:: หนึ่ง ::

 

 

บ้านหลังใหญ่มีเจ้าของอาศัยอยู่เพียงสองคนเท่านั้น เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนบิดามารดาของชายหนุ่มทั้งคู่ต่างหมดลมหายใจไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

            “ฉันไม่อยู่บ้านแป๊บเดียว แกไปหาแม่บ้านหน้าตาจิ้มลิ้มคนใหม่มาจากไหนวะ” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นระหว่างมื้ออาหารแสนอร่อยจากฝีมือของแม่บ้านคนโปรดที่เห็นกันมาตั้งแต่ตรงนั้นยังเกลี้ยงเกลา ไม่รกเป็นป่าดงดิบอย่างทุกวันนี้

            เทวาเงยหน้าขึ้นมองน้องชายวัยสามสิบหก ซึ่งอ่อนกว่ากันแค่ปีเดียว ดังนั้นความเคารพเขาในฐานะพี่จึงไม่ค่อยมี พวกเขาเหมือนเพื่อนกันเสียมากกว่า

“สามเดือนนี่เรียกว่าแป๊บเดียวเหรอวะ”

ทยาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยได้เจอหน้ากันบ่อยนัก เพราะบางทีวันหยุดคนเป็นน้องชายก็หายหัวไปอยู่กับผู้หญิงแทนที่จะกลับมาเยี่ยมพี่ชายที่บ้านในต่างจังหวัด             

            “แกออกนอกประเด็นว่ะ” ทยาท้วงทันที

            “หลานป้าแช่ม เขามาของานทำ ฉันก็เลยให้มาช่วยป้าแช่มดูแลบ้าน เพราะคนก่อนออกพอดี”

            “นี่แกจองหรือยัง” พอได้ยินคำถามแบบนั้น เทวาจึงขึงตาใส่น้องชาย “อะไร แกจองแล้วเหรอ” ทยาเบ้ปาก

            “ยังไม่ได้จอง แต่ขอเตือนว่าอย่ามายุ่งกับลูกน้องหรือลูกจ้างของฉันอีก” ชายหนุ่มผู้เป็นนายของทุกคนทั้งในโรงงานและบริษัทเอ่ยเตือนเสียงเข้ม

            “แหมๆ แต่ถ้ามีคนมาอ่อยฉันเอง มันก็ห้ามไม่ได้หรอกนะ”

            “ถ้ามีคนตบกันเพราะแกอีกครั้งเดียว ฉันจะปักป้ายห้ามแกเข้าไปในเขตโรงงาน” เทวารับช่วงต่อธุรกิจผลิตปุ๋ยมาจากผู้เป็นบิดา โรงงานและบริษัทก็ตั้งอยู่แค่ข้างบ้านของพวกเขานี่เอง ตั้งมานานก่อนที่จะมีถนนดีๆ ตัดผ่านเสียอีก

            “ใจร้ายว่ะพี่ชาย นี่น้องนะ อีกอย่างฉันไม่ได้ยุให้เขาตบกันสักหน่อย เขาตบกันเอง” ท่าทางลอยหน้าลอยตาพูดของทยาทำให้เทวารู้สึกคันยิบๆ ที่เท้า นึกอยากจะถีบยอดอกน้องชายเข้าให้สักที

            “ว่าแต่น้องชื่ออะไร”

            เทวาส่ายหน้าด้วยความระอาก่อนจะตอบ “น่ารัก”

            “เออ! ฉันรู้แล้วว่าเขาน่ารัก มีตามองเหมือนกันนะเว้ย”

            “ไอ้ฉิบหาย น้องเขาชื่อน่ารัก”

            “อุ๊ยตาย! น่ารักว่ะ ใครตั้งเนี่ยสมตัวจริง” ทยาทำหน้ากวนใส่พี่ชาย “คำถามสุดท้าย ดูหน้าเด๊กเด็ก  เขาอายุเท่าไหร่แล้ววะ”

            “ไม่ต้องรู้หรอก”

            “ห่วงแกไง กลัวแกติดคุก ไอ้สมภารจ้องจะกินไก่วัด ถามนิดถามหน่อยทำเป็นตาเขียวไปได้”

            เทวาถอนหายใจ “สิบเก้า แต่ก็จะเต็มยี่สิบแล้ว”

            “โชคดีไปที่ไม่ต้องเอาโอเลี้ยงไปเยี่ยมแกตอนถูกตำรวจจับ”

            “ไอ้ทอย เมื่อไหร่แกจะหยุดใส่ร้ายฉันสักทีวะว่าฉันจ้องจะกินไก่วัด”

            “ไอ้คุณทิวครับ ปกติแม่บ้านคนอื่นที่มาทำงานที่นี่นอกจากป้าแช่ม อายุไม่เคยต่ำกว่าสี่สิบ แถมต้องมีผัวแล้วทุกคน นี่แกยอมให้เด็กหน้าตาจิ้มลิ้มมาเดินไปเดินมาในบ้าน อมขี้มาพูดก็ไม่เชื่อหรอกว่าไม่ได้คิดอะไร”

            เทวานิ่งไป เออก็ได้ เขายอมรับว่าเขาคิด แต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องต่ำตมอย่างที่ทยากำลังเข้าใจอย่างแน่นอน เขาก็แค่สงสารและเห็นใจเท่านั้นแหละ

            แต่ทยาก็อยู่บ้านจิกกัดพี่ชายแค่เพียงวันเดียว รุ่งขึ้นอีกวัน
เทวาก็ไม่เห็นหัวน้องชายแล้ว 

 

            ณรักซึ่งหอบชุดเครื่องนอนของเทวามาเต็มอ้อมแขนเพื่อเอาไปซักสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อเจอเข้ากับชายหนุ่มที่ปลายขั้นบันได เพราะเขามักกลับมากินมื้อเที่ยงที่บ้าน เนื่องจากติดรสมือของแช่มช้อยมากกว่าแม่ครัวของโรงอาหาร

            หญิงสาวชะงักงันทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกสายตาดุดันมองมา จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ทั้งๆ ที่ย่าของเธออย่างแช่มช้อยบอกจนปากเปียกปากแฉะว่าไม่มีอะไรต้องกลัว เทวาใจดี แค่โดยปกติเวลาไม่ยิ้มจะดูหน้าดุไปหน่อย

            ฝ่ายเทวาซึ่งเห็นท่าทางเหมือนอยากจะวิ่งหนีของณรักก็ได้แต่แอบถอนหายใจ หญิงสาวอยู่ที่นี่มาเกือบสิบกว่าวันแล้ว เขายังไม่เคยดุเธอสักแอะ แต่กลับยังมีท่าทางกลัวเขาราวกับหนูกลัวแมว

            “จะเอาที่นอนของฉันไปไหน” เทวาเลยตัดสินใจเอ่ยทักขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่เขาไม่รู้เลยว่ามันฟังแล้วออกจะดุไปสักนิด ตามความรู้สึกของหญิงสาวซึ่งกำลังยืนตัวลีบ

            “อะ...เอาไปซักค่ะ ย่าบอกต้องซักทุกอาทิตย์” เธอรายงานเสียงเบา

            ชายหนุ่มพยายามมองดวงหน้าของคนที่กำลังก้มหน้างุด ณรักไม่ใช่คนสวยจับใจ แต่มองแล้วเพลินอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาที่ดูเศร้าๆ นั่นก็ชวนให้นึกสงสารอย่างไรก็ไม่รู้ แต่จ้องมากไปคงกลายเป็นไอ้คนหื่นไปจริงๆ

            ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีประสบการณ์เรื่องผู้หญิง แต่คนที่เอาแต่อยากจะวิ่งหนีกันแบบนี้เพิ่งเคยเจอครั้งแรก เทวาเลยออกจะไปต่อไม่ถูกเหมือนกัน

            “อ๋อ งั้นอย่าลืมใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มล่ะ” 

            “ค่ะ เดี๋ยวหนูจะใส่ให้เยอะๆ เลยค่ะ”

            พอพูดออกไปแล้วและได้ยินเธอตอบกลับมา เทวาก็รู้สึกว่าตัวเองพูดจาไร้สาระไปเรื่อยจนนึกขำและเขาก็หัวเราะออกมาจริงๆ ก่อนชายหนุ่มจะเดินตรงไปที่ครัว

แช่มช้อยในวัยเจ็ดสิบกว่ากำลังนั่งปอกเปลือกกระเทียมอยู่เงียบๆ ใจจริงเขาอยากให้อีกฝ่ายเกษียณนานแล้ว ทว่าเจ้าตัวก็ยังยืนยันขอทำงาน เพราะเกรงใจเขาซึ่งยังให้เงินอีกฝ่ายอยู่ แม้ว่าจะไม่ทำอะไรเลยก็ได้ แต่หญิงชราขอแค่อย่างน้อยได้ทำอาหารก็พอ ส่วนเขาก็ติดรสมืออยู่แล้วเลยปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจตัวเอง

            “ป้าแช่มครับ ผมซื้อมาแล้ว” ชายหนุ่มยกกล่องเค้กที่เขาออกไปซื้อมาตามคำขอของแช่มช้อยให้อีกฝ่ายดู

            หญิงชรายิ้มกว้างพลางพยายามลุกขึ้นเพื่อเดินไปรับของ

            “ไม่ต้องลุกหรอกครับ เดี๋ยวผมเอาใส่ไว้ในตู้เย็นให้เอง” เทวาเดินตรงไปยังตู้เย็นและใส่กล่องเค้กไว้ในนั้น “ส่วนนี่เทียนครับ แล้วก็ของขวัญที่ป้าแช่มฝากให้ผมเลือกมาให้” ชายหนุ่มส่งถุงของให้กับอีกฝ่ายที่กำลังยิ้มจนแก้มแทบปริ

            “ขอบคุณมากค่ะ ยัยหนูน่ารักคงดีใจน่าดู” แช่มช้อยยิ้มจนตาหยี รอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากกาลเวลาทำให้เจ้าตัวดูท่าทางเหนื่อยล้าแม้ว่าจะนั่งอยู่เฉยๆ

            “มีอะไรก็บอกผมได้ตลอดเลยนะครับ”

            “แค่นี้ก็เกรงใจแย่แล้วค่ะ”

            “ไม่เป็นไรครับ ป้าก็รู้ว่าผมต้องออกไปข้างนอกบ่อยๆ อยู่แล้ว แวะซื้อของแค่นี้เอง”

            

            สองย่าหลานนั่งกันอยู่ภายในห้องครัว บนโต๊ะมีเค้กที่จุดเทียนสว่างไสววางอยู่ ณรักไม่คิดเลยว่าจะได้ฉลองวันเกิดกับคนเป็นย่าอย่างแช่มช้อยด้วยกันอีกครั้ง

หลังจากที่บิดาแท้ๆ ของเธอเสียไปตั้งแต่สิบขวบและมารดามีสามีใหม่ เธอจึงมีโอกาสได้ติดต่อกับแช่มช้อยน้อยมาก เพราะบ้านของพ่อเลี้ยงอยู่ห่างไกลจากที่นี่

            หญิงสาวมองดูเค้กก้อนไม่ใหญ่นัก แต่การตกแต่งกลับดูประณีตบรรจงจนอดคิดว่าราคาคงไม่ถูกแน่นอน เธอซาบซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล

            “หนูรักย่าจังเลยค่ะ”

            “อธิษฐานสิลูก” แช่มช้อยยิ้มอย่างใจดี ชีวิตที่เหลือไม่มีทั้งสามีและลูกชายแล้ว เธอเหลือญาติมิตรน้อยมาก และคนที่สำคัญมากที่สุดก็คือณรัก หลานสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของตัวเอง

            “ขอให้ย่าสุขภาพแข็งแรงและอยู่กับหนูตลอดไป”

            พอหญิงชราได้ยินคำอธิษฐานก็หัวเราะ “ขอให้ย่าทำไมเล่าลูก ขอให้ตัวเองสิ”

            ณรักเป่าเทียนจนดับลงทั้งหมดก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส “หนูก็ขอเพื่อตัวเองแล้วนะย่า หนูอยากอยู่กับย่าตลอดไปเลยค่ะ”

            “ย่าจะพยายามอยู่กับหนูให้นานที่สุดนะลูก” แช่มช้อยยิ้มอย่างใจดี “ถ้าได้อยู่ที่นี่แล้ว ย่ารับรองว่าใครก็ทำร้ายหลานย่าไม่ได้อีก หมดทุกข์หมดโศกสักที”

            หญิงสาวยิ้มบางพลางพยักหน้าเบาๆ เชื่อในคำพูดของผู้เป็นย่าอย่างสุดหัวใจ ดวงตาคลอด้วยน้ำใสๆ อย่างไม่ทันรู้ตัว

            “นี่ของขวัญจ้า” แช่มช้อยส่งถุงกระดาษที่ถืออยู่ให้กับหลานสาว

            “มีของขวัญด้วยเหรอคะ ย่าจะทุ่มทุนสร้างเกินไปแล้วนะเนี่ย” 

            “เปิดสิลูก ดูว่าชอบหรือเปล่า”

            สิ่งที่ณรักหยิบออกมาจากถุงกระดาษเป็นตุ๊กตาหมีตัวสีขาวผูกโบสีแดง ลำตัวยาวประมาณหนึ่งฟุต ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดู

            “ชอบค่ะ” ณรักลูบหัวตุ๊กตาด้วยความเอ็นดู ยามแช่มช้อยเดินทางไปเยี่ยมเธอทีไรก็มักมีตุ๊กตาตัวใหม่ติดมือไปฝากเสมอ หญิงสาวแสนเสียดายตุ๊กตาเหล่านั้นที่ตัวเองทิ้งไว้ที่บ้านพ่อเลี้ยง แต่เธอไม่สามารถนำพวกมันทั้งหมดติดตัวมาที่นี่ได้จริงๆ จึงต้องทิ้งไว้ด้วยความจำใจ

            “มากินเค้กกันดีกว่าค่ะ” ณรักยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังจะไหลออกจากตาอย่างเร็วๆ ก่อนหยิบมีดตัดเค้กพลาสติกที่ทางร้านให้มาตัดลงบนก้อนเค้กเนื้อนุ่ม พอเห็นว่าข้างในมีชั้นหนึ่งเป็นสตรอว์เบอร์รีสดเต็มไปหมดเธอก็ตาโต “ย่าคะ เค้กน่าจะแพงมากเลยนะคะเนี่ย หนู...”

            “ไม่แพงหรอกลูก แค่ไม่กี่ร้อยเอง” แช่มช้อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงซื่อๆ ท่าทางจริงใจ และที่สำคัญเธอรู้ว่าย่าของตัวเองไม่เคยโกหก “เอาไปให้คุณทิวสักชิ้นหนึ่งด้วยนะลูก ย่าฝากให้เขาช่วยซื้อเค้กมาให้”

            แค่ได้ยินชื่อของชายหนุ่มณรักก็สะดุ้ง “ต้องเอาไปให้ด้วยเหรอคะ เขาน่าจะไม่ชอบกินของหวานๆ”

            “ชอบสิ หวานไม่หวานคุณทิวกินทั้งนั้น แกไม่ใช่คนช่างเลือก”

            “ไม่เลือกเหรอคะ แต่ได้ข่าวว่าไม่ยอมกินรสมือคนอื่นนอกจากของย่าเลย” 

            แช่มช้อยหัวเราะพลางโบกมือไล่หลาน “ลุกเอาไปให้คุณทิวเขาสักชิ้น อุตส่าห์ออกไปซื้อมาให้ทั้งเค้กทั้งของขวัญ” ณรักมีท่าทางอิดออดจนคนเป็นย่าต้องเอ่ยปากดุ “ไปสิลูก คุณเขาไม่กินหัวใครหรอก”

            ถึงย่าของเธอจะยืนยันว่าเทวาไม่ดุ แต่ยังไงเธอก็ค่อนข้างกลัวเขาอยู่ดี เหมือนเด็กเล็กๆ กลัวผู้ใหญ่นั่นแหละ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้เลิกกลัวเขาดี

            หลังจากตัดเค้กแบ่งให้กับย่าของตัวเองแล้ว เธอก็ยกชิ้นหนึ่งเดินตรงไปยังห้องทำงานของเทวาซึ่งอยู่ด้านนอก มันเป็นบ้านน้อยหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้านหลักไม่มากนัก ทุกคนมักเรียกติดปากว่าห้องทำงานเล็ก

            เมื่อเดินไปใกล้เธอก็เห็นทันทีว่าเทวากำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน เพราะประตูและผนังด้านหน้านั้นเป็นกระจกใส

            ในขณะที่เธอยังเดินไปไม่ถึง ชายหนุ่มก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นมาพอดี ตอนนี้หากเธอนึกอยากจะหมุนตัวเดินย้อนกลับไปก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงผลักบานประตูเข้าไปหาเทวา

            “หนูเอาเค้กวันเกิดมาให้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยซื้อมาให้” หลังจากวางจานเค้กลงบนโต๊ะทำงานของเขา เธอก็ถอยห่างอย่างรวดเร็ว

            เทวาเหลือบมองชิ้นเค้กที่ตัวเองเพิ่มเงินไปอีกเกือบเท่าหนึ่ง เพื่อซื้อจากอีกร้านที่ใช้ของแพงในการทำ และรสชาติอร่อยกว่าในงบที่แช่มช้อยให้

            “เธอลองชิมแล้วหรือยัง”

            “ชิมแล้วค่ะ อร่อยมากค่ะ” มือไม้ของณรักเริ่มไม่รู้จะวางที่ตรงไหน หญิงสาวจึงกุมมือกันไว้แน่น

            “ก็ดีแล้วที่ชอบ”

            จริงๆ เธอสงสัยเรื่องเค้ก แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป สุดท้ายเลยเอ่ยปากขอตัวกลับไปกินเค้กกับย่า โดยมีสายตาของเทวามองตามไปจนกระทั่งลับหายไปในตัวบ้าน ท่ามกลางความสงสัยว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเขาเผลอไปทำอะไรให้เธอกลัวกันแน่...