บทที่ 1

 

 

 

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรกันนะ...

 

ท่ามกลางเสียงกระทบเสียดสีกันของอาวุธ เหล่าผู้ถูกเรียกว่า -ปิศาจโสโครก- ต่างกรีดร้องคร่ำครวญ ร่างกายสีมรกตเต็มไปด้วยเกล็ด แม้จะยืนสองขาเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า -มนุษย์- ทว่ากลับดูน่าเกลียดและแปลกประหลาดยิ่งกว่า ริมฝีปากยืดยาวจนหากเรียกว่าจะงอยก็ไม่ผิดนัก ฟันแหลมคม หางเรียวรีงอกยาวด้านหลัง ผังพืดที่มือและเท้า รวมไปถึงแก้วตาใสสีอำพันที่แม้จะกลมโต ทว่านัยน์ตาสีดำกึ่งกลางนั้นกลับเป็นขีดดูดุร้าย ทำให้พวกเขาถูกขนานนามด้วยชื่อที่แสนร้ายกาจอย่างนั้น

แม้จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด เกิดมา หาอาหาร มีรัก และหมดอายุขัย ทุกสิ่งในชีวิตของพวกเขานั้นเป็นปกติเหมือนกับสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายต้องพบเจอ ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะไปทำร้ายใครก่อน

แต่ทำไมกัน...

ทำไมสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ถึงได้ตีตราว่าพวกเขาเป็นสิ่งเลวร้าย ทำไมมนุษย์พวกนั้นถึงชี้หน้าบอกว่าพวกเขาคือกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายกันล่ะ

เป็นเพราะพวกเขาแปลกประหลาดอย่างนั้นเหรอ?

น่าเสียดายเหลือเกินที่คำถามเหล่านั้นไม่เคยได้รับคำตอบและยังถูกกลบฝังด้วยเสียงกรีดร้อง

ในค่ำคืนที่เย็นยะเยียบและเงียบสงัด เสียงหนักของเกือกม้าหลายร้อยตัวที่กระทบกับก้อนหินและพื้นดินชื้นน้ำทำให้เหล่าลิซาร์ดแมนที่กำลังพักผ่อนจากการทำงานหนักเพื่อการดำรงชีวิตในช่วงกลางวันอย่างผ่อนคลายต่างลุกฮือแตกตื่น เสียงโห่ร้องและคบเพลิงสีชาดที่สว่างโชติช่วงทำให้พวกเขาหวาดผวา แม้เผ่าพันธุ์ของพวกเขาจะเป็นนักรบ แต่ก็รักสงบและเลือกที่จะอาศัยแค่ภายในอาณาเขตของตน

ทว่าในยามนี้ เหล่านักรบผู้รักสงบทั้งหลายจำต้องกัดฟันจับอาวุธต่อสู้เพื่อปกป้องครอบครัวและถิ่นอาศัย

"ฮึก..."

เสียงสะอื้นแผ่วเบาเรียกสายตาของผมให้หันไปมอง ด้านข้างนั้นเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านวัยใกล้เคียง—อาจจะเด็กกว่าเขานิดหน่อยกำลังยืนตัวสั่นงันงก แม้สองมือจะถือหอกยาวตั้งท่าชี้ไปทางผู้บุกรุกอย่างอาจหาญ แต่น้ำตาที่รื้นเคลือบแก้วตากลมใสและสันกรามยื่นยาวที่ขบกรอดสั่นระริกกลับทำให้เจ้าเด็กนั่นดูน่าสงสารเสียมากกว่า

"เป็น... อะไรไหม"

ผมเอ่ยขึ้นหลังกลืนก้อนบางอย่างที่จุกตรงลำคอลงไปได้ แม้ว่าผมจะทำเป็นเก่งและถามเด็กคนนั้นด้วยความห่วงใย แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความสั่นของช่วงขาที่พยายามยืนจังก้าต้านกองทัพของเหล่าผู้ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหวาดผวาในหัวใจไม่ต่างกัน

สองมือชื้นเหงื่อกำหอกในมือแน่นเสียจนขึ้นข้อขาว แม้ว่าจะฝึกฝนการรบมามากมายหลายรูปแบบ ฝึกจ้วงแทงผู้บุกรุกด้วยอาวุธยาวในมือกับหุ่นจำลองหลายครั้งครา แต่การที่ต้องมาเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่อาศัยร่วมโลก สิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ มีครอบครัว และมีวิถีชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกันอย่างนี้

ผมกลัว...

กลัวเหลือเกินที่จะจ้วงแทงของมีคมในมือกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้า กลัวเหลือเกินที่จะต้องกลายเป็นผู้ช่วงชิงลมหายใจ ผมกลัวจนได้แต่หยุดยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน เสียงรอบกายหายไปราวกับตกอยู่ในภวังค์ สายตาเห็นเพียงสีแดงฉานของหยาดเลือดและไฟที่โหมกระหน่ำ อากาศที่ควรจะร้อนระอุกลับเย็นเยียบเสียจนขนกายลุกชัน แต่ผมก็ต้องอดกลั้นมันเอาไว้

 

หากไม่อยากถูกช่วงชิง ก็จงช่วงชิงชีวิตของผู้อื่นเสียก่อน

 

ผมเชื่อ... หากผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ คงไม่มีวันไหนที่ผมจะนอนหลับสนิท

ทว่าเหนือกว่าความกลัวคือความไม่เข้าใจ...

ผมไม่เข้าใจ ทำไมคนเหล่านั้นถึงได้บุกมาหาพวกเราในช่วงเวลาพักผ่อนอย่างนี้กัน

ไม่สิ

พวกเขาไม่ควรจะบุกมาหาพวกเราไม่ว่าจะไหนช่วงเวลาไหนเลยด้วยซ้ำ

"ระวัง!"

เสียงตะโกนลั่นสนั่นมาพร้อมกับแรงผลักไม่เบานักที่ทำให้ร่างกายแข็งทื่อเสมือนไร้ชีวิตของผมล้มลง เรียกสติและประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมให้กลับมาอีกครั้ง และก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร ความเปียกชื้นจากของเหลวอย่างบางก็เข้าปะทะกับใบหน้าผมเสียก่อน

 

อะ... ไร?

 

ผมยกมือขึ้นปาดปลายนิ้วเช็ดของเหลวนั่น กลิ่นของมันทำเอาอาหารเย็นที่เพิ่งกินเข้าไปแทบไหลย้อนกลับออกมา ก่อนที่ผมจะละสายตาจากของเหลวสีแดงสดตรงปลายนิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองแหล่งที่มาของมัน

ดวงตากลมใสราวลูกแก้วเบิกค้าง ภาพตรงหน้าทำให้ร่างกายที่เพิ่งกลับมาขยับได้แข็งทื่ออีกครา ร่างสีมรกตที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเด็กคนนั้นค่อย ๆ ถูกอาบย้อมด้วยสีแดงฉานอย่างช้า ๆ ของเหลวหนืดสีชาดไหลตามอาวุธยาวปลายแหลมของผู้บุกรุกและริมฝีปากของเจ้าตัวเอง ผมจ้องภาพนั้นนิ่ง ภาพร่างกายที่สั่นกระตุกก่อนนิ่งสนิทไร้การเคลื่อนไหวของคนที่เพิ่งพูดคุยกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน

 

ตอนนั้นเองที่ความอดกลั้นของผมหมดลง

 

อาหารเย็นเมื่อสามชั่วโมงก่อนถูกดันย้อนขึ้นมาจนกลั้นไม่ไหว ผมก้มหน้า อ้าปากที่ยื่นยาวแปลกประหลาดแล้วปลดปล่อยความทรมานทั้งหมด กลิ่นเปรี้ยวเตะจมูกและความแสบในลำคอทำให้น้ำตาของผมไหลริน ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านโดยที่ผมเริ่มแยกแยะมันไม่ออกว่ามาจากการทรมานจากการขย้อนอาหารหรือจากความกลัวกันแน่

เสียงหัวร่อขบขันราวกับกำลังดูการแสดงตลกของพวกที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์ดังขึ้นไม่ไกล พวกมันคนหนึ่งตะโกนเรียกให้เพื่อนที่อยู่ข้างกันหันมามองร่างไร้ลมหายใจของเจ้าเด็กลิซาร์ดแมนที่ปลายหอก ก่อนจะเบนปลายนิ้วมายังผมที่ยังคงคุกเข่าด้วยสองแขนและสองขา ร่างกายที่สั่นระริกเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษอาหารจนดูน่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิม

มนุษย์ผู้นั้นสะบัดปลายหอกหนึ่งครั้งให้ร่างเปื้อนเลือดจนแทบไม่เห็นสีผิวเดิมหลุดออก ก่อนก้าวย่างเข้ามาใกล้ผมที่ยังคงหอบหายใจหนักอย่างหวาดผวา ผมไล่สายตาจากปลายเท้าที่ห่อหุ้มด้วยเกราะเหล็กสองคู่ตรงหน้าขึ้นไปช้า ๆ กระทั่งสบเข้ากับสีหน้าและแววตาเหยียดหยันระคนสะใจ มนุษย์ทั้งสองง้างอาวุธยาวในมือขึ้นสูง

ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับไป

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของมนุษย์เหล่านั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ติดอยู่ในความทรงจำ ผมได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเอง

พวกเขาไม่กลัวที่จะต้องช่วงชิงชีวิตผู้อื่นเลยอย่างนั้นหรือ

ไม่ขยะแขยงสัมผัสนุ่มหยุ่นยามจ้วงแทงของมีคมสู่ผิวเนื้องั้นหรือ

พวกเขาสนุกสนานกับกลิ่นคาวเลือดและเสียงกรีดร้องอย่างนั้นหรือ

ภาพแม่ที่หอบอุ้มลูกน้อยแนบอกแล้ววิ่งหนี หรืออาการสั่นระริกของกลุ่มเด็กน้อยที่เพิ่งสูญเสียพ่อแม่ไปต่อหน้าต่อตา

เหล่านั้นคือการแสดงจากพวกเราสำหรับพวกเขาอย่างนั้นเหรอ

เพียงเพราะร่างกายที่เต็มไปด้วยเกล็ด จะงอยปากที่ยื่นยาว หรือหางเรียวจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นมังกรทำให้พวกเรานั้นแตกต่าง

 

พวกเราถึงต้องตาย

 

พสุธาที่ย้อมไปด้วยเปลวไฟและกองเลือดสีแดงฉานตัดกับท้องนภาสีรัตติกาลมืดสนิท แม้ว่าสีสันของมันควรจะดูสวยสด ทว่ากลับแสนสยดสยองเหลือเกินในเวลานี้

อ่า...

หากชาติหน้ามีจริง ผมหวังได้ไหม...

หวังว่าผมจะไม่แปลกประหลาดอีกต่อไป

 

.

.

.

 

"...เจ้า"

ใครกัน...

สัมผัสเบาสบายคล้ายล่องลอยอยู่ในมวลอากาศกับเสียงนุ่มให้ความรู้สึกอบอุ่นเรียกสติของผมกลับมาอีกครั้ง ทว่าเพราะความสบายนี้ ผมจึงไม่อยากแม้แต่จะลืมตา อยากพักผ่อนและล่องลอยอยู่ในห้วงเวลาที่ราวกับฝันนี้ต่อไป

"ลืมตาเถิด..."

"อึก..." ราวกับถูกอ่านใจ ผมกดหัวคิ้วเข้าหากันก่อนจะลืมตา

สิ่งแรกที่เข้ากระทบคือแสงสว่างที่ดูจะมากเกินไปจนผมต้องกะพริบตาถี่หลายครั้งเพื่อปรับสายตา ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมดันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดสายตามองไปทั่ว รอบด้านนั้นเป็นเพียงพื้นที่สีขาวโล่งกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่อาจคะเนได้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหน ด้านหน้าของผมมีโต๊ะและเก้าอี้คู่หนึ่งตั้งอยู่ หนึ่งในนั้นถูกจับจองโดยชายชราท่าทางใจดีที่นั่งด้วยท่าทีสำรวม รอยยิ้มบางเบาแต้มประดับบนใบหน้าคล้ายบอกผมว่าไม่มีอะไรน่ากลัว

"ข้า..." หลังจากเปล่งเสียงออกมาได้เพียงหนึ่งคำ สมองของผมก็แล่นเร็ว ภาพความทรงจำสุดท้ายไหลเข้ามาจนเหงื่อเย็นผุดขึ้นมากมายตามไรผม

ผมตายแล้ว

นั่นคือสิ่งที่ผมสรุปได้ด้วยตัวเองหลังจากพบเจอกับสถานที่แห่งนี้ ไหนจะความทรงจำสุดท้ายนั่นอีก

ผมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะก้าวเดินตรงไปยังเก้าอี้ตัวที่ยังว่างอยู่ ดึงมันออกจากใต้โต๊ะ และทิ้งตัวลงนั่งอย่างเงียบเชียบ

ชายชราตรงหน้าเลื่อนถ้วยชาที่มีควันอุ่นร้อนลอยขึ้นมาให้ ผมมองมันเนิ่นนาน ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นสบกับคนตรงหน้า เมื่อเห็นรอยยิ้มที่แต่งแต้มบนนั้นและการกดศีรษะเป็นเชิงอนุญาตหนึ่งครั้ง ผมจึงยกถ้วยชาใบเล็กนั่นขึ้นแตะริมฝีปาก

สิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คือกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ตามมาด้วยความอุ่นร้อนและความขมปร่าติดปลายลิ้นพอให้ร่างกายที่เย็นเยียบของผมอุ่นขึ้นมาบ้าง ผมยังคงแตะริมฝีปากกับถ้วยชานั้น ลิ้มรสชาติความผ่อนคลายหลังจากผ่านเหตุการณ์แสนเลวร้าย ก่อนที่ของเหลวในถ้วยนั้นจะดูแปลกไปนิดหน่อย

ชาใสสีอ่อนสั่นสะท้านแผ่คลื่นกระจายเป็นวงกว้าง และนั่นทำให้ผมรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาที่กำลังรินไหล

ปลายนิ้วที่สั่นระริกของผมพยายามประคองถ้วยชาใบนั้นให้ลดระดับผละจากริมฝีปาก ก่อนจะวางลงบนพื้นโต๊ะนั้นเช่นเดิม

ผม... ตายแล้วจริง ๆ

"เจ้าคงเข้าใจเรื่องราวแล้วสินะ"

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ผมทำเพียงกดศีรษะพยักหน้าให้เท่านั้น

"รู้สึกอย่างไรบ้าง"

"ข้า..." ไม่รู้สิ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่ จึงทำได้เพียงเปล่งเสียงออกมาเพียงหนึ่งคำแล้วเงียบไปเช่นเดิม สายตากดลงมองปลายนิ้วมือทั้งสองข้างที่กำลังเกาะเกี่ยวกันอย่างประหม่า

อาจจะเพราะท่าทางของผม ชายชราตรงหน้าจึงเลือกที่จะถามต่อแทนการรอให้ผมเรียบเรียงประโยคแล้วพูดออกมาเอง

"เสียใจหรือไม่"

ผมพยักหน้า

"หวาดกลัวหรือไม่"

ผมพยักหน้า

"เกลียดชังหรือไม่"

ผมนั่งนิ่ง ไม่ได้พยักหน้ายอมรับหรือส่ายหน้าปฏิเสธ

เกลียดงั้นเหรอ...? ผมควรที่จะเกลียดคนพวกนั้นสินะ แต่ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นเลยล่ะ

ผมเสียใจที่ต้องทนเห็นผู้คนคุ้นหน้าล้มตาย เสียใจที่ไม่แข็งแกร่งพอจนช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ไว้ได้ เสียดายที่ต้องตายก่อนที่จะทำสิ่งที่ชอบครบ และรู้สึกหวาดกลัวเพราะความไร้ซึ่งพลังของตัวเอง

 

แต่ผมไม่ได้เกลียดชังเลยแม้แต่น้อย

 

ความตายนี่ช่างสงบเหลือเกิน นอกจากความเสียใจและหวาดกลัวแล้วนั้น ความรู้สึกอื่น ๆ ที่ควรจะรุนแรงราวไฟลุกโหมกลับไม่มีเหลือ

และแล้วผมก็ตอบคำถามนั้นไปด้วยการส่ายหน้า

"คนพวกนั้นทำร้ายเจ้าและครอบครัว เจ้าควรจะรู้สึกเกลียดชัง"

"ข้าก็คิดอย่างนั้น ข้าควรจะเกลียดชัง เพียงแต่..." ผมผ่อนลมหายใจ หลังจากคิดทบทวนพักใหญ่ผมก็ได้ข้อสรุปออกมา "ข้ากลับรู้สึกอิจฉามนุษย์เหล่านั้นแทน"

"อิจฉางั้นหรือ" เรียวคิ้วสีขาวเลิกขึ้นคล้ายประหลาดใจในคำตอบ

"เพราะพวกเราแปลกประหลาด ทั้งยังจัดเป็นปิศาจภายใต้อำนาจของจอมมาร จึงไม่แปลกนักที่มนุษย์เหล่านั้นจะหวาดกลัว" ผมยังคงจ้องมือปลายนิ้วมือทั้งสองข้างบนหน้าตัก พังผืดระหว่างนิ้วช่างน่าเกลียดนัก ไหนจะผิวกายสีเขียวมรกตนี่อีก "เพราะมนุษย์มีจำนวนมากกว่า ไม่แปลกที่จะมองว่าพวกเขาคือความปกติ"

"แต่เจ้าก็ไม่ได้แปลกประหลาด"

ผมละสายตาจากปลายนิ้ว เงยหน้าขึ้นสบตากับชายชราตรงหน้าที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว

"ข้ารู้" ผมไม่ได้แปลกประหลาด ชายตรงหน้าก็ไม่ได้แปลกประหลาด "เพียงแต่ทุกเผ่าพันธุ์ย่อมหวาดกลัวในสิ่งที่แตกต่างจากตนเอง"

เพราะเหตุผลนั้นเอง ถึงแม้ว่าพวกเราลิซาร์ดแมนจะไม่แปลกประหลาดในหมู่พวกเรา แต่หากพวกเราไปอยู่ท่ามกลางเหล่าก็อบลิน เหล่าเอลฟ์ หรือแม้แต่เหล่ามนุษย์ พวกเราล้วนแปลกประหลาดในสายตาของกันและกัน

และเพราะความแปลกเหล่านั้น พวกเราจึงหวาดกลัวกันเอง

เพียงแต่มนุษย์มีร่างกายอ่อนแอ อายุขัยก็สั้นกว่าพวกเราถึงสิบปี รวมถึงไม่มีลักษณะพิเศษที่ช่วยส่งเสริมให้พวกเขาแข็งแกร่งเฉกเช่นพวกเราที่มีเกล็ดแข็ง หางยาว หรือกรงเล็บแหลมคม

นั่นทำให้มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่ตาขาว

พวกเขาหวาดกลัวทุกอย่างที่แตกต่างกับตน หวาดระแวงอันตรายที่อาจมาสู่พวกเขาอย่างกะทันหัน จนกระทั่งพวกเขาเลือกที่จะเป็นภัยคุกคาม เป็นอันตรายที่จะลุกล้ำและกำจัดเผ่าพันธุ์อื่น

และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่กองทัพมนุษย์ในตอนนั้นมากวาดล้างพวกเรา

"เจ้าควรจะเกลียดชัง" ชายชราพูดขึ้นอีกครั้ง เรียวคิ้วกดขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ "เหตุใดเจ้าจึงอิจฉา"

"เพราะมนุษย์เหล่านั้นสุขสบาย" ผมพูดขึ้นหลังจากนิ่งคิดไปพักใหญ่ "อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่แปลกประหลาดต่อกัน"

"เช่นนั้นเจ้าอยากเป็นมนุษย์หรือ"

คำพูดของชายชราตรงหน้าทำให้ผมนิ่งไป ผมอยากเป็นมนุษย์งั้นเหรอ... บอกตามตรงเลยว่าผมไม่แน่ใจ แต่หากการเป็นมนุษย์มันดีถึงเพียงนั้นถ้ามันสามารถทำให้ผมไม่รู้สึกถึงความแปลกประหลาด ทำให้ผมไม่ถูกหวาดกลัวและหวาดระแวง

"หากเป็นไปได้..."

ผมก็อยากจะเป็น

"เช่นนั้นก็ย่อมได้"

สิ้นประโยคนั้นก็มีแสงสว่างวาบเข้ากระทบจนผมจำต้องหลับตา ผ่านไปสักพักเมื่อแน่ใจแล้วว่าคงไม่มีอะไรน่าตกใจอีก ผมจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

มันคือตู้ขนาดใหญ่บรรจุลูกบอลหลายร้อยลูก ด้านหน้ามีปุ่มสีแดงและสีน้ำเงินที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ช่องด้านล่างขนาดใหญ่เพียงพอที่จะสอดมือเข้าไปหยิบของบางอย่างออกมา

"ข้าจะให้เจ้าเป็นมนุษย์" ชายชราเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากทิ้งให้ผมตกตะลึงกับสิ่งตรงหน้า "สิ่งนี้คือกาชาปอง เจ้าจะต้องกดปุ่มเพื่อสุ่มเลือกสถานที่ที่จะไปเกิด"

ชายชราอธิบายสิ่งที่ผมต้องทำ มือเหี่ยวย่นชี้ไปยังปุ่มสองปุ่มด้านหน้าทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนอธิบายเพิ่มเติมว่าสถานที่ที่จะไปเกิดใหม่นั้นถูกบรรจุอยู่ในลูกบอล เมื่อกดปุ่มสีแดงจะทำให้เจ้าลูกบอลเหล่านั้นเคลื่อนไปมา ส่วนปุ่มสีน้ำเงินจะเป็นการเปิดช่องที่มีขนาดใหญ่พอให้ลูกบอลหนึ่งลูกลอดผ่าน และหลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของดวงชะตาว่าจะนำพาให้ผมไปเกิดที่ไหน

ผมสูดหายใจเข้าลึกแล้วกดปลายนิ้วลงบนปุ่มสีแดงหนึ่งครั้ง เสียงแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับการขยับเคลื่อนของลูกบอลหลายสิบลูก ภายในใจได้แต่ภาวนาให้ชีวิตใหม่ในครั้งนี้ดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่อีกใจก็คิดว่าเพียงแค่ได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นก็โชคดีถึงเพียงไหน ผมไม่ควรคาดหวังหรือภาวนาอะไรมากไปกว่านี้

 

ก่อนจะตัดสินใจแตะปลายนิ้วลงบนปุ่มสีน้ำเงิน

 

เสียงตึงตังดังขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไป เป็นสัญญาณว่าดวงชะตาได้ลิขิตสถานที่ที่จะไปเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว

ชายชราคนนั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินตรงไปยังช่องด้านหน้าที่ผมเห็นก่อนจะเปิดมันออกแล้วล้วงมือเข้าไปหยิบลูกบอลที่หล่นลงมาเพียงลูกเดียวออกมา ฝ่ามือเหี่ยวย่นบิดหมุนลูกบอลนั้นให้แยกออกจากกันเป็นสองส่วน ใจของผมเต้นกระหน่ำจนแทบหายใจไม่ออก ร่างกายเย็นเยียบเสียจนน่ากลัวว่าจะเผลอเป็นลมไปเสียเดียวนั้น ลุ้นระทึกยิ่งกว่าเรื่องเล่าสยองขวัญที่เคยได้ฟังจากเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ลิซาร์ดแมน

"อ่า..."

นั่นเป็นเพียงคำเดียวที่ถูกเปล่งออกมาจากลำคอของชายชราตรงหน้าพร้อมกับเรียวคิ้วสีขาวที่กดเข้าหากันจนแทบผูกติด ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว ถอนหายใจออกมาแล้วผ่อนคลายสีหน้าให้แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

มัน... ออกมาดีสินะ?

"ขอให้เจ้าโชคดี"

"เอ๊ะ..."

ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนอีกครา

ถึงเวลาแล้วสินะ ในที่สุดผมก็จะได้เป็นมนุษย์ เป็นจุดสูงสุดของยอดพีระมิด เป็นสิ่งที่ไม่แปลกประหลาดเสียที

ผมปิดเปลือกตา ปล่อยให้ร่างกายไร้เรี่ยวแรงและการควบคุมนี้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น ความว่างเปล่าชั่วครู่เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจน ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนไป

ความหนาวเย็นเข้าปะทะผิวกายเปลือยเปล่า แสงสว่างจ้าที่แม้จะปิดเปลือกตาอยู่ก็ยังคงทำให้ระคายเคือง และสัมผัสแปลกประหลาดถูกสอดเข้ามาภายในลำคอเป็นจังหวะพร้อมกับแรงดูดไม่เบานักจนแทบสำลัก ทั้งหมดเหล่านั้นทำให้ผมกลั้นใจ อ้าริมฝีปากแล้วแผดเสียงร้องออกมาดังลั่น ผมไม่อาจห้ามมันได้ หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่ารินไหล ก่อนที่เสียงรอบกายจะดังขึ้นอีกครั้งด้วยความยินดี

"น้องเป็นเด็กผู้ชาย แข็งแรงดีค่ะ"

อ่า... เสียงนั่น ภาษาที่ผมไม่รู้จัก

 

ผมกลับมาเกิดใหม่แล้วสินะ

 

 

 

 

 

tbc

 

 

 

สารภาพว่ายังวางพล็อตไม่จบแต่อยากระบายกองดอง

เพราะงั้น! นิ้กจะตั้งใจเขียน! เย้!

มาร่วมเดินทางไปกับน้องลิซาร์ดแมนของเรากันนะคะ!

 

 

 

enj!

นิโกะเป็นแงว

(@nnnkx2_)