Ep 01 : อย่าแยกเฟรชชี่ที่ขอบตาสิ !

 

[POV 1 : ???]

 

ยามเมื่อหัวใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ฝันของผมมักจะงดงามกว่าในความเป็นจริงเสมอ

 

ไม่ว่าจะเป็นการฝันถึงอนาคตอันสดใส หรือความฝันตอนหลับใหลในยามราตรี ก็ล้วนแล้วแต่สวยงามเสียจนผมไม่อยากตื่นมาขึ้นมาสักเท่าไหร่

 

เช่นเดียวกับในห้วงฝันของผมตอนนี้แหละครับ ท้องฟ้าในความฝันช่างงามจับใจ มันถูกฉาบด้วยสีฟ้าสลับกับชมพูโทนพาสเทล แมวมีปีกฝูงหนึ่งก็กำลังบินอยู่บนนั้น พวกมันทะยานผ่านหมู่เมฆเบาบางที่ล่องลอยอย่างเป็นอิสระ

 

หลังจากที่เงยมองท้องฟ้ามาสักครู่หนึ่ง ผมก็ก้มกลับลงมาหันสำรวจรอบกาย เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด ตอนนี้ตัวผมเองกำลังนั่งอยู่บนม้าหินตรงริมทาง ผู้คนที่เดินผ่านไปมาแม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์และสวมชุดคล้ายกับในโลกปรกติก็ตาม ทว่าก็ล้วนมีหัวเป็นสัตว์นานาชนิดกันทั้งนั้น

 

“เห้อ อาคารธรรมดาจัง”

 

ผมพึมพำกับตัวเองเล่น ๆ ก่อนจะเริ่มควบคุมฝันให้ตึกสูงบางแห่งค่อย ๆ โค้งงอ บ้างก็บิดตัวเองเล็กน้อย ส่วนอาคารก็ขอเพิ่มลวดลายให้เสียหน่อยเพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับพวกมัน

 

ใช้เวลาแค่ครู่เดียวก็เป็นไปที่หวังไว้ เช่นเดียวกับโทนสีและแสงในความฝันรอบนี้ที่คล้ายคลึงกับยามเช้าอันสดใส ผมชอบบรรยากาศแบบนี้เหลือเกิน มันไม่ค่อยต่างจากที่ผมจินตนาการไว้ก่อนที่จะงีบหลับระหว่างรอคอยใครบางคนเลยสักนิด ซึ่งก็แสดงว่าฝีมือการควบคุมฝันของผมก็ยังไม่ได้ตกลงไปมาก แม้จะห่างหายจากการทำลูซิดดรีม[1]ไปเกือบหนึ่งปีเต็ม

 

ให้ตายเถอะ ผมเกือบลืมความมหัศจรรย์ในฝันของตัวเองไปซะแล้ว เป็นเพราะเรื่องนั้นแท้ ๆ เลย มันทำเอาครั้งหนึ่งความฝันอันสดใสของผมถึงกับต้องมืดมนลงในชั่วพริบตา

 

เพราะเหตุการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตช่วงมหาลัยที่ผมวาดฝันไว้แตกสลายไม่เป็นชิ้นดี เพียงเพราะตั้งความหวังในบางสิ่งมากเกิน ทว่าในตอนนั้นมันกลับไกลเกินเอื้อม

 

พูดง่าย ๆ ก็คือปีก่อนผมเข้ามหาลัยที่หวังไว้ไม่ได้นั่นแหละครับ และแม้จะสามารถเข้าคณะที่ต้องการได้ แต่ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่ามันเป็นหนึ่งในความผิดพลาดครั้งใหญ่ของชีวิต

เพราะคะแนนคณิตศาสตร์ตัวเดียวเลย ถ้าเกิดผมไม่เครียดในห้องสอบจนเกือบอ้วก ก็คงไม่ต้องมาเสียใจเกือบปีแบบนี้

 

มันพลาดเสียยิ่งกว่าตอนมอปลายที่ผมไปสารภาพรักกับเพื่อนชายคนหนึ่ง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสุดท้ายแล้วเขาคนนั้นจะต้องโกรธและเกลียดผมแน่ ๆ

 

นึกถึงเพื่อนคนนั้นแล้ว ผมก็อยากทราบเหมือนกันนะว่าตอนนี้เขาจะเป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าที่ผมได้สารภาพความในใจไปจะทำให้เขารู้สึกแย่รึเปล่า

 

จะว่าไปก็อยากขอโทษเขาเหมือนกันแฮะ แต่ถึงผ่านมาเป็นปีผมก็ยังไม่กล้าสู้หน้าเขาสักที และถ้าย้อนเวลาได้ผมคงจะไม่บอกรักเขาแน่ ๆ

 

ยังไงซะ ผมก็ได้ลืมเลือนความเจ็บปวดตอนสารภาพรักกับเขาไปแล้วละ ก็ความผิดหวังจากผลมหาลัยมันสร้างบาดแผลเสียจนกลบความรู้สึกอื่น ๆ ไปจนหมดสิ้น ถึงขั้นทำให้ในปีก่อนผมวางมือจากทุกอย่างที่เคยชอบทำ แม้แต่การควบคุมฝันที่ฝึกฝนเป็นประจำ ผมก็ละเลยไปหลายเดือนเลยทีเดียว

 

แต่ตอนนี้ผมเริ่มกลับมาทำสิ่งที่ชอบบ้างแล้ว แม้ว่าชีวิตมหาลัยมันจะงานล้นมือกว่าช่วงมัธยมก็ตามที

 

ใครกันนะที่มาบอกว่าช่วงมหาลัยสบายกว่ามัธยม ผมขอบอกเลยว่านั่นเป็นประโยคที่โกหกทั้งเพ แถมยังใช้กับคณะสถาปัตย์ไม่ได้สักนิด

 

ผมที่เคยผ่านการเรียนสถาปัตย์ปีแรกมาแล้ว ขอบอกเลยว่าแค่เทอมแรกก็แทบไม่ได้หลับ ขยับหน่อยเป็นต้องเขียนแบบ ตัดโมเดลทีก็ได้กลิ่นเปลวไฟหอมกรุ่นคลุ้งออกมาจากตัวงาน แถมเวลาที่เคยเหลือเฟือก็กลับร่อยหรอยิ่งกว่าเงินเก็บท้ายเดือน และถ้ามนุษย์กินได้ทุกอย่าง ผมคงสวาปามเศษกระดาษชานอ้อยแทนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปแล้วแหละนะ

 

แถมพอถึงท้ายเทอมสอง ขอบตาที่มืดคล้ำก็เปลี่ยนไปดำปี๋อย่างใต้ตาหมีแพนด้า รู้สึกได้ถึงสภาพร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงประหนึ่งว่าตัวเองกลายเป็นซอมบี้ไม่มีผิด

 

แต่เอาเถอะ ผมเลือกเข้าคณะนี้เองแหละเนอะ การจบปีหนึ่งมาแล้วรอบนึงก็เป็นประสบการณ์ที่ไม่เลวเลย ตอนนี้ก็ถึงเวลาละทิ้งอดีตอันแสนเศร้าแล้วเริ่มทุกอย่างใหม่

 

หวังว่าตลอดทั้งปีของการเป็นเฟรชชี่(2)อีกครั้ง ทุกอย่างจะราบรื่นและสดใสเหมือนกับความฝันในวันนี้นะ

 

“นี่นาย...”

 

ใครบางคนเอ่ยเรียกพร้อมมีมือมาจับบ่า ความรู้สึกที่ถูกสัมผัสมันเหมือนจริงเสียจนผมต้องสะดุ้งเฮือกแล้วดีดตัวลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันขวับไปข้าง ๆ ทันที

 

ด้านขวามือของผมมีร่างสูงยืนอยู่ ดวงตาดำขลับที่จ้องมองหน้าของผมฉายแววตะลึงลานอยู่ครู่หนึ่ง

 

“นะ นายจริง ๆ เหรอเนี่ย...” เขาเอ่ยตะกุกตะกักพร้อมรอยยิ้มที่คลี่ออก ท่าทางของเขาสับสนระคนดีใจ “นาย... นายคืออ๋องใช่ไหม”

 

ไม่แปลกนักหรอกที่ตัวละครในฝันจะรู้ชื่อผม ทั้งยังทำเหมือนรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน แต่เรื่องที่พิลึกคงจะเป็นส่วนหัวของเขาที่เหมือนคนปรกติทั่วไป ต่างจากผู้คนโดยรอบที่มีศีรษะเป็นสัตว์ทั้งนั้น

 

จะว่าไปหมอนั่นก็หน้าตาหล่อใสไม่เบาเหมือนกันนี่ เป็นคนมีเสน่ห์อย่างกับดาราวัยรุ่นสมัยนี้ไม่มีผิด ผมดำขลับของเขาก็ถูกตัดแบบรองทรงและยังคงไว้หน้าม้าบดบังหน้าผาก

 

“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะ นึกว่านายจะหายไปจากฝันของเราซะแล้ว~”

 

กล่าวจบหมอนั่นก็พุ่งตัวเข้ามากอดผมทันที

 

เอ่อเดี๋ยวนะ ถึงกับโดนกอดเลยเหรอเนี่ย ผมควรดีใจไหม

 

แล้วทำไมตอนที่นายหน้าหล่อเอ่ยคำว่าฝันของเรา มนุษย์หัวสัตว์ที่เดินขวักไขว่ต้องหันขวับมามองพวกผมครู่นึงด้วยล่ะ

 

“เอ่อ คุณเป็นใครเหรอครับ” ผมเอ่ยถามหลังจากเขาคลายกอดแล้ว อยากรู้จังว่าหมอนั่นจะตอบว่าอะไร

 

แต่คนผมดำก็ไม่ได้คลายความสงสัยในทันที เขาหัวเราะก๊ากออกมาอย่างราวกับว่าผมเพิ่งเล่าเรื่องตลกให้ฟัง

 

“โธ่ อ๋องทำเป็นจำไม่ได้เหรอเนี่ย” เขาขำจนต้องปาดน้ำตาที่เล็ดออกมา “แต่ก็สมแล้วเนอะที่นี่เป็นความฝัน”

 

หมอนั่นพูดจบผู้ คนโดยรอบก็หันขวับมามองเราอีกครั้ง ถึงจะเป็นเวลาเดียวประเดี๋ยวเดียว แต่ผมคาดว่าพวกตัวละครในฝันคงคิดว่าคนหล่อข้ายกายผมเริ่มจะกวนประสาทแล้วสิ

 

แต่จะว่าไปเขาก็ดูคุ้นตาอยู่เหมือนกันนะ ผมเคยได้ยินว่าเรามักจะฝันถึงคนที่เคยเห็นหน้าแม้จะไม่สนิทกันก็ตาม งั้นผมอาจจะเคยเห็นเขาที่มหาลัยก็ได้แหละมั้ง

 

“สงสัยที่ฝันว่าเจอกัน คงเพราะอ๋องซิ่ว(3)มาที่นี่แน่เลยใช่ไหมละ”

 

เอ๊ะ...

 

“คุณรู้ได้ไงเนี่ยว่าผมซิ่วมา”

 

เดี๋ยวสิ แล้วผมจะถามทำไมละเนี่ย คนผมดำเป็นจิตใต้สำนึกของผมไม่ใช่เหรอ เขาก็ต้องรู้สิวะว่าผมซิ่วไปมหาลัยที่อยากเข้าน่ะ

 

สงสัยเขาคงให้ความรู้สึกเหมือนคนจริงเกินไปมั้ง ผมก็เลยเผลอถามอะไรแปลก ๆ ออกไป

 

“ก็เห็นในไอจีของอ๋องไง”

 

“อ้อ แบบนั้นเองเหรอ”

 

“ว่าแต่จะได้เจอนายตัวจริงเมื่อไหร่นะ” เขาลูบคาง “หรือเราควรจะไปหานายคณะสถาปัตย์เลยดี”

 

“... ไม่ต้องมาหาก็ได้มั้ง” โดนคนในฝันบอกจะมาหาก็แอบหลอนอยู่นะครับ

 

แต่ท่องไว้ไอ้อ๋อง หมอนี่ก็แค่จิตใต้สำนึกของนาย

 

“นั่นสินะ เพราะยังไงเดี๋ยวนายก็ต้องมาหาเราอยู่ดีนั่นแหละ”

 

“เอ๋ หมายความว่ายังไง” หมอนี่เริ่มทำผมงงแล้วแฮะ “แล้วนายเป็นใครกันแน่เนี่ย”

 

“เราน่ะเหรอ ก็—”

 

ตี๊ด ๆ ๆ ๆ

 

ผมถึงกับสะดุ้งโหยงหลังได้ยินเสียงบางอย่าง ภาพรอบกายอันสวยงามดับวูบลงทันใด จากนั้นเพียงไม่นาน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็กลายเป็นภาพเบลอ ๆ ของสถานที่แห่งหนึ่ง ต้องใช้สายตาปรับโฟกัสอยู่หลายวินาทีจนได้รู้ว่าผมได้กลับมาสู่โลกความจริงแล้ว

 

ให้ตายเถอะ อดรู้เลยว่าคนในฝันมันคือใคร

เสียงที่ทำให้ตกใจเมื่อครู่ก็ยังคงดังอยู่ ผมต้องล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงและหยิบโทรศัพท์ออกมา พบว่าหน้าจอที่กำลังส่องสว่างปรากฏหน้าต่างของโปรแกรมตั้งปลุก นั่นทำให้ผมตระหนักได้ว่าก่อนจะงีบหลับ ผมได้ตั้งปลุกไว้นี่หว่า

 

และตอนนี้ผมก็อยู่ที่โต๊ะม้าหินเล็ก ๆ ใกล้กับคณะสถาปัตย์ ผมกำลังรอคอยใครบางคนที่นัดกันไว้ แต่ถึงจะเลยเวลาตั้งปลุกแล้วเขาก็ยังไม่มาเลย สงสัยต้องรออีกสักพักแหละนะ

 

 

อย่างน้อยการรอคอยก็มีเวลาให้ผมได้ครุ่นคิดถึงความฝันเมื่อครู่ กลับไปลูซิดดรีมวันแรกก็เจอเรื่องแปลกเลยนะเรา แล้วจะว่าไปนายคนหล่อในฝันพูดถึงไอจีของผมด้วยนี่นา

 

งั้นขอลองเปิดดูไอจีตัวเองหน่อยแล้วกัน...

 

'ประกาศผลสอบคัดเลือก

มหาวิทยาลัย C

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์

สาขาสถาปัตยกรรมศาสตร์'

 

อ่าใช่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้แคปภาพผลมหาวิทยาลัยของปีนี้ลงไอจีด้วยนี่นา หวนคิดกลับไปแล้วก็ภูมิใจนะที่ขอพ่อแม่จนได้ลองสอบใหม่อีกรอบ ไม่คิดด้วยว่าผมจะได้ซิ่วมาสมใจอยากแบบนี้

 

แต่ก็นะ การเป็นเฟรชชี่ปีที่สองมันจะง่ายและราบรื่นกว่านี้ ถ้าเกิดว่าไม่มี—

 

“อ้าวพี่คะ สวัสดีค่ะ”

 

เสียงใสทำเอาผมหลุดจากห้วงความคิด เงยหน้าจากโทรศัพท์ก็เห็นสาวน้อยท่าทางเรียบร้อยเดินตรงมายังม้าหินที่ผมนั่งพร้อมยกมือไหว้ เธอเป็นสาวแว่นตัวเล็กน่ารักที่ซ่อนแววตาสุกใสไว้หลังเลนส์ เธอส่งยิ้มหวานมาให้ ดูจากใบหน้าสดชื่น ชุดนักศึกษาเรียบร้อย และรองเท้าหุ้มส้นสีขาว จะต้องเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกันแน่ ๆ

 

แต่เธอรู้จักผมเหรอ หรือเป็นน้องที่มาค่ายสถาปัตย์ตอนผมอยู่มหาลัยเก่ากันนะ

 

“หนูฟางเองไงพี่”

 

เอ่อ... ผมนึกไม่ออกแฮะว่าเคยเจอน้องฟางคนนี้ที่ไหน ในค่ายสถาปัตย์ที่มหาลัยก่อนผมก็ทำตัวเป็นรุ่นพี่จืดจางซะด้วย ไม่น่าจะมีน้องจำได้นี่นา

 

“พี่ออยจำไม่ได้เหรอ ที่นักเขียนกลุ่มเราจัดอีเวนท์มีตติ้งในโรงเรียนเมื่อปีก่อนไง หนูก็ไปนะ”

 

เดี๋ยวนะ ผมไม่ได้เป็นนักเขียนสักหน่อย

 

แล้วที่สำคัญเมื่อกี้เขาเรียกผมว่าอะไรนะ

 

“เธอเข้าใจผิดแล้วละ เราไม่ใช่คนที่เธอคิดไว้หรอก” ว่าพลางส่งยิ้มแหยไปให้ ในเมื่อเป็นปีเดียวกันเรียกเธอว่าน้องก็กระไรอยู่

 

แต่แล้วสาวแว่นก็เลิกคิ้ว พร้อมสีหน้าที่เริ่มเปี่ยมด้วยความสับสนระคนเศร้าใจ

 

“เฮ้ย ! อย่าเพิ่งทำหน้าจ๋อยแบบนั้นสิครับ เดี๋ยวเราอธิบายให้ฟังก็ได้—”

 

ผมพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็เห็นได้ว่าสีหน้าของน้องฟางเปลี่ยนไปทันควัน ดวงตาใต้เลนส์ใสเบิกกว้าง ปากค่อย ๆ อ้าค้าง ท่าทางบ่งบอกถึงความตะลึงลานอย่างถึงที่สุด

 

เธอมองแบบนั้นต้องมีใครสักคนอยู่ข้างหลังผมเป็นแน่ ที่สำคัญผมได้ยินเสียงรองเท้ากระทบพื้นใกล้เข้ามาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่ามีผู้มาเยือนปริศนามาหาเสียแล้วสิ

 

แต่ก่อนจะได้หันไปมอง ใครคนนั้นก็ชิงพูดซะก่อน

 

“อ้าว ฟางเองเหรอครับ” เสียงทุ้มนุ่มนั้นเปี่ยมด้วยความดีใจ “ตอนนี้อยู่คณะอะไรนะ”

 

“นะ หนูได้จิตวิทยาค่ะ”

 

“คณะที่ฟางอยากเข้านี่นา” เสียงนั้นดูยินดี “เพื่อนเราก็เรียนคณะนั้นนะ เคยเจอคนชื่ออ๋อมที่อยู่ปีสองยัง”

 

“ใช่พี่ผู้ชายที่ย้อมผมแดง แล้วดูดวงเป็นรึเปล่าคะ”

 

“อือ ถ้าคนที่ดูไพ่เป็นก็ คือหมอนั่นน่ะแหละ”

 

“อ้อ งั้นหนูเคยเจอแล้วค่ะ พี่เขาดูดวงแม่นนะ ใจดีด้วย” ฟางยิ้มหวานพร้อมผงกหัว แต่ครู่ต่อมามองผมกับคนที่ยืนอยู่ด้านหลังสลับกันไปมา “เอ่อ พี่คะ พวกพี่สองคน... อย่าบอกนะคะว่า...”

 

“เออใช่ ฟางคงยังไม่รู้” ผู้มาเยือนข้างหลังเอามือมาโอบบ่าของผมไว้ทันใด “นี่แฝดของพี่ ชื่ออ๋อง”

 

ฟางฟังจบก็ร้องอ๋อ เธอดูตื่นเต้นเพราะคงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน จากนั้นสาวแว่นแสนน่ารักก็สบตาผมพร้อมพนมมือ “สวัสดีค่ะพี่อ๋อง ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ~”

 

“ไม่ต้องเรียกเราว่าพี่หรอกครับ พอดีเราซิ่วมาน่ะ” ผมไม่ลืมที่จะคลายความสงสัยให้เสร็จสรรพ ฟางคุยกับเราอีกนิดหน่อยก่อนที่เธอจะขอตัวไปกินข้าวเที่ยงกับผองเพื่อนที่รออยู่ไม่ไกล

 

เจ๋งไปเลย มีหลายคนแล้วนะที่ทักผิดว่าผมเป็นออย แต่เพิ่งเปิดเทอมมาได้เดือนกว่าเองนี่เนอะ แถมแฝดน้องของผมเรียนปีสองอีกต่างหาก อยู่ทั้งคณะและสาขาเดียวกันเสียด้วย คิดดูแล้วก็ตลกยังไงไม่รู้แฮะ

 

อันที่จริงหลายปีก่อน ใครต่อใครก็แยกผมกับเจ้าแฝดออกจากกันได้ง่าย กระทั่งออยออกกำลังกายจนได้เรือนร่างที่เพรียวลง และแน่นอนว่าพอผอมแล้วใบหน้าเลยเรียวลงจนเค้าโครงอะไรไม่ต่างจากตัวผมเองสักเท่าไหร่ เผลอ ๆ มันจะหุ่นดีกว่าผมซะด้วย

 

แต่ยังไงซะตอนนี้เราสองคนก็เรียกได้ว่าเหมือนกันอย่างกับแกะเชียวแหละ

 

“เอ๋ ๆ คิดอะไรอยู่เหรอไอ้อ๋อง~”

 

คำถามรื่นเริงชวนให้หันขวับไปและเงยมองเขา ออยปล่อยจากบ่าผมแล้ววางลงบนพนักพิงของม้านั่งแทน

 

ใบหน้าที่เสมือนกระจกสะท้อนภาพตัวเองนั้นอยู่ไม่ห่างนักจนได้กลิ่นโคโลญที่หอมสดชื่น หมอนั่นกำลังก้มมองพร้อมส่งยิ้มเย็นให้ ดวงตามีเสน่ห์คู่นั้นยังคงแฝงไว้ซึ่งความลึกลับน่าค้นหาและอ่านใจยาก ถึงจะเป็นแฝดกันแต่นาน ๆ ทีผมถึงจะอ่านใจมันออก

 

ดู ๆ ไปแล้วดวงหน้าที่คล้ายคลึงกันนั้นจะว่างดงามก็คงได้ แต่ออกแนวหล่อแกมสวยมากกว่าจะคมคาย ผิวก็ผ่องนวลดูมีออร่า ผมไม่ได้อวยนะครับ และเราคงได้ความขาวมาจากคุณพ่อที่มีเชื้อจีนเป็นแน่

 

ให้ตายเถอะ ถึงมันจะไม่เป็นไอ้อ้วนแบบเมื่อหลายปีก่อน แต่ทำไมจู่ ๆ รู้สึกหมั่นเขี้ยวจนอยากไปขยี้หัวมันจะวะ

 

“อืม ช่วงนี้งานเยอะสิท่า... ดูซิ อดนอนจนหน้าโทรมหมดแล้วเนี่ยพี่” ว่าพลางเอานิ้วมาจิ้มใต้ตาผมเล่น เดี๋ยวก็กัดให้นิ้วกุดเลยดีไหม “โอ้โฮ เพิ่งเป็นเฟรชชี่เองนะ ขอบตาดำแล้วเหรอ”

 

“อย่าแยกเฟรชชี่ที่ขอบตาสิ !”

 

“หมีแพนด้า” เขากล่าวพร้อมแสยะยิ้ม กวนประสาทชะมัด “เป็นหมีแพนด้าชัด—”

 

ป๊าบ !

 

ออยยังพูดไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องร้องลั่นอย่างตกใจ เจ้าแฝดน้องสะดุ้งโหยงแล้วหันขวับไปข้างหลังทันที

 

ผมเองก็เพิ่งเห็นว่าข้างหลังออยมีใครคนหนึ่งลอบเดินเข้ามา ดูท่าคนคนนั้นจะเพิ่งใช้มือเรียวเล็กตบเข้าที่ก้นของเขา และผู้มาเยือนก็เป็นหญิงสาวร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีดำขลับกำลังยืนกอดอกพร้อมทำมาดนิ่งตามสไตล์ของตัวเอง

 

“ทำอะไรกันอยู่น่ะ จะกัดกันอีกแล้วเหรอ” เธอถามพร้อมมุมปากที่กระตุกขึ้น “งั้นไม่เป็นก้างขวางคอดีกว่า—”

 

“ดะ เดี๋ยวสิพริกหยวก” ออยเอามือลูบก้นขวาที่โดนตบเข้าเต็มมือ “กำลังรอเธออยู่ต่างหากเล่า”

 

“อ้ออือ รู้แล้ว ๆ” หญิงสาวผงกหัวหงึก ๆ ผมสั้นเลยติ่งหูลงมานิดหน่อยนั้นพลิ้วไสวเป็นจังหวะ “เออนี่ ไม่ได้เจออ๋องตั้งนาน ตอนนี้นายเหมือนออยไม่มีผิดเลยนะ” 

 

“ต้องบอกว่าออยเหมือนเราสิ เมื่อก่อนเราผอมกว่ามันนะเว้ย”

 

พริกหยวกได้ฟังก็หัวเราะเบา ๆ โดยไม่พูดอะไรต่อ

 

ใช่แล้ว หญิงสาวตรงหน้าเราชื่อเล่นว่าพริกหยวกจริง ๆ เนื่องจากคุณแม่บนไว้ว่าหากถ้ามีลูกจะตั้งชื่อเล่นแบบนี้ และแน่นอนว่าแม้หญิงสาวจะตัดผมสั้นปะบ่าก็ยังคงน่ารักเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือสิวบนหน้ากับขอบตาคล้ำขึ้น

 

และพริกหยวกเองก็เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน แต่อยู่สาขาสถาปัตยกรรมภาคอินเตอร์

 

“ไปกินข้าวกันเถอะ อยากกินราดหน้าที่วิศวะแล้ว~” สาวผมสั้นไม่พูดพร่ำอีกแล้วเดินนำหน้าเราไป

 

อย่างที่เธอเพิ่งกล่าว วันนี้เราจะหาอะไรกินที่คณะวิศวะกัน ถึงแม้ทีแรกผมไม่อยากจะไปนักหรอก เพราะมีใครคนหนึ่งในคณะนั้นที่ผมไม่อยากเจอ แต่ออยมันเซ้าซี้อยากไปจนผมใจอ่อน แถมเขาบอกว่าอุตส่าห์นัดแก๊งเพื่อนเก่าสมัยประถมที่ดันมาติดมหาลัยเดียวกันให้ไปกินมื้อเที่ยงที่วิศวะด้วย ถ้าจะได้พบหน้าคนทั้งแก๊งอย่างพร้อมเพรียงแบบนี้ใครจะปฏิเสธลง ผมเลยต้องจำใจพักงานเขียนแบบที่ต้องส่งสี่โมงเย็นไว้ก่อน กินเสร็จแล้วค่อยกลับไปทำก็ได้

 

ในเวลาแบบนี้โรงอาหารคงกำลังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน และตอนนี้พวกเพื่อนที่นัดไว้ได้ไปถึงก่อน พร้อมกับจองที่ให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนพวกผมใช้เวลาเดินไม่นานนัก เราสามคนก็ถึงในบริเวณลานเกียร์คณะวิศวะสักที

 

“ทำไมต้องเป็นคณะวิศวะ?” อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกสงสัย “แทนที่เราจะนัดกันไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านข้างนอก มันไม่ดีกว่าหรอกเหรอ

 

“ก็ที่วิศวะอาหารอร่อยนี่” ออยตอบก็จะหันไปหาเพื่อนสาว “เนอะหยวก”

 

“ใช่แล้ว ราคาถูกดีด้วย เราต้องเก็บเงินซื้ออุปกรณ์ทำโมเดลอีก ขอประหยัดเงินหน่อยเถอะ”

 

ก็จริงอย่างที่เธอว่า ราคาอุปกรณ์หลายอย่างบางทีผมก็รู้สึกว่าโคตรแพงชะมัด แถมกระดาษสำหรับตัดโมเดลหลาย ๆ คนก็ใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง พอเข้าเรียนคณะนี้แล้วรู้สึกเหมือนทำร้ายโลกยังไงไม่รู้

 

“แน่ใจเหรอว่าแค่อาหารถูก... อืม กูว่ามันต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ ๆ” อยู่ดี ๆ เซนส์มันก็บอกแบบนั้น ออยที่ได้ฟังหันขวับมามองทันทีพร้อมขมวดคิ้ว “กูว่ามึงมาแอบส่องผู้ชายใช่ไหมออย

 

“เฮ้อ ทำไมวันนี้อ๋องเซนส์ดีจังนะ” เจ้าแฝดน้องกอดอก

 

ก็มันเคยบอกเองนี่นาว่าตัวเองเป็นไบ เลยขอลองเดาแบบนี้ไว้ก่อน

 

“แต่เสียใจด้วยนะ อ๋องเดาผิดไปนิดนึงว่ะ” เขาหันมายิ้มกริ่มทำเอาผมต้องเป็นฝ่ายงุนงงแทน “ที่จริงแล้วไม่ใช่ผู้ชายหรอก แต่อยากเจอผู้หญิงคนนึงต่างหาก”

 

เดี๋ยวนะ ที่ว่าผู้หญิงคนนึง นี่แสดงว่าเฉพาะเจาะจงงั้นเหรอ อยากรู้แล้วละสิว่าใครกันนะที่เขาหมายตามอง 

 

ขณะเดียวกันพริกหยวกที่เดินนำหน้าหันขวับมาหาออยทันที “ยังไม่เลิกชอบผู้หญิงคนนั้นอีกเหรอ นายนี่มันมูฟออนไม่ได้สักทีเลยนะ~”

 

“มูฟออนมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สักหน่อย” เขารีบค้าน

 

“นั่นสินะ” พริกหยวกฟังแล้วก็ผงกหัวหงึก ๆ “ว่าแต่วันนี้นายจะได้เจอเธอรึเปล่าเอ่ย~”

 

“อืม... ที่จริงก็เหมือนว่าจะเจอเธอแล้วแหละนะ...”

 

“เอ๋ ไหน !?” ด้วยความอยากเผือกเต็มประดา ทว่าถึงจะหันมองรอบกายแต่ก็เดาไม่ได้ว่าใครคือคนที่ออยมันแอบชอบ “สรุปอยากเจอใครเหรอ

 

“ไม่บอกพี่อ๋องหรอกครับว่ะ~” ออยเป็นคนตอบ ทั้งยังคลี่ยิ้มยียวนใส่

 

“เหอะ! มีความลับแล้วไม่บอก—”

 

ปัก !

 

ผมยังพูดไม่จบ ทันใดนั้นก็มีคนเข้ามาชนผมอย่างแรงจนเกือบเซ

 

“ขะ ขอโทษครับคุณ !”

 

ถามพลางหันมาคว้าแขนผมไว้ เขาดูตกใจมากทีเดียว คนตรงหน้าสูงกว่าผมเล็กน้อย เขาสวมเสื้อช็อปของคณะวิศวะ ไม่รู้อยู่ปีสองหรือสูงกว่านั้น แถมมากับเพื่อนอีกสองคนซะด้วย สงสัยเมื่อกี้นี้คงจะหันคุยกันจนไม่ทันระวังหน้าระวังหลัง

 

อ๊ะ ทำไมรู้สึกว่าใบหน้าเขาคุ้นตาจังเลยแฮะ

 

“นายไม่เป็นไรใช่ไหม” หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วเขาจึงถามขึ้น

 

“ครับ ผมไม่เป็นไร”

 

บอกไปแบบนั้นอีกฝ่ายจึงค่อย ๆ ปล่อยมือ เขาถอนหายใจ “ค่อยยังชั่ว เรานี่มันซุ่มซ่ามจริง ๆ ยังไงก็ขอโทษอีกครั้งนะครับ” ชายคนนั้นคลี่ยิ้มก่อนที่เขากับเพื่อนทั้งสองจะเดินจากไป

 

พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็เดินตามแฝดน้องกับพริกหยวกไปต่อ แต่จะว่าไปผมรู้สึกเหมือนว่าเคยเจอคนที่มาชนเมื่อครู่ที่ไหนมาก่อน อาจจะเคยเห็นหน้ากันช่วงมัธยมก็ได้แหละมั้ง

 

เอ๊ะเดี๋ยวสิ...

 

ผมเพิ่งเจอเขาในฝันนี่หว่า !

 

ความฉงนใจที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเหลียวกลับไปมองรุ่นพี่กลุ่มนั้นทันที

 

ทว่าทันใดนั้น คนในเสื้อช็อปที่ชนกันเมื่อครู่ก็หันหลังมามอง พอเราสบตากันเขาก็ส่งยิ้มให้ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ผมยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ ได้แต่รีบหันขวับกลับไปข้างหน้า

 

เวรแล้ว หรือเขาจะรู้วะว่าเราแอบมอง— อ๊ะ—

 

อ้าวเฮ้ย มองแต่ผู้ชายคนนั้นจนดันลืมก้มดูพื้นว่ามีสิ่งกีดขวางอยู่รึเปล่า เท้าเจ้ากรรมดันสะดุดกับบางอย่างเข้า พยายามจะทรงตัวแต่ก็สายไปเสียแล้ว ร่างผมล้มตึงลงไปในทันที

 

พริกหยวกกับออยที่ล่วงหน้าไปคงได้ยินเสียงผมล้ม พอหันมาเจอก็ตกใจกันยกใหญ่แล้ววิ่งตรงมาหา โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็แค่รู้สึกชากายเล็กน้อยเท่านั้น

 

“อ๋องไม่เป็นไร— อ๊ะ”

 

เจ้าแฝดน้องที่วิ่งตรงมาก็สะดุดบางอย่างบ้างเสียแล้ว นี่การสะดุดมันติดเชื้อกันได้ใช่ไหม

 

แถมแทนที่จะล้มลงบนพื้น มันกลับล้มตึงทับตัวผมซะอีก !

 

“ไอ้บ้าเอ๊ย ! มาล้มอะไรตรงนี้ฮะ หนักนะเฟ้ย ! ! !”

 

ผมร้องลั่น ค่อยยังชั่วที่ออยลดน้ำหนักเรียบร้อย ถ้าเป็นช่วงประถมผมคงแบนราบติดพื้น ไม่ก็ไส้ทะลักตายต้องเป็นผีเฝ้าลานเกียร์แน่นอน และตอนนี้กลายเป็นว่าคนแถวลานเกียร์นั้นมองมาทางพวกผมเป็นทางเดียวกัน ถูกสายตาเยอะแยะแบบนั้นจับจ้องช่างน่าอายชะมัด

 

“โอ้โห พวกนายนี่มันโชคดีกันชะมัด” พริกหยวกจะไม่เป็นห่วงเราหน่อยเหรอ เธออย่ามัวแต่ทำตาโตเหมือนเห็นเรื่องมหัศจรรย์สิ “สะดุดลานเกียร์ขนาดนี้ต้องมีแฟนเป็นวิศวะแล้วไหม”

 

โอ๊ะ ช่วยเอาเจ้าออยออกไปจากตัวผมก่อน !

 

แล้วใครว่าโชคดีกัน นี่มันโชคร้ายชะมัด เจ็บก็เจ็บ น่าอายอีกต่างหาก ใครอยากมาสะดุดก็เชิญครับ แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะว่ามาสะดุดลานเกียร์แล้วจะได้เมียเป็นวิศวะ...

 

...เพราะขนาดคนมาจีบผมยังไม่มีเลย !


 

โปรดติดตามตอนต่อไป

#ถาปัดฟัดเกียร์


[1] เป็นความฝันที่ผู้ฝันจะรู้ตัวว่ากำลังฝันอยู่ สามารถควบคุมได้ และสามารถทำอะไรตามอำเภอใจในฝันได้