แคว้นหลัน แคว้นจ้าว และแคว้นหมิง คือแคว้นเพียงสามแคว้นของมนุษย์บนทวีปแห่งนี้ 

ถึงแม้จะถูกแบ่งเป็นสามแคว้น แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากแคว้นเดียวกัน ผู้คนไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระ เหล่าหวงตี้ต่างสนิทสนมเป็นพี่เป็นน้อง รักกันราวกับจะตายแทนกันได้ ร่วมปกครองร่วมแก้ปัญหา อาจกล่าวได้ว่า สามแคว้นสงบสุข ไร้การสงคราม ศิลปะรุ่งเรือง ชาวเมืองเป็นสุข ร่ำรวยทั่วหน้า...

อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเปลือกนอกที่มองเข้ามา

ในทวีปนี้ นอกจากสามแคว้นของมนุษย์แล้วก็ยังมี'ป่าทมิฬ' ที่พักผ่อนของเหล่าอมนุษย์… เหล่ามารและปีศาจอยู่อีก

ป่าทมิฬนี้ต่างกระจัดไม่รวมกัน กระจายตามไปทั่วพื้นที่สามแคว้น ที่ใดมีพลังธรรมชาติเข้มข้นก็มักมีป่าทมิฬขึ้นเกือบทุกที่ นับดูแล้วถือว่าสามแคว้นมนุษย์โดนโอบล้อมอย่างแท้จริง โชคดีที่ทั้งมาร มนุษย์ และปีศาจต่างอยู่ร่วมกันได้ บางครายังแลกเปลี่ยนค้าขายกัน

ปีศาจคือจิตวิญญาณจากธรรมชาติ เกิดได้จากสัตว์ พืช หรือพลังบริสุทธิ์ สามารถบำเพ็ญตบะสร้างร่างเนื้อ สะสมบุญสำเร็จเป็นเซียนขึ้นสวรรค์ ส่วนมารเกิดจากกิเลสแห่งธรรมชาติ เมื่อมนุษย์หรือปีศาจบำเพ็ญตบะสละกิเลส กิเลสนี้ไร้ที่ไป จึงได้รวมตัวกันสร้างร่างเนื้อเปลี่ยนเป็นมาร มีอายุยืนยาวหากแต่ไม่อาจสำเร็จเป็นเซียนได้

ปีศาจและมารยังคงมีสองประเภท ประเภทแรกคือเกิดจากธรรมชาติและกิเลสดั่งที่กล่าวข้างต้น ส่วนประเภทหลังคือปีศาจและมารแต่กำเนิด ตามชื่อ แต่กำเนิดคือสืบพันธุ์จากปีศาจและมาร มีร่างเนื้อโดยไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญตบะหรือรวบรวมพลังงานใด แต่สำหรับปีศาจ ยังคงสามารถบำเพ็ญกุศลเพื่อสำเร็จเป็นเซียน

 

เมืองหนิงแดนใต้เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้สุดของแคว้นหลัน เมืองเล็ก ๆ เมืองนี้มีอากาศอบอุ่นเกือบทั้งปี ฤดูหนาวไม่หนาวจนเกินไป ฤดูร้อนไม่ร้อนจนเกินไป ถือเป็นเมืองที่น่าอยู่โดยแท้จริง และนอกจากสภาพอากาศที่ดีแล้ว ชาวเมืองยังคบหากันอย่างจริงใจยิ่ง นั่นเพราะเมืองหนิงแห่งนี้เล็กจนไปมาหาสู่กันได้ทั้งเมือง เดินเท้าจากใต้สุดไปยังเหนือสุดยังใช้เวลาไม่ถึงชั่วยาม บ้านไหนแต่งงาน บ้านไหนคลอดลูก ไม่มีใครไม่รู้

ทางเหนือสุดของเมืองหนิงแดนใต้จะมีตรอกเล็ก ๆ อยู่ตรอกหนึ่ง หากมีคนเดินเข้าไปยังจุดลึกสุดของตรอกในตอนนี้ คนคนนั้นจะเห็นบุรุษชุดขาวสีหน้าเบื่อหน่ายผู้หนึ่งกำลังยืนกวาดถนนหน้าบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง และหากคนผู้นั้นสังเกตให้ดี เขาจะเห็นว่าบนประตูที่เปิดอ้าของบ้านหลังเล็ก ๆ นั้นจะมีป้ายสีเข้มเล็ก ๆ ป้ายหนึ่งที่ปรากฏคำว่า 'รับปราบผี' ติดอยู่

ที่นี่คือที่รับปราบผีแห่งนั้น

เหอลู่คง คือนามของผู้ที่กำลังยืนกวาดถนนหน้าบ้าน ถนนที่ไม่มีแม้แต่เศษใบไม้

เขาว่างจนต้องมายืนกวาดอากาศอยู่หน้าบ้านตัวเอง

"น่าเบื่อจริง"

บ่นออกมาหนึ่งคำแล้วยืนเหม่อลอยขยับไม้กวาดไปมา เขาเบื่อจนแทบจะร้องไห้ ทำทุกอย่างจนไม่มีอะไรให้ทำแล้ว

เหอลู่คงกวาดจนเมื่อยแขน เขาถอนหายใจหนึ่งที เริ่มทิ้งตัวเอาแขนพาดไม้กวาด ในหัววนคิดตั้งแต่ตอนเย็นจะกินอะไรไปจนถึงพรุ่งนี้จะไปกวาดส่วนใด จากนั้นเริ่มตัดพ้อสวรรค์ว่าเหตุใดวัน ๆ หนี่งของเขาถึงธรรมดาได้ขนาดนี้ ไม่เห็นมีเรื่องน่าตื่นเต้นใด ๆ เลย! ตัดพ้อไปตัดพ้อมาจนเริ่มเบื่อ เหอลู่คงจึงยืนเหม่ออีกรอบ แต่ครานี้เขาไม่ได้กลับไปคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง เหตุเพราะมีสิ่งที่ดึงเขากลับมาจากภวังค์ตน

ครืน…

"เอ๋…"

เขาเงยหน้าขึ้นสังเกตถึงบรรยากาศรอบตัว แดดแรง ๆ ที่เคยออกเมื่อไม่นานนี้ถูกเมฆฝนกลบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ ขมวดคิ้วพึมพำออกมาหนึ่งคำว่าแปลก ก่อนสะดุ้งอย่างแรงเพราะนึกได้ว่าเขาพึ่งตากผ้าไว้หลังบ้าน จึงโยนไม้กวาดทิ้งแล้วสับขาวิ่งแข่งกับฟ้าเข้าไปเก็บอย่างรวดเร็ว

ทว่าคนวิ่งเร็วแค่ไหนก็ไม่ทันฟ้าฝน กว่าเหอลู่คงจะไปถึง เสื้อผ้าที่ยังไม่แห้งดีบนราวตากก็เปียกจนชุ่มแล้ว

นี่เพราะเขาตัดพ้อสวรรค์หรือไม่!

"บิดามัน"

เขาหลุดสบถคำหยาบ พยายามคิดวิธีแก้ มองซ้ายมองขวาหาตัวช่วย จากนั้นตาก็ไปสะดุดกับตนหนึ่ง

สบายแล้ว!

เหอลู่คงตาเป็นประกายขึ้นมา ยิ้มหวาน หันทั้งตัวไปหาตนนั้น ร้องเรียก "ท่านน้าขอรับ หลานต้องขอรบกวนท่านน้าแล้ว"

ท่านน้าร่างนั้นนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวมชุดจอมยุทธ์สีน้ำเงินเข้ม รวบผมครึ่งศีรษะ จ้องเขม็งมาทางเหอลู่คง ก่อนจะลุกลี้ลุกลนกลอกตาไปมาหลังได้ยินเสียงเรียก ราวกับต้องการหาคนที่ถูกเรียก

ผู้เรียกสาวเท้าตากฝนเข้าไปใกล้ต้นไม้ ยิ้มหวานเป็นคำรบสอง

"ท่านน้านั่นแหละขอรับ ที่นั่งอยู่บนต้นไม้… ใช่ขอรับ ท่านน้าพึ่งมาใหม่หรือขอรับ"

ท่านอดีตจอมยุทธ์ชุดน้ำเงินหน้าเปลี่ยนสี ดูตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง

"ไม่ต้องตกใจขอรับ อืม… ท่านรู้จักข้าหรือไม่?" เหอลู่คงถามขึ้นอีกครั้งพร้อมสีหน้าคาดหวัง ครั้นเห็นตนนั้นส่ายหน้าตอบสายตาก็ประกายขึ้นราวกับจะเปล่งแสงได้ พึมพำว่าโชคดีจริง ๆ โชคดีจริง ๆ

ฝ่ายตนที่นั่งอยู่บนต้นไม้ตกใจจนหายตกใจแล้ว เขาเริ่มเรียงความคิด คนตรงหน้าคงเป็นประเภทเห็นผีได้กระมัง คงจะมีเหตุจำเป็นอะไรให้เขาช่วย เกิดเหตุฆ่าคนตาย? มีขโมย? อ่า เห็นทีคงเป็นเช่นนั้น

เมื่อคิดได้อดีตท่านจอมยุทธ์ก็เริ่มตื่นเต้น นำตัวลงจากต้นไม้ ยืนมองหน้าเหอลู่คง

เมื่อเห็นอีกฝ่ายกระโดดลงมาและแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นสงสัย เหอลู่คงก็กระแอมล้างคอทีหนึ่ง ก่อนกล่าวถามชื่อท่านน้าตรงหน้า

"จิ้นอิ๋ง… ไม่มีแซ่ ตามจริงเจ้าเรียกข้าว่าพี่ก็ได้" เขาตอบ เอียงคอเล็กน้อยก่อนถามกลับ "ตกลงเจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่"

เหอลู่คงร้องอ๋ายาว ๆ ขึ้นมาหนึ่งที "เป็นพี่จิ้นอิ๋งนี่เอง แหม จริง ๆ ก็มีอยู่หรอกขอรับ ไม่รู้ว่าจะรบกวนท่านหรือไม่"

จิ้นอิ๋งเริ่มฮึกเหิม ตัวเขาห่างจากเรื่องน่าตื่นเต้นมานานแล้วตั้งแต่ยังเป็นคน บัดนี้พอมีเรื่องจึงเลือดลมสูบฉีด 

"ไม่รบกวน ๆ พูดมาเลย"

"คราแรกก็คิดจะให้ท่านเป่าเมฆฝนให้ แต่ดูแล้วคง… ไม่มีความสา- ยังทำไม่ได้ถึงขั้นนั้น เช่นนั้นช่วยข้าเก็บผ้าแล้วเป่าให้แห้งทีขอรับ" พูดเสร็จก็ส่งยิ้มพราวเสน่ห์ พยักพเยิดไปทางราวผ้าที่เปียกชุ่ม

"…"

"เร็วขอรับ ข้าไม่อยากยืนตากฝนทั้งวันนะ"

จิ้นอิ๋งไม่อยากเชื่อหูตัวเอง "อะไรนะ" 

"จะอะไรล่ะขอรับ ไปเก็บผ้า!"

 

 

 

ด้วยเหตุนี้ท่านอดีตจอมยุทธ์ผู้หวังทำเรื่องตื่นเต้นจึงต้องมานั่งเป่าผ้าอยู่ในโถงบ้านคนที่เชิญตนเข้ามา

ถึงจะบอกว่าขอให้ช่วย แต่ก็เป็นจิ้นอิ๋งเก็บ จิ้นอิ๋งเป่า จิ้นอิ๋งทำคนเดียวทั้งหมด!

แท้จริงแล้วมันเรียกว่าขอไม่ได้ด้วยซ้ำ

จิ้นอิ๋งนั่งข้างเหอลู่คงที่เปลี่ยนชุดใหม่แทนชุดที่เปียกแล้ว ใช้พลังตนเป่าผ้าอย่างหดหู่ หากผีมีน้ำตา มันคงไหลออกมาแล้ว

พลังเสกลมที่เขาได้มาเพื่อใช้หลอกคน สรุปแล้วต้องเอามาเป่าผ้าให้เด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า นี่ยุติธรรมแล้วหรือ!

สวรรค์…

"เฮ้อ…"

"แหมๆ ถอนหายใจอะไรกันขอรับ"

ยังมีหน้ามาถามอีก!

เมื่อเหอลู่คงเห็นอีกฝ่ายทำตาค้อนก็บันเทิงอารมณ์จนหัวเราะ ผีจอมยุทธ์ท่านนี้แม้ไม่ชอบใจก็ยังตามมาทำให้โดยไม่โวยวายสักคำ หากเป็นท่านอื่นคงหายตัวหนีไปตั้งแต่ให้ช่วยเก็บผ้าแล้ว

เหอลู่คงอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก ดูท่าแล้วคงใช้งานได้อีกนาน!

"ข้าก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักคุณคน… เอ๊ะ ผีสิ ไม่ใช่คนไม่รู้คุณผีนะขอรับ เดี๋ยวตอนเย็นจะทำกับข้าวให้พี่จิ้นอิ๋งกินแล้วกัน"

จิ้นอิ๋งตาโต นิ่งคิดไปพักหนึ่งก่อนตอบ "อ่า เช่นนั้นก็ได้อยู่หรอก"

ได้กินข้าวก็ยังดี! กินข้าวแล้วค่อยพังของแก้แค้น แก้แค้นเสร็จแล้วก็หนี! อ่า ช่างฉลาดเสียจริง ฉลาดเสียจริง คิดแล้วก็เผลอหัวเราะหึ ๆ ออกมาสองที ก่อนรีบเก็บสีหน้าเมื่อรู้ตัวว่าเหยื่อในแผนยังนั่งอยู่ข้าง ๆ กระแอมไอหนึ่งทีก่อนทำหน้าที่ที่ถูกยัดเยียดนี้ต่อไป

แต่นั่งเป่าไปนาน ๆ ก็เบื่อแล้ว จึงเริ่มลอบพินิจเจ้าของผ้า พินิจตาจมูกปากขึ้นไปยันเส้นผม ก่อนพูดชมในใจรอบหนึ่ง

สังเกตดี ๆ แล้วเด็กนี่ก็หน้าตาดีไม่หยอก ใบหน้าเกลี้ยงเกลา รูปลักษณ์ราวหยกแกะสลัก กิริยาดี น้ำเสียงไพเราะนุ่มนวล ผ้าที่ใส่ก็เนื้อดี ด้วยประสบการณ์ของเขา แม้จะไม่ได้สัมผัสก็ทราบได้ เสื้อผ้าเหล่านี้ถึงจะเป็นชุดในบ้านทว่าเนื้อผ้ากลับเทียบได้กับชุดออกบ้านของเศรษฐีหลาย ๆ เรือน ดูแล้วก็ไม่คล้ายผู้ที่ถูกเลี้ยงมาตามมีตามเกิดเท่าใดนัก เหตุใดจึงอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ นี้ และ ยังอยู่คนเดียว

แต่จิ้นอิ๋งก็ไม่ใช่ผู้ที่อยากรู้เรื่องคนอื่นโดยไม่จำเป็นมากนัก ยิ่งเป็นกับคนที่ไม่น่าเสาวนาด้วยคนนี้ จึงเลือกที่จะสอดสายตาสำรวจของในโถง คิดอะไรไปเรื่อย กระทั่งเขาคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนเป่าผ้าเสร็จ คนตรงหน้าก็ส่งเสียงขึ้นอีกครั้ง

"ข้ายังไม่ได้บอกชื่อเลย ข้าเหอลู่คงขอรับ ลู่ หยก คง สายลม… พี่จิ้นอิ๋งเรียกอาลู่ก็ได้" 

"อ่า…"

ฝ่ายที่โดนบอกเลิกคิ้ว ส่งเสียงรับมาหนึ่งคำ แสดงท่าทางสงสัยอย่างชัดเจนว่าตนต้องรู้หรือ

เหอลู่คงไม่คิดสนใจท่าทางนั้นของจิ้นอิ๋ง ก้มมองกองผ้าทีหนึ่ง ก่อนพูดเรื่องใหม่พลางลุกขึ้น "เอาละ เป่าผ้าเสร็จแล้ว ฝนก็หยุดตกแล้วด้วย นั่งอยู่เฉย ๆ ก็เบื่อแย่… ไปกันเถิดขอรับ ข้าจะพาท่านไปดูว่าห้องไหนเข้าได้ ห้องไหนเข้าไม่ได้" 

จิ้นอิ๋งงุนงงขึ้นมาทันที จะต้องไปดูทำอันใด

แต่คนแซ่เหอก็ไม่รอให้ท่านอดีตจอมยุทธ์คิดตาม กลับลุกขึ้นเดินนำลิ่วไปแล้ว ทั้งยังไปอย่างไม่สนใจว่าผู้อื่นอยากไปหรือไม่ด้วย เขาจึงจำต้องลุกขึ้นวิ่งตามให้ทันอย่างช่วยไม่ได้

ระหว่างวิ่งตามก็มีสังหรณ์หนึ่งแว๊บขึ้นมา คำพูดนั้นของเหอลู่คงฟังแล้วดูคลับคล้ายว่า จะให้อยู่ถาวร?

จิ้นอิ๋งตามมาจนทันแล้ว ผ่อนฝีเท้าเดินอยู่ข้างเหอลู่คง ทว่ายังไม่ทันถามความสงสัย เด็กชุดขาวข้าง ๆ ก็หันมายิ้มน้อย ๆ พูดเปรยประโยคหนึ่งขึ้นก่อน "แต่พี่จิ้นอิ๋งนี่ใจดีจังเลยนะขอรับ ท่านอื่น ๆ เจอข้าแล้วก็ชอบหนีไปเลย ไม่อยู่คุยด้วยเลยสักท่านเลยแหนะ ใจร้ายมากเลยน้า" 

จิ้นอิ๋งชะงักกึก พอได้ฟังประโยคนั้นก็หัวแล่นปรี๊ด ตาเบิกกว้างขึ้น

หรือแท้จริงแล้วที่ไม่มีพวกพ้องผีตนใดอยู่ที่นี่เลยก็เพราะไอ้เด็กนี่!

ทางคนพูดเห็นจิ้นอิ๋งชะงักไปก็หยุดรอ พอสังเกตว่าจิ้นอิ๋งหน้าเปลี่ยนสีขึ้นมาอีกครั้งก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีอย่างยิ่ง เริ่มหัวเราะน้อย ๆ อย่างน่าโมโห

งานอดิเรกของเหอลู่คงแท้จริงคือสิ่งนี้ สิ่งที่เขาเรียกว่า การหยอกล้อท่านน้าทั้งหลาย

เขามีความสามารถในการเห็นและสื่อสารกับสิ่งที่เรียกว่าผีมาตั้งแต่เด็ก พี่สาวของเขากล่าวว่านั่นเป็นเพราะอุบัติเหตุยามเด็กที่ทำเขาเกือบต้องทิ้งชีวิต ทำให้ได้มายืนอยู่ระหว่างโลกคนเป็นคนตาย ติดต่อสื่อสารกับอีกฝั่งได้

เหอลู่คงไม่ได้มีงานประจำ คราไหนที่เขาอยู่บ้านคนเดียวเบื่อ ๆ ก็มักจะสรรหาวิธีสร้างความบันเทิงให้ตัวเอง น่าเสียดายที่ช่วงแรกที่ย้ายมาเขาแกล้งหนักไปหน่อย พักหลังมานี้จึงไม่มีผู้ใดหลุดมาให้แกล้งแล้ว ครานี้เจอจิ้นอิ๋งจึงราวกับเจอเนื้อชิ้นโต ตามจริงแล้วเขาจะเก็บผ้ารอแดดออกแล้วไปตากเองก็ได้ แต่เหตุใดต้องทำเล่า เขวี้ยงหินก้อนเดียวได้นกสองตัวชัด ๆ !

จะเห็นว่าแท้จริงแล้วเหอลู่คงก็นิสัยเสียไม่หยอก

จิ้นอิ๋งเห็นเด็กหนุ่มตรงหน้าหัวเราะก็โมโหจนแทบคลั่ง เขายังไม่ได้หลอกคนเลยสักคน นี่ยังต้องมาโดนคนหลอก! ไอ้เด็กนี่มันเป็นคนประเภทไหนกัน! สวรรค์! สวรรค์! สวรรค์! 

"แหม ๆ อย่าโกรธไปเลย แม้จะไม่มีสุขภาพกายให้เสียแล้ว แต่ก็ยังมีสุขภาพอารมณ์นะ โมโหไปก็ไม่ได้อันใดหรอก" เหอลู่คงขยับเข้ามาใกล้ คำพูดสีหน้าท่าทางราวกับเป็นห่วงเป็นใยสหายสักคน หากว่าตบไหล่ได้ก็คงตบสักทีสองทีไปแล้ว

แม้แต่คำว่าขอรับก็ยังไม่พูดแล้ว! พูดคุยกันยังไม่ถึงชั่วยามก็เผยนิสัยโดยแท้จริงออกมาเสียแล้ว! 

หากว่าจิ้นอิ๋งยังมีเลือดอยู่มันคงขึ้นมากองที่หน้าหมดทั้งตัว เขาจวนเจียนจะเสกลมมาตีแสกหน้าระรื่น ๆ นี่อยู่แล้ว หากว่าคนข้าง ๆ ไม่พูดขึ้นมาก่อน "ตอนเย็นเดี๋ยวทำกับข้าวให้กิน"

จิ้นอิ๋งฝืนสงบสติอารมณ์ คิดปลอบใจ ได้! ได้! ข้าจะรอกินข้าว หลังกินข้าวแล้วจะป่วนบ้านเจ้าให้พัง!

ไม่รู้ว่าเผลอแสดงความอาฆาตออกมาทางสีหน้าเท่าใด เหอลู่คงจึงหัวเราะเสียงดัง เอ่ยว่าจะชดใช้ให้อย่างดีสองครั้ง ก่อนแสดงท่าทางว่าให้เดินต่อแล้วเริ่มเดินไปโดยไม่ถามความยินยอมอีกครา จิ้นอิ๋งจึงต้องลากเท้าเดินตาม 

ระหว่างเดินเหอลู่คงก็กล่าวแนะนำบ้านตัวเองไปด้วย บ้านของเด็กแซ่เหอไม่ได้ใหญ่โตมากนัก เรือนแยกเป็นสามปีก ปีกซ้ายเป็นห้องนอนส่วนตัวและห้องนอนสำหรับรับแขก ปีกขวาเป็นครัวและที่เก็บของ ตรงกลางเป็นลานหิน ด้านหลังเป็นสวนเล็ก ๆ ที่มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งและต้นท้ออยู่ต้นหนึ่ง โดยปกติแล้วใช้เป็นพื้นที่ตากผ้าหรือนั่งเล่น เหอลู่คงเริ่มพาจิ้นอิ๋งเดินจากโถงใหญ่ปีกกลางที่นั่งเมื่อครู่ไปปีกขวา อธิบายว่าทั้งห้องเก็บของและครัวสามารถเข้าได้หมด จากนั้นเดินไปปีกซ้าย เปิดห้องให้ดูก่อนชักชวนเขาเข้าไปข้างใน หรือตามจริงคงต้องใช้คำว่า กระเหี้ยนกระหือรือ กระมัง

จิ้นอิ๋งกลอกตาทีหนึ่ง เตรียมเข้าไปตามคำชวน ทว่าจังหวะที่เขากำลังจะก้าวเท้าตามก็สะดุดกับแสงสีขาวที่ปลายหางตา เมื่อมองตามก็พบว่าแสงนั้นแลบออกมาจากห้องที่ติดกัน

จิ้นอิ๋งขมวดคิ้ว ชี้นิ้วถาม "นี่ห้องใครหรือ เมื่อครู่คล้ายมี…"

ปราณเซียน?

"นั่นห้องพี่สาวข้าน่ะ นี่แหละที่ข้าจะบอก ท่านอย่าแม้แต่คิดจะเข้าไปเชียว นางค่อนข้างหวงพื้นที่น่ะ ข้ายังโดนไล่ตะเพิดออกมาตั้งหลายครั้ง" เหอลู่คงหัวเราะฮ่า ๆ ออกมา จิ้นอิ๋งเกือบออกปากแซะว่าคนตรงหน้าอารมณ์ดีเกินเหตุหากไม่พบสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาในประโยคนั้นไปเสียก่อน

"เจ้ามีพี่สาวหรือ?"

"อือ ใช่ ๆ เดี๋ยวนางก็กลับมา นางไปทำงานน่ะ… ตามจริงแล้วที่ข้าย้ายมาที่นี่ก็เพราะพี่สาวนะ ข้าน่ะตามนางมา…"

ราวกับถูกยึดเสียง จู่ ๆ เหอลู่คงก็พลันหยุดพูด เขาเหม่อลอยมองตรงไปยังห้องพี่สาวคล้ายตกอยู่ในความคิด

จิ้นอิ๋งเลิกคิ้ว แท้จริงแล้วเด็กนี่มีนิสัยประหลาดอีกอย่างคือเหม่อลอยได้ทุกเวลาหรือ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่คิดจะต่อบทสนทนาใด ๆ แล้วจิ้นอิ๋งก็ไม่คิดส่งเสียงกวน เขาปล่อยให้เหอลู่คงอยู่กับตัวเอง ทิ้งความเงียบเข้าโอบกอดพวกเขา

ใช่แล้ว ตามจริงเหอลู่คงพึ่งย้ายตามพี่สาวมาอาศัยอยู่ที่เมืองหนิงแห่งนี้เมื่อเดือนก่อน

พี่สาวของเขาเป็นผู้คุ้มกันพเนจร มักรับงานคุ้มกันสำนักหรือคลังเก็บสินค้า ปีหนึ่งย้ายบ้านไม่ต่ำกว่าสี่ครั้ง เขาเองก็ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องย้ายมากนัก ทั้งหมดล้วนตามใจพี่สาวว่านางพอใจจะรับงานที่ใด ย้ายไปที่ใด เช่าบ้านหลังใด

ครั้งยังเด็ก เหอลู่คงเองก็เคยงอแงอาละวาดที่จะต้องบอกลาสหาย เขาเคยร้องไห้จนพี่สาวใจอ่อนยอมไม่ย้ายบ้านถึงสองครา ทว่าพอเริ่มโตก็เริ่มคิดได้ ทั้งยังเริ่มคุ้นชิน จากนั้นก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากให้พี่สาวอีก และเขาเองก็ไม่คิดจะผูกมิตรกับใครอย่างจริงจังเหมือนอย่างเคยแล้ว เมื่อจากกันจะได้ไม่รู้สึกแย่นัก

พี่สาวของเขา… จิ่งเฟยฮวาคนนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่พี่สาวตามสายเลือด จิ่งเฟยฮวาเล่าว่าเขาเคยอยู่กับบิดามารดาก่อนมาเจอนาง นางเล่าว่าอุบัติเหตุที่ทำให้เขาเกือบตายครั้งนั้นคร่าชีวิตบิดามารดาของเขาไปด้วย จากนั้นจิ่งเฟยฮวาที่อาศัยอยู่ข้างบ้านก็รับเขามาเลี้ยง ทว่าเหอลู่คงก็จำเหตุการณ์ไม่ได้นัก พี่สาวกล่าวว่าอาจเป็นเพราะเขาไม่อยากจำ สมองจึงได้ลบออกไป

จิ่งเฟยฮวาอายุห่างจากเขาเจ็ดหนาว เท่าที่นางเล่ามา… นางเริ่มรับงานคุ้มกันในยุทธภพตั้งแต่เก้าหนาว สิบหนาวสามารถเก็บเงินซื้อบ้านข้างบ้านบิดามารดาเขา สิบสองหนาวรับเหอลู่คงวัยห้าหนาวมารับเลี้ยงได้ สิบสี่หนาวประสบความสำเร็จ กลายเป็นเป็นจอมยุทธ์ไร้สังกัดคนแรกที่สามารถชิงอันดับหนึ่งของงานประลองเซียน

ตอนเด็ก เขารู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้เป็นแบบนาง... ทุกคนพูดว่าอยากให้เขาเป็นแบบนาง เป็นผู้คุ้มกันพเนจรที่มีชื่อติดในทำเนียบยุทธภพ มีสำนักน้อยใหญ่มาแย่งตัวกันให้วุ่น มีคำเชิญเข้าสำนักส่งมาไม่เว้นแต่ละวัน

ยามถึงอายุสิบหนาว เหอลู่คงเคยคิดมากจนหลอกตัวเองว่าเขาอยากเป็นอย่างนาง และเขาต้องการให้ทุกคนรู้ เขาออกไปเล่าและอวดพี่สาวตัวเองอย่างภูมิใจ กล่าวว่าตนจะโตขึ้นไปเป็นอย่างนาง และยามนั้นก็มีเด็กผู้หนึ่ง… อดีตสหายของเขากล่าวกับเขาว่าเหอลู่คงเป็นแค่ภาระ เขาไม่มีทางเป็นอย่างพี่สาวได้ เขาทำได้แค่ใช้เงินของจิ่งเฟยฮวา นอนรอกินข้าวที่จิ่งเฟยฮวาหามาให้ เป็นบุรุษกลับคิดแต่จะเกาะสตรีกิน อายุสิบหนาวแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้สักอย่าง

ครานั้นเขาเสียใจมาก และก็รู้สึกผิดมากเช่นกัน รู้สึกผิดที่ไม่เคยช่วยอันใดนางเลย… ยิ่งหลังกลับจากงานประลองเซียนในครั้งหนึ่ง เห็นนางหาเงินเพื่อเขา เขายิ่งรู้สึกผิด ครั้งนั้นจึงคิดหนีจากพี่สาวเพื่อไม่ให้นางลำบากอีก เขาหนีเข้าไปในป่า วิ่งร้องไห้เข้าไป คิดแต่ว่าจะหนีให้ไกลที่สุด แต่หนีไปไม่ได้เท่าไหร่ก็หิวและหมดแรง เขาจำได้ว่านั่งร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง นานเท่าใดไม่อาจทราบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตน เป็นจิ่งเฟยฮวาวิ่งตามมา นางวิ่งมากอดเขา ถามซ้ำๆ ว่าหิวหรือไม่ เจ็บหรือไม่ หนาวหรือไม่

ยามนั้นราวกับพายุหิมะในใจถูกพัดออกไป เขาร้องไห้กอดนางกลับ สูดน้ำมูกเล่าเรื่องทุกอย่างให้นางฟัง

เขาจำได้ว่าหลังจากที่เขาเล่านางก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง พูดว่าขอโทษที่ไม่เคยรู้ถึงความลำบากของเขา จากนั้นย่อตัวลงมายกมือลูบหัวเล็ก ๆ ของเขา อุ้มเขาขึ้นหลัง ก่อนกล่าวคำพูดหนึ่งออกมา… คำพูดที่สลักลงไปในหัวใจเขา

นางกล่าวว่า "สตรีแล้วอย่างไร บุรุษแล้วอย่างไร ก็คนเหมือนกันไม่ใช่หรือไร ใครกำหนดไว้ว่าบุรุษต้องทำอะไร สตรีต้องทำอะไรเล่า ทีหลังเจอคนคิดแบบนี้ไม่ต้องเข้าไปยุ่งด้วยเชียว…"

"อาลู่เอ๋ย คนบนโลกนี้ย่อมมีหน้าที่ต่างกัน พี่เก่งเรื่องนี้แล้วเจ้าไม่เห็นต้องเก่งเหมือนพี่เลย จะเช่นแบบพี่ทำไม เป็นแบบอาลู่ก็ดีอยู่แล้ว เป็นอย่างเดียวกันไปเสียหมดมันจะสนุกอันใด แล้วอายุเกี่ยวอันใด… อย่าไปยึดติดกับอายุมากนักเลยอาลู่ ค่อยๆ ฝึกไปก็ได้นี่ แล้วก็นะ…พี่มีเงินตั้งเยอะแยะ จะให้เก็บไว้โปรยแม่น้ำที่ไหนหรือ เกาะกินอะไร อาลู่ไม่ต้องเกาะด้วยซ้ำ พี่จะอุ้มขึ้นมาเองเลยต่างหาก ฮ่า… ต่อไปถ้ามีคนมาพูดอะไรสถุลแบบนี้อีกก็ด่าบิดามันกลับไปเลย ไม่ร้องไห้อย่าหยุดด่า เข้าใจหรือไม่"

หลังพูดจบนางก็หัวเราะออกมาขนานใหญ่ แบกเขาเดินกลับบ้าน แวะซื้อขนมทุกร้านที่เดินผ่านให้เขาจนเหอลู่คงต้องบอกให้หยุด

จากนั้นมา เขาก็ไม่อยากเป็นแบบนางอีก… ทุกครั้งที่มีคนบอกให้โตขึ้นเป็นแบบนาง คำพูดของจิ่งเฟยฮวาที่กล่าวว่าเป็นเขาก็ดีอยู่แล้วจะผุดขึ้นมาในหัว ทุกครั้งที่มีคนว่าเขา เขาจะว่าบิดามันกลับ ทุกครั้งหลังจากทำมันร้องไห้เสร็จเขาก็จะวิ่งไปบอกพี่สาว มองภาพพี่สาวหัวเราะ และกินขนมที่พี่สาวซื้อมาให้ เป็นเช่นนี้เรื่อยมา

เหอลู่คงคล้ายลืมเลือนสิ่งรอบตัว ตกอยู่ในเรื่องของอดีต ระบายยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว

จิ้นอิ๋งทนมองจนเริ่มทนไม่ไหว ตะโกนออกมา

"จะเหม่อไปถึงไหน! เหอลู่คง!"

เหอลู่คงสะดุ้งก่อนกระพริบตาเล็กน้อยคล้ายพึ่งคืนสติ เขาทุบหัวตัวเองพลางสบถเบา ๆ ก่อนร้องรับคำเรียก

"ขอโทษที ข้ามักเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย" พูดเสร็จก็หัวเราะฮ่า ๆ "ว่าแต่ทำไมหรือ?"

จิ้นอิ๋งรู้สึกเหนื่อยใจเป็นอันมาก "มีคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ลานหิน"

"หา?"

ท่านอดีตจอมยุทธ์กุมขมับเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่อาจทราบ เขาขยับตัวเข้าไปหาคนที่พึ่งคืนสติ ชี้นิ้วไปทางคนที่ตนว่า

เหอลู่คงหันตัวไปมองตามนิ้ว มีคนอยู่ตรงนั้นจริง ทั้งยังเป็นคนที่ทั้งตัวเปียกไปด้วยน้ำฝน ผมเผ้าหลุดลุ่ยเปียกชื้น ในมือถือหมวกผ้าโปร่งใบหนึ่ง สีหน้าดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก… ทว่าไม่ได้มีอยู่คนเดียวตามที่จิ้นอิ๋งกล่าว กลับมีเด็กชุดแดงอีกคนหนึ่งที่กำลัง ขี่คอคนชุดเหลืองอยู่?

คงเพราะเขาแสดงสีหน้าสงสัยเป็นอย่างมากออกไป คนบนลานหินจึงกลอกตาหนึ่งทีก่อนชูกระดาษชุ่มน้ำใบหนึ่งขึ้นมา

"ที่นี่รับปราบผีใช่หรือไม่ ข้าเว่ยฮุ่ยเหอ มาขอให้ปราบผี"

"…"

เหอลู่คงไม่อาจทราบได้ว่าเขาจะต้องตกใจเรื่องใดก่อน