หนึ่งปีผ่านไป

เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ท้องฟ้าสว่างวาบ แรงดันลมมหาศาลกลายเป็นคลื่นมรณะทำลายล้างกวาดทุกตารางพื้นที่ของโลก ซ้ำร้ายผู้เสียชีวิตกลับลุกขึ้นมาเป็นซากศพเดินได้ไล่ล่าผู้มีชีวิตรอด

นั่นเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ยังมีชีวิตรอดรับรู้มาตลอดช่วงเวลาที่ตะเกียกตะกายดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากโลกที่ล่มสลายไปในพริบตาเดียว

วันสิ้นโลกจริงๆ แฮะ

เอสเทลคิดพลางหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ขณะที่ร่างของชายหนุ่มอีกคนซึ่งอยู่ข้างๆ กำลังดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาไม่หยุด โดยที่แขนทั้งสองถูกมัดไพล่หลัง สวมใส่ผ้าปิดปากสีดำ ที่ภายในริมฝีปากยัดผ้าเช็ดหน้าเอา ดวงตาขาวขุ่นเหลือกถลน ผิวขาวซีดจนเกือบเทาทำให้เส้นเลือดปูดโปนจนเห็นได้ชัดตามลำคอ และร่างกายส่วนอื่นๆ

เอกลักษณ์ที่บ่งบอกชัดว่าได้กลายสภาพเป็นซอมบี้

และนอกจากนั้นยังเป็นแฟนหนุ่มของเอสเทลด้วย

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปี เอสเทลพาเชสไปด้วยไม่เคยห่าง ไม่เคยทอดทิ้ง แม้การมีซอมบี้จะทำให้ไม่สามารถร่วมกลุ่มเอาชีวิตกับคนอื่นๆ หรือบางทีก็โดนไล่ล่าทำร้ายเพื่อแย่งชิงอาหารที่เขามี หรือเพื่อฆ่าเชส

เอสเทลก็เอาชีวิตรอดมาได้จนถึงตอนนี้

“ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นอีกวันที่ยอดเยี่ยมเนอะ เชส” เอสเทลเอ่ยขึ้นหลังจากมองท้องฟ้าสีครามสดใสที่นานๆ ทีจะได้เห็น เพราะช่วงแรกๆ หลังเกิดวันสิ้นโลก ท้องฟ้านั้นแดงฉานอยู่หลายเดือน

“ผลึกเลือดใกล้จะหมดแล้ว บางทีพวกเราคงต้องไปล่าซอมบี้แล้ว”

เอสเทลสำรวจกระเป๋าสะพายประจำตัวที่มีสิ่งของจำเป็นที่เขาเก็บรวบรวมมา และถุงหูรูดสีดำที่บรรจุผลึกคริสตัสสีแดงสดขนาดเท่านิ้วโป้ง

ผลึกเลือดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้มาจากซอมบี้ ในช่วงแรกเอสเทลก็ไม่รู้ว่ามันมีหรอก จนกระทั่งเชสทำท่าดุร้ายดึงดันจะชำแหละร่างซอมบี้ที่โดนทุบหัวจนเละ

ผลึกเลือดมีอยู่สองที่ในร่างกายซอมบี้ หนึ่งคือที่สมอง สองคือที่หัวใจ ดังนั้นซอมบี้หนึ่งตัวได้ผลึกเลือดสองชิ้น

เชสกินผลึกเลือดเป็นอาหาร เอสเทลเลยจำเป็นต้องออกล่าซอมบี้ อันที่จริงช่วงแรกแค่ขยับไปไหนก็เจอแต่ซอมบี้ทั้งนั้น ทำให้ยังรู้สึกเสียดายอยู่เลยที่ไม่ได้เก็บผลึกเลือดพวกนั้นมา

“นายหิวหรือยัง เชส”

“ฮือ”

“หิวสินะ ช่วงนี้นายกินจุเลยน้า”

เอสเทลว่าด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ หยิบผลึกเลือดขึ้นมาก่อนจะเปิดผ้าปิดปากกับผ้าที่ให้เชสงับไว้ออกมา ทันทีที่ทำแบบนั้นอีกฝ่ายก็คำรามพุ่งเข้าใส่เขา

“แฮ่!”

“ไม่เอาน่า เชส” เอสเทลดุแฟนหนุ่มที่พอถึงเวลากินก็ชอบซนอยากงับอยากกัดเขาตลอด ก่อนจะโยนผลึกเลือดใส่ปากที่อ้ากว้าง

“หม่ำๆ นะ”

พอโดนป้อนด้วยก้อนเลือด เชสก็สงบลงอีกครั้ง เอสเทลมองแล้วอมยิ้มอดไม่ได้ที่จะลูบหัวแฟนหนุ่มอย่างเอ็นดู อีกฝ่ายพอโดนลูบก็เอียงคอกลอกตาขาวขุ่นมองท่าทีแบบนั้นยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ในสายตาคนหลงแฟนแบบเอสเทล

“อย่าน่ารักมากได้ไหมเนี่ย มันยิ่งทำให้ฉันชอบนายมากขึ้นอีกแล้วนะ” เอสเทลบ่นอุบอิบด้วยความจนใจ ถึงอีกฝ่ายจะกลายเป็นซอมบี้ แต่ยังเป็นแฟนของเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ใครจะว่ายังไงก็ช่าง

ขอแค่พวกเรายังมีกันและกันก็พอ

 

 

เอสเทลเป็นนักพเนจร นั่นเป็นคำเรียกที่มีต่อผู้รอดชีวิตซึ่งไม่มีหลักแหล่ง หรือเป็นคนของฐานที่มั่นใดๆ ซึ่งเขาก็ไม่มีปัญหาอะไร

เหนื่อยก็พัก นอนที่ไหนก็ได้

แต่ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและอันตราย จึงไม่ค่อยมีผู้รอดชีวิตคนไหนทำตัวแบบเอสเทลกันหรอก

ผลัวะ

ท่อนเหล็กในมือของเอสเทลฟาดใส่ซอมบี้ตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างแรง ศีรษะที่ถูกฟาดอัดกระแทกกับผนังจนทำให้แน่นิ่งไปในทันที ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบใช้มีดพกในมือควานหาผลึกเลือดที่สมอง จากนั้นก็ที่หน้าอกข้างซ้ายที่มีหัวใจอย่างช่ำชอง

“เม็ดใหญ่นะเนี่ย” เอลเทสพึงพอใจ เขาเห็นซอมบี้ตัวนี้ดูแปลกๆ กว่าตัวอื่นนิดหน่อย ขณะที่เชสส่งเสียงแฮ่ฮ่าขยับตัวส่ายดุ๊กดิ๊กอย่างทำอะไรไม่ได้

ฉับพลันเอสเทสก็ชะงัก นัยน์ตาวาวโรจน์ คว้าเศษหินขวางออกไป

“โอ้ ยังสบายดีกับสัตว์เลี้ยงอยู่เหมือนเดิมนี่” เศษหินกระแทกเข้ากับผนัง เฉียดร่างของชายคนหนึ่งที่เบี่ยงหลบ เรือนผมตัดสั้นรองทรงสีทอง ตาสีฟ้า พร้อมรอยยิ้มยียวนที่คนมองอยากกลอกตาถอนหายใจ

“บอกไปกี่รอบแล้วดีน ว่านี่แฟนฉันเว้ย!” เอสเทลฉุนเฉียว แต่รู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่ฝ่ายนั้นจะฟังเข้าสมอง

“เหอๆ ผ่านมาตั้งขนาดนี้แล้ว นายยังดื้ออยู่เหมือนเดิมจริงๆ ” ชายหนุ่มนามว่าดีนส่ายหัวเห็นใจ ก่อนจะแบมือกระดิกนิ้วเอ่ยต่อ “ที่นี่เขตล่าของฐานฉัน นายก็รู้ใช่ไหม”

เอสเทลทำเสียงเฮอะในลำคอ โยนผลึกเลือดชิ้นหนึ่งออกไป ดีนรับมันไว้ได้อย่างสบายๆ เขาหมุนมองผลึกเลือดในมือพร้อมยกยิ้ม

“ชิ้นใหญ่กว่าปกติ นายนี่หาเก่งจริงๆ นั่นแหละ” นัยน์ตาสีฟ้าสะท้อนสีแดงจากผลึกเลือด ดีนเหลือบสายตามองเอสเทลแล้วยกยิ้มถาม

“ยังไม่คิดเปลี่ยนใจมาอยู่ที่ฐานฉันสักหน่อยเหรอ”

“ขอปฏิเสธนั่นแหละ”

“จะเอาสัตว์เลี้ยงมาอยู่ด้วยเป็นกรณีพิเศษก็ได้นะ”

“แฟน ไม่ ขอบคุณ” เอสเทลกดเสียงต่ำแสดงชัดถึงความไม่พอใจ ดีนยักไหล่ไม่ใส่ใจเอ่ยต่อ

“ช่วงนี้มีข่าวซอมบี้กลายพันธุ์ใหม่ๆ ระวังหน่อยก็แล้วกัน”

“ขอบใจ”

“อ้อ แล้วก็นะ ดูนี่สิ”

เอสเทลอยากกลอกตารำคาญกับการตื้อของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกลียด เนื่องจากพวกเขาเคยใช้เวลาเอาตัวรอดมาด้วยกันอยู่สองสามครั้ง แน่นอนว่าเป็นการร่วมมือจำเป็นเฉพาะหน้าเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น

พอมองตามการเรียกร้องความสนใจของดีน เอสเทลก็พบว่าที่ปลายนิ้วของอีกฝ่ายมีเปลวไฟปรากฏขึ้นราวกับนิ้วนั่นเป็นไฟแช็กจุดไฟ

“เห็นไหม ดูเหมือนมนุษย์อย่างเราๆ ก็กลายพันธุ์แล้วนะ”

คำกล่าวนั้นทำให้เอสเทลมุ่นหัวคิ้ว วันสิ้นโลกยังคงมีอะไรให้ประหลาดใจได้ไม่หยุด

“หลายๆ คนพลังพิเศษเริ่มตื่นขึ้นมา เหมือนพวกหนังภาพยนตร์หรือนิยายที่เคยเห็นเลยเนอะ” ดีนยังเอ่ยต่อพลางสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า “ว่าแต่ แล้วพลังพิเศษของนายละ”

“ไม่มี”

“โอ้ น่าเสียดาย ฉันค่อนข้างลุ้นว่าพลังพิเศษนายจะตื่นไวกว่าเพราะพเนจรอยู่ข้างนอกเสียอีก” ดีนเผยสีหน้าค่อนข้างผิดหวังปนเสียดาย อีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยไม่มีพิรุธอะไร เขาก็เลยยักไหล่ “ไม่ใช่ทุกคนจะใจดีเหมือนฉันน้า เอสเทล”

“อ้อ นายนึกว่าฉันไม่รู้เหรอ”

เอสเทลย้อนกลับไปทันที ผู้คนมากมายที่ได้เจอ เพื่อที่จะเอาชีวิตรอด การเห็นแก่ตัวก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่พบเจอได้ตลอด ดังนั้นเขาถึงไม่สุงสิงอะไรมากไปกว่าแค่การแลกเปลี่ยนสิ่งของ แต่แค่นั้นยังเกิดเรื่องได้เลย

“ฉันยังรอนายตอบรับคำชวนเสมอนะ”

ดีนทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม ที่จริงแล้วอีกฝ่ายก็หน้าตาดีเป็นทุนเดิม พอยิ้มก็ทำคนมองหัวใจเต้นระรัวได้ ยกเว้นเอสเทลที่นิ่วหน้า ส่วนเชสส่งเสียงฮือฮาแฮ่ๆ ไม่หยุดตั้งแต่ฝ่ายนั้นมาชวนคุย