No lie i i e ~

 

 

เสียงเพลงของดูอา ลิปาปลุกฉันให้ลุกจากเตียง ..หาว ~ ฉันมองตัวเลขนาฬิกา ..ได้นอนแค่ 3 ชั่วโมงเอง

 

เมื่อคืนกว่าจะปั่นงานเสร็จ กว่าจะได้กลับหอ..

 

ฉันลุกไปห้องน้ำ เปิดฝักบัวล้างแค่ช่วงล่าง (จิ๋ม) แล้วก็ยืนล้างหน้าแปรงฟันที่อ่างอาบน้ำ

 

ชีวิตนักศึกษาไม่ต้องอาบน้ำตอนเช้าหรอกค่ะ แหม่ ~~

 

เปิดเฟสบุคดูความเป็นไปของเพื่อน หลายคนอัพเฟส ..เคลียร์งานสถานะปางตาย บางคนเพิ่งเริ่มทำงานตอนตี 5

 

แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ฉันส่องกระจกยาวที่ติดกับประตูตู้เสื้อผ้า ..ภาพหญิงสาวผมหยักศกย้อมสีน้ำตาลแดงยาวจรดเอว หน้าม้าสั้นๆ สวมชุดนักศึกษาสีขาว เข็มขัดผ้ากำมะหยี่สีน้ำตาลเข้ม กับกระโปรงพลีทยาวคลุมเข่าหน่อยๆ

 

ทาครีมกันแดดแล้วตบด้วยแป้งพัฟราคานักศึกษาเอื้อมถึง ทาลิปมัน แล้วฉันหยิบเสื้อแขนยาวสีฟ้าอมม่วงมาสวมทับอีกที (ก็แดดมันแรง) ฉันหยิบแฟลชไดรฟ์ใส่กระเป๋าสะพาย ขี่มอเตอร์ไซค์ตรงไปที่ร้านพี่เอ

 

ร้านพี่เอ เป็นร้านปริ้นเพียงหนึ่งเดียวที่มีกระดาษและอุปกรณ์เครื่องปริ้นครบครัน เหมาะสำหรับพวกนักศึกษาศิลปกรรมกับสถาปัตย์ ข้างๆ ร้านพี่เอยังมีร้านของเมียพี่เอ เปิดเป็นร้านกาแฟเล็กๆ

 

“พี่เอ ~”

 

พี่เอนั่งอยู่หน้าคอม ชายหุ่นผอมแต่ลงพุง มีเมียหนึ่งลูกหนึ่ง ใบหน้าของพี่เอค่อนข้างเหลี่ยม มีกรามหนา มีหนวดหร็อมแหร็ม ..สภาพเหมือนยังไม่ผ่านการอาบน้ำ

 

“ไงญู”

 

“มีใครมาปริ้นงานไปแล้วบ้างอ่ะ?” ฉันหมายถึงเพื่อนในคณะ

 

“มีซันนี่ ทับทิม กับปังปอนด์ มาเมื่อคืน”

 

ฉันยื่นแฟรชไดร์ฟให้พี่เอ “ปริ้น A3 เหมือนเดิม เดี๋ยวญูแวะมาเอานะพี่เอ”

 

เสร็จจากนั้นฉันก็แวะไปซื้อกาแฟร้านเมียพี่เอ แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปจอดที่หอ ตามองนาฬิกาในโทรศัพท์ ..ทำเวลาได้ดี ยังมีเวลานอนเล่นอีก 3 ชั่วโมงเพื่อพรีเซนต์งาน

 

ฉันกลับมานอนเล่นในหอ นั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งตับปิ้งที่ซื้อมาจากคุณป้าข้างหอ ป้าแกจะเข็นมาขายทุกเช้า หมูปิ้งกับตับปิ้งไม้ละ 10 บาท ข้าวเหนียวห่อละ 5 บาท

 

มีปลาทูทอดกับน้ำพริกหนุ่มขายด้วยนะ แต่ฉันไม่กิน

 

ฉันเปิด Mac book เข้าเฟสบุ๊ก มีการแจ้งเตือนว่าในกลุ่มมหาวิทยาลัยมีโพสต์อะไรใหม่

 

กลุ่มมหาวิทยาลัยเป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกับเว็บสังคมคุณภาพ Pantip เสียนี่กะไร

 

ผู้ชายคนหนึ่งโพสต์ภาพรถพยาบาลจอดบนถนน ถัดจากถนนเป็นพื้นหญ้าที่เป็นทางลาดลง ตรงพื้นมีมอเตอร์ไซค์ Scoopy i อยู่

 

ก็แค่เด็กมอไซค์ล้ม..

 

ฉันคิดในใจ มอเตอร์ไซค์ล้มเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในมอ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับพวกเด็กใหม่ ..พวกมือใหม่หัดขับ

 

ฉันเลื่อนสายตาอ่านคอมเมนต์ข้างใต้

 

[เด็กใหม่รถล้มแถวทางไปคณะนิติ]

 

[ทางนั้นแม่งป่าละเมาะชัดๆ]

 

[รถล้มนี่ล้มเองหรือโดนรถเฉี่ยว]

 

[ล้มเองนะ]

 

[น้องๆ ขับรถระวังกันหน่อยนะครับ]

 

[ดื่มเหล้าหนักเปล่า ~~ เมาไม่ขับนะครับ]

 

[จริงป่ะคับ ที่เมื่อคืนมีเด็กรถล้มแล้วเด็กมีแผลที่คอ]

 

[แผลที่คอนี่ยังไง?]

 

[มีรูสองรู เหมือนรอยผีดูดเลือดในหนังเลย]

 

[จริงค่ะ เราเป็นเพื่อนกับคนที่รถล้ม ตอนนี้เพื่อนอยู่โรงบาล เพื่อนเราบอกว่ามันไม่ได้ทำรถล้มเอง แต่มีคนมาตัดหน้ามัน มันเลยหักหลบก็เลยรถล้ม มันเจ็บจนลุกไม่ได้ สักพักก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่คอเหมือนมีใครเอาเข็มมาเจาะที่คอ พอลืมตาก็เห็นว่าตัวเองโดนกัดคออยู่]

 

[โม้เปล่าวะ]

 

[ไม่ได้โม้!]

 

เจ้าของคอมเมนต์แปะภาพ เป็นภาพต้นคอที่มีรอยแถบกาวอยู่ล้อมรอบรูสองรู

 

เหมือนรอยแวมไพร์ดูดเลือดในหนังเด๊ะๆ

 

“อิหยังวะ..”

 

ฉันอ่านคอมเมนต์ที่ถกเถียงกัน ..บ้างก็เถียงกันว่าเป็นรอยเขี้ยวของสัตว์.. บ้างก็ว่านักศึกษาอาจจะเมาทำร้ายตัวเอง

 

..ถ้าแวมไพร์มีจริง ฉันว่าทนแดดประเทศไทยไม่ไหวหรอก..

 

ในใจคิดงี้ แต่ฉันก็เข้า google คลิกหาข่าวเกี่ยวกับแวมไพร์

 

ข่าวพบโครงกระดูกแวมไพร์

 

ข่าวตั้งข้อสงสัยว่าดาราฮอลลีวูดอาจจะเป็นแวมไพร์

 

ข่าวหมาแมวจรจัดโดนแวมไพร์ดูดเลือด

 

ข่าวคู่รักต่างประเทศที่ทำตัวเลียนแบบพฤติกรรมของแวมไพร์

 

ข่าวนักศึกษาต่างประเทศอ้างว่าได้พบแวมไพร์ตัวจริง

 

ข่าวคนเป็นแม่อ้างลูกสาวเสียชีวิตเพราะโดนแวมไพร์กัดคอ

 

ฯลฯ

 

 

 

“โหว~ ข่าวแวมไพร์เยอะเหมือนกันนะเนี่ย” ฉันใช้ฟันดึงหมูติดปิ้งมันออกมาไม้ ..เคี้ยวกรุบๆ เค็มๆ มันๆ ตามด้วยข้าวเหนียว อร่อย

 

“ต่างประเทศมีแวมไพร์ ของพี่ไทยแม่งมีแต่ปอบ” เสิร์จ google ดูมีแต่ข่าวปอบทั้งนั้น แถมพบตามแถบบ้านนอกชนบทด้วย

 

ฉันกินข้าวเหนียวหมูปิ้งเสร็จก็ต้องเอาไปทิ้งที่ถังขยะข้างหอ ฉันไม่นิยมทิ้งพวกขยะเปียกพวกเศษอาหารไว้บนห้อง ประเดี๋ยวกองทัพมดแมลงสาบได้บุก (ไหนจะนกพิราบอีก..)

 

หางตาเหลือบเห็นหางสีน้ำตาลแกว่งไกว “หญิงเล็ก~~” ฉันเรียกชื่อหมาจรจัด แถวหอพักของฉันมีหมาจรจัดเยอะมาก ไม่ใกล้ไม่ไกลก็มีวัดอยู่ คนก็เอาหมามาปล่อยที่วัด ออกลูกกันยั้วเยี้ย

 

หญิงเล็กเป็นหมาตัวเมียที่มาป้วนเปี้ยนแถวหอ ดูจากเต้านมที่ห้อยโตงเตงไม่ต่างจากแม่วัว ก็รู้ได้ว่าหญิงเล็กผ่านการคลอดลูกมาอย่างโชกโชน

 

ฉันเจอหญิงเล็กครั้งแรกตอนที่ซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้ง หมาตัวเมียขนหลากสี มีหลายจุดเดินแลบลิ้นแหะๆ เข้ามาใกล้ฉัน เว้นระยะห่างไว้พอประมาณ ส่งสายอ้อนวอนอย่างหมาแสนรู้ จนฉันต้องสละตับปิ้งให้ไปไม้หนึ่ง

 

“วันนี้ไม่มีตับ หมดจ้า ~~” ฉันชูถุงพลาสติกที่มีเศษไม้กับคราบมันสีน้ำตาลเข้มและสีเหลืองๆ หญิงเล็กมองตาละห้อย

 

ฉันนั่งยองๆ ลูบหัวหญิงเล็ก “กินตับปิ้งบ่อยไม่ดีนะหญิงเล็ก โซเดียมเยอะ เอาอาหารหมาดีกว่า เดี๋ยวซื้อให้ รอนะ” ฉันชี้นิ้วสั่งไม่รู้ว่าหญิงเล็กฟังรู้เรื่องรึเปล่า เห็นมันทำหน้าเด๋อด๋าเอียงคอไปข้าง

 

ฉันเดินไปเซเว่น หยิบอาหารหมาแบบซองอย่างไวว่อง จ่ายเงินเสร็จรีบเดินออกจากร้าน รีบเดินจ้ำอ้าวไปหาหมา กลัวมันจะหนีไปก่อน

 

หญิงเล็กนอนรออยู่ข้างถังขยะสีน้ำเงิน ทันทีที่มันเห็นฉันมันก็กระดิกหางเดินเข้ามาหา ฉันนั่งยองๆ ฉีกปากถุงอาหารเปียกรสไก่และตับบด เทใส่มือตัวเองแล้วให้หญิงเล็กใช้ลิ้นตวัดเข้าปาก

 

สัมผัสลิ้นที่ติดพังผืดของหมาทำให้ฉันรู้สึกดีปนกับจั๊กจี้

 

“ค่อยๆ กินค่ะลูก” พลิกมือให้หญิงเล็กเลียตามซอกนิ้ว ..อ่า ฟิน

 

“แฮ่!”

 

“?”

 

จู่ๆ หญิงเล็กก็หยุดเคลื่อนไหว ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองข้ามผ่านตัวฉันไป ขนเริ่มลุกชูชัน ส่งเสียงขู่คำรามในลำคอ

 

“เป็นอะไรหญิงเล็ก..” ฉันพูดเบาๆ พอหันหน้าไปก็พบว่าหญิงเล็กตั้งท่าขู่คำรามผู้ชายคนหนึ่ง..

 

ชายร่างสูงโปร่งในชุดตัวเดิมที่ใส่เมื่อคืน ในมือเขาถือถุงเซเว่นกับแก้วกัฟ.. ยืนห่างจากฉันอยู่ไม่กี่เมตร

 

“สตีฟ..” ฉิบเผลอหลุดปาก

 

หัวคิ้วเข้มของเขาขมวด ..แปลว่าเขาได้ยินที่ฉันพูด

 

“แฮ่!” หญิงเล็กหยอบตัวลง ตั้งท่าขู่จริงจัง ฉันรีบเอามือจิกที่หนังคอหญิงเล็ก “เฮ้ย! เป็นไรหญิงเล็ก?”

 

“..พวกหมาไม่ถูกกับฉันอยู่แล้ว” คำพูดของเขาทำให้ฉันเงยหน้ามอง ..สีหน้าของเขาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก

 

“ว่าแต่.. เธอรู้ชื่อฉันได้ไง” คำถามที่ออกจากปากเขาทำฉันสะดุ้งในใจ

 

ห๊ะ.. ชื่อสตีฟจริงดิ

 

“ห๊ะ..” หน้าฉันมันคงข้องใจน่าดู

 

“ที่เธอพูดว่าสตีฟ สตีฟคือชื่อฉัน” สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ฉันทำหน้าเหลอหลา

 

จะบอกเขาว่าไงดีวะ? หน้าเหมือนตัวละครในเกมเลยเรียกเขาในใจว่าสตีฟ

 

“อ้าว! สตีฟ”

 

เสียงที่ฟังก็รู้ว่าเจ้าของเสียงต้องรุ่นป้า สตีฟหันขวับ ฉันเห็นเจ้าของเสียงเป็นหญิงร่างอวบ อายุอานานเดาจากภายนอกน่าจะ 40 ขึ้น เห็นเค้าโครงหน้าก็รู้ได้เลยว่าสมัยว่ายังเป็นสาวรุ่นต้องสวยมากแน่นอน

 

“ป้ายิ้ม”

 

สตีฟเดินไปหาป้าคนนั้น ..ป้าคนนั้นชื่อป้ายิ้มเหรอ.. ป้ายิ้มมองหน้าฉัน ปากยังคลี่ยิ้มแต่สายตา..

 

สายตาชวนให้อึดอัด ..ดูระแวดระวัง

 

ป้าคนนั้นเดินมาตบไหล่สตีฟ ตบเชิงให้เดินตามมา แล้วสตีฟก็เดินจากฉัน เดินไปที่หอพักริเวนเดลล์

 

เรียกป้าๆ .. น่าจะเป็นเจ้าของหอ

 

นั่นป้าของสตีฟ?

 

 

 

 

 

+++

 

 

 

 

 

“พี่ลูกหม่อนเป็นนักวาดภาพประกอบที่ดังมากในไทย มี่ประทับใจตรงที่พี่ลูกหม่อนดื้อที่จะเรียนศิลปะทั้งๆ ที่พ่อแม่ต่อต้าน ไหนจะโดนพวกญาติที่ปรามาสว่าเรียนจบไปก็ไปเป็นศิลปินไส้แห้ง จนทุกวันนี้พี่ลูกหม่อนได้วาดปกนิยายที่พวกลูกๆ ของญาติอ่าน..”

 

ฉันนั่งฟังเพื่อนพรีเซนต์งานอยู่หน้าห้อง ฉันก็รู้จักลูกหม่อน เป็นนักวาดภาพประกอบผู้หญิงที่วาดปกนิยายรักของสำนักพิมพ์ชื่อดัง ดังในกลุ่มพวกสาวๆ มีเอกลักษณ์คือลายเส้นที่คมและการลงสี งานเค้าก็มีจุดด้อยตรงอนาโตมี่ แต่สไตล์การลงสีเล่นสีกลบข้อด้อยนั่นซะเกือบมิด

 

“ของแกใครวะ? ทิม”

 

ฉันเขยิบตัวมองเพจพรีเซนต์ของเพื่อนผู้ชาย ทิมเป็นหนุ่มหน้าตี๋ที่ไม่หล่อแต่ขาว

 

“คาร่า คิม คนวาดคอมมิคอินโนเซนต์ แวมไพร์”

 

ฉันมองภาพลายเส้นคอมมิคฝรั่งบนเพจ คนวาดเป็นคนเกาหลีที่ไปอยู่ต่างประเทศ ลายเส้นสมจริงแบบคอมมิคฝรั่งทั่วไป แต่มีความอ่อนช้อยกว่า

 

“โหว คนนี้วาดผู้ชายหล่อ” เกดชะเง้อหน้ามามองบ้าง “วาดแวมไพร์หล่อบัดซบบบบ กล้ามโคตรสวย” เกดเป็นพวกชอบวาดตัวการ์ตูนผู้ชายโดยเฉพาะกล้าม.. แต่ลายเส้นของเกดห่างจากคำว่าดูดีประมาณสิบล้านกิโลเมตร..

 

“อินโนเซนต์แวมไพร์ที่เป็นหนังใช่ป่ะ มันสร้างมาจากการ์ตูนเหรอ?”

 

“หนังสร้างจากนิยาย แล้วพอมันดังก็วาดออกมาเป็นหนังสือการ์ตูน”

 

“ฉันว่านางเอกในการ์ตูนสวยกว่าในหนัง”

 

“พระเอกจะในหนังหรือการ์ตูน ฉันว่าไม่เห็นหล่อ”

 

“หล่อนะ หล่อแบบแปลกๆ ”

 

“ตัวซีดอย่างกับกระดาษ A4 อีกนิดก็ศพเดินได้แหละ เจอแดดประเทศไทยแม่งตายห่าหมด”

 

“สมัยนี้เขามีครีมกันแดด แวมไพร์มาอยู่ไทยก็โบกครีมกันแดดแค่นี้ก็รอดแหละ!”

 

“สองตัวนั้นคุยอะไรกันนักหนา!!”

 

อาจารย์แว้ดใส่ ทิมกับเกดหดคอเก็บปากเงียบกริบ

 

พอใกล้จบคาบอาจารย์ก็สั่งงานให้หัวข้อให้ผลิตงานที่มีนักวาดภาพประกอบ นักออกแบบกราฟิก คนทำหนัง ฯลฯ เสนอหัวข้ออาทิตย์หน้า ..เวร

 

“พวกแกวาดภาพประกอบยังดีนะเว้ย ฉันดิ ทำหนังสั้น!” หนังสั้นต้องหาคนแสดง ต้องแคส ยุ่งยาก

 

“สาธุ คาบหน้าขอให้จารย์เกิด accident แคนเซิลคลาส” ทิมว่าพร้อมทำท่าพนมมือ

 

“แช่งจารย์ บาปสัส” ถึงปากเกดบอกว่าบาป แต่มันทำมือสาธุด้วย

 

ฉันไม่พนมมืออะไรทั้งสิ้น แต่อธิษฐานในใจเงียบๆ

 

หนูก็อยากให้อาจารย์เกิด accident ค่ะ

 

 

 

 

 

 

ฉันแยกกับเกดไปร้านคาเฟ่ไก่กา รถมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ที่หน้าร้าน พื้นดินบริเวณนั้นเป็นทรายกว่าขึ้น พื้นจะลาดเอียงและเข็นมอเตอร์ไซค์ยากฉิบหาย..

 

“อุ๊ย น้องญูวาดไรค่า ~”

 

พี่ลูกหยีเอากาแฟกับชีสเค้กมาเสิร์ฟให้ ฉันร่างรูปภาพ ภาพที่จะลองฝึกลงสีน้ำสไตล์เดียวกับนักวาดที่ชอบ ที่จะนำเสนอเป็นหัวข้อ อุปกรณ์สีน้ำเตรียมพร้อม

 

“วาดงานที่จะเสนอหัวข้ออาทิตย์หน้าค่ะ” พูดพลางเอาปลายดินสอกดเกาหัว

 

พี่ลูกหยีพยักหน้าหงึกๆ “น้องญูคะ เดี๋ยวพี่ขอถ่ายรูปน้องญูตอนกำลังวาดรูปลงในเพจร้านได้มั้ย? พี่อยากโชว์ว่าร้านพี่มีเด็กอาร์ตติสท์มานั่ง” อ่าหะ.. ภาพลักษณ์เด็กอาร์ตจะช่วยส่งเสริมร้านให้ดูดีน่านั่งมากขึ้น

 

“ถ่ายหนูให้สวยๆ นะพี่หยี” ฉันเชิดหน้าเก๊กหน้าเป็นนางเอกซีรีย์เกาหลี

 

“น้องญูหน้าตาดีอยู่แล้ว ก้มหน้าทำท่าทำทางเหมือนกับตั้งใจวาดรูป ไม่ต้องใช้จริตซอนซงอีหรอกค่ะ อินเนอร์น้องมันไม่ได้” ฉึก.. คำพูดของพี่หยีเปรียบได้กับลูกศรทะลุมาเสียบหน้าผากฉัน

 

ฉันตั้งท่าทำเป็นวาดรูป ปล่อยให้พี่ลูกหยีถ่ายรูปอัพรูปตามใจชอบ พอถ่ายจนหน่ำใจก็ผละกลับไปที่เคาน์เตอร์ ส่วนฉันนั่งไถมือถือสลับกับวาดรูป

 

..เอาไรดีวะ ทำหนังสือประกอบนิทานเด็กหรือว่าพวกนิตยสารสำหรับผู้หญิง?

 

ครุ่นคิดถึงหัวข้อ หูได้ยินเสียงกระดิ่งแขวนประตูร้านดังผ่านๆ ลูกค้าคนใหม่เดินเข้าร้าน ส่วนฉันง้วนกับการใช้ความคิด

 

“วาดรูปเป็นด้วยเหรอ”

 

เสียงหนึ่งดังเหนือหัว ..เออดิวะ ..นี่คือฉันตอบกลับในความคิด

 

พอเงยหน้ามองปรากฏว่าเป็นสตีฟ เสียงลากเก้าอี้ดังครืด สตีฟนั่งลงข้างๆ ฉัน ฉันใจเต้นตึกตัก ..แปลกใจ ประหลาดใจสุดๆ

 

“ขอนั่งด้วยคน”

 

มองซีกหน้าของสตีฟ จังหวะที่เขาก้มหน้า ผมแสกข้างของเขาปรกลงมานิดหนึ่ง.. มันทำให้เขาดูน่ามองอย่างประหลาด

 

“…”

 

สตีฟเงยหน้าขึ้น เขาสบตาฉันอย่างจังจนฉันต้องรีบหลบ ทำทีเป็นจับดินสอกดร่างภาพ พี่ลูกหยีเอากาแฟของสตีฟมาวางบนโต๊ะ ถึงฉันไม่เห็นสีหน้าพี่ลูกหยี แต่รู้ว่าพี่ลูกหยีอยากเผือกเรื่องฉันเต็มแก่

 

“ทำไมเธอถึงรู้ชื่อฉัน?” เขาถาม ฉันหันหน้ามาเผชิญ.. ตอบยังไงดีวะกู?

 

“ไม่ได้รู้” ตอบอ้อมแอ้ม สตีฟเลิกคิ้วไปข้าง

 

“หน้านายคล้ายกับตัวละครในเกม เกมยิงซอมบี้น่ะ ..เขาชื่อสตีฟ”

 

เห็นเขาทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม ฉันเลยนั่งเสิร์จอากู๋ในมือถือเอารูปตัวละครในเกมให้ดู

 

เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาเบิกกว้างกว่าเดิม พึมพำเสียงเบา “เหมือนจริงๆ ด้วย”

 

ฉันยิ้ม รอยยิ้มที่บอกว่าเห็นมั้ยล่ะ ฉันถามเขา “แล้วนายชื่อสตีฟ สตีฟนี่ชื่อจริงหรือชื่อเล่น”

 

“ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น”

 

“นายเป็นลูกครึ่งเหรอ?” พอฉันถามเขาก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ..สีหน้าเดาอารมณ์ไม่ถูก

 

“ก็ลูกครึ่ง..” พูดเสร็จสตีฟก็จิบกาแฟ เบี่ยงหน้าไปอีกทาง ทำท่าไม่อยากพูดต่อ

 

ฉันเห็นดังนั้นเลยร่างรูปต่อ ..หัวข้อๆ ..ไอดอลนักวาดของฉันใช้นามปากกาว่า [ลาลาลูน] เอกลักษณ์ของพี่เค้าคือชอบใช้สีน้ำแล้ววาดตัวการ์ตูนกลมๆ น่ารัก งานของพี่ลาลาลูนได้ลงในนิตยสารผู้หญิง หนังสือภาพประกอบเด็ก ชุดชั้นใน แพกเกจขนม ฯลฯ

 

..ทำภาพประกอบนิตยสารผู้หญิงดีมั้ย ..นิทานเด็กก็ดี..

 

พอเข้าสู่โหมดใช้ความคิดฉันเริ่มเอานิ้วแตะปาก.. จากนั้นก็แกะหนังปาก ลอกก็เป็นแผ่น หนังปากร่วงหล่นลงบนโต๊ะอย่างสวยงาม

 

จังหวะนั้นสตีฟหันหน้าขวับ ดวงตาเขาดูขึงตึงขึ้นมาทันที และนั่นทำให้ฉันชะงัก ภาพในตอนที่เจอเขาที่เซเว่นย้อนกลับมา สตีฟบอกฉันว่าอย่าทำให้ปากแห้งแบบนั้น

 

สตีฟไม่ชอบคนปากลอก

 

คนแบบนี้ก็มีในโลกด้วย ..เวร

 

“แล้วเธอชื่ออะไร?”

 

“ญู”

 

“ยู?” ฉันรู้ว่าเขาคิดว่าอะไร

 

“ไม่ใช่ยู Y O U นะ เป็นญูที่สะกดด้วย ญ หญิงกับสระอู” เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าชื่อของฉันคือ ‘ยู’ แต่จริงๆ เป็น ‘ญู’

 

“ชื่อแปลกดี”

 

“ญู มาจาก กาลัญญู ชื่อจริงฉันเอง.. กาลัญญู แปลว่าผู้รู้กาล” เป็นชื่อที่แม่ตั้งให้ แม่เปิดพจนานุกรมแล้วเจอคำนี้ปุ๊บก็เอามาตั้งเป็นชื่อจริงชื่อเล่นฉันปั๊บ

 

ผลคือ ชื่อฉันแปลกและไม่ซ้ำใคร

 

สตีฟคลี่ยิ้ม ยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มขับให้ใบหน้าเขาดูน่ามอง ความหม่นหมองที่เคลือบฉาบไว้บางๆ หายไปชั่วครู่

 

ฉันรู้สึกเขินอาย.. อายแบบไม่เข้าใจตัวเอง เพราะอยู่ต่อหน้าผู้ชายหน้าตาดี? พี่เบียร์หล่อออร่ากว่าสตีฟแต่ไม่ทำให้ฉันรู้สึกเขินอายแบบนี้

 

เอ๊ะ? หรือว่าเป็นเพราะฉันไม่เคยอยู่ใกล้พี่เบียร์เท่ากับที่อยู่ใกล้สตีฟ

 

“วาดอะไรน่ะ?” ตาของสตีฟมองภาพตัวการ์ตูนกลมๆ ที่ฉันวาด

 

“วาดตัวการ์ตูน วาดเขี่ยเล่นๆ คิดหัวข้อที่จารย์สั่งน่ะ”

 

“จารย์สอนศิลปะ?”

 

“อือ ฉันเรียนอยู่คณะศิลปกรรม” นัยน์ตาของเขาเบิกกว้างขึ้น ..อ่า ตะลึง ..ว้าว ..มันเป็นรีแอคชั่นของคนทั่วไปพอได้รู้ว่าฉันเรียนศิลปกรรม อิมเมจในหัวของเขาต้องปรากฏภาพของคนที่เอกลักษณ์ ยูนีค ติสท์ ทรงผมแนวๆ ถือเพจกระดานวาดรูป ดูแล้วโคตรเท่โคตรคูล แล้วขณะเดียวกันมันก็มีอิมเมจแบบศิลปินไส้แห้งไม่มีจะกิน..

 

“ศิลปกรรมแปลว่าต้องวาดรูปเก่ง”

 

“ก็ไม่เก่งทุกคน” นิ้วเกาแก้มตัวเอง ..จะพูดก็จะเป็นการเผาเพื่อนรึเปล่า ..อีเกดกูขอโทษ

 

“ขอดูสมุดสเกตได้มั้ย?” สตีฟดูกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็น

 

ฉันพยักหน้าหยิบสมุดให้ เงี้ย..พอมีคนสนใจผลงานตัวเองเริ่มอยากยืดอก อยากอวด ..เฮ้ ฉันมีสิ่งที่คุณทำไม่ได้ รู้สึกดูดีดูเทพขึ้นประมาณ 10 %

 

หน้ากระดาษสมุดสเกตพลิกไปพลิกมา นิ้วของเขาพลิกหน้ากระดาษทีละแผ่น ดวงตาสีเขียวจดจ้องภาพวาดฉัน.. แววตาของสตีฟเปล่งประกายมากขึ้น ..เปล่งประกายเหมือนกับเด็กพบของเล่นชิ้นใหม่

 

" รูปนี้เธอวาดอะไรนะ? " สตีฟจิ้มรูป.. เออ อวัยวะเพศชายมีขนมีเขา มีเส้นเลือดปูดโปนบ่งบอกถึงความโกรธ มีคำว่า ‘อสุจ๊าก ' เขียนข้างใต้.. เวร

 

ฉันแทบจะตะครุบสมุดสเกตคืน "อันนั้นฉันไม่ได้ เพื่อนมันวาด" อีเกด อีซัน อีทิม ..พวกเมิงงงงงงงง

 

สตีฟอมยิ้ม ฉันไม่รู้ว่าเขาเชื่อฉันรึเปล่านะ.. ฉันไม่ใช่คนวาดรูปเรตอาร์ขนาดนั้น (ชอบส่องมากกว่า)

 

เขาคืนสมุดให้ฉัน ฉันก็หยิบมาปั่นงานต่อ เขานั่งเท้าคางเอียงคอมองฉันวาดรูป ไม่พูดอะไร..

 

" นายจะดูฉันวาดรูปเหรอ..”

 

" อือ ..อยากดู ทำไมกดดันเหรอ?”

 

ฉันส่ายหน้า " ไม่นะ " ไม่รู้สึกดดัน รู้สึกดีด้วยซ้ำเวลามีคนชอบภาพที่เราวาด

 

" งั้นฉันขอนั่งดูเธอวาดรูป ..ไปเรื่อยๆ " เขาว่า ..สตีฟคลี่ยิ้มอีกแล้ว รอยยิ้มนั้นทำให้หัวใจฉันพองโต.. เวร ไม่กล้าสบตาอีกแล้ว

 

วันนั้นฉันนั่งคิดงานวาด หัวสมองไหลลื่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

 

.

 

.