2 ตอน บทที่ 2
โดย นิโกะเป็นแงว
บทที่ 2
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด-
เฮือก!
ร่างกายของผมกระตุกสั่น หยาดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้าและลำคอ ดวงตาของผมเบิกกว้างจ้องมองฝ้าเพดานสีขาวขณะที่ริมฝีปากอ้าออกกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างหนักหน่วง เสียงแหลมดังต่อเนื่องน่ารำคาญเป็นสิ่งเดียวที่คอยเรียกสติผมให้อยู่กับปัจจุบัน ก่อนที่นัยน์ตาสีดำขลับจะกลอกกลิ้งเหลือบมองรอบกายแม้จะยังไม่สามารถขยับตัวได้ก็ตาม
ผนังห้อง...
แสดงว่าเมื่อกี้เราฝัน...
ฝันถึงวันวานที่ร่างกายของผมยังมีสีเขียวมรกตและเต็มไปด้วยเกล็ดน่าเกลียด ฝันถึงร่างของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ถูกฉาบย้อมไปด้วยสีแดงฉานของเลือด...
อา... ไม่น่าไปคิดถึงมันเลย
ผมหลับตาลงอีกครั้ง สูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติ ก่อนจะพลิกกายเอื้อมแขนที่เริ่มขยับได้ไปตบนาฬิกาปลุกดิจิทัลบนโต๊ะข้างเตียงให้ยุติเสียงดังน่ารำคาญนั่นเสียที ผมวางมือค้างไว้อย่างนั้น ลืมตาขึ้น แล้วเหม่อมองไปยังนิ้วมือทั้งห้าที่แยกเป็นอิสระต่อกันอย่างชัดเจน
ผิวกายอ่อนนุ่มสีเนื้อไร้ซึ่งเกล็ดแข็งอย่างสัตว์เลื้อยคลาน ไร้ซึ่งพังผืดระหว่างนิ้วที่แม้จะสะดวกต่อการเคลื่อนไหวในน้ำ หากจำกัดการขยับอย่างอิสระยามอยู่บนบก เล็บตัดสั้นอมชมพูดูสุขภาพดี แตกต่างจากตอนนั้นที่ทั้งยาว ทั้งแข็ง แถมยังมีสีดำมะเมื่อมจนน่าหวาดหวั่น
ผมผ่อนลมหายใจแผ่วเบา ปลายนิ้วทั้งห้าขยับพลิ้วไปมาเคาะลงบนนาฬิกาดิจิทัลทรงสี่เหลี่ยมไปพลางขณะสำรวจสิ่งที่เห็นมานานเกือบสามสิบปี
ใช่ ผมเกิดใหม่เป็นมนุษย์ได้ยี่สิบเจ็ดปีแล้ว
และก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรอีก สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นหน้าจอนาฬิกาใต้ฝ่ามือที่แสดงเลขเจ็ดและสามสิบ...
ฉิบ!
ผมดีดตัวลุกจากเตียงแล้วก้าวขาภายใต้กางเกงขาสั้นยางยืดยาว ๆ ตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไปในทันที อาการเหม่อลอยเมื่อครู่หายไปคล้ายไม่เคยเกิดขึ้นเมื่อสมองประมวลผลได้ว่าตัวผมกำลังจะไปทำงานสาย
ใช้เวลาในการอาบน้ำและจัดการกับสภาพร่างกายตัวเองไม่นานนัก ผมก็คว้ากระเป๋าเป้ใบเก่งบนโต๊ะที่ถูกจัดเตรียมไว้ก่อนในทุกคืนขึ้นพาดไหล่ ห่อขนมปังเปล่าแผ่นบางที่วางอยู่ข้างกันถูกคว้าติดมือมา ก่อนจะก้าวไปใส่รองเท้าหนังหุ้มส้นสีดำดูสุภาพแล้วออกจากห้องไปโดยไม่ลืมล็อกประตู ป้องกันใครแอบเข้ามาระหว่างที่ผมไม่อยู่
ผมรู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ห้องพักของผมนั้นขนาดไม่ใหญ่มาก เรียกได้ว่าอยู่คนเดียวกำลังสบาย ผมจึงสามารถเดินไปรอบ ๆ เพื่อหยิบของและตรวจสอบความเรียบร้อยทั้งกับสภาพของตัวเองและห้องพักโดยใช้เวลาไม่นาน
ทว่าสิ่งท้าทายต่อไปคือการเดินทาง
แม้ว่าผมจะเข้างานสิบโมงเช้า แถมสถานที่ทำงานยังอยู่ห่างจากหอพักไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทว่าการตื่นเจ็ดโมงยังสายเกินไป และที่เป็นแบบนั้นก็เพราะสภาพการจราจรของเมืองหลวงในเช้าวันธรรมดาที่ทุกคนพร้อมใจกันนำรถยนต์ส่วนตัวออกมาใช้เนื่องจากไม่ไว้ใจรถโดยสารสาธารณะบุโรทั่งที่มีอายุมากกว่าสี่สิบปี...
แถมยังเอาแน่เอานอนเรื่องเวลาและอารมณ์ของพลขับไม่ได้อีก
“โอ๊ะ—!”
นั่นไง ยังคิดไม่ทันขาดคำ
ร่างทั้งร่างของผมกระตุกวูบเซจนแทบจะล้มทันทีที่เหยียบขึ้นมาบนตัวรถได้ครบสองขาจากการที่รถกระชากออกตัวทันทีที่เห็นผู้โดยสารคนสุดท้ายขึ้นมา โชคดีที่คว้าจับราวเหล็กด้านข้างประตูได้ทัน เมื่อตั้งตัวได้ ผมก็ค่อย ๆ ก้าวขาเดินไปยังที่นั่งเดี่ยวด้านหลังเยื้องจากประตูทางขึ้นลงไม่ไกลนัก
อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้น ผมก็คงไม่กลิ้งลงจากรถไปนอนแหม่บบนถนนเพราะประตูรถที่เปิดอ้าซ่าตลอดเส้นทางแบบนั้นแน่นอน
ทันทีที่นั่งลง ลมหายใจหนักก็ถูกผ่อนออกผ่านทางริมฝีปาก ลาดไหล่ลู่ลงเล็กน้อยอย่างเหนื่อยหน่ายแม้จะยังเช้าอยู่ก็ตาม กระเป๋าเป้ที่เคยพาดไหล่ถูกย้ายมากอดไว้บนตักแทนให้ใบหน้าของผมได้ซุกซบลงไป นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาเพื่อดูเวลาเรื่อย ๆ ด้วยความกระวนกระวาย กลัวเหลือเกินว่าจะเข้างานสาย การจราจรก็ติดขัดเสียเหลือเกิน
และแล้วรถโดยสารสาธารณะเก่าคร่ำครึขนาดใหญ่ที่ผมนั่งอยู่ก็หยุดลงหน้าจุดหมายหลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมง นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นมาดูอีกครั้งและพบว่าผมมาถึงก่อนเวลาเข้างานถึงสามสิบนาที
โชคดีเหลือเกิน
ผมยกยิ้มกับตัวเอง สองมือกระชับสายกระเป๋าเป้ที่ถูกยกขึ้นสะพายไหล่อีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจลึกเข้าปอดด้วยความสดชื่น...
“แค่ก!”
ลืมไปว่าที่นี่มีแต่ฝุ่นควันจากยานพาหนะ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าอากาศบริสุทธิ์เหมือนชีวิตก่อนที่เคยอาศัยอยู่ในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้และลำธารน้ำใส สิ่งที่เหมือนกันในสองชีวิตนี้ดูท่าจะมีเพียงสายลมและแสงแดดเท่านั้น
แม้ความเจริญและความสะดวกสบายจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทว่าก็ต้องแลกด้วยหลายอย่างเพื่อที่จะได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้นเช่นกัน
มนุษย์เนี่ย... สุดยอดไปเลยนะ
ผมกวาดสายตามองรอบกายที่เต็มไปด้วยผู้คนในอากัปกิริยาต่าง ๆ ทั้งเร่งรีบจนต้องหลบทางเดินให้ ทั้งเฉื่อยชาและเหน็ดเหนื่อยจนเห็นได้ชัดจากท่าทางห่อไหล่และก้มหน้าบนม้านั่งตรงป้ายรถเมล์
ผมไม่รู้หรอกว่ามนุษย์ในชีวิตก่อนจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อการอยู่รอดในสังคมเหมือนกับมนุษย์ในตอนนี้ไหม แต่ผมคิดว่าคงคล้ายกันจากการที่ได้ยินเหล่ามนุษย์ในชุดเกราะพูดด้วยรอยยิ้มขณะกำลังล้างเผ่าพันธุ์พวกเราว่าจะได้อยู่สบายด้วยเงินก้อนใหญ่จากองค์ราชาก่อนที่โลกทั้งใบของผมในตอนนั้นจะดับไป
หากมนุษย์เหล่านั้นไม่ทำงานก็จะไม่มีทั้งอาหารและที่พักอาศัย แตกต่างจากสังคมของพวกเราเหล่าปิศาจที่แม้จะไม่ทำงาน อย่างมากสุดก็คงไม่มีแค่อาหารที่หลากหลาย ที่พักอาศัยของพวกเราคือป่า ดังนั้นต่อให้ไม่ทำงานอย่างไร เราก็ยังคงมีที่หลับนอน มีอาหารที่แม้จะซ้ำซากจำเจไปสักหน่อย ทว่าก็ยังไม่อดตาย
ผมผ่อนลมหายใจแผ่วเบา แม้ในตอนนั้นผมจะเป็นปิศาจ แต่ตอนนี้ผมเป็นมนุษย์ ดังนั้นการที่จะมีชีวิตรอดในแต่ละวันได้นั้นผมต้องทำงานหนักจนเหมือนจะตายให้ได้ สิ่งเดียวที่พอจะเยียวยาหัวใจและร่างกายที่เหนื่อยล้าของผมได้นั้นดูเหมือนจะเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกาแฟในยามเช้ากับไอเย็นที่เข้ากระทบผิวกายทันทีที่เปิดประตูเข้าไปภายในคาเฟ่ข้างบริษัท
“มินต์มอคค่าเย็นเพิ่มหวานแก้วใหญ่ครับ”
ผมเอ่ยปากสั่งเมนูประจำอย่างคุ้นเคย แม้ตามปกติผมจะเข้าร้านนี้ในช่วงพักกลางวันเพราะทานอาหารเช้ามาก่อนแล้ว แต่เพราะวันนี้มาถึงบริษัทเร็วกว่าที่คิดทั้งที่ตื่นสายเสียขนาดนั้น แถมมื้อเช้าที่อยู่ในกระเป๋ายังเป็นแค่ขนมปังเปล่ารสชาติจืดชืดอีก ผมจึงตัดสินใจเดินเข้ามาสั่งเครื่องดื่มไปเป็นเครื่องเคียง
และเพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ พนักงานตรงเคาน์เตอร์ถึงได้ไม่คุ้นหน้าเอาเสียเลย
ใบหน้าคมประดับรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ เข้ากันได้ดีกับเรียวคิ้วเข้มและดวงตาเรียวรีที่ติดจะขี้เล่น เรือนผมตัดสั้นสีดำสนิทถูกเซตเสยขึ้นไปลวก ๆ ทว่ากลับส่งให้คนตรงหน้าหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม ไหนจะรูปร่างสูงโปร่งที่แม้จะถูกบดบังด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด แต่กลับไม่สามารถปิดบังกล้ามเนื้อสมส่วนนั่นได้เลย
“เก้าสิบห้าบาทครับ”
เสียงทุ้มนุ่มที่ดังขึ้นดึงให้ผมผละจากการสำรวจรูปร่างหน้าตาของคนตรงหน้า ก่อนจะก้มลงเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเล็กในมือออกเพื่อหยิบธนบัตรสีแดงส่งให้อย่างลนลาน
อา... ราคาไม่น่ารักกับพนักงานเงินเดือนเหมือนเคย
ผมคิดขณะหยิบยื่นธนบัตรให้แล้วเดินไปนั่งรอที่โต๊ะเดี่ยวใกล้ ๆ จุดรับเครื่องดื่มหลังจากรับเงินทอนและใบเสร็จ นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นดูเวลาอีกครั้ง เหลือเวลาประมาณสิบห้านาทีก่อนจะถึงเวลาเข้างาน ถ้ารีบเดินก็น่าจะทันพอดี
“มินต์มอคค่าได้แล้วครับ”
เสียงพนักงานคนนั้นดังขึ้นพร้อมกับแก้วพลาสติกใสบรรจุเครื่องดื่มแยกชั้นระหว่างสีน้ำตาลเข้มและสีฟ้าที่ถูกวางลงบนเคาน์เตอร์ซึ่งเป็นจุดรับสินค้า เรียกให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเองให้ลุกเดินไปรับของ
แต่เอ๊ะ...
“ผมไม่ได้สั่งนี่ครับ” ว่าพลางชี้ไปยังคุกกี้ช็อกโกแลตชิพที่วางอยู่ข้างกัน
“แถมให้ครับ” เขาคนนั้นพูดตอบแทบจะทันที
แถม...?
“ตอนนี้มีโปรเหรอครับ” ซื้อกาแฟแถมขนมอะไรแบบนี้
“อ่า... ประมาณนั้นครับ”
ผมพยักหน้าตอบรับคำของพนักงานคนนั้นพร้อมหยิบทั้งแก้วกาแฟและขนมมาถือไว้ในมือ ก่อนเอ่ยขอบคุณพอเป็นพิธี
มันต้องเป็นโปรโมชั่นอยู่แล้วล่ะ ถ้าไม่ใช่ขึ้นมา พนักงานคนนั้นต้องโดนหักเงินเดือนโทษฐานเอาของซื้อของขายมาแจกแน่ ๆ
ผมเผลอหัวเราะให้กับความคิดนั้นของตัวเอง นาฬิกาข้อมือถูกยกขึ้นอีกครั้งและพบว่าอีกไม่ถึงสิบนาทีจะเป็นเวลาเข้างาน เห็นดังนั้นก็หมุนตัวเตรียมเดินออกจากร้านไปยังตึกข้าง ๆ แต่ขณะที่ขาของผมกำลังก้าวออกนอกอาณาเขตร้าน
“ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะครับ!”
เสียงของคุณคนนั้นก็ดังขึ้นหยุดผมไว้เสียก่อน ผมเอี้ยวตัวหันไปหาเขาตรงเคาน์เตอร์ด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คุณด้วยนะครับ”
มาถึงที่ทำงานก่อนเวลา ได้กาแฟโปรดกับคุกกี้มาเป็นมื้อเช้า แถมยังได้คำอวยพรจากพ่อพนักงานหนุ่มหล่ออีก
เริ่มวันใหม่ด้วยสิ่งดี ๆ วันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่นอน!
...ซะที่ไหน
“นี่มันครั้งที่เท่าไรแล้วคุณเหลียง!”
เสียงดังลั่นจากการฟาดเอกสารปึกใหญ่ลงบนโต๊ะผสมกับเสียงตะคอกทำให้ผมเผลอสะดุ้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าก้มงุดชิดอก ได้แต่กดสายตามองสองมือที่กุมประสานกันไว้ด้านหน้าและเอ่ยรับผิดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอโทษครับ...”
“เฮ้อ... ออกไปได้แล้ว”
สิ้นคำผมก็รีบโค้งตัวแล้วผลักประตูออกไปจากห้องนั้นทันที มวลความกดดันที่รู้สึกได้ค่อย ๆ คลายลงจนผมสามารถเงยหน้าขึ้นและหายใจเข้าได้อย่างเต็มปอด
“เฮ้อ...” ลมหายใจถูกผ่อนออกอย่างเหนื่อยหน่ายหลังจากได้ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้สำนักงานราคาถูกที่โต๊ะตัวเอง ผมเอนหลังพิงมัน เสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ามันถูกใช้งานมาหนักหนาขนาดไหน ดูท่าคงใกล้หมดอายุขัยในอีกไม่นาน
ผมก็เช่นกัน
ตัวผมในตอนนี้ก็คงเปรียบเสมือนเก้าอี้สำนักงานราคาถูกที่ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชนจนเริ่มขัดข้อง ร่างกายและจิตใจของผมเหนื่อยล้าเสียจนต่อให้พ่นลมหายใจเพื่อระบายความอัดอั้นกว่าร้อยครั้งต่อวันก็ยังไม่อาจช่วยได้
ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ขยับตัวหาท่าที่สบายที่สุดบนเก้าอี้ที่ไม่เหมาะกับการนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน ก่อนวางมือลงบนแป้นพิมพ์ ตั้งสติใหม่อีกครั้งเพื่อแก้ไขงานในส่วนที่เพิ่งโดนหัวหน้าตำหนิ หลังจากนั้นจึงเช็กรายละเอียดงานอื่น ๆ ที่จะต้องส่งในอีกไม่กี่วัน
‘เดี๋ยวก็หมดวันแล้ว’
นั่นเป็นประโยคที่ผมมักใช้ปลอบโยนตัวเองให้สามารถอดทนสู้ต่อไปได้
จนกระทั่งถึงเวลาเลิกงาน ผมเดินออกมาจากตึกสูงที่เป็นสถานที่ทำงาน เดินข้ามสะพานลอยไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อใช้เวลากว่าอีกครึ่งชั่วโมงในการรอรถเมล์ในการเดินทางกลับห้องพัก ท้องฟ้าในยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นดำสนิท ทว่ารอบกายกลับไม่ได้ถูกย้อมด้วยความมืด แสงไฟจากยานพาหนะหลากชนิด จากตึกสูงแห่งอื่น ๆ รวมไปถึงจากเสาไฟสูงข้างทางช่วยทำให้บริเวณโดยรอบดูไม่น่าวังเวงหรือเปลี่ยวจนเกินไป
ผมผ่อนลมหายใจ น่าเสียดายไม่น้อยที่ม้านั่งบริเวณป้ายรถเมล์ถูกจับจองไปหมดแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้จึงมีเพียงการฝืนร่างกายอ่อนล้านี้ให้สามารถยืนรอจนกว่ารถโดยสารสาธารณะที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้จะมา
ทว่าอาจจะเพราะเป็นเวลาเลิกงานของใครหลายคนเช่นกัน รถสายที่ต้องการที่มาจอดเทียบท่าแต่ละคนจึงเต็มล้นจนน่ากลัวว่าคนเกิดอุบัติเหตุตกรถจากการเบียดเสียดอย่างนั้น
คันแรกผ่านไป ตามด้วยคันที่สองและสาม
ลมหายใจถูกผ่อนผ่านริมฝีปากอีกครา หากที่โบราณว่านั้นถูกต้อง อายุขัยผมคงเหลือไม่ถึงวันพรุ่งนี้
นอกจากความเหนื่อยล้าตลอดวันที่มากเกินไปจนหนังตาของผมเริ่มประท้วง ก็เป็นกระเพาะน้อย ๆ ที่อดกลั้นไม่ไหว เริ่มส่งเสียงโครกครากแผ่วเบาขึ้นมาให้ผมได้ยินเพียงคนเดียวราวกับว่านั่นเป็นการเตือน
ผมขมวดคิ้ว หิวข้าวจนอยากจะเดินไปหาอะไรกินเสียเดี๋ยวนี้ แต่ก็นะ... รถเมล์ที่นี่นั้นเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง โดยเฉพาะเรื่องเวลา หากผมละสายตาแม้เสี้ยววิ ช่วงเวลานั้นอาจเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงที่อาจทำให้ผมต้องขึ้นแท็กซี่ที่ราคาเริ่มต้นมหาโหดไม่เกรงใจค่าแรงขั้นต่ำเพราะเหนื่อยจนเกินทนไหวเป็นแน่
แกรบ
“เอ๊ะ...?”
เสียงกรอบแกรบที่ดังขึ้นหลังจากผมล้วงมือเข้าไปควานหาลูกอมในกระเป๋าเรียกความสนใจจากผมได้ไม่น้อย ผมหยิบมันออกมา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นคุกกี้ในมือ นึกขอบคุณที่ตัวเองไม่ได้ตะกละตะกลามยัดมันเข้าไปหลังจากกินขนมปังสามแผ่นที่เหลือในห่อเมื่อเช้า
ผมบรรจงแกะมันช้า ๆ ไม่อยากให้ความหิวทำให้ผมตะลีตะลานแกะมันจนคุกกี้ชิ้นขนาดเล็กกว่าฝ่ามือนิดหน่อยแตกหัก ก่อนจะนำมันเข้าปากทันที
รสหวานละมุนของวานิลลาและความกรุบของช็อกโกแลตชิพเคล้ากลิ่นหอมของเนยแทบจะคลายความเหนื่อยล้าตลอดวันให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ของหวานเนี่ย... สุดยอดจริง ๆ เลยนะ
ผมใช้เวลาไม่นานในการลิ้มรสชาติของคุกกี้ชิ้นนั้น ทันเวลาพอดีกับที่รถเมล์สายที่ต้องการเทียบท่า แม้ในรถจะเบียดเสียดจนน่าอึดอัด แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจแทรกตัวเบียดขึ้นไปบนรถโดยไม่ลืมที่จะพาตัวเองไปยังจุดปลอดภัยด้านข้างประตูหลังจากผ่านไปสองชั่วโมง
แม้ระยะทางระหว่างห้องพักและที่ทำงานจะอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็นะ... การจราจรของเมืองหลวงในช่วงเวลาหลักเลิกงานอย่างนี้น่ะ
นรกชัด ๆ
และแล้วผมก็ได้แทรกร่างดันตัวเองลงมาหลังจากรถเมล์คนนี้จอดเกือบจะสนิทบริเวณป้ายที่ไม่ไกลจากห้องพักของผมเมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
การต่อสู้ของวันนี้จบลงแล้ว
ผมยกยิ้มภูมิใจในตัวเอง หลังจากนี้จะเป็นเวลาพักผ่อนเสียที ผมก้าวขาเดินไปตามเส้นทางโดยไม่ลืมแวะซื้ออาหารแช่แข็งจากร้านสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่หน้าปากซอย
แม้ดึกดื่นขนาดนี้จะยังมีร้านอาหารรถเข็นเปิดอยู่บ้างประปราย ทว่าหากต้องไปสั่งอาหาร นั่งรอในร้าน และทานจนเสร็จก่อนถึงเดินกลับห้อง ผมจะเสียเวลาในการใช้ชีวิตส่วนตัวเงียบ ๆ คนเดียวไปมากโข
อาหารแช่แข็งรสชาติจืดชืดที่มาพร้อมช้อนพลาสติกจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนอย่างผมเลยล่ะ
ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินกลับห้องพัก แม้ผมจะเป็นผู้ชาย แต่ตรอกซอยที่ไม่ได้มีไฟตามทางมากมายก็น่ากลัวเกินกว่าจะเกินเอ้อระเหยกลับห้องพักในยามวิกาลอย่างนี้
กล่องอาหารถูกโยนเข้าไปในไมโครเวฟทันทีที่ผมเดินผ่าน จากนั้นจึงใช้เวลาไม่กี่นาทีในการรออุ่นสำหรับการอาบน้ำ แม้อาหารอาจจะเย็นลงไปบ้างเมื่อผมจัดการธุระตัวเองเสร็จ แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไร
กล่องบรรจุภัณฑ์และช้อนส้อมพลาสติกถูกโยนทิ้งลงใส่ถังขยะอย่างทุกที นี่แหละคือข้อดีของการซื้อของกึ่งสำเร็จรูปจากร้านสะดวกซื้อมาทาน เพราะว่าผมไม่ต้องล้างจานยังไงล่ะ!
ผมหลุดหัวเราะให้กับความคิดไร้สาระของตัวเองขณะยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ โตจนอายุจะเข้าเลขสามแล้ว แต่ผมยังคิดอะไรเป็นเด็กอยู่เสมอ
“คิดถึงจังเลย!”
...รวมถึงการกระทำด้วย
ผมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม พลางทิ้งตัวลงนอนทับตุ๊กตาน้อยใหญ่บนเตียงนอนขนาดสามฟุต สองแขนโอบกอดตุ๊กตากระต่ายนุ่มนิ่มตัวโปรดไว้แน่น ก่อนจะซบซุกใบหน้าลงไปด้วยความมันเขี้ยว
“ฮ้า...” เสียงลากยาวของผมดังขึ้นขณะผ่อนลมหายใจออกมาทางริมฝีปาก ต่อให้เหนื่อยมาทั้งวันยังไง สุดท้ายแล้วความเหนื่อยล้าพวกนั้นก็ถูกปัดเป่าให้หายไปด้วยความน่ารักและนุ่มนิ่มสบายตัวของเหล่าตุ๊กตาพวกนี้ในยามค่ำคืนอยู่ดี
ผมนอนกลิ้งไปมา ไม่ได้ตั้งใจจะนอนหลับซะเดี๋ยวนี้ เพียงแค่อยากใช้เวลาที่มีไม่มากนักในการผ่อนคลายกับสิ่งที่ชอบเท่านั้น
สุดท้ายผมก็หยุดเคลื่อนไหวและเลือกที่จะนอนหงาย ตุ๊กตานุ่มนิ่มตัวใหญ่ยังอยู่ในอ้อมแขน ทว่าสิ่งที่อยู่ในมือกลับเป็นโทรศัพท์ที่แสดงหน้าเว็บเพจของร้านเสื้อผ้าออนไลน์เด่นหรา
ผมปัดปลายนิ้ว เลื่อนไถอยู่พักใหญ่ เมื่อเจอเสื้อผ้าที่น่าสนใจก็ไม่ลืมกดเก็บไว้ในตะกร้า รอกลับมาเลือกตัดสินใจอีกครั้งอย่างช้า ๆ ในวันหยุด
ไม่แน่ใจกว่าการผ่อนคลายกับหน้าจอโทรศัพท์และเหล่าตุ๊กตาของผมจะใช้เวลานานกว่าที่คิดหรือเปล่า เปลือกตาถึงได้หนักอึ้งขนาดนี้ ผมหาวหวอดหลายครั้ง ก่อนจะตัดสินใจล็อกหน้าจอโทรศัพท์แล้ววางไว้ข้างหัวเตียง
แม้จะเกลียดที่ต้องลุกขึ้นไปปิดไฟหลังจากหาท่าทางที่สบายสำหรับการนอนได้แล้วก็ตาม แต่สุดท้ายผมก็ต้องลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำก่อนนอนอยู่ดี
ไฟในห้องถูกดับลง จากนั้นผมจึงโถมตัวลงบนเตียงที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาอีกครา
“หมดไปอีกวัน...” ผมเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืด ผ้าห่มถูกดึงขึ้นคลุมร่างกายจนถึงคอ ขณะซุกใบหน้าลงบนตุ๊กตาตัวโปรดในอ้อมแขน
อาจจะเพราะความเหงา ผมถึงได้หวังเหลือเกินที่จะให้เหล่าตุ๊กตาเอ่ยชมผม บอกกับผมว่าเก่งมากที่ผ่านวันนี้มาได้ ทว่านั่นก็เป็นได้เพียงความเพ้อฝันไร้สาระของคนที่อาศัยอยู่คนเดียวเท่านั้น
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายให้กับความคิดน่าขันนั่น ก่อนที่ความเหนื่อยล้าจะฉุดรั้งดึงสติของผมให้จมลงสู่ห้วงนิทรา
—
tbc
ตบตีกับการเรียงไทม์ไลน์อยู่นาน
สุดท้ายก็จบลงแบบนี้ค่ะ ; - ;
หวังว่าจะสนุกนะคะ!
(อัฟทัน RAW แล้ว)
enj!
นิโกะเป็นแงว
(@nnnkx2_)