⚠️TW⚠️

Suicidal การฆ่าตัวตาย


          สวัสดีครับ ผม นายชัย อายุ 30 เอ่อ...38 ครับ ผมก็ไม่แก่หรอก แต่ไอเด็กที่นี่มันเรียกผมว่าลุงกันหมด จนทำให้คนอื่นเรียกผมว่าลุงไปด้วยน่ะซิ ฮ่า ๆ

          ตัวผมเองก็มีงานประจำ คือเปิดร้านหมูปิ้งหน้าโรงเรียนนิรมิตรวิทยาในตอนเช้า ส่วนกลางวันก็กลับไปทำสวนกล้วยแสนรัก ทั้งพรวนดิน ทั้งรดน้ำให้อย่างรู้ใจ พอแดดหุบย่างเข้าช่วงบ่าย ๆ ก็ตั้งร้านขายโตเกียว และด้วยความที่บ้านและสวนกล้วยของผมอยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียน ทำให้วิชาเกษตรมีการยืมพื้นที่ของผมอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเวลาที่ผมต้องเข้าเมืองไปทำธุระ ไม่ได้มีเวลาดูแลสวน เด็ก ๆ ที่นั่นก็มักจะเข้ามาช่วยดูแลต้นกล้วยแทนอยู่เสมอ ส่วนผมเองก็มีศีลน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นโตเกียวสูตรพิเศษให้ ไม่รู้ว่าอยากช่วยจริง ๆ หรือเพราะขนมกันแน่ แต่เรียกได้ว่าผมเป็นคุณลุงสุดที่รักในหมู่เด็กเลยล่ะครับ

          จนกระทั่งช่วงเย็นวันเสาร์ ผอ.ของนิรมิตรวิทยา เดินเข้ามาหาผมถึงที่หน้าบ้าน พร้อมกับยื่นซองจดหมายสีขาวมาให้ ในตอนแรกผมก็เกือบจะหยิบปัจจัยใส่ซองนั่นซะแล้ว แต่ผอ.ก็ห้ามไว้ก่อน ผมเองยังไม่ทันได้ถามอะไร เขาก็ยัดซองนั่นใส่มือผมแล้วรีบวิ่งออกจากบ้านไปโดยทันที ทิ้งให้ผมยืนเกาหัวแกรกอยู่อย่างนั้น เมื่อตั้งสติได้ผมก็เปิดซองนั่นออก ในซองนั่นมีจดหมายขาด A4 เขียนข้อความสรุปได้ว่า ' คุณชัย ช่วยเข้ามาทำหน้าที่เป็น รปภ. ของโรงเรียนนิรมิตวิทยา ทีนะครับ ' แถมทิ้งท้ายไว้อีกว่า ' ถ้าคุณชัยตกลง วันพรุ่งนี้เวลาสิบโมงเช้า ช่วยเข้ามาหาผมทีนะครับ ผมรออยู่ '

          ก่อนหน้านี้ที่งงอยู่แล้ว คราวนี้ก็งงเข้าไปใหญ่ เพราะโดยพื้นฐานแล้ว ตัวผมเองก็ไม่ได้มีคุณสมบัติในการเป็น รปภ. เลยสักนิด ศิลปะป้องกันตัว ผมเองก็ไม่เคยได้ศึกษา แถมรูปร่างของผมก็มีแต่กล้ามแขน จากการทำสวนมาเป็นสิบ ๆ ปี แต่ความแข็งแรงนั้นไม่ได้มีเลย ผมนั่งทบทวนกับตัวเองในหัวอยู่สักพัก จนตาเหลือบไปเห็นหมายเหตุที่ผมนั้นอ่านข้ามในตอนแรก ' ค่าตอบแทน 800บาท/วัน ' จากนั่งคิดวนไปวนมาอยู่แสนนาน ตัวผมก็เด้งขึ้นมาในทันที ตบแก้มตัวเองแรง ๆ ไปหนึ่งที นอกจากจะเจ็บมาก ๆ แล้ว ยังทำให้ผมเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน หลังจากตั้งสติจากตบเมื่อกี้ได้ ผมก็ลุกเข้าบ้านไปกินข้าวเย็น อาบน้ำและเข้านอนแต่หัววันทันที


          วันรุ่งขึ้นก่อนสิบโมงตามเวลานัดหมาย ผมปั่นจักรยานคู่ใจมุ่งตรงสู่โรงเรียน ไม่นานนักก็ถึงที่หมาย เนื่องจากเห็นประตูโรงเรียนเปิดอยู่ผมจึงจอดไอแดงไว้ด้านหน้าโรงเรียนแล้วถือวิสาสะเดินเข้าไป เฮ้ย ตาเถรผีหลอก ผมสะดุ้งพร้อมโวยวายออกมา ไม่ใช่แค่ผมที่ตกใจ แต่เจ้าของสัมผัสบนบ่าที่ได้ยินเสียงผมอัดหน้าไปก็สะดุ้งเช่นกัน เขาคนนั้นคือ ' ผอ.วิเชียร ' เจ้าของจดหมายซองขาวเมื่อวาน เขาเดินตรงเข้ามาหาผมก่อนจะเกิดเหตุการณ์เมื่อครู่

          เมื่อผมเห็นว่าคนนั้นคือใคร ก็รีบยกมือไหว้ขอโทษทันที ยังไม่ทันจะได้งานก็เล่นว่าที่นายจ้างตกใจไม่ใช่น้อยเลย แต่คุณวิเชียรเองก็ไม่ถือโทษโกรธอะไร แถมยังขอโทษผมกลับด้วย แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็เดินเข้าไปยังห้องธุรการด้วยกัน

          คุณวิเชียรคุยกับผมถึงข้อตกลงในการทำหน้าที่เป็น รปภ. ของที่นี่ ข้อตกลงได้กำหนดไว้ว่า นี่เป็นการทำงาน ' ชั่วคราว ' เพียง 14 วันหรือสองอาทิตย์เท่านั้น เนื่องจาก รปภ. คนเดิมขอลาไปเยี่ยมพ่อที่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือ ทีแรกผมเองก็เสียดายเล็กน้อย คิดว่าจะได้งานประจำใหม่ใกล้บ้านเสียแล้ว แต่ระยะเวลาชั่วคราวที่กำหนดมาพร้อมกับค่าจ้างรายวันก็น่าจะทำผมสบายไปได้ระยะเวลาหนึ่งเลย โดยคุณวิเชียรนั้นได้เตรียมพวกอุปกรณ์ เครื่องแต่งกายไว้พร้อมแล้ว ช่วงเวลาในการทำงานคือ 16:30 น. - 06:00 น. ซึ่งนั่นทำให้ผมมีเวลาในการทำงานประจำของผมเหมือนเดิม อะไรมันจะช่างดีขนาดนี้ งานชั่วคราวใกล้บ้าน ค่าตอบแทนค่อนข้างดี แถมไม่เบียดเบียนงานประจำด้วย

          ผมตกลงรับงานชั่วคราวนี้ทันที หยิบอุปกรณ์และเครื่องแต่งกายที่คุณวิเชียรเตรียมไว้ให้ขึ้นมา พร้อมเริ่มทำงานในวันจันทร์ที่จะมาถึงนี้ ก่อนที่ผมจะขอตัวกลับบ้าน คุณวิเชียรก็ถามคำถามชนิดที่ทำเอาผมสมองเบลอไปครูหนึ่งเลย ' คุณชัยกลัวผีไหมครับ ' ทีแรกผมก็คิดว่าเป็นคำถามติดตลก จึงตอบกลับไปว่า ' ไม่กลัวครับ ผีน่ะไม่กล้าทำอะไรผมหรอก ถ้าทำนะ จะเอาโตเกียวยัดปากเลย ' พร้อมกับยิ้มขำไปเล็กน้อย แต่เมื่อมองหน้าคุณวิเชียรแล้ว ผมแทบจะหุบยิ้มไม่ทันเลยทีเดียว เพราะสีหน้าคุณวิเชียรนั้นจริงจังเกินกว่าจะบอกว่าประโยคคำถามเมื่อกี้เป็นการถามติดตลก เมื่อเห็นดังนั้น ผมจึงตอบกลับไปใหม่ด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจและจริงจังา ' ไม่กลัวครับ ' คำตอบผมทำเอาคุณวิเชียรยิ้มกว้างออกมาในทันที พร้อมกับพูดขอบคุณผมอีกครั้ง จากนั้น ผมก็เดินออกไปจากห้อง ปั่นไอแดงมุ่งตรงสู่บ้านอันเป็นที่รักด้วยความสุขที่มีอยู่เต็มอก


          เวลาล่วงเลยผ่านมาจนถึงช่วงเย็นของวันจันทร์ วันแรกที่ผมเริ่มทำงานเป็น รปภ.ชั่วคราว บรรยากาศช่วงเย็นไม่ได้ครึกครื้นเหมือนช่วงบ่ายเท่าไหร่นัก เนื่องจากตอนนี้มีแค่คุณครูที่นั่งตรวจการบ้านให้กับเด็ก ๆ และมีผมที่เป็น รปภ. คอยเดินตรวจตรารอบ ๆ โรงเรียน เผื่อว่าจะมีเด็กคนไหนไม่ยอมกลับบ้านหรือเปล่า

          ย่างเข้าช่วงสามทุ่ม ขณะนี้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร ตัวผมเองก็แค่นั่งมองไปรอบ ๆ ภายในป้อมยาม มีลุกมายืดเส้นยืดสายบ้าง ลุกเดินไปตรวจตามบริเวณต่าง ๆ บ้าง พร้อมกับไฟฉายสีเขียวอันโตในมือ

          ผมตัดสินใจเดินตรวจอีกครั้ง บรรยากาศรอบ ๆ นอกจากลมเย็นที่พัดเข้ามาเป็นระยะ ก็มีเพียงแค่ความมืดที่มันสมควรจะเป็น จนกระทั่งผมเดินสำรวจไปสักพักหนึ่ง สายตาของผมก็ดันไปสะดุดเข้ากับเงาสีดำรูปร่างคล้าย ๆ กับคน ที่บริเวณหน้าห้องธุรการ ใจหนึ่งผมเกิดกลัวขึ้นมานิดหน่อย เพราะที่ผ่านมาผมเดินตรวจจนรอบ ซอกหลืบตามกำแพงผมก็เดินตรวจมาแล้วก็ไม่เจอใครเลย แล้วเงาตรงนั้นมันจะเป็นของคนไหมนะ ส่วนอีกใจก็อยากเดินเข้าไปดูให้รู้แล้วรู้รอด เนื่องจากตอนนี้มันก็มืดพอสมควร สายตาของผมก็อาจจะพร่ามัว ตาฝาด คิดไปเอง หรือไม่มันก็อาจจะเป็นเงาของสัตว์ที่แอบเข้ามาตอนที่ผมไม่เห็นก็เป็นได้

          หลังจากตีกับตัวเองในหัวครู่หนึ่ง ผมก็ตัดสินใจมุ่งตรงเดินเข้าไปหาเงานั่น แต่ไม่ทันที่จะถึงตัว ผมก็ต้องตกใจกับ ' ลุงทำไรอะ! ' ใช่ครับ ผมตกใจกับไปเด็กผู้หญิงมัดผมแกละที่จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาดึงแขนเสื้อผม ดีที่ครั้งนี้ผมปิดปากตัวเองไว้ได้ทัน เลยไม่โวยวายเหมือนครั้งก่อน ' นี่! ไอหนู สามทุ่มแล้วทำไมเอ็งไม่กลับบ้าน พ่อแม่เอ็งไม่มารับหรือไง ให้ลุงไปส่งไหม ' ผมรีบเอ่ยถามไปด้วยความตกใจปนเป็นห่วง

          ' ไม่ต้องไปส่งหรอกลุง แต่คืนนี้หนูขออยู่เป็นเพื่อนลุงได้ป่าว '

          ' เห้ย! ไอหนู! แล้วพ่อแม่เอ็งล่ะ ป่านนี้เขาเป็นห่วงเอ็งแทบแย่แล้ว บอกมาบ้านอยู่ไหน เดี๋ยวลุงเดินไปส่งเอง ' 

          ' คืนนี้หนูจะอยู่กับลุงเนี่ยแหละ อีกอย่าง พ่อแม่รู้อยู่แล้วว่าคืนนี้หนูจะอยู่ที่โรงเรียน ' ไอเด็กคนนั้นยังคงยืนยันกับผมว่าจะอยู่ด้วยในคืนนี้ แถมบอกอีกว่าพ่อแม่รู้แล้ว

          แหม่ น่าตีทั้งคู่เลยจริง ๆ ว่าไหมครับ คนเป็นพ่อเป็นแม่ทำไมถึงอนุญาตให้ลูกอยู่คนเดียวที่โรงเรียน ทั้งมืด ทั้งอันตราย ถ้าหากว่าผมไม่ได้มาทำหน้าที่ รปภ. ในคืนนี้ ใครจะดูแลเด็ก ส่วนเด็กคนนี้ก็เหลือเกิน จากที่ผมประเมินผ่านสายตาแล้ว น่าจะเรียนอยู่ชั้น ป.6 อายุแค่นี้จะมาอยู่คนเดียวในที่กว้าง ๆ ยามกลางค่ำกลางคืนได้ยังไง ผมล่ะเป็นห่วงจริง ๆ แต่ในเมื่อห้ามไปแล้วไม่ฟัง ผมและเด็กน้อยคนนั้นก็คงต้องอยู่ด้วยกันในคืนนี้

          ' เฮ้อ เอาล่ะ ๆ ในเมื่อข้าพูดอะไรไป เอ็งก็ไม่ฟัง งั้นคืนนี้ก็อยู่ด้วยกันกับข้าที่ป้อมยามนะ ว่าแต่...เอ็งชื่ออะไรล่ะ '

          ' หนูชื่อมะปรางนะ ส่วนลุงก็ชื่อลุงชัย! '

          มะปรางพูดชื่อผมออกมาก่อนที่ผมจะแนะนำตัวเสียอีก ทำเอาผมชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเด็กเกือบทุกคนก็รู้จักผมในนาม ลุงชัย อยู่แล้ว หนึ่งในนั้นก็น่าจะเป็นไอหนูมะปรางด้วย

          ' เออ ๆ งั้นเอ็งจับมือข้าไว้ เดินตามมาดี ๆ ล่ะ เดี๋ยวข้าจะพาไปหลบยุงในป้อม ' มะปรางพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกำมือผมแน่น แล้วเดินตามมาอย่างว่าง่าย

          เมื่อถึงป้อมยามผมก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองนั้นจะเดินเข้าไปหาเงาดำหน้าห้องธุรการ แต่ก็เดินกลับมาที่ป้อมยามเสียแล้ว ผมจึงถอนหายใจให้กับความขี้ลืมนั่น แต่เหมือนจะดังไปหน่อย มะปรางเลยพูดขึ้นว่า

          ' นี่ลุง ถอนหายใจเหมือนคนแก่เลยนะ ไม่ดี ๆ ๆ ' มะปรางพูดพลางส่ายหน้าเล็กน้อย ทำเอาผมหมั่นเขี้ยวเล็ก ๆ ก่อนจะพูดอีกประโยคที่ทำเอาผมตาค้างไปเลย

          ' ลุง...อยากฟังเรื่องผีที่หนูจะเล่าไหม '

          ครับผม ไอเด็กแสบนี่มันเล่นเอาผมตาค้างไปเลย จู่ ๆ จะมาเล่าเรื่องผีอะไรในเวลาแบบนี้ แต่ผมก็ตกลงเออออไป เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ในป้อมยามนั้นเงียบเกินไป

          ' เออ ๆ ไหนลองเล่ามาซิ เรื่องผีของเอ็งน่ะ '

          หลังจากที่ผมตอบรับ ท่าทีของมะปรางก็ดูเปลี่ยนไปเช่นเดียวกับบรรยากาศที่มันกำลังเปลี่ยนไป ลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างของป้อมยาม ทำเอาผมขนลุกไม่ใช่น้อย

          ' เรื่องนี้มันก็ไม่ได้เกิดที่ไหนไกลหรอก เกิดในโรงเรียนนี้แหละลุง ' สิ้นสุดประโยค ไอหนูมะปรางก็เงยหน้าขึ้นมามองผม เหมือนรู้ว่าผมจะอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แถมยังขำผมเล็กน้อยก่อนจะเล่าเรื่องต่อ

          ' เมื่อหลายปีก่อน มีเด็กนักเรียนม.ปลายคนหนึ่ง มากระโดดตึกฆ่าตัวตายที่นี่ ตึก 6 ชั้น ตรงข้ามป้อมยามเนี่ยแหละลุง แต่ดันมากระโดดในวันที่เขาปิดโรงเรียนเกือบเดือนเลยนี่ซิ พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ตามหากันให้วุ่น จนกระทั่งวันที่เปิดโรงเรียน มีครูเข้ามาเจอ สภาพร่าง...ไม่ซิ สภาพศพเน่าอืด น้ำเหลืองไหลเยิ้มออกมาตามบาดแผล คอบิดกลับหลัง ขาพับเป็นตัววี ชุดนักเรียนเปียกชุ่มไปด้วยเลือด จากสีแดงสดก็แห้งเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม พ่อแม่ที่รู้ข่าวก็เสียใจหนักมาก อีกไม่กี่สัปดาห์จะเรียนจบแล้วแท้ ๆ ' มะปรางหยุดพูดที่ตรงนี้ ก่อนจะหันหน้าไปมองตึกที่ว่านั่น

          ' น่าสงสารเนอะลุง ใกล้จะเรียนจบแล้วแท้ ๆ ' น้ำเสียงมะปรางสั่นเล็กน้อย แต่ดูเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก

          ' เฮ้อ เขาคงมีเหตุผลที่ทำมันล่ะนะ ลุงเชื่อว่าคนที่ฆ่าตัวตายน่ะ ไม่มีใครคิดสั้นหรอก เพียงแต่เขาเจอเรื่องแย่ ๆ มามากพอที่จะทำให้เขาตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลง เพื่อไม่ให้เจอกับเรื่องเหล่านั้นอีก ' ผมถอนหายใจเล็กน้อยและพูดออกไป ส่วนมือก็ยื่นไปตบที่บ่ามะปรางเบา ๆ ก่อนที่ไอหนูนั่นจะหันกลับมาแล้วพูดกับผมต่อ

          ' ต่อเรื่องที่สองกันเลยไหมลุง '

          หลังจากได้ยินดังนั้น ผมไม่ส่งเสียงโวยวายเลยแม้แต่น้อย ต่างจากตาและปากของผมที่เบิกกว้างแทบจะในทันที ทำเอามะปรางขำออกมา หน้าตาแสนเหยเกของผมคงจะถูกใจน่าดูเลยล่ะ

          ' ไม่รู้แหละ หนูจะเล่า '

          ไอหนูนี่มันแสบนัก ไม่รอให้ผมตั้งสติได้ก็มัดมือชกเสียเลย

          ' เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในโรงเรียนนี้เหมือนกัน แต่เกิดขึ้นกับครูคนหนึ่ง ' สิ้นสุดประโยคก็มีลมปริศนาพัดแรงมา ทำเอากิ่งไม้ข้างป้อมยามสบัดเข้ามาตีอย่างแรง ผมเองก็สะดุ้งโหยงจากความตกใจ ต่างจากมะปรางที่นิ่งเงียบ ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

          ' เรื่องนี้ไม่มีใครทำอะไรครู นอกจากตัวครูเขาเอง เพราะครูเขาน่ะ ยักยอกเงินโรงเรียนมาตั้ง 3 ปีเลยนะ แต่ลุงเชื่อไหม สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก ครูเขาโดนจับได้และจะถูกดำเนินคดีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แน่นอนว่าโทษของครูเขาคือการจำคุก แทนที่ครูเขาจะยอมรับโทษเพียงไม่กี่ปี ครูเขากลับเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง ด้วยการผูกคอตายในห้องธุรการ ' สิ้นสุดเสียงพูดนั้น ลมปริศนาก็พัดเข้ามาอีกครั้ง กิ่งไม้ก็สบัดเข้ามาประทบกับป้อมยามเข้าอย่างแรง ผมเองก็สะดุ้งเหมือนเดิม เพียงแค่เสียงดังนั่นก็ทำผมแทบหัวใจวายแล้ว แต่ประโยคต่อจากนี้ยิ่งกว่านั้นเสียอีก

          ' แล้วลุงรู้ใช่ไหม ว่าการเป็น รปภ. ที่นี่ ลุงต้องอยู่คนเดียวทั้งคืน ' ทั้งประโยคมีหลายคำ แต่มะปรางเลือกที่จะย้ำคำว่า คนเดียว นั่นทำให้ผมฉุกคิดอีกขึ้นอีกครั้ง ถึงเหตุการณ์ที่เจอเงาดำปริศนา ณ ห้องธุรการ

          ทุกอย่างมันทำให้ความคิดที่ว่า ' เงาดำนั่นคือผี ' มีน้ำหนักเหนือกว่าความคิดอื่นใด จากคนที่ไม่เคยกลัวผีเลย สงสัยจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว ถึงแม้จะไม่เห็นผีเป็นตัวเลยก็ตาม แต่ค่ำคืนนี้ก็ทำเอาผมหัวโกรนไม่ใช่น้อย

          ' แต่ไม่ต้องห่วงนะ ลุงอยู่ในป้อมนี้ เขาทำอะไรลุงไม่ได้หรอก อีกอย่าง ลุงมีหนูอยู่ทั้งคน ลุงไม่ต้องกลัว ๆ '

          ผมหันไปมองหน้ามะปรางที่นั่งอยู่ข้าง ๆ แล้วยิ้มอ่อนให้ เหมือนเด็กคนนี้จะช่วยทำให้ค่ำคืนแสนน่ากลัวของผมดูดีขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น


          ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน แต่สะดุ้งตัวตื่นอีกทีก็ใกล้สว่าง ผมตบแก้มตัวเองเล็กน้อย เพื่อให้รู้สึกตัว ก่อนจะหันไปมองนาฬิกาแขวนในป้อม ' 06:00 น. ' คือเวลาในตอนนี้และนั่นเป็นเวลาเลิกงานพอดี

          ผมบิดเอว ยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยเพื่อทำลายความง่วงทิ้ง เมื่อได้สติเต็มที่ก็หันไปมองรอบข้างตัวเอง ปรากฎว่าไม่เจอกับมะปรางเสียแล้ว ผมกำลังจะเดินออกไปนอกป้อมยามก็ต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้ง

          ' แฮร่! '

          ' เหี้ย ตาเถรผีหลอก! '

          คราวนี้ผมตะโกนลั่นเสียงดังเพราะความตกใจ ก็ไอหนูมะปรางมันเล่นโผล่ขึ้นมาหน้าประตูป้อมพอดี เมื่อเห็นว่าผมตกใจก็ขำใหญ่ น่าหมั่นไส้เสียจริง ๆ

          ' นี่ลุง ถ้าคืนนี้มาทำงานอีก อย่าลืมซื้อขนมมาให้หนูด้วยนะ กลางคืนหนูหิวอะ ' ผมไม่ทันที่จะได้เอ่ยว่าอะไร มะปรางก็พูดสวนกลับมาเสียก่อน

          ' เออ ๆ เดี๋ยวลุงซื้อมาให้ '

          ' ซื้ออะไรมาให้ใครหรอคะ '

          ' เหี้ยควยถอก! '

          ผมตกใจรอบสอง เพราะครูสาวเดินเข้ามาพูดข้าง ๆ ผม ทำเอาตกใจจนเกือบกรี๊ดแตก

          ' เอ่อ...อ๋อ ผมจะซื้อขนมมาให้กับไอเด็กนี่น่ะครับ ' เมื่อตั้งสติได้ผมก็ตอบกลับครูไป พร้อมกับชี้และหันหน้าไปทางที่มะปรางยืนอยู่เมื่อครู่ แต่ผมก็ต้องตกใจครั้งที่สาม เพราะที่ตรงนั้นมันว่างเปล่า

          ' คะ? เด็กหรอคะ? ' ครูสาวเองก็ทำหน้าตกใจไม่ต่างกัน ส่วนตัวผมเองก็หันตัวหันหัวมองรอบ ๆ ป้อมยาม แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของเด็กคนนั้น

          ' เด็กผู้หญิงม.ปลายที่ชื่อมะปรางหรือเปล่าคะ? '

          นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ผมอึ้งอีกครั้ง สมองหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ แต่ก็ต้องกลับมาทำงานอีกครั้งเพื่อพ่นคำถามออกไป

          ' ม.ปลายหรอครับ? ไม่ใช่ว่าอยู่ประถมปลายหรอกหรอ? '

          ' เห็นเธอตัวเล็กแบบนั้น เธออยู่ม.ปลายนะคะลุงชัย '

          หลังจากเอ่ยจบ ครูสาวก็เดินออกไปทันที ทิ้งให้ผมจมอยู่กับความงุนงงและสับสน ท่าทางของครูสาวคนนั้น ไม่ได้ดูแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แค่เริ่มทำงานเป็นยามที่นี่วันเดียว ชีวิตผมก็มีแต่อะไรที่ทำให้ตกใจอยู่เรื่อย แถมเกิดขึ้นติด ๆ กันอีก

          ผมดึงตัวเองเข้ามานั่งที่เก้าอี้ภายในป้อมยาม ก่อนจะตั้งสติและรวบรวมพลังสมองที่มีปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด ที่เกิดขึ้นภายในหนึ่งคืนเท่านั้น และมันทำให้ผมรู้ว่า

' ผมควรไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ชุดใหญ่ '