Chapter 2

 

ห่างพ้นไกลไปอีกหลายพันไมล์ ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่นิทรา ร่างหนาเอนตัวลงนอนราบบนเตียงใหญ่ ปิดเปลือกตาสนิทพร้อมกับใบหน้าที่แสนจะเหน็ดเหนื่อย เขาไม่อยากจะนอนหลับ แต่ด้วยสภาพที่ฝืนทนอดนอนมาหลายวัน จนบิดาเริ่มสงสัย

...เขากลัวการนอนกลับ เพราะสิ่งที่จะพบเจอในนั้น...

ฝันในครั้งนี้ โจนาสมายืนมองเด็กชายสองคนคนเดิม เขาไม่เคยเห็นหน้าเด็กชายตัวน้อยอีกคน เพียงเเต่เขามั่นใจอย่างหนึ่งว่าเด็กชายตัวสูงคนนั้นจะต้องเป็นเขาแน่นอน

เด็กชายทั้งสองเดินไปยืนในมุมที่ค่อนข้างน่ากลัวสำหรับเด็กชายทั้งสองที่จะได้รับอันตราย ไม่นานคนเดินผ่านไปแวะพูดคุย สองคนสัมผัสมือทักทายและลอบแลกเปลี่ยนในระหว่างนั้น ซองบรรจุผงสีขาวออกไปกับธนบัตรกลับมาหาเด็กชาย มือหนาวางบนหัวคนตัวน้อยก่อนจะก้มลงมากระซิบพูดคุย นั่นทำให้เขาขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด

“หนาวไหม ทนอีกหน่อยนะยาใกล้หมดแล้ว”

“ไม่ครับ พี่ฟ้าเหนื่อยไหม ยืนตั้งนาน”

“เมื่อยเหมือนกันเนี่ย”

“พี่ฟ้านั่งก่อน เดี๋ยวกันย์ไปยื่นส่งแทนเอง เอามา” เด็กชายตัวน้อยคนนั้นแบมือมาขอสิ่งของ

มือหนาลงยีหัวเจ้าเด็กน้อยคงเพราะมันเขี้ยว “อีกสองซองเอง พี่ทนไหวน่า...”

“ตามใจน้า กันย์อยากช่วยแท้ ๆ เลยเนี่ย” เขาเห็นเด็กชายเงยหน้าและด้วยน้ำเสียงน่าเย้ยหยันกวนคนพี่อย่างแน่นอน และเขาได้เสียงร้องด้วยความตกใจเบา ๆ จึงโน้มตัวเข้าไปมองทั้งสองคน “โอ๊ะ!” และเด็กชายก้มลงไปผูกเชือกสายรองเท้าให้คนตัวโตกว่า “ดีนะเห็นก่อนไม่งั้นวิ่งเหยียบล้มเอาได้นะ”

 

ไม่นานเด็กชายก็จูงมือคนน้องมายืนมองแผงขายรองเท้าปูกอง ๆ กับพื้น หยิบเลือกหาขนาดรองเท้าที่เหมาะกับอีกคน โจนาสเลยก้มลงไปดูสภาพรองเท้าคนเด็กข้างตัว รองเท้าหัวโตสีน้ำเงินเลอะไปด้วยคราบดินโคลน ตัวยืดสายรัดส้นเท้าหลุด สายนั้นสะบัดไปมาเวลาเดินจนดูน่ารำคาญ ส่วนหัวขาดจนนิ้วโป้งโผล่ออกมาให้เห็นทั้งสองข้าง

 

รองเท้าผ้าใบสีดำขนาดเล็ก มาทาบบนเท้าน้อย ๆ โจนาสได้ยินเสียงคนขายตะโกนพร้อมส่งถุงพลาสติกมาให้พวกเขา ชายตัวโตย่อตัวลงเงยหน้ามองคนน้อง ค่อย ๆ ถอดรองเท้า ยกเท้าสีขาวอันบอบบางใส่ในถุงหูหิ้ว และจับใส่ลงไปในรองเท้าผ้าใบข้างหนึ่ง ประคองวางลงบนผื่นผ้าใบที่ปูกับพื้น มือค่อย ๆ ไล่บีบดูส่วนหัวว่าเหลือที่หรือขับแน่นจนเกินไป

“เอาคู่นี้ เท่าไรพี่”

“12 เหรียญ” คนขายตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“10 เหรียญได้ไหมพี่ มีเงินแค่นี้”

“12 เหรียญ ไม่ลดแล้วเนี่ยสภาพยังดีอยู่เลย ไม่เอาถอดออกมาคนอื่นจะได้ซื้อ” คนขายยังบอกแบบตัดเยื่อใยไม่สนใจจะขายให้แก่เด็กทั้งสองคน เอาแต่สนใจลูกค้ารายอื่น

“พี่ 10 เหรียญเถอะ ผมจะซื้อให้น้อง” เด็กชายยังไม่ลดละที่จะต่อราคา พยายามล้วงกระเป๋าตัวเองหาเงิน

 

โจนาสรู้สึกว่าในฝันนั้นเขาน่าจะพกเงินมาด้วย เงินแค่ไม่กี่เหรียญเขาแทบจะไม่เคยรู้สึกว่ามันมีค่า แต่พอเห็นเด็กสองคนนี้มันช่างดูมีค่ามหาศาลมากนัก เเต่เมื่อเหลือบตาไปเห็นเด็กชายตัวน้อยล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง เอาในส่วนของตัวเองยัดใส่มือคนพี่ เขาพอจะเดาออกได้ว่าคนน้องคงอยากจะใส่รองเท้าแบบเดียวกับพี่ชายเช่นกัน

 

เสียงถอนหายใจอย่างไม่พอใจ “อะนี่ 12 เหรียญ” พร้อมกับส่งรองเท้าคู่นั้นไปด้วย เด็กชายตัวโตยื่นเงินทั้งหมดให้แก่คนขาย

“มีเงินอยู่นิ แล้วจะต่อทำไมล่ะ” น้ำเสียงประชดประชันระหว่างนำสิ่งของใส่ถุงและส่งมอบให้แก่เด็กชาย

 

 

โจนาสเดินตามทั้งสองจนมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงา และหยุดลงกับที่คนพี่ย่อตัวลงให้คนน้องหันหน้ามายืนเกาะไหล่ ช่วยใส่รองเท้าที่ซื้อมาใหม่ให้ ผูกเชือกรองเท้าแบบเดียวกับคนน้องผูกให้ก่อนหน้านี้ คนพี่ย้ายมือไปแตะแก้ม แม้โจนาสจะมองไม่เห็นใบหน้าแต่ก็เขารับรู้ว่าเด็กชายทั้งสองกำลังยิ้มให้กัน

“พี่จะเก็บเงินนั้นมาคืนนะ เพราะพี่อยากให้ของขวัญกับกันย์ พี่จะผูกเชือกรองเท้าให้กันย์ตลอดไปเลย”

“กันย์ก็จะผูกเชือกรองเท้าให้พี่ฟ้าเหมือนกันตลอดไป...” คนยืนโอบกอดคอ และหอมแก้มพี่ชายหนึ่งฟอด “ขอบคุณครับ รักพี่ฟ้าจังเลย พี่ฟ้าใจดีที่สุดในโลก”

ภาพตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำมืดครึ้ม...เขากลับมายังกองไม้ผุพังข้างถุงขยะใบเดิมที่เขาเห็นมันแทบจะทุกคืนที่เขาหลับตาลง ภาพคล้ายภาพเดิมกับถังขยะใบเก่าสนิมเคอะ ถุงขยะกองสุม ๆ กันอีกหลายถุง รวมถึงภาพการร่ำลาของเด็กชายทั้งสองก่อนหน้านี้

“กันย์หลบอยู่นี่นะ” คนพี่กำลังจะผละตัวออกไป แต่มีแรงกระตุกที่ชายเสื้อยื้อรั้งไว้

“...” เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้าอย่างแรง

เขาจับไหล่ทั้งสองออกแรงบีบ “หลบอยู่ตรงนี้นะ ไม่ว่ายังไงพี่จะตามหากันย์ เป็นหรือตายพี่คนนี้จะหากันย์จนเจอ ถ้าเป็นผีพี่จะคอยตามปกป้องกันไปตลอด”

เด็กชายรับรู้ว่าพี่ชายเขากำลังจะจากไป น้ำตาค่อย ๆ หยดลงไหลรินลงมาข้างใบหน้าเลอะเทอะมอมแมม “คะ ครับ อึก” เด็กคนนั้นพยายามกลั้นเสียงร้องยกมือปาดน้ำตา “กันย์จะรอพี่ฟ้าตรงนี้ ไม่ไปไหน ถ้ากันย์ตายเป็นผีก็จะรอพี่ฟ้าตรงนี้นะครับ ฮื่อ...”

ชายหนุ่มรวบตัวคนน้องมากอดอย่างแน่นราวกับว่านี่คือการกอดครั้งสุดท้าย และค่อย ๆ ผละตัวคลายกอดประคองใบหน้ามาแนบริมฝีปากจุมพิตลงบนหน้าผาก “พี่สัญญาพี่จะตามหากันย์ให้เจอ พี่รักกันย์นะ” และเด็กชายคนนั้นก็หันหลังวิ่งไปยังอีกฝากฝั่งไม่หันกลับมามองเด็กชายอีกคนที่ยืนโบกมือลา

 

ความมืดมิดแทรกผ่านเข้ามาร่างกายของเขาถูกดูดออกมาและโยนตัวเขาไปกระแทกกับบางอย่าง ปัง!!!เอี๊ยด!!! จนเข้าสะดุ้งตัวตื่นในทุกครั้ง

 

โจนาส คอลเนลล์ ชายหนุ่มอายุ 25 ปี ทายาทนักธรุกิจหนึ่งเดียวของตระกูลคอลเนลล์ ตอนนี้ปกครองโดย อเล็กซานเดอร์ คอลเนลล์ ผู้เป็นบิดา ได้ขยายการลงทุนสืบต่อจากรุ่นปู่ มูลค่าของทรัพย์สินไม่สามารถนับได้อย่างถูกต้องแน่ชัด เพียงแค่ประเมินได้เพียงคร่าว ๆ ว่ามหาศาล

 

โจนาสใช้ชีวิตอยู่บ้านหลังนี้มาสิบกว่าปีแล้ว เพราะก่อนหน้านี้สองปีเขาอาศัยอยู่ที่โรงพยาบาล วันนั้นที่เขาฟื้นขึ้นมาไม่มีความทรงจำอะไรในหัวเลยทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด มีเพียงชายวัยกลางคนนั่งเคียงข้าง ยิ้มรับเขาอย่างอบอุ่น ดวงตารื้นไปด้วยน้ำสีใสทั้งสองข้าง จากนั้นก็รับรู้ได้ว่าชายคนดังกล่าวคือบิดาและตัวเองประสบอุบัติเหตุร้ายแรง สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก

 

หลังจากการนอนเป็นผักมาร่วมหกเดือน เข้าสู่กระบวนการกายภาพบำบัดอยู่หลายเดือน แต่ที่ต้องอยู่นานคืออาการภาพหลอน อาการปวดศีรษะผลพวงมาจากเลือดคั่ง ต้องเข้าพบจิตแพทย์รวมถึงการฟื้นฟูจนเมื่ออาการดีขึ้นและเขาเบื่อจึงขอกลับมารักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่ภาพหลอนก็ไม่ปรากฏให้เขาเห็นยกเว้นในช่วงเวลาเขาหลับเท่านั้น

 

ชายหนุ่มลุกขึ้นไปอาบน้ำระหว่างน้ำเย็นราดลงบนศีรษะ เขานึกถึงความฝันเหมือนทุกครั้ง ทำไมเขาต้องฝันถึงเด็กสองคนนั้น เรื่องราวเริ่มต้นจะเป็นเรื่องใหม่เสมอ แต่จะจบด้วยสิ่งเดิม ๆ ที่พวกเขาจากลากัน เขายังหาเหตุผลไม่ได้ เขาอยากหาเด็กคนนั้น แต่เมื่อไม่มีข้อมูลอะไรให้สืบค้น หน้าตายังไง อายุเท่าไร เพศอะไรเขายังไม่แน่ใจ จึงปัดตกเพียงคิดรอให้ความทรงจำหรือความฝันชัดเจนขึ้นมาคงไม่สืบหาเรื่องราว

 

โจนาสเดินลงมาจากห้องนอนเพื่อกินข้าวร่วมกับบิดาในทุก ๆ เช้า รวมถึงการพูดคุยระหว่างพ่อลูกกันปกติ

 

“ตื่นเช้านะเรา มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” เสียงทักทายบุตรชายเดินลงมาเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วโมง

“ไม่มีอะไรครับ พอดีต้องเข้าไปเคลียร์งานก่อนบินไปตรวจงานครับ” เขาเลือกจะปกปิดความเป็นจริงในเรื่องที่ตื่นเช้า แต่ยังบอกความจริงส่วนหนึ่งที่ต้องไปจัดการงานในช่วงนี้

“ไม่จำเป็นต้องไปดูเองเลย ให้ฝั่งทางนู้นส่งรายงานมาแทนก็ได้”

“แด๊ดก็รู้ว่านิสัยผมเป็นยังไง” เขาไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ รับกาแฟจากแม่บ้านมาดื่ม

“...” คนพ่อจับจ้องไปยังคนตรงหน้า นิสัยอย่างหนึ่งของคนนี้คือต้องลงมือทำด้วยตัวเอง ไม่ค่อยไว้ใจใคร และส่วนหนึ่งเขาเองก็ไม่อยากให้โจนาสไปยังประเทศนั้นมากกว่า

“งั้นผมของตัวก่อนนะครับ แล้วเจอกันมื้อเย็นครับ”

 

มณรัฐ B เขต B2

สองคนตาหลานตื่นเต้น ต่างพากันแต่งตัวกันแต่เช้า คนหลานสวมชุดนักเรียนชั้นมัธยมปลาย ส่วนคนตาแต่งตัวด้วยชุดที่หล่อที่สุดเท่าที่จะหามาได้ เสื้อยืดสีขาวตัวใหม่สุดหอมฟุ้งด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่ม สวมทับกับเสื้อแขนยาวสีกลมท่า กางเกงขายาวสีดำ สวมรองเท้าผ้าใบสีดำ ผมเพิ่งไปตัดมาใหม่สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวานเย็น หวีเรียบชโลมด้วยน้ำมันจัดแต่งทรง

 

“ข้าดูเป็นไงมั่งวะ” ชายชรายังพยายามจัดทรงผมอยู่หน้าบานกระจก

“หล่อแล้วครับ หล่อมากด้วย” หลานชายยืนอมยิ้มบอกพลางชมไปด้วย

“หล่อแล้วครับ หล่อมากด้วย” แขกประจำของบ้านหลังนี้เดินเข้ามาก็รีบชมทันที

“ไม่ได้โว้ย เดี๋ยวไอ้กันย์อายเพื่อนคนอื่น แต่ว่าไปถึงเอ็งเดินห่าง ๆ ข้าหน่อย เขาจะได้ไม่รู้ว่ามาด้วยกันดีไหมข้าว่า”

“ไม่ต้องเลยตา เดินไปกับมันนี่แหละ ไปถูกเหรอ ไม่กลัวหลงเหรอ” เสียงป่วนกวนอารมณ์จากแขก

“จิ๊” เสียงจิปากไม่พอใจ อยากจะด่ากลับแต่สิ่งที่มันพูดมาก็ดัน ถูกต้องเสียหมด จนชายชราก็เถียงไม่ออกเช่นกัน

“ตาไปเถอะครับ” ชายหนุ่มร่างบางดึงความสนใจทั้งสองคนนั้นที่กำลังจะทุ่มเถียงกันต่อ

“กันย์เดี๋ยวก่อน!!” มือหน้าหยิบหน้ากากอนามัยมาคล้องหูทั้งสองของอีกคนจนเสร็จ ปรับขยับให้เขากับรูปหน้าก่อนจะวางมือบนหัว ตามด้วยบอกกล่าวอย่างหวงใย “สวมใส่สิ ลืมตลอดเวลา”

“อือ...ขอบคุณนะ...”

 

พวกเขาทั้งสามเดินไปยังป้ายรถโดยสารประจำทาง ระหว่างเดินผ่านบ้านของชายหนุ่มร่างสูง กันต์กวีก็ยกมือไหว้แม่ของพงศกรหรือที่เขาเรียกว่า ป้าแต๋น ที่ง่วนอยู่กับการตักข้าวขาย ตามิ่งด่าและไล่อีกคนให้ไปช่วยแม่ตัวเองทำงานไม่ต้องไปส่งพวกเขา

 

รถโดยสารคันนี้ขับไปยังเขตด้านในคือ เขต B1 เขตอาศัยของคนมีฐานะร่ำรวย ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายรวมไว้ในเขตนี้ ไม่ว่างจะโรงเรียนที่ดีที่สุด โรงพยาบาลที่ดีที่สุด และมหาลัยที่ดีที่สุดที่พวกเขากำลังจะไป ในประเทศอันเน้นค่าแรงงาน การส่งลูกหลานให้เรียนสูงคือการสิ้นเปลือง เรียนสูงแค่ไหนถ้าระดับผลการเรียนไม่ติดอันดับหนึ่งในสิบ ก็จะไม่ได้รับเข้าทำงานอยู่ดี มหาวิทยาลัยจึงมีไว้สำหรับลูกหลานคนรวยในประเทศนี้เท่านั้น

 

กันต์กวีโชคดีได้รับทุนการศึกษาจึงได้เรียน แต่ถ้าเขาไม่ได้รับก็คงจบไปกับการใช้แรงงานตามโรงงานดังเช่นคนอื่น ทุนที่เขาได้รับคือ ทุนนันทัชพร ทุนนี้เป็นทุนให้เปล่าเพียงแค่ขอรักษาผลการเรียนให้อยู่ในระดับดี และที่แปลกคือทุนนี้ตัดสินโดยการเขียนอะไรก็ได้เกี่ยวกับการรอคอย ไม่ว่าจะเรียงความ กลอน ประโยคเดียว หรือแค่บทความสั้น เพียงแค่จำกัดไว้แค่บนกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ทุนนี้ไม่จำกัดจำนวนคน เพียงแค่ไม่มีการประกาศรายชื่อต้องรออีเมลแจ้งผลคนที่ได้เท่านั้น จึงมีคนตั้งชื่อว่า ทุนรอคอยอย่างความสิ้นหวัง

 

กันต์กวีพาตาของเขาไปยังตึกคณะบริหาร เดินเข้าไปยังหอประชุมสำหรับผู้ปกครอง สองตาหลานต่างเดินตัวลีบเลือกที่นั่งหลังสุดแทบจะหลบยังซอกมุม ด้วยแต่ละคนมาด้วยการแต่งตัวภูมิฐาน ชุดนักเรียนมาจากโรงเรียนมีชื่อเสียง มีเเค่เขาคนเดียวกางเกงสีกากีทั้งเก่าและซีดมาก สองคนตาหลานเข้าใจในสภาพตัวเองดีต่างพากันยิ้มให้กำลังใจกันและกัน

 

เมื่อการบรรยายและแนะนำต่าง ๆ จบลง ก็พากันแยกย้ายไปยังสาขาที่แต่ละคนเรียน กันต์กวีจูงมือชายชราที่ชุ่มเหงื่อ ทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก กังวล และทนต่อสายตามองพวกเขาด้วยความแปลกแยกไม่เข้าพวก

 

“กันต์กวี อินทรมาและผู้ปกครองเชิญด้านในค่ะ” เสียงประกาศเรียกตามลำดับเข้าพบอาจารย์ที่ปรึกษาจนถึงพวกเขา

“ไปครับตา” เขาพยุงและประคองแขนเดินไปยังห้องตรงหน้า ประตูเปิดออกลมเย็นจากเครื่องปรับอากาศ สองตาหลานถึงกับเปิดตาโตกับความเย็นฉ่ำที่แทบจะไม่เคยสัมผัสในหน้าร้อนแบบนี้เลย

“เชิญนั่งครับ” หนึ่งในบุคคลทั้งสามนั่งด้านหน้าผายมือแก่พวกเขาทั้งสอง

“สวัสดีครับ / สวัสดีครับ” สองคนตาหลายนยกมือไหว้บุคคลในห้องทั้งหมด

 

สายตาทั้งสามคู่จับจ้องมายังพวกเขาด้วยการมองว่าเป็นคนชนชั้นของประเทศ ทำไงได้คนจนอย่างพวกเขาชินชากับสายตาแบบนี้มานานแล้วจึงไม่รู้สึกอะไร ตามิ่งมองกลับมายังหลานชายตัวเองด้วยความเป็นห่วง ชายหนุ่มกลับส่ายหัวและยิ้มตอบกลับไป

“ชื่อ กันต์กวี อินทรมา นะครับ อาศัยอยู่ในเขต B2 ในนี้บอกว่าอายุ 20 ปีแล้ว ทำไมถึงเข้าเรียนช้าล่ะ”

“ตอนเด็ก ๆ สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงเลยทำให้หยุดเรียนบ่อย ต้องเรียนซ้ำชั้นครับ” เขาตอบไปตามที่ตัวเองคิดเอาไว้ตั้งแต่เตรียมตัวสัมภาษณ์แล้ว

“ใช่ ๆ มันป่วยบ่อย” ตาช่วยเสริมด้วยคำพูดอีกแรง ทั้งสองรับรู้ว่านี้คือการพูดปดเพราะกันต์กวีตัวจริงตายไปนานแล้ว ส่วนตรงนี้คือคนสวมรอย

“ครับ ได้รับทุนของโครงการนันทัชพร ไม่ว่าทุนไหนก็ต้องยึดถือตามกฎของทุนมหาวิทยาลัยตามที่ได้ฟังในหอประชุมด้วยนะครับ เตรียมเอกสารมาครบนะ แนบเสร็จแล้วลงชื่อรับทุนได้เลย”

 

สองคนตาหลานช่วยกันจัดแจงเอกสารที่ระบุเอาไว้ ลงชื่อตรงไหนเขาสองคนหาทางอ่านและจัดการกันเอง เพราะไม่อยากรบกวนอาจารย์ทั้งสามคนที่นั่งรออยู่เกือบสิบนาทีแล้ว ในที่สุดเอกสารก็เสร็จตามต้องการ ได้ทำการส่งมอบให้คนตรงหน้าตรวจดูอีกครั้ง

 

“เอกสารเรียบร้อยดีแล้วค่ะ ขอย้ำอีกทีนะคะ ถ้าเกิดผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่งในนี้ทางมหาลัยจะยึดทุนคืน พร้อมทั้งต้องจ่ายค่าปรับของทุนที่ได้รับไปสองเท่าด้วยค่ะ”

“ครับ เข้าใจแล้ว ขอบพระคุณมากครับ”

“ขอบคุณมาก ๆ ครับ”

 

หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งคนแก่ยกมือไหว้ขอบคุณไล่เรียงทีละคนตรงหน้า และอาจารย์หนุ่มยกรับไหว้ตอบ

“ครับ เสร็จแล้วเชิญกลับได้เลยครับ จะได้เรียกคนอื่นเข้ามาต่อครับ” ก่อนออกจากห้องทั้งสองยังหันกลับไปไหว้ขอบคุณซ้ำอีกครั้ง

 

เหลืออีกไม่กี่วันใกล้จะเปิดเทอม กันต์กวีลาออกจากการเป็นพนักงานล้างจานในห้างสรรพสินค้าและเตรียมตัวหางานใหม่ แต่เขาเองยังอยากทำงานเช่นเดิมคือช่วงเย็นหลังเลิกเรียน รวมถึงวันหยุดต่าง ๆ ชายหนุ่มนั่งเปิดหาข้อมูลประกาศรับสมัครงานในมือถือเครื่องเก่าที่มีจอขนาดเพียงไม่กี่นิ้ว

“กันย์ทำไร” ชายหนุ่มร่างสูงอย่างพงศกรเดินเข้ามาถามและหย่อนตัวนั่งลงข้าง ๆ

คนก้มหน้าเงยตามเสียง ยู่ปากก่อนจะตอบกลับมา “หางานทำอยู่พี่ตั้ม มีแต่รับทำประจำทั้งนั้นเลย”

“แล้วอยากทำงานอะไรพี่จะได้ช่วยหา”

ร่างบางขมวดคิ้วคิด “คงแบบเดิมละครับ ทำช่วงเย็น แล้วถ้าได้ทำช่วงวันหยุดด้วยจะดีมากเลย ส่วนงานอะไรไม่เกี่ยงอยู่แล้วทำได้หมด แต่ถ้าเป็นทางผ่านก่อนกลับบ้านยิ่งดี”

“งั้นไปเดินหากันไหม ยังเช้าอยู่น่าจะพอหาได้บ้าง”

“ไปสิ” เขายิ้มรับอย่างดีใจ หันไปตะโกนบอกคนในบ้าน “ตาครับ กันย์ออกไปหางานกับพี่ตั้มนะ”

ตามิ่งที่อยู่ข้างในได้ยินเช่นนั้นจึงเดินออกมา “เออ ไปกันดี ๆ ล่ะ” เสียงบอกของชายชราดูเหนื่อยหอบเล็กน้อย แต่หลานคนเฝ้าดูแลจับสังเกตถึงอาการผิดปกติได้

“ตาเป็นไรหรือเปล่า เสียงดูเหนื่อย ๆ”

“ข้าจะเป็นไร เหนื่อยตามประสาคนแก่นี่แหละ จะไปหางานก็ไป ข้าไปนอนเอาแรงสักหน่อยก่อน” ว่าจบก็โบกมือไล่เจ้าหลานสองตัวให้ออกไปข้างนอกส่วนตัวเองหลบเข้าไปข้างใน

“งั้นเราไปกันเถอะ อะนี่อย่าลืมใส่ผ้าปิดจมูกด้วย ฝุ่นมันเยอะ ปอดเรายิ่งไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่นด้วย” ร่างสูงหยิบผ้าปิดจมูกที่เจ้าตัวถอดมาวางข้างตัวมาสวมใส่ให้

“ขอบคุณคร้าบบบ”

 

กันต์กวีและพงศกรตกลงกันว่าจะเริ่มต้นหาจากตั้งแต่หน้ามหาลัยเดินหาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจนสุดทาง ไล่เรียงถามไปแต่ละร้าน ได้รับคำตอบว่ามีพนักงานเต็มแล้ว หรือไม่ก็ต้องการคนทำเต็มเวลา จนเวลาล่วงเลยมาเกือบบ่าย อาหารตกลงท้องทั้งสองมีเพียงขนมปังคนละก้อนและน้ำดื่มอีกคนละขวด

“เอาไงต่อดีล่ะ เหนื่อยหรือยัง พักก่อนไหม” ชายหนุ่มหันไปถามคนนั่งอยู่เคียงข้างกัน เขาสัมผัสได้ถึงอาการเหนื่อยหอบหายใจ

“ยังไหว ทนได้อีกหน่อยครับ” เขาตอบพลางปลดผ้าปิดจมูกไว้ใต้คาง พยายามค่อย ๆ หอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด

“ไหวแน่นอน ดูหายใจไม่ค่อยทันเลยนะ” อีกคนเอียงหน้ามามองด้วยความเป็นห่วง

“อือ...” ร่างบางพยักหน้าพร้อมขานตอบ

 

กริ้ง!!เสียงกระดิ่งของร้านกาแฟดังขึ้นพร้อมกับเสียงพนักงาน “สวัสดีค่ะ โรสคอฟฟี่ ยินดีต้อนรับค่ะ”

ชายหนุ่มร่างบางปลดหน้ากากอนามัยออก และยกมือไหว้พนักงานในร้าน “ขอโทษครับ ที่นี่รับพนักงานพาร์ตไทม์ไหมครับ”

“พี่โรสค่ะ มีน้องมาขอสมัครงานพาร์ตไทม์ค่ะ” หนึ่งในพนักงานหญิงร้องบอกคนด้านในเคาน์เตอร์

 

ชายหนุ่มยืนหมุนตัวรอคนเจ้าของร้านอย่างเขินอาย สักพักสาวสวยแต่งตัวงดงามหวานราวกับเจ้าหญิงก็เดินออกมา และหยุดมองมายังเขา ก่อนจะคลี่ยิ้มหวานหยาดเยิ้มและกล่าวคำที่กันต์กวีอยากได้ยินมากในตอนนี้

“พร้อมเริ่มงานวันไหนคะ”

“หา!!!... คะ ครับ?” ถึงแม้ชายหนุ่มจะดีใจในคำพูดนั้น แต่เขาก็ยังตกใจอยู่ดีเพราะไม่มีการสัมภาษณ์ใด ๆ เลยสักนิด เพียงแค่บอกให้มาเริ่มงานเลย

“พี่โรสรับน้องจริงดิ อย่าหลอกพวกหนูนะ” หนึ่งในพนักงานหันมาถามเจ้านาย พร้อมกับทำท่าทางดีใจ

“รับสิ หน้าอย่างนี้เรียกลูกค้าพี่ได้เป็นแถวยาวไปถึงถนนแน่เลย” น้ำเสียงและสีหน้าเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่ม

“แต่ผมไม่เคยทำร้านกาแฟนะครับ ชงกาแฟก็ไม่เป็นนะครับ...”

“ไม่ต้องคิดมาเลยค่ะ เดี๋ยวค่อยมาสอนเอาก็ได้ แล้วสรุปจะมาเริ่มงานวันไหนคะ”

เขายังคงสับสนกับคำพูดเจ้าของร้านอยู่บ้าง “อะ เออ วันไหนก็ครับ พรุ่งนี้ยังได้เลยครับ”

“งั้นโอเค มาคุยรายละเอียดกันดีกว่า” โรสรินยกแผ่นกั้นตรงเคาน์เตอร์กวักมือเรียกให้ว่าที่พนักงานคนใหม่เดินตามไปยังมุมเก้าอี้ที่ว่าง “นั่งเลย สรุปคือพี่รับเราเข้าทำงาน ถ้าพาร์ตไทม์พี่จะจ้างชั่วโมงละห้าสิบเหรียญ แต่ถ้ามาทำเต็มวันพี่จะจ้างในราคา 450 เหรียญ ราคานี้โอเคสำหรับเราไหม”

“โอเครครับ โอเคมาก ๆ เลย แล้วให้ผมมาเริ่มงานได้วันไหนครับ”

“ที่บอกจะมาทำพาร์ตไทม์คือ กำลังเรียนอยู่ใช่ไหม ร้านพี่เปิดตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงสองทุ่ม แต่จะเลิกงานจริงคือสามทุ่มเพราะต้องช่วยกันทำความสะอาดและเก็บร้านรวมถึงเติมของให้พร้อมสำหรับเริ่มงานในวันถัดไป”

“ได้ครับ”

“งั้นพรุ่งนี้ช่วงสายแวะเข้ามาให้พี่สอนงาน เพราะช่วงบ่ายพี่ไม่ว่าง ส่วนเริ่มงาน...เป็นวันจันทร์ต้นเดือนหน้าแล้วกันจะได้คิดเงินง่ายหน่อย”

กันต์กวียกมือไหว้ขอบคุณไปหลายรอบ ก่อนจะออกจากร้านผงกหัวพร้อมบอกขอบคุณทุก ๆ คนในร้าน ระหว่างดึงประตูเปิดออกมา ร่างบางก็ปะทะเข้ากับคนตัวสูงใหญ่จนตัวเองเซจะล้มลงกับพื้น เเต่ดันมีแขนหนาโอบรั้งรวบเอวเอาไว้ทัน เขาประคองคนตรงหน้าให้ยืนอย่างมั่นคง

 

ชายหนุ่มนักธุรกิจชื่อดังมาในชุดลำลองกางเกงขายาว สวมหมวกแก๊ปและแว่นตาดำ โน้มใบหน้าลงเพื่อจะมองชายหนุ่มตรงหน้า แต่เสียดายที่อีกคนมีผ้าผิดจมูกบดบังเอาไว้

“ขอโทษครับ ผมไม่ระวัง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” คนตรงหน้าขยับตัวไล่สายตาสำรวจตามร่างกายเขา นั้นทำให้ร่างสูงกระตุกยิ้มที่มุมปาก ทั้งที่ตัวเล็กกว่าเขาตั้งเยอะ คนเจ็บน่าจะเป็นตัวเองมากกว่ากลับมาห่วงเขาแทน

ชายหนุ่มร่างสูงยังไม่ทันจะตอบก็มีเสียงชายหนุ่มอีกคนแทรกมาจากทางด้านหลัง “มีอะไรเหรอกันย์” ทำให้เขาทั้งสองหันไปมองยังบุคคลที่สาม

“คือกันย์ชนคุณคนนี้ครับ”

“ขอโทษแทนคนของผมด้วยนะครับ ขอโทษจริง ๆ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คนมาใหม่เดินเข้ามาจับข้อมืออีกคนและดึงออกไปไว้ด้านหลังตัวเอง พร้อมโค้งคำนับขอโทษ

“...” เขาไม่ตอบอะไรเพียงแค่ส่ายหน้าตอบกลับไป

หลังได้คำตอบจากอีกคน สองคนนั้นจึงเดินไปยังป้ายรถโดยสารประจำทาง โดยมีคนตัวสูงดูแลคนตัวน้อยตลอดระยะทางแค่ไม่กี่ร้อยเมตรตลอดเวลา

 

 

ชายหนุ่มได้เเต่ยืนมองตามแผ่นหลังของชายทั้งสองคนไป แต่สิ่งที่ยังคงหลงเหลือเอาไว้คือกลิ่นกายอ่อน ๆ ที่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยและชื่อเรียกของคนนั้น คล้ายกับว่าเขาเคยสัมผัสทั้งสองสิ่งนี้จากที่ไหนสักแห่ง

 

 

 

TBC…

 

--------------------------------------------------------------------------------------

เจอกันแล้วน้าาา กลิ่นอันคุ้นเคย...แต่ก็ได้แค่มองเขาจากไปอีกครั้ง

ฝากกดหัวใจ คอมเม้น กดสติกเกอร์ และติดตามTW @TYokmanee