2 ตอน Chapter 1
โดย T.mines
Chapter 1
โจนาสก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสับขา เขาต้องใช้ความอดกลั้นอย่างสูงที่จะไม่หันหลังกลับไปปลอบโยนกันย์ เขาคิดหากแม้หันหลังไปมองแม้เพียงนิดเดียวเขา อาจจะไม่สามารถหนีออกมาจากตรงนั้นได้ โจนาสเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะได้กลับมาอย่างที่สัญญาหรือไม่ การหลบหนีจากกลุ่มคนดังกล่าวหาใช่ง่ายดาย แม้จะเหลือเพียงวิญญาณอย่างน้อยเขาก็ยังได้ทำตามสัญญา เฝ้าดูคนรักจนกว่าพระเจ้าจะนำพาวิญญาณเราทั้งสองมาพบเจอกัน หากแม้ท่านจะใจดีให้เขามีชีวิตรอดและให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันเขาแทบจะมองไม่เห็นทางนั้นเลย
โจนาสวิ่งเลี้ยวมาทางฝั่งตรงข้าม ผุดออกจากซอยนั้นเข้าซอยนี้ หลบเลี่ยงจากกลุ่มคนที่วิ่งตามหลังเขามา อาศัยที่เขาอายุยังน้อยรวมถึงสภาพร่างกายไร้สารเสพติดจึงมีพละกำลังมากกว่า
ปัก!แรงจากกำปั้นอันแข็งแกร่งกระแทกเข้าข้างแก้มซ้าย อย่างแรงนั้นส่งให้ร่างของโจนาสปลิวไปกระแทกเข้ากับฝาผนังไม้ของบ้านหลังหนึ่งเเล้วทรุดตัวลงกองกับพื้น เกลือกกลิ้งไปอีกหนึ่งตลบ มือของเด็กหนุ่มกุมใบหน้าด้วยความเจ็บปวด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในโพรงปาก ค่อย ๆ โยกขยับสำรวจกรามตน ถ่มน้ำลายปนเลือดและฟันอีกหลายซี่ลงกับพื้น
รองเท้าคอมแบตสีดำมันเลื่อมเหยียบย่ำกรวดทรายหยาบ ชายวัยสามสิบปีนั่งยองตัวลงมอง มือหนากระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มคนที่เขาชุบเลี้ยงมา จ้องมองด้วยความกรุ่นโกรธ ก่อนจะประเคนหมัดลงซ้ำ ๆ คราบเลือดจากคิ้วไหลลงเข้าเป้าตา บวมช้ำ ดั้งจมูกเสริมความหล่อเหลาหักบิดเบี้ยว จนโจนาสกระอักพ่นเลือดใส่หน้าเจ้าของหมัด
วัชรยกแขนเสื้อมาปาดเช็ดคราบเลือด ก่อนจะเหวี่ยงโจนาสทิ้งราวกับขยะชิ้นหนึ่งไร้ซึ่งเยื่อใย “ไอ้ฟ้ามึงบอกกูมาว่าไอ้กันย์อยู่ไหน แล้วกูจะไว้ชีวิตมึง”
“...” เขาเปิดเปลือกตาอันบวมเบ่งจนแทบจะปิดสนิทขึ้นมามองคนพูด ปากก็ไอสำลักเอาเมือกของเหลวสีแดงออกมา และปิดปากเงียบสนิทหลังจากนั้น
“มึงบอกกูมาดีกว่า ไม่งั้นมึงจะเจ็บตัวหนักกว่านี้!” ชายคนดังกล่าวใช้นิ้วสอดไล่ไปตามไรผม กำมือขย้ำเส้นผมกระชากให้เงยหน้าขึ้นมาฟังคำขู่จนจบ สะบัดศีรษะในกำมือทิ้ง
วัชรต่อสายหาลูกน้องหนึ่งในคนสนิท ให้แจ้งคนอื่นมารวมตัวกัน เพื่อที่จะเดินทางกลับไปยังโกดังในป่า ถึงแม้ว่าเขาจะทิ้งคนไว้ใจให้คอยดูแล มันก็ไม่ไว้วางใจเท่ากับกลับดูด้วยตัวเอง
[ครับพี่ใหญ่]
“ไอ้ระ กูเจอตัวไอ้ฟ้าแล้ว แล้วมึงเจอไอ้กันย์ไหม”
[ไม่เลยพี่ คนอื่นก็เงียบเหมือนกัน]
“ไอ้เหี้ย! นี่ก็ไม่ยอมเปิดปากวะ” อัก!เสียงร้องของโจนาสเมื่อฝ่าเท้ากระทืบลงกลางลำตัวเขา
[เอาดีพี่ นี่ก็เริ่มจะมืดมากแล้วด้วย]
“เรียกคนอื่นมารวมแล้วกลับกัน ไอ้เด็กน้อยนั่นไม่เคยใช้ชีวิตเองมันคงหลบอยู่ที่เดิมนั่นเเหละ พรุ่งนี้ค่อยรีบออกมาหาแต่เช้า”
[ครับพี่]
กลุ่มลูกน้อยของวัชรมารวมตัว มองดูสภาพเด็กหนุ่มสะบักสะบอม โดยมีพี่ใหญ่ยืนสูบบุหรี่ปรายตามองลงต่ำเป็นระยะ
“พี่เอาไงกับมันดี”
“ลากมันกลับไปด้วย เค้นจนกว่ามันจะบอกถ้าพวกมึงกับกูไม่อยากซวย”
“มึงนะมึง!!”
หนึ่งในชายฉกรรจ์ยกเท้ากระทืบระบายความโกรธ ออกมาพอหนึ่งคนเริ่มคนที่เหลือก็ตามมารุมกระทืบ โจนาสทำได้เพียงเเค่ยกมือขึ้นมากันศีรษะตัวเองไว้ แต่ก็ไม่รอดพ้นอยู่ดี เมื่อผู้ใหญ่สามคนด้วยรองเท้าเบอร์ 40 อัป กับเด็กชายวัยสิบสี่ เมื่อหัวโดนกันพวกเขาก็ไล่ลงไปที่ตามลำตัว
“หาเรื่องซวยให้พวกกูนะมึงไอ้เหี้ยฟ้า”
“มึงก็รู้รสนิยมนายใหญ่ยิ่งไม่เหมือนคนอื่น ยังกล้าพาไอ้กันย์หนี”
“พี่กลับอัดยาให้แม่งเมา เดี่ยวมันก็พูดออกมาเอง”
“พวกมึงกระทืบมันให้น่วมอีกดิ แม่งจะได้ไม่มีแรงหนีอีก”
พวกเขาหิ้วปีกของคนเจ็บลากไปยังจุดพวกเขาที่จอดรถรออยู่ ในเขตของส่วนตัวติดกับเขต ด้วยสติอันเหลือเพียงเสี้ยวของโจนาส เขารู้ว่าหากถูกอัปยาเข้าร่างกาย ยังไงเขาเองก็ต้องบอกที่ซ่อนของกันย์แน่นอน เขารวบรวมพลังกายที่เหลือและอาศัยจังหวะมีรถวิ่งผ่าน บิดตัวสะบัดคนทั้งสองฝั่งที่คิดว่าเขาสลบกระโจนไปยังรถคันดังกล่าว แรงกระแทกอันหนักหน่วงหลวมรวมให้กระดูกซี่โครงเขาหักทันที
เอี๊ยด!!... โครม!!เสียงเบรกดังลั่นพร้อมกับรถหยุดนิ่งสนิท ทำให้ร่างที่อยู่บนฝากระโปรงรถกำลังร่วงลงสู่พื้น ในจังหวะชายหนุ่มมองผ่านเข้าไปยังภายใน พร้อมขยับปาก
“ชะ ช่วย ช่วยด้วย...ช่วยด้วย... อัก!!”
รถของนักธรุกิจอันดับหนึ่งแห่งมณรัฐ A ได้รับอุบัติเหตุจากการวิ่งตัดหน้ารถอย่างกระทันหันจากเด็ก บอดีการ์ดขับรถตามประกบหน้าหลังต่างหยุดรถทันที ทุกคนล้วงอาวุธประจำกายออกมา วิ่งมาล้อมรถยนต์คันตรงกลาง กลุ่มชายฉกรรจ์ของวัชรที่วิ่งตามโจนาสมามาทีหลัง ชักอาวุธปืนขึ้นมาเช่นกันพร้อมกระหน่ำยิงทุกเมื่อ ทั้งสองฝ่ายต่างเผชิญหน้าซึ่งกันเเละกัน
บอสใหญ่ก้าวลงจากรถ พร้อมกับหัวหน้าการ์ด “เอาดีไงครับบอส” บอดีการ์ดถามในขณะตัวเองล้วงปืนจากเอวมาแนบไว้ข้างลำตัวเตรียมพร้อมสำหรับการประทะ
ชายหนุ่มวัยสี่สิบปีปรายตามองร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือดตรงหน้ารถ ในเสี้ยววินาทีแววตาดวงนั้นมีความคล้ายคลึงกับลูกชายเขาที่เสียชีวิตไปพร้อมกับภรรยา คำอ้อนวอนของคนร้องให้ช่วยชีวิตยิ่งทำให้เขาคิดถึงบุตรชายและภรรยายิ่งนัก ภาพในวันสุดท้ายยังคงฝังแน่นลึกภายในสมองเขา
“ขอไปเคลียร์หัวใจดวงนี้ก่อนนะคะ และฉันจะกลับมาหาคุณในฐานะคนรักอย่างสมบูรณ์ เราสามคนจะเป็นครอบครัวที่มีความสุข” คำบอกกล่าวของหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ผมรักคุณและลูกนะครับ” เขาใช้แขนโอบกอดหญิงสาวคนดังกล่าวเข้ามาจูบหน้าผาก
หญิงสาวจูบปลายคางตอบกลับ “วันที่กลับมาฉันจะบอกคำนี้กับคุณค่ะ”
“บายครับแด๊ด ผมกับมัมจะรีบกลับมาหานะครับ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนพวกเขาทั้งสามจะจากลากันนั้นเป็นเวลาเกือบเจ็ดปีมาแล้วนับตั้งแต่คนรักทั้งสองของเขาจากไป หากลูกชายเขายังอยู่คงรุ่นราวคราวเดียวกันกับเด็กคนนี้ ด้วยความสงสารในสภาพของเด็กคนนั้น
“ช่วยเด็กคนนั้น”
“ครับบอส”
หัวหน้าบอดีการ์ดพยักหน้าเรียกลูกน้องทั้งสองคนให้ไปหิ้วเด็กคนนั้นขึ้นไปยังบนรถ ส่วนเขาย้ายมานั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับ และเขาเองก็ขึ้นไปนั่งข้างเด็กชาย เปิดกระจกพร้อมสั่งการ
“อย่าให้ใครตามมา!”
“ครับผม” บอดีการ์ดที่เหลือประสานเสียงขานรับ
วัชรได้เเต่ยืนมองรถยนต์คันดังกล่าวขับผ่านหน้าไปด้วยความเจ็บใจ หากมีการยิงต่อสู้กัน ฝั่งเขาคงต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เพราะด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าสามเท่า อาวุธทางฝั่งนั้นครบมือกว่า และท่าทางแต่ละคนคงผ่านการฝึกฝนมาอย่างชำนาญต่างจากลูกน้องเด็กข้างถนนหัดจับปืน ส่วนพวกทหารรับจ้างเขาเลือกจะเอาไว้เฝ้าที่โรงงานมากกว่า
“พวกเราถอย!”
ห่างมาอีกหลายร้อยเมตร เด็กชายตัวน้อยเริ่มตัวสั่น ความหนาวเย็นค่อย ๆ คืบคลานพร้อมกับความืดมิด เด็กชายตื่นกลัวเป็นอย่างมาก เขาเอาแต่มองไปรอบ ๆ เฝ้าคอยภาวนาว่าคนพี่จะกลับมาในโดยเร็ว ผ่านไปยังค่อนคืนอย่างไร้ความหวัง ลมเย็นยะเยือกพัดโดนกายเด็กชายจนเหน็บหนาวราวกับลมนั้นแทรกผ่านเข้าไปจับกระดูกในร่าง ท้องไส้เริ่มบิดมวนด้วยความโหยหิวก่อเกิดความน่ารำคาญใจ เเก่เด็กน้อย
เด็กชายตัวน้อยวัยหกขวบเอาตัวรอดจากความหนาวเหน็บด้วยการปีนลงไปในถังขยะ กอบโกยเศษใบไม้ถุงพลาสติก กระดาษเท่าที่จะหาได้ยัดเข้าไปเสื้อตัวเอง ขดตัวกอดตัวให้แน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ทว่าความโชคร้ายยังไม่หมดลงเพียงแค่นี้ หิมะแรกในฤดูหนาวโปรยปรายอย่างไม่ขาดสายลงมาตลอดช่วงค่ำคืน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังสะท้อนภายในถังเหล็กผุ ๆ คร่ำครวญเรียกหาพี่ชายเขา
ยามรุ่งสาง ความมืดบรรเทาเบาบางพอจะให้มองเห็น สองตาหลานเดินย่ำหิมะชั้นบางที่ปกคุลมพื้นหญ้า ไล่รื้อเก็บสิ่งของพอจะเอาไปแลกเศษเงินมาประทังสองชีวิตได้ สมบัติของพวกเขาคือถังขยะทั่วทุกมุมพื้นที่ ตามิ่งยืนแงะเศษตะปูจากกองไม้เก่า ๆ เด็กชายผิวขาวผอมบางตัวเล็กในเสื้อแจ๊คเก็ตการเกงขายาวขาด ๆ โทรม ๆ หากดูจากรูปร่างคงเดาว่าเขาเพียงอายุห้าหกขวบ จริงแล้วเขาอายุปีนี้ปาไปแปดขวบเเล้ว ด้วยสภาพอาการเจ็บป่วยเรื้อรังตั้งแต่วัยเด็ก เขาเดินเก็บขวดน้ำจนไปถึงขุมทรัพย์
เด็กชายกันต์กวีใช้แรงตัวเองปีนไต่ไปตามกองถุงขยะที่ทับถมกัน มือน้อย ๆ รื้อค้นหาสิ่งของ ก่อนเด็กชายจะผงะเบิกตากว้าง ตะโกนเรียกผู้เป็นตาทันที
“ตา! ตา! ตา! มีคน! มีคน!”
ผู้เป็นตาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลมานัก ตะโกนตอบกลับอย่างรำคาญใจ “เรียกอะไรหนักหนาของเอ็งว่ะไอ้กวี อย่างกะมีคนตายในถังขยะน่ะโว้ย....” ชายชราร้องเสียงหลงในช่วงท้ายเมื่อเห็นการกระทำของหลานชาย
เด็กชายไม่รอช้าให้ตาของเขามา ตัวน้อยใช้แรงเกาะขอบถึงออกแรงโยนจนถังเหล็กกลิ้งลมลงกับพื้น จึงทำให้เห็นร่างเด็กน้อยที่หมดสติไหลลงมาพร้อมกับเศษขยะ
“เฮ้ย!มีคนจริงด้วยว่ะ ตายยังวะ”
สิบสองปีต่อมา...
เด็กชายตัวน้อยเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายหนุ่ม ใบหน้าขาวสวยหวาน ชุ่มโชกไปด้วยคราบเหงื่อไคลจากการตรากตรำทำงานตั้งแต่เช้า ไปตามเก็บขยะในรอบบ้านพักและตามรายทางที่เขาจะเดินหามาได้ พอกลับมาบ้านแล้วก็แยกใส่กระสอบตามชนิดรอให้มีปริมาณเยอะค่อยเอาไปขาย จากนั้นก็ไปรดน้ำผักที่ปลูกเอาไว้ข้างบ้าน บางส่วนกินเองถ้าเยอะมากไปเขาจะเอาไปให้ป้า แต๋น หรือ พิไล แม่ของพงศกร แม่ค้าขายอาหารตามสั่ง และขึ้นมาจัดการเตรียมอาหารง่าย ๆ ให้ทั้งเขาและตามิ่ง
ชายชราบัดนี้สุขภาพทรุดโทรมไปตามเวลาและอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ลุกออกมาจากฟูกนอนขยับตัวไปล้างหน้าแปรงฟัน ชายหนุ่มรับรู้ถึงการตื่นตัวของอีกคน
“ตา กันย์เตรียมข้าวเสร็จแล้ว มากินข้าวเลยนะ” เขาร้องตะโกนบอกคนด้านในระหว่างตัวเองเทไข่ข้นใส่จานของชายชราและอีกครึ่งหนึ่งใส่จานตัวเอง
นั่งรอไม่นานอีกคนก็เดินเข้ามานั่งลงฝั่งตรงข้าม เงยหน้ามองหลานชายอีกคน ก่อนจะปรายตาไปมองยังเก้าอี้อันว่างเปล่าอีกตัวที่ไร้คนนั่งมาเกือบสิบปีแล้ว
“พรุ่งนี้เอ็งต้องไปที่โรงเรียน เตรียมตัวเสร็จหรือยัง แต่ว่าข้า...ต้องไปด้วยเหรอวะ เอ็งจะไม่อายเขาเหรอ” ชายชราถามและรีบก้มหน้าตักไข่ข้นเข้าปากกลบความไม่มั่นใจในตัวเอง ใช้มือที่จับช้อนปัดไปตามกางเกง
“ใช่ตาต้องไปด้วย และเขาไม่เรียกว่าโรงเรียนนะตา เขาเรียกว่ามหาวิทยาลัย” ชายหนุ่มยืดอกตอบไปอย่างภาคภูมิใจก่อนจะยกยิ้มกว้าง “กันย์ไม่อายใครทั้งนั้นแหละตา แต่ถ้าตาไม่ไปเขาไม่ให้ทุนน้า...อย่าลืมแต่งหล่อ ๆ ด้วยละ”
“เออ ข้ารู้แล้ว ย้ำอยู่นั่นแหละ แต่ตอนไปถึงเดินห่าง ๆ หน่อย ถ้ารู้ว่าเอ็งเป็นหลานคนเก็บขยะขาย จะไม่มีใครคบเอาเข้าใจไหม”
“คร้าบ...รู้แล้วคร้าบ... งั้นกันย์ไปก่อนนะ” ร่างบางอมยิ้มในทีท่าของชราชายที่แอบเขินอาย กวาดอาหารคำสุดท้ายเข้าปาก ลุกขึ้นเอาจานไปวางในอ่างล้างจาน
“เอ็งจะไปไหน ยังไม่ถึงเวลาไปทำงานนิ”
คนโดนถามยังไม่ทันจะได้ตอบ เสียงตะโกนเรียกชื่อเขาก็ดังมาจากด้านนอก “กันย์ มาแล้วโว้ย!”
ตั้ม หรือ พงศกร ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ อายุมากกว่าชายหนุ่มด้านในสองปี เขาคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ดีตั้งแต่จำความได้ ตื่นขึ้นมาก็วิ่งมาบ้านหลังนี้ทันที ถ้าแม่เขาไม่ตามให้ไปช่วยทำงาน เขาก็จะมาคลุกอยู่นี่เล่นกับเพื่อนเขาทั้งวัน หรือบางวันก็ไปเล่นกันที่บ้านเขา แต่เพื่อนเขาไม่อยู่แล้ว หลงเหลือไว้เพียงในความทรงจำเท่านั้น
“ครับ เสร็จแล้ว” เขาร้องตะโกนตอบกลับคนด้านนอก “ผมจะไปหาพี่กวี วันนี้วันครบรอบครับตา กันย์จะไปบอกเรื่องที่สอบติดมหาลัยให้พี่ฟังครับ” น้ำเสียงเบาบางบอกแก่คนตรงหน้า เขาทั้งสองรู้ดีว่าเรื่องที่เกี่ยวกับกวีมีผลต่อพวกเขาทั้งสองอย่างมาก
ตามิ่งโบกมือไล่ร่างบางให้ออกไปหาคนที่รออยู่ด้านนอก “เออไปดิ ไอ้ตั้มมันรออยู่” เขามองแผ่นหลังชายหนุ่มกำลังจะเดินจากไป “เดี๋ยว!ฝากบอกมันด้วยว่า ข้าสบายดี”
ชายหนุ่มหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว เขาหันกลับมามองคนพูดด้วยใบหน้าโล่งอก หมอกควันในใจเบาบางลงจากความรู้สึกผิดกลั้นน้ำตาคลอเบ้าเอาไว้ ปากบางเม้มสนิท รีบหยักหน้ารับอย่างแรง “อือ..”
พงศกรมองใบหน้าคนที่เดินออกมาจากบ้านด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ มือหนายกมาวางบนหัว รับรู้ว่าระหว่างบุคคลภายในบ้านคงมีการพูดคุยว่าเขาทั้งสองจะไปไหน ถ้าเป็นได้เขาก็อยากให้คนที่ออกมาเป็นสองคนมากกว่ามีเพียงแค่คนเดียวแบบนี้
“พี่ตั้ม...ตา...ฝากบอกพี่กวีว่า สบายดีด้วยนะ” หลังพูดจบเขาสูดน้ำมูกกลั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจเอาไว้ “ไปเถอะกันย์อยากเจอพี่กวีแล้ว”
“อือ...” ชายหนุ่มเดินตามหลังเจ้าตัวน้อยของเขาไปติด ๆ
พวกเขาทั้งสองมาถึงโบสถ์ เดินมายังส่วนพื้นที่ไว้อาลัยของบุคคลที่พวกเขามาหา ภาพเด็กชายในวัย 12 ขวบ ใบหน้ายิ้มแย้มและสดใสมองมายังพวกเขา ร่างโปร่งวางดอกไม้ที่ถือมาด้วยไว้ตรงหน้า ก่อนจะก้าวถอยไปยืนเคียงข้างคนน้อง
“พี่กวีครับ กันย์ได้เข้ามหาลัยได้แล้วนะครับ พรุ่งนี้ต้องไปมอบตัวแล้ว ตาจะได้ใส่ชุดหล่อ ๆ ด้วยนะพี่ แต่ตากลัวกันย์จะอายคนอื่น คอยดูนะกันย์จะควงแขนพาเดินเที่ยวให้รอบมหาลัยเลย” น้ำเสียงโอ้อวดแปรเปลี่ยนเป็นเสียงอันสั่นเครือ น้ำตากักกลั้นไหลบ่าออกมาทันที “พี่...ตาฝากมาบอกด้วยว่าตาสบายดี พี่ได้ยินไหมว่า ตาบอกว่าสบายดี ฮื่อ...”
ร่างสูงเดินเข้ามาโอบไหล่คนร้องไห้ดันให้มาซุกหน้าในอกเขา สายตาทอดมองไปยังใบหน้าในกำแพง เสียงสะท้อนดังก้องจากอกข้างซ้าย “กูคิดถึงมึง คิดถึงมากด้วย”
เรื่องราวของพวกเขาทั้งหมดเกิดจากในวันที่กันต์กวี พบเข้ากับร่างเด็กชายที่สลบไสลในถังขยะ ตามิ่งแบกกลับมายังบ้านพักของพวกเขา ในจังหวะที่เด็กชายพงศกรวิ่งมาหาเพื่อนสนิทเขาในยามเช้าอย่างเช่นทุกวัน เด็กชายหายใจรวยริน สภาพใบหน้าขาวซีด สองตาหลานรีบต้มน้ำมาแช่ทั้งมือและเท้า ผ้าชุบน้ำอุ่นห่อไปยังร่างน้อย ๆ ตามิ่งหันมาสบตากับเด็กชายตัวโต ก่อนจะออกคำสั่งให้วิ่งไปตามหมอมา
หายไปสิบนาทีพงศกรก็วิ่งมาพร้อมกับชายวัยหกสิบห้าปี ทั้งสองเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น คุณหมอเถื่อนแอบรักษาคนจน เขาโดนยึดใบประกอบอาชีพเพราะเขาไปช่วยทำในสิ่งที่รัฐบาลห้ามทำให้ประเทศนี้ แม้คนไข้นั้นจะมีความเสี่ยงแค่ไหนก็ตาม พวกเขาก็ไม่สามารถพาเด็กคนนี้ไปยังสถานพยาบาลได้ เพราะการที่พาบุคคลไม่รู้จักที่มาที่ไปไปรักษา พวกเขาต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเอง หมอเถื่อนจึงเป็นที่พึงสำหรับคนไร้บ้านและสวัสดิการใด ๆ
นับว่าโชคยังเข้าข้างเด็กชายให้รอดพ้นความตายมาได้ กันย์ฟื้นขึ้นมาในสถานที่แปลกตา เด็กชายเฝ้ามองหาพี่ชายที่จากไปก่อนหน้า ค่อย ๆ ขดตัวเหมือนเต่าตัวน้อยพยามยามซ่อนตัวในกระดองจากสิ่งรอบกาย เด็กชายที่เฝ้าผู้ป่วยทั้งสองนั่งพิงกันหลับจนหัวโยกโขกกันดังโป๊ก ทำให้ตื่นลืมตาขึ้นมาเพราะความเจ็บ
“โอ๊ย!!ตั้มง่ะเอาหัวมาโขกกวีทำไม” เสียงโวยวายจากเพื่อนตัวน้อยดังลั่น
ส่วนอีกคนตื่นลืมตาขึ้นมาเพื่อโอ๋อีกคน “อืม ตั้มขอโทษแล้วกัน ไหนเอาหัวมาจะเป่าให้” เขาโยกหัวน้อยมาใกล้ ๆ และเป่าลมใส่ลงไป
“โอ๊ะ!!น้องตื่นแล้ว ตา!!น้องตื่นแล้ว” เด็กชายตัวน้อยร้องตกใจเมื่อพบสบตากับร่างน้อย ๆ ที่ลุกขึ้นมานั่ง จึงร้องเรียกตาของเขาทันที
เสียงกุลีกุจอออกจากทางด้านใน มายืนตรงหน้าพร้อมกับเสียงถอดถอนหายใจ “รอดตายแล้วนะเอ็ง” เมื่อเห็นท่าทางตื่นกลัว ตามิ่งจึงรีบพูดปลอบ “ข้ากับไอ้สองตัวนี่ไม่ทำอะไรหรอก พวกข้าช่วยเอ็งออกมาจากถังขยะ เออ!เอ็งคงหิวแล้ว เอานี่กินน้ำก่อน” ตามิ่งกวักมือให้เจ้าหลานอีกสองคนเทน้ำดื่มส่งมาให้ เด็กชายจึงรีบยกมือไหว้ค้อมตัวขอบคุณ
เด็กชายสองคนที่เหลือพอมองหน้าเด็กน้อยที่มีความน่ารักไม่น้อย จึงรีบแนะนำตัวกันทันที
“พี่ชื่อกวี” กันต์กวีตบอกตัวเอง ยื่นหน้าแป้นแล้นสร้างบรรยากาศให้เด็กชายหายตื่นกลัวพวกเขา พลักเพื่อนสนิทตัวโตกว่าให้หลบไป
“พี่ พี่ชื่อตั้ม” ทั้งสองต่างพากันดันอีกคนออกเพื่อให้คนน้องมองเห็นเพียงตัวเอง
“โว!!อะไรของพวกเอ็ง น้องมันเพิ่งจะฟื้น ไปเลยไปเอาข้าวต้มมาให้น้องกิน ไป!ไอ้สองตัวนี้นิ” สองคนรีบวิ่งเข้าไปในครัวทันทีหลังโดนคนเป็นตาสั่ง
“เอ็งชื่ออะไรล่ะ ส่วนข้ามิ่ง เป็นตาของไอ้สองตัวเมื่อกี้แหละ แล้วนี่หนีใครมาถึงมาหลบในถังขยะล่ะ”
กันย์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้แก่ผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือชีวิตเขาไว้ให้ฟังทั้งหมด แม้จะเล่าวนไปเวียนมาตามประสาเด็กน้อย แต่ผู้ใหญ่อย่างตามิ่งพอจับใจความได้ว่า พี่ชายของเจ้านี่พาหนีจากแก๊งค้ายาและแยกกันหนี
มือหยาบกร้านลูบหัวเด็กน้อยที่ไร้ที่พึงพิง “รอพี่ชายเอ็งอยู่กับพวกข้านี่แหละ พี่ชายเอ็งมารับค่อยไปแล้วกัน”
เด็กชายยกมือไหว้ท่วมหัวและร้องไห้ด้วยความดีใจ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกลัวโดนทิ้งไว้ข้างถนน พี่ชายตัวน้อยคลานเข้ามากอดปลอบเด็กชาย “ไม่ต้องร้องนะ อยู่นี่แหละ พี่กวีคนนี้จะปกป้องกันย์เอง โอ๋ ๆ”
เช้าวันรุ่งขึ้นแม่ของพงศกรมาตามลูกชายกลับบ้าน พบสภาพเด็กทั้งสามนอนกอดกันโดยมีเด็กชายผู้หลงทางนอนกลางตรงลานบ้าน มันเป็นภาพน่าเอ็นดูปนสงสาร ในประเทศที่เน้นค้าแรงอย่างหนัก เด็กที่เกิดมาในสภาพบอบบางไม่แข็งแรงมักจะถูกโยนทิ้งอยู่ร่ำไร เธอคิดว่าเด็กคนนี้คงไม่ต่างกับเด็กพวกนั้นเท่าไรนัก และคิดว่าจะพาเอาไปเลี้ยงแทนสองคนตาหลาน อย่างน้อยก็ช่วยลดภาระบ้านหลังนี้ไปบ้าง
จนถึงเวลาเธอเอ่ยปากขอกันย์กับตามิ่ง กลับเป็นเด็กชายเองที่ไม่ยอมที่จะไปด้วยเอาแต่เกาะติดพี่ชายตัวน้อยของเขาไม่ห่าง กันย์รับรู้ว่าพี่กวีใจดีเหมือนพี่ฟ้าของเขา เขาไม่อยากจะจากตรงนี้ไปและเขาก็ไม่ได้จากไปไหน กวีดูแลกันย์ราวกับว่าเขาคือน้องชายแท้ ๆ ส่วนกันย์เองก็เรียนรู้ที่จะช่วยงานต่างๆ ที่พอจะทำได้ตลอดเวลา สองคนตาหลานรับรู้ว่าการที่สมาชิกอีกหนึ่งไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากมากมาย แต่กลับช่วยสร้างความสุข รอยยิ้ม เสียงหัวเราะในบ้านหลังนี้มากขึ้น กวีที่เอาเเต่เศร้าเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคธาลัสซีเมีย จะมีน้องตัวน้อยคอยให้กำลังใจในเวลามารับเลือดในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอมาก ๆ นั่นทำให้ผู้เป็นตาเบาใจว่าอย่างน้อยหลานชายเขาก็คงอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกนาน
จนถึงเช้ามืดของวันนี้เมื่อแปดปีที่แล้ว สามคนตาหลานออกมาเก็บขยะในแบบทุกวัน แต่วันนั้นฝนตกในช่วงกลางดึกพอช่วงเช้าจึงมีหมอกค่อนข้างหนา ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับยานพาหนะ รถยนต์กระบะบรรจุสิ่งของเพื่อต้องเข้าไปส่งสินค้าในเขต B1 ถุงพลาสติกสีดำขนาดเท่าแผ่นกระดาษปลิวมาปะทะกระจกหน้ารถ ด้วยความตกใจคนขับจึงหักเลี้ยวรถกระทันหัน ส่งผลให้รถคันดังกล่าวพุ่งตรงไปยังด้านข้างถนนที่มีคนสามคนยืนอยู่ พอคนขับได้สติมองเห็นตรงหน้าว่ามีคนจึงเหยียบเบรกเต็มที่ แต่มันก็สายเกินไป
ในจังหวะวิกฤตของชีวิต ผลมาจากการหลั่งอะดรีนาลีนหรือความตื่นกลัวคนที่เขารักจะตาย กันต์กวีตัดสินใจอย่างกล้าหาญใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักบุคคลทั้งสองให้พ้นวิถีการพุ่งชนของรถ
โครม!!เสียงดังจากการที่ถูกรถเข้ากระแทกอัดร่างเด็กชายวัย 12 ปี ลอยไปตกอีกฝากของถนน พร้อมเสียงตะโกนจากผู้เป็นตาและน้องชาย ทั้งสองรีบวิ่งตาลีตาเหลือก ล้มลุกคลุกคลานให้ไปถึงร่างชุมโชกไปด้วยเลือด
“ไอ้กวี!!”
“พี่กวี!!!”
อัก...ร่างคนเจ็บกระอักเลือดออกมา ตามิ่งเข้าไปประคองช้อนหัวหลานชายขึ้นมาหนุนตัก ส่วนเจ้าตัวน้อยยกมือที่ช่วยชีวิตเขาอีกครั้งกุมจนแน่น ร้องไห้คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด
“กันย์ อัก...พี่ฝาก ตะ ตา แฮ่ก.. นะ ฝากความฝันพี่ด้วย”
“ตะ ตา...ฮะ...ให้น้อง..อะ...ยะ อยู่แทน ผะ ผมนะ อัก”
มือบอบบางที่เด็กชายกุมถืออยู่จนแน่นหลุดร่วมไปพร้อมกับลมหายใจ เสียงกรีดร้องของสองคนดังลั่นไปทั่วท้องถนน ชายชราโอบกอดร่างหลานชายมาซุกอก เด็กชายตัวน้อยมีอาการเจ็บจุกแน่นหน้าอกไปหมด ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนดิ้นอ้าปากหอบอากาศเข้าปอดด้วยอาการทุรนทุราย เขาพยายามกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้แต่อดไม่ได้ นั่นคือการร้องไห้เจ็บปวดและทรมานที่สุดในชีวิตของเด็กชาย และบาดแผลนี้มันสร้างความเจ็บปวดให้แก่คนที่รอดตายในวันนั้น
กันย์โกรธตัวเอง เพียงคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ผลักตามิ่งและพี่กวีให้หลบไปและเป็นตัวเองที่ตายเเทน อย่างน้อยก็ได้ตอบแทนบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตและเลี้ยงดูมาจนรับรู้ถึงการมีครอบครัวมีบ้านให้อยู่เเละมีความสุขมันเป็นยังไง
ส่วนชายชราโกรธตัวเองไม่เเพ้เช่นกัน และโกรธหลานชายตัวเองที่ยอมเสียสละให้เขารอดตาย แถมยังฝากฝังให้ไอ้เจ้าเด็กน้อยตรงหน้าดูแลและทำความฝันแทนตัวเอง และมันยิ่งเจ็บปวดหนักเข้าไปใหญ่เมื่อเขาป่วยเป็นโรคไต นั้นทำให้เด็กน้อยที่หลานชายเขาฝากฝังทำงานหนักกว่าตัวเขาเป็นสิบเท่าเพื่อตอบแทนสิ่งที่ตัวเองได้รับมา
พี่กวีได้มอบชื่อ กันต์กวี อินทรมา แก่น้องชายที่ชื่อกันย์คนนี้ได้เติบโต เขาอยากขอบคุณยอมตายแทนน้องชายคนนี้ และสัญญาเขาจะทำทุกอย่างตามคำขอร้องสุดท้าย
TBC…
---------------------------------------------------------------------------------------------
การจากลาคือสิ่งเจ็บปวด แต่การใช้ชีวิตเหลือคือความกล้าหาญ หนูกันย์ต้องเข้มแข็งนะลูก พี่กวีมอบชื่อให้หนูแล้วน้าา โอ๋...
ฝากติดตามที่ TW @TYokmanee
กดติดตามกดหัวใจ คอมเม้นให้กำลังใจหนูกันย์ด้วยนะคะ