สำนักเหยี่ยวขาว สำนักค้าข่าวเก่าแก่แห่งเมืองหนิงแดนใต้ สำนักที่หากเอ่ยว่าตนเป็นที่สอง ย่อมไม่มีใครกล้าอ้างเป็นที่หนึ่ง

ไม่ใช่เพราะพรรคเหล่านั้นคิดว่าตนความสามารถไม่ถึง เพียงแต่กลัวถูกฆ่าเท่านั้น

ล่ำลือกันว่าเหยี่ยวขาวเบื้องหน้าค้าข่าวเบื้องหลังฆ่าคน อีกทั้งเส้นสายกว้างไกลราวไยแมงมุม กล่าวได้ว่าหวงตี้ยังต้องดูสีหน้าท่านประมุขน้อยแห่งสำนักสักสี่ส่วนก่อนเลือกคำพูด

ไม่เพียงเท่านี้ ท่านประมุขน้อยแห่งสำนักเหยี่ยวขาวนาม เว่ยฮุ่ยเหอ ผู้นี้ยังขึ้นนั่งตำแหน่งประมุขในยามเพียงสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น ทั้งยังเป็นการนั่งตำแหน่งที่เกิดขึ้นภายในคืนเดียว ไม่มีผู้ใดรู้มูลเหตุที่แท้จริง จะมีก็แต่เพียงเสียงนักเล่านิทานสัญจรในโรงน้ำชาจากแว่วมาว่า ท่านประมุขเว่ยฮุ่ยเหอแต่ก่อนเป็นเพียงลูกฟูเหรินที่ถูกทอดทิ้งผู้หนึ่ง ทั้งมารดาและตนถูกอดีตประมุขรังเกียจรังแก ลำเอียงรักน้องชาย คุณชายใหญ่เว่ยจึงเก็บงำความแค้น ฝึกฝีมือ สบโอกาสก็ลงมือสังหารครอบครัวตนเอง ขึ้นเป็นประมุขน้อยเว่ยภายในคืนเดียว

เล่าได้เผ็ดร้อนราวกับตนคือคนสนิทของเว่ยฮุ่ยเหอผู้นั้น

อันว่าอย่าดูถูกการกระจายข่าวของชาวยุทธภพ ยิ่งการเล่าเรื่องของนักเล่านิทานสัญจรช่างได้รสราวกับเห็นเหตุการณ์จริง ทุกหัวในโรงน้ำชา ไม่มีหัวใดกังขากับข่าวนี้แม้แต่น้อย สามคนกลายเป็นเสือ [1] ภายในสัปดาห์เดียวหลังจากประมุขน้อยเว่ยขึ้นนั่งตำแหน่ง แม้แต่ปรมาจารย์ผู้ละทางโลกยังต้องเอ่ยถึงหนึ่งคำ ชื่อเว่ยฮุ่ยเหอ สามคำนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก

อดีตประมุขชื่อเสียงกระฉ่อนเพียงไหน ประมุขน้อยคนปัจจุบันกระฉ่อนกว่าหลายพันเท่า กระฉ่อนไปถึงหูพญามารแห่งป่าทมิฬแดนเหนือ ท่านพญามารยังคงชมประมุขน้อยแซ่เว่ยออกมาอยู่หนึ่งประโยค เขียนด้วยลายมือตนบนกระดาษขลิบทอง ฝากมารอีกาคู่ใจบินข้ามน้ำข้ามทะเลมาส่งถึงสำนัก ผู้ที่เคยเห็นกระดาษแผ่นนั้นเล่าไว้ว่าท่านพญามารเขียนไว้หนึ่งประโยคโดยแท้จริง ทั้งยังมีความหมายลึกซึ้งยิ่ง ประโยคนั้นคือ

เลวทรามชั่วช้าเหลือเกิน ข้านับถือ นับถือแล้ว

ไม่อาจทราบได้ว่ากว่านามของเว่ยฮุ่ยเหอจะไปถึงหูท่านพญามารแห่งป่าทมิฬแดนเหนือผู้นั้น ชื่อเสียงเขาถูกใส่สีไปเท่าใดแล้ว แต่ที่ทราบแน่ชัดคือหลังจากข่าวเรื่องกระดาษเขียนคำชมเชยนั้นถูกสะพัดออกไป ชื่อเสียงของประมุขน้อยแซ่เว่ยก็กระฉ่อนกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จากเดิมที่แค่เคยกระฉ่อนไปเข้าหูพญามารแห่งแดนเหนือ บัดนี้ได้กระฉ่อนไปยังหูปีศาจจิ้งจอกขาวแห่งแดนตะวันตกแล้ว ยังมีเรื่องเล่าว่าเจ้าสำนักมังกรดำแห่งแดนตะวันออกคิดผดุงคุณธรรม สร้างชื่อเป็นวีรบุรุษ รวบรวมกำลังพลหวังทำลายสำนักเหยี่ยวขาว หากแต่ยังไม่ทันได้ยกทัพจากพรรค หัวก็ไม่ติดอยู่กับตัวแล้ว และด้วยเหตุนี้ สำนักมังกรดำจึงหายไปจากยุทธภพในค่ำคืนเดียว

ผู้คนล้วนทอดถอนใจ สำนักกระบี่ที่ขึ้นชื่อว่ารวบรวมยอดฝีมือแห่งใต้หล้ายังหายไปได้ภายในคืนเดียว เว่ยฮุ่ยเหอผู้นี้ช่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดินเหลือเกิน

แต่จะเห็นว่านอกจากเล่าลือและสะเทือนใจ ผู้คนก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวสำนักแห่งนี้ถึงเพียงนั้น นั่นเพราะสำนักเหยี่ยวขาวนั้นยุติธรรมยิ่ง ไม่เคยขูดรีดทำร้ายชาวบ้าน บางครั้งยังออกมาช่วยเหลือ ขจัดภาพความน่ากลัวของสำนักในใจผู้คนไปได้เยอะทีเดียว

ย้ำว่าขจัดภาพความน่ากลัวของสำนัก

ให้ชัดกว่านี้คือขจัดภาพความน่ากลัวของผู้รับผิดชอบการช่วยเหลือชาวบ้านของสำนัก

มีนามหนึ่งปรากฎในบทสนทนาพอๆ กับนามของประมุขน้อย หากแต่เป็นไปในทางตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เป็นนามของท่านรองประมุขแห่งสำนักเหยี่ยวขาว มู่จวนหลิว ท่านรองประมุขผู้เป็นประดุจสายน้ำคอยหล่อเลี้ยงชาวยุทธภพ บุรุษอยากคบหา สตรีอยากดูใจ ชื่อเสียงเป็นไปในทางดียิ่ง ดีไปถึงหูพรรคปักษาเพลิงแห่งแดนตกวันตก ท่านประมุขพรรคปักษาเพลิงถึงกลับกล่าวว่าหากมีท่านรองประมุขแซ่มู่อยู่ ใต้หล้าคงสงบสุข

กล่าวให้ชัดกว่านี้คือ มีมู่จวนหลิวอยู่ในพรรคเหยี่ยวขาว เว่ยฮุ่ยเหอก็ยกทัพมาทำลายใต้หล้าไม่ได้

ท่านรองประมุขแห่งสำนักเหยี่ยวขาวมักจะออกจากพรรคมาเปิดโรงทานทุกเจ็ดวัน วันที่มู่จวนหลิวออกมา คนจะหยุดงานเยอะเป็นพิเศษ แม่นางน้อยใหญ่ทั้งหลายจะต่างหลบหนีออกจากบ้านเพียงเพื่อแอบยลรอยยิ้มยามตักข้าวต้มโรงทานของท่านรองประมุข พูดกันเป็นเสียงเดียวว่ายอมต่อแถวเป็นชั่วยามเพื่อให้ได้คุยกับท่านรองประมุขมู่เท่านั้น

ถึงกับมีคำหลุดออกมาว่าท่านประมุขน้อยกับท่านรองประมุขเปรียบดุจเทพกับมาร 

ไม่จำเป็นต้องเอ่ยว่าใครเป็นมาร

และบัดนี้มารตนนั้นก็กำลังนั่งหน้าดำคร่ำเครียดอยู่บนโต๊ะทำงาน

สำนักเหยี่ยวขาวกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่เว่ยฮุ่ยเหอก็ไม่สามารถแก้ได้

"ท่านประมุข ลองไปดูสักหน่อยเถิดขอรับ บัดนี้ศิษย์ในสำนักไม่เป็นอันกินอันนอนกันแล้ว ท่านเดินออกจากห้องทีไร พวกเขาก็หนีกระเจิงกันทุกที อย่างน้อยก็ไปให้พวกเขาสบายใจเถิด ท่า-"

"เพ้ย!!! พวกมันหลอนกันเองแล้วเกี่ยวอันใดกับข้า! ไปบอกพวกมันว่าถ้ากลัวนักก็ลาออกไป!"

ประมุขน้อยแซ่เว่ยลุกขึ้นตบโต๊ะ ตะโกนจนหน้าดำเปลี่ยนเป็นหน้าแดง ก่อนก้มมองกระดาษที่มีคำว่า 'รับปราบผี' เบื้องหน้าแล้วตะโกนอีกครั้ง 

"ไร้สาระ! ไร้สาระ ๆๆ ออกไป! เสียเวลาพักข้า ออกไป!!!"

เยี่ยซือ คู่สนทนาของมารแห่งยุทธภพเหงื่อตก ตั้งแต่เข้าสำนักมาเป็นศิษย์ฝ่ายในที่นี่เขาเคยลำบากขนาดนี้ที่ไหนกัน หากเลือกได้ เวลานี้ ในวันหยุดที่แสนอบอุ่นนี้ เขาคงเลือกนอนซุกใต้ผ้าห่มอุ่นๆในห้อง ไม่มีทางมายืนให้ท่านประมุขด่าอยู่ที่นี่เป็นแน่ หากแต่ตัวเขาโดนศิษย์พี่ศิษย์น้องถีบส่งมาเสี่ยงตายเพื่อเกลี้ยกล่อมท่านประมุขน้อย และเหตุผลทำให้ต้องถูกถีบมาลำบากตรงนี้ก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นผีที่ปรากฎตัวในสำนักเมื่อสามวันที่แล้ว

พรรคเหยี่ยวขาว พรรคค้าข่าวอันดับหนึ่งในยุทธภพกำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า ผี

ไม่มีใครรู้ว่าผีตนนี้มาจากที่ใด ใครเห็นเป็นคนแรก รู้เพียงแต่ทุกคนที่เห็นบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าผีตนนี้เกาะอยู่บนหลังท่านประมุขน้อย และในเพียงคืนเดียว ข่าวเรื่องผีบนหลังท่านประมุขก็กระจายไปทั่วสำนักเสียแล้ว

เยี่ยซือผู้กล้าตายกลืนน้ำลาย เขาย่อมกลัวผีและท่านประมุข แต่ถ้าหากกลับไปมือเปล่า… อ่า ไม่ต้องถึงมือผีและท่านประมุขดอก เขาจะได้ตายคาตีนศิษย์พี่รองเอาเสียก่อนอย่างแน่นอน

"ท่านประมุข ข้าขอร้องเถิดขอรับ ข้ารู้ว่าท่านไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่เป็นอันทำอะไรกันแล้วโดยแท้จริง อย่างไรก็ไปให้พวกเขาเห็นเถิด"

เว่ยฮุ่ยเหอถอนใจ เขาฟังประโยคแบบนี้ซ้ำมาตั้งแต่ศิษย์ตัวน้อยนี่เดินเข้ามาในห้อง ฟังจนขี้หูจะลุกขึ้นมาพูดตามได้แล้ว

ไอ้เด็กพวกนี้มันชักจะเหลวไหลไปแล้วกระมัง ผีเผอบ้าบออะไร น่ารำคาญ!

เว่ยฮุ่ยเหอสูดหายใจสงบสติอารมณ์ เดินออกไปยืนจ้องผู้มาเยือนที่หน้าโต๊ะ ขยับไหล่ไล่ความปวดเมื่อยที่คอพลางพูด "ตกลงจะให้ข้าไปให้ได้ใช่หรือไม่"

ศิษย์พี่สามแห่งสำนักเหยี่ยวขาวรับคำเสียงแผ่ว ก้มหน้างุด คิดในใจว่าไม่พ้นโดนด่าแทนพี่น้องอีกชุดเป็นแน่ แต่ประโยคถัดมาของท่านประมุขกลับทำเขาเงยหน้าขึ้นจ้องเว่ยฮุ่ยเหอ แววตาฉายความลำบากใจ

"ข้าจะไปก็ได้ หากเจ้าชี้ให้ข้าได้ว่าผีตนนั้นอยู่ที่ใด"

"นะ…นี่ ท่านประมุข ขะ…ข้าเกรงว่า"

"เห็นหรือไม่ ชี้ไม่ได้ใช่หรือไม่เล่า ข้าบอกแล้วว่าเป็นพวกเจ้าคิดเองทั้งนั้น เฮ้อ… สำนักเหยี่ยวขาวต้องมาวุ่นวายเพราะสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงนี่หรือ รู้ถึ- เจ้าสาม เหตุใดจึงหน้าซีดถึงเพียงนั้น ไม่สบายหรือ"

หากมองเผิน ๆ ตอนนี้จะเห็นเยี่ยซือยืนจ้องหน้าท่านประมุขน้อยแซ่เว่ยด้วยสีหน้าซีดเซียว ดวงตาเบิกกว้าง แต่ถ้าหากลองมองดี ๆ จะเห็นว่าศิษย์คนที่สามผู้นี้ไม่ได้จ้องหน้า แต่กำลังจ้องหลังท่านประมุขน้อยอยู่ต่างหาก

และแน่นอน เจ้าสามผู้นี้ไม่ได้ไม่สบาย คราแรกเจ้าสามแค่กังวลว่าจะอธิบายว่ามีคนเห็นผีบนหลังท่านประมุขให้ท่านประมุขฟังอย่างไร แต่คราถัดมาเยี่ยซือก็เริ่มเห็นเงาราง ๆ บนคอท่านประมุข หลังจากเพ่งมองได้สักครู่ก็พบว่า ตนเจอสิ่งที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจอเอาเสียแล้ว

"ไม่สบายแล้วยังจะออกมาตากลม ศิษย์พี่เจ้าเหลวไหลไร้สาระเกินไปแล้ว เป็นเจ้ารองอีกแล้วใช่หรือไม่ ไม่ต้องไปเกรงกลัวอะไรมันมากนักหรอก มานี่ ข้าจะพาไปพัก" คราแรกเว่ยฮุ่ยเหอตั้งใจจะเอื้อมมือไปประคองคนเบื้องหน้า แต่เขากลับถูกถอยห่าง จึงขยับแขนมาเท้าเอวแล้วขมวดคิ้วถามเสียงขุ่น

"เป็นอันใด"

"บนคะ…คอ"

"หา?"

"ผีอยู่บนคอทะ…ท่าน"

ทันใดนั้นบานหน้าต่างในห้องที่ปิดสนิทก็ถูกลมไร้ที่มาพัดเปิดดังปัง ลมหนาวพัดเข้าทั้ง ๆ ที่อยู่ในปลายวสันตฤดู กระดาษบนโต๊ะร่วงลงพื้น ม้วนภาพวาดริมโต๊ะปลิวลงเปิดเบื้องหน้าเขา เป็นรูปหญิงสาวชุดแดงเข้ม ผมยาวปรกหน้า

 

 

ด้วยเหตุประการนี้เอง ประมุขน้อยแซ่เว่ยชื่อเสียงสะท้านยุทธภพจึงต้องลอดรูกำแพงสำนัก ลอบออกไปพบเจ้าของกระดาษ 'รับปราบผี' แผ่นนั้น

เว่ยฮุ่ยเหอสวมชุดสีเหลืองอ่อนไร้ลาย ปักปิ่นรวบผมครึ่งศีรษะ ในมือถือพัดสีขาวและหมวกผ้าโปร่ง เมื่อพ้นเขตสำนักจึงสวมหมวกผ้าโปร่งให้ตัวเอง เดินช้า ๆ ไปรวมกับฝูงคนบนถนนตลาดตะวันตก มุ่งสู่เหนือสุดของเมือง

ระหว่างเดินไปยังที่หมาย เว่ยฮุ่ยเหอก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องผลาญวันหยุดตัวเองมาตากแดดที่นี่ 

หากถามเขาว่าภาพม้วนนั้นทำให้เขากลัวหรือไม่ ตอบว่าไม่คงเป็นการโกหก แต่ถ้าหากถามว่ามันทำให้เขาเชื่อหรือไม่ นั่นไม่มีทาง ตั้งแต่เกิดมา เว่ยฮุ่ยเหอไม่เคยเจอสิ่งที่เรียกว่าผีกับตัวสักครั้ง ถ้ามันมีจริง เหตุใดจึงพึ่งมาปรากฏเอาตอนนี้เล่า

ที่เขายอมมาก็เพราะเห็นแก่สีหน้าและน้ำเสียงอันน่าสงสารของเจ้าสามต่างหาก

ใช่ แค่เพราะเจ้าสามเท่านั้น เขาไม่มีทางเชื่อเรื่องพรรค์นี้! ก็แค่เรื่องหลอกเด็กเท่านั้น!

คิดเสร็จก็พยักหน้าหงึก ๆ กับตัวเอง ซ่อนมือสั่นเทาของตนไว้ข้างหลัง

 

/

 

[1] สามคนกลายเป็นเสือ หมายความว่าข่าวลือที่มีคนพูดถึงมากๆ ย่อมมีคนเชื่อถือ