของคนเป็นย่า

            “ขวัญเอ๋ย ขวัญมา คนดีของย่า” แช่มช้อยปลอบหลานสาวในอ้อมแขนซึ่งตอนนี้กำลังส่งเสียงร้องไห้เบาๆ             

            “ย่าขาพวกเขาใจร้ายกับหนู ต่อให้จะเป็นจะตายยังไงหนูก็จะไม่กลับไปอยู่กับพวกเขาอีกแล้ว”

            “อยู่กับย่านะลูก ไม่ต้องไปไหนแล้ว” หญิงชราลูบหน้าลูบตาหลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของตัวเองด้วยความเอ็นดูปนสงสารจับใจ

            แต่ในขณะที่กำลังรู้สึกสบายอกสบายใจอยู่นั้น ณรักก็เพิ่งสังเกตว่าด้านหลังมีชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาคมเข้มคนหนึ่งยืนมองสองคนย่าหลานอยู่นิ่ง เขาก็คือคนที่เคยจ้องเธอเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง

            “สวัสดีคุณทิวสิลูก” แช่มช้อยบอกกับหลานสาว ณรักจำได้ว่าเป็นชื่อนายจ้างของย่า ดังนั้นเธอจึงรีบยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายทันที

            “สวัสดีค่ะ” 

            เทวายกมือขึ้นรับไหว้หญิงสาว “เราไปหาซื้อรองเท้ากันก่อนดีไหมครับ” สายตาที่ฉายแววดุดันจ้องมองเท้าเปล่าของเธอ

            “ตายแล้วลูก หนีหัวซุกหัวซุนจนรองเท้าก็ไม่ได้ใส่มาเลยเหรอเนี่ย” แช่มช้อยยิ่งรู้สึกสงสารหลานสาวจับใจ

            “ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องซื้อใหม่หรอก เดี๋ยวใส่คู่เก่าๆ ของย่าก็ได้”

            “เดี๋ยวฉันซื้อให้ก็ได้ แค่รองเท้าคู่เดียวเอง”

            ณรักเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่คิ้วเข้มกำลังขมวดจนเป็นโบเหมือนไม่พอใจเธอ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่กล้าอ้าปากพูดอะไรอีก ได้แต่ประคองย่าวัยเจ็ดสิบกว่าค่อยๆ เดินตามเขาเข้าไปในตัวตลาด ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีขนส่ง

 

            เนื่องจากหญิงสาวนั่งรถมาทั้งคืนโดยไม่ได้นอน ดังนั้นเพียงแค่ขึ้นมานั่งบนรถได้ไม่กี่นาที เธอก็ล้มลงนอนราบไปกับเบาะหลังของรถกระบะสี่ประตู

            แช่มช้อยซึ่งเห็นหลานสาวหลับจากทางกระจกมองหลังส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความระอาพลางบ่นออกมา 

            “คุณทิวดูเถอะค่ะ หลานป้าก็ตัวแค่เนี้ย แม่มันยังจะกล้าบังคับให้แต่งงานกับใครก็ไม่รู้ แล้วจะเอาค่าสินสอดไปใช้หนี้”

            เทวาเหลือบตามองร่างบอบบางที่สะท้อนในกระจกด้วยแววตาเวทนา “ป้าว่าหลานป้าอายุเท่าไหร่แล้วนะครับ”

            “อีกไม่กี่วันจะยี่สิบแล้วค่ะ”

            “ได้เรียนต่อไหมครับ”

            “เรียนอะไรล่ะคะ แม่มันเห็นแก่ตัวจะตายไป เรียนจบมอหกนี่ก็บุญแล้วค่ะ ป้าก็บอกว่าป้าจะช่วยส่งค่าเรียนให้ แต่มันก็บอกว่าไปทำงานดีกว่า” แช่มช้อยยิ่งพูดยิ่งโมโห

            “ป้าใจเย็นนะครับ” เมื่อเทวาเห็นแช่มช้อยหายใจแรงขึ้นจึงรีบปลอบ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเลือดลมตีขึ้นแล้วเป็นลมไปซะก่อนด้วยความโกรธ “ยังไงเราพาน้องไปสมัครเรียนดีไหมครับ”

            “ดีค่ะ ป้าอยากให้เรียน เพราะป้าแก่ขนาดนี้แล้ว อีกหน่อยก็ตาย ถ้าหลานป้าพอจะมีความรู้ติดตัวเอาไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองบ้าง ป้าจะได้นอนตายตาหลับ”

            “อย่าเพิ่งพูดเหมือนสั่งเสียแบบนั้นสิครับป้าแช่ม อยู่ไปสักอายุร้อยปีเถอะครับ”

            หญิงชราหัวเราะ “ไม่เอาหรอกค่ะ ปวดหลังแย่แล้ว”

            เทวาคุยเรื่อยเปื่อยกับแช่มช้อยไปตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้านหลังโตแสนหรูหรา ใหญ่ที่สุดในชุมชนแถบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่รสนิยมของเขาหรอก แต่เป็นพ่อแม่สร้างทิ้งไว้ก่อนจะเสียไปต่างหาก

            

            ณรักมองดูห้องนอนเล็กๆ ของผู้เป็นย่าที่อาศัยอยู่กับเจ้านายมาตั้งแต่สามีกับลูกชายเสีย ส่วนบ้านตัวเองก็แทบจะยกให้น้องสาวอยู่ แช่มช้อยเคยคิดว่าหากเลิกทำงานแล้วก็จะกลับไปอยู่ด้วยกัน แต่น้องสาวดันเสียไปก่อน ตอนนี้หลานชายจึงยึดบ้านไปครองพร้อมทั้งมีภรรยาปากร้ายซึ่งไม่เคยเห็นป้าของสามีอยู่ในสายตา ดังนั้นหญิงชราจึงต้องขอให้หลานสาวอยู่และทำงานที่นี่ด้วยกัน

            “น่ารักหนูอยากเรียนต่อไหม”

ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นของหลานสาวนั้น เป็นชื่อที่ลูกชายของแช่มช้อยตั้งให้ด้วยความรัก 

            “อยากสิย่า” สีหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยแสงแห่งความหวัง ก่อนจะสลดวูบเมื่อนึกถึงสถานะของตัวเองในตอนนี้ “แต่ไม่เป็นไรหรอกย่า หนูไม่มีเงิน”

            “มีสิ เงินย่าไง ย่ามีอยู่ตั้งเยอะ ให้หนูได้เรียนสบายๆ เลย รถรับส่งนักเรียนที่วิ่งไปส่งในตัวเมืองก็วิ่งผ่านหน้าบ้านนี้ด้วยนะ”

            “แต่เงินพวกนั้นย่าต้องเก็บไว้ใช้ตอนแก่สิคะ”

            “หนูจะเลี้ยงย่าไหม”

            “หนูก็ต้องเลี้ยงอยู่แล้ว”

            “งั้นก็ไปเรียนเถอะลูก เห็นเคยบอกอยากเรียนต่อสายอาชีวะใช่ไหม”

            ณรักกับแช่มช้อยได้เจอกันน้อยมาก อย่างมากก็ปีละครั้งสองครั้งเพราะอยู่ไกลกัน ส่วนใหญ่ฝ่ายแช่มช้อยจะเป็นคนไปหา เพราะมารดาของหญิงสาวไม่อนุญาตให้เธอเป็นฝ่ายมาหาหญิงชรา โดยอ้างเรื่องงานที่ต้องทำ แต่ทุกครั้งที่ได้เจอกันแช่มช้อยมักให้ความหวังในการมีชีวิตอยู่กับเธอเสมอ อย่างน้อยๆ ก็มีย่าที่รักเธอมากกว่าใคร

            “ย่าถามคุณทิวให้แล้ว คุณทิวบอกว่าช่วงนี้เขายังเปิดรับสมัครอยู่ หนูได้เอาพวกเอกสารสำคัญๆ ของตัวเองติดตัวมาไหม”

            “เอามาจ้ะย่า”

            “ดีๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณทิวจะพาไปสมัคร ต้องรีบไปหน่อย เห็นว่าวันท้ายๆ แล้ว”

            “ไปกับคุณทิวเหรอคะ ย่าไปด้วยไหม”

            “จะให้ย่าไปทำไม ไม่สะดวกเปล่าๆ หนูไปกับคุณทิวนั่นแหละ” แช่มช้อยถอนหายใจ “คุณทิวน่ะใจดี พอบอกเรื่องหนูน่ารักไป แกก็บอกให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ได้”

            “หนูเกรงใจน่ะย่า มีทางอื่นไหมคะ แบบรถรับจ้างอะไรพวกนั้น...”

            “ไม่มีหรอกลูก ต่างจังหวัดแบบนี้เขาก็ใช้รถส่วนตัวกันทั้งนั้น”

            ณรักคิดถึงหน้าดุๆ ของเทวาขึ้นมาก็รู้สึกทั้งอึดอัดและเกร็ง ให้นั่งรถกันไปสองคนเหรอ เธอจะหายใจออกไหมนั่น แต่เพื่ออนาคตของตัวเองและความสบายใจของคนเป็นย่า ยังไงก็คงต้องอดทน

 

            เมื่อวานเทวาซื้อรองเท้าให้เธอถึงสองคู่ คู่หนึ่งเป็นรองเท้าแตะใส่สบายๆ อยู่กับบ้าน อีกคู่เป็นรองเท้าหุ้มส้นซึ่งเธอเลือกเอามาใส่ในวันนี้ เพราะจะไปสมัครเรียน

            หลังจากปิดประตูรั้วเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็รีบวิ่งขึ้นไปนั่งบนรถทันทีด้วยความรู้สึกเกร็งไปหมดจนไม่กล้าหันไปมองชายหนุ่ม

            “บอกฉันได้ไหม เธอจะเรียนสาขาอะไร” ความเงียบถูกเขาทำลายลงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ หลังจากขับรถออกมาจากบ้านได้พักหนึ่งแล้ว

            “สาขางานการบัญชีค่ะ”

            “ทำไมถึงเลือกสาขานี้ล่ะ”

            “ทุกบริษัทต้องมีพนักงานบัญชี”

            “อืม...ก็จริง บริษัทของฉันถึงจะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ก็มีเหมือนกันนะ พนักงานบัญชีน่ะ” น้ำเสียงของชายหนุ่มติดจะมีแววหยอกเย้าอยู่ในที

             “ค่ะ” ณรักตอบรับเบาๆ เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก พอเทวาเงียบไป เธอก็ได้แต่มองออกไปนอกหน้าต่างรถจนกระทั่งถึงหน้าวิทยาลัยอาชีวศึกษาซึ่งตั้งอยู่ในย่านชุมชนแสนพลุกพล่าน

            หญิงสาวค่อนข้างกล้าๆ กลัวๆ กับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงมองไปยังเทวาซึ่งทำท่าว่าจะหาที่นั่งรออยู่ใกล้ๆ ที่จอดรถ 

แม้จะยังไม่คุ้นเคยกันเลยแม้แต่น้อย เพราะเพิ่งจะรู้จักกันอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้เอง แต่ลึกๆ เธอก็อยากให้เขาเดินเข้าไปด้วยกัน

            เทวาเห็นท่าทางยึกยักยืนละล้าละลังของณรักแล้วก็แอบขำและเอ็นดู ชายหนุ่มส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากถาม

            “ให้ฉันไปด้วยไหม” เขาเลิกคิ้ว ส่วนเธอก็รีบพยักหน้า ดังนั้นเขาจึงเดินนำหญิงสาวเข้าไปยังอาคารที่แปะป้ายเอาไว้ว่ารับสมัครเรียน พาเธอเดินตามลูกศรขึ้นไปจนถึงห้องที่ถูกจัดไว้เพื่อรับสมัครนักศึกษา

            และด้วยความบังเอิญ วันนี้เป็นเวรรับสมัครนักเรียนของคนที่เขารู้จักพอดี หญิงสูงวัยที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรับสมัครยิ้มทันทีเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าคุ้น ซึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มหุ่นเก้งก้างมากคนหนึ่ง

            “สวัสดีครับอาจารย์”

            อีกฝ่ายรับไหว้ แล้วหันไปทางหญิงสาวที่เธอมองว่าเพิ่งจะหลุดพ้นจากคำว่าเด็กสาวเมื่อไม่นานมานี้ “คนนี้น่ะเหรอที่บอกว่าจะพามาสมัคร”

            “ครับ” เทวาดึงเก้าอี้ให้ณรักนั่งลงตรงหน้าอดีตอาจารย์ของเขา ชายหนุ่มเองก็จบจากที่นี่ก่อนจะไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรี

            ณรักยกมือไหว้หญิงสูงวัยที่น่าจะเกษียณในอีกปีสองปีข้างหน้านี้ อีกฝ่ายยิ้มรับด้วยสีหน้าอ่อนโยน ก่อนยื่นใบสมัครให้กับเธอ

            “เขียนรายละเอียดให้ครบถ้วน แล้วก็แนบหลักฐานตามนี้นะคะ มีรูปถ่ายมาหรือยังเอ่ย”

            เมื่อถูกทักขึ้นหญิงสาวก็เพิ่งนึกได้ว่ารูปถ่ายไม่มีสักใบ “ไม่มีค่ะ หนูลืมไปเลย”

            “ไม่เป็นไรค่ะ มุมนั้นเลย ชุดก็แต่งมาเรียบร้อยดีแล้ว” อดีตอาจารย์ของชายหนุ่มชี้ไปทางผืนผ้าสีน้ำเงินที่ขึงตึงไว้สำหรับถ่ายรูปก่อนหันมาทางเขา “เทวาถ่ายรูปให้น้องหน่อยแล้วส่งเข้าไลน์อาจารย์ เดี๋ยวจะพรินต์ให้เลย ค่าบริการก็หยอดตรงกระปุกที่ตั้งไว้นั่นแหละ”

            “ได้ครับ”

            ณรักเดินไปยืนอยู่ตรงที่สำหรับถ่ายรูปแบบด่วนที่ทางวิทยาลัยจัดไว้ให้ด้วยท่าทางแสนเกร็ง เพราะถูกเขามองผ่านเลนส์ของกล้องโทรศัพท์ 

เธอคิดว่ารูปถ่ายคงออกมาไม่ดีนักและก็เป็นอย่างที่คิด หน้าตาเธอดูแย่มาก

            ส่วนเทวาซึ่งไม่ได้ลบรูปของหญิงสาวออกจากอัลบั้มรูปถ่าย เวลาเอาขึ้นดูภาพทีไรก็แอบขำ ตลกสีหน้าของณรักที่ทำเหมือนจะร้องไห้

            หลังจากส่งใบสมัคร ณรักก็นึกถึงพวกเครื่องแบบของวิทยาลัย เธอจึงเอ่ยกับเทวาเมื่อขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว

            “คุณทิวพาหนูไปร้านทองหน่อยได้ไหมคะ”

            “หือ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูง “ก็ได้อยู่หรอก แต่เธอจะไปทำไม”

            “เออ...หนูจะไปจำนำทอง”

            คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันทันที

            “จำนำ?

            “หนูจะเอาเงินไปซื้อเครื่องแบบที่ต้องใส่เองค่ะ ไม่อยากใช้เงินย่า”

            “เธอไปเอาทองมาจากไหน” เทวาเอ่ยถามด้วยความสงสัย

            หญิงสาวรู้ว่ายังไงก็คงปิดบังชายหนุ่มไม่ได้ “หนูขโมยมาจากแม่ก่อนหนีมาค่ะ” เมื่อเห็นว่าคิ้วของชายหนุ่มพันกันหนักกว่าเดิมเธอเลยรีบอธิบาย “แต่ทองที่แม่เก็บไว้มันเป็นทองรับขวัญของหนูตอนเกิดที่ย่ากับปู่ซื้อให้ จะเรียกว่าขโมยก็ไม่ถูก หนูแค่เอาคืน” น้ำเสียงร้อนรนในตอนท้ายของเธอเบาลง

            “อยู่ไหน เอามาให้ฉันสิ เดี๋ยวฉันจัดการให้” ชายหนุ่มยื่นมือมาตรงหน้าของหญิงสาว 

            ณรักโล่งใจที่เขาไม่ได้ต่อว่าอะไรเธอและยอมเชื่อในสิ่งที่เธอพูด ดังนั้นจึงยอมส่งตลับใส่ทองเส้นเล็กๆ ที่มีค่าเพียงแค่สลึงเดียวให้กับชายหนุ่ม

             “ขอบคุณนะคะ” เธอรู้ว่ายังไงเทวาก็ไม่โกงเธออยู่แล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่เคยเดินเข้าร้านทองมาก่อน ปล่อยให้เขาจัดการให้ดีกว่า

            เมื่อได้เงินมาแล้วณรักก็จัดการใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างมีคุณค่า เธอเลือกซื้อแต่ของที่จำเป็นอย่างเสื้อผ้าและอุปกรณ์การเรียนเท่านั้น ถึงแม้ว่าอยากจะออกนอกลู่นอกทางซื้อกิ๊บสวยๆ สักอัน เธอก็ตัดใจไปก่อนด้วยใจที่อยากประหยัดให้ได้มากที่สุด

            “ขอบคุณนะคะ” ณรักยกมือขึ้นไหว้เทวาที่แทบจะยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน ก่อนเจ้าตัวจะลงไปเปิดประตูรั้วให้รถของเขาขับเข้าไปจอดที่โรงจอดรถ และกว่าที่ชายหนุ่มจะลงมาจากรถ หญิงสาวก็หายไปไหนเสียแล้วก็ไม่รู้ ราวกับจะหนีเขาอย่างนั้นแหละ